ผมสบถในใจเมื่อเห็นร่างของไซโคลนเดินอยู่ในโกดัง ท่ามกลางพวกมันที่กำลังขนลังสินค้าลงจากรถกระบะหมอนี่มันบ้าหรือไง?ผมหรี่ตา มองเขาเดินเข้าไปใกล้ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มค้า มันจับมือกับไซโคลนก่อนจะพูดอะไรบางอย่าง ใบหน้าของพวกมันดูจริงจัง ราวกับกำลังทำข้อตกลงผมหันไปกระซิบกับลูกทีมที่ซุ่มอยู่ข้างๆ“มีใครรู้ไหมว่าหมอนั่นทำอะไรอยู่?”“ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นพวกเดียวกับพวกมันนะครับ” ลูกน้องผมตอบเสียงเบา “เขาเป็นคนแจ้งเบาะแสเองด้วย”ผมกำมือแน่น ดวงตาจับจ้องไปที่ร่างสูงนั้น เขากำลังพูดอะไรบางอย่างกับหัวหน้ากลุ่มค้า ก่อนที่มันจะพยักหน้า และหันไปสั่งลูกน้องให้เปิดลังไม้ผมมองลอดกล้องส่องทางไกล เห็นภายในลังบรรจุถุงพลาสติกซีลแน่นเต็มไปหมด ยาเสพติดล็อตใหญ่แน่นอน“รอให้พวกมันเคลื่อนย้ายของก่อน เราถึงจะบุก” ผมกระซิบสั่งลูกทีม “อย่าให้พวกมันรู้ตัวก่อนเวลา”ลูกทีมพยักหน้า ทุกคนพร้อมรับคำสั่งแต่ยังไม่ทันที่ผมจะออกคำสั่งต่อ จู่ๆ หนึ่งในลูกน้องของพวกมันก็เลื่อนปืนขึ้นมา เล็งไปที่ไซโคลนผมชะงัก!ไซโคลนเองก็ดูตกใจ เขาขยับตัวช้าๆ ขณะที่ชายคนที่ดูเหมือนหัวหน้าพูดอะไรบางอย่าง มันยิ้มเย็นแ
คุณสารวัตรนั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะทำงาน ท่าทางเขายังคงเย็นชา ราวกับไม่สนใจเสียงโวยวายจากฮิลล์หรือคำพูดที่ผมพยายามจะพูดออกมา ความนิ่งสงบของเขาทำให้บรรยากาศในห้องนี้ตึงเครียดยิ่งขึ้น ทุกคำพูดที่ผมจะพูดต่อไปมันเหมือนจะถูกตัดสินไปแล้วในใจของเขาผมรู้ว่าเขารู้แล้ว… รู้แล้วว่าเหตุผลที่ผมเข้าหาเขามันไม่ใช่เพราะตัวเขา แต่เป็นเพราะท่านหิงสา พ่อของเขาความรู้สึกไม่เชื่อใจคงก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อเขาค้นพบว่า ผมเข้ามาใกล้ชิดกับเขาเพราะต้องการหาทางเข้าหาพ่อของเขา เพียงแค่เรื่องนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของเราผิดแผกไปตลอดกาลคุณสารวัตรยังคงไม่ตอบอะไร ทำเพียงแค่จ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่เฉียบคม ราวกับเขากำลังอ่านใจผม แต่ก็ยังคงไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรใจผมหนักอึ้งไปหมด ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดยังไงดี รู้แค่ว่าในตอนนี้ผมไม่สามารถกลับไปเหมือนเดิมได้“คุณสารวัตร…” ผมเริ่มต้นเสียงแผ่ว ลมหายใจรดอยู่บนริมฝีปากแต่กลับไม่มีคำพูดไหนหลุดออกมา “ผม… ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้”ฮิลล์ที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมามองผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจ ก่อนจะสบตากับคุณสารวัตรที่ยังคงจ้องมาที่ผมด้วยท่าทีที่เกือบจะเป็นการประเมินผ
ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ ผมอยากอธิบาย อยากให้เขารู้ว่าผม“ที่คุณเข้าหาผมมาตลอด…” สารวัตรพูดต่ออย่างเย็นชา “เป็นเพราะคุณเห็นเงาของพ่อผมในตัวผมใช่ไหม?”“ไม่ใช่!” ผมสวนกลับทันที รู้สึกถึงความร้อนวูบที่แล่นขึ้นมาจากอก“งั้นคุณคิดว่าตัวเองชอบผมจริงๆ เหรอ?” เขาเงยหน้าขึ้น สายตาที่จ้องมาทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจผมอ้าปากจะตอบ แต่คำพูดกลับติดอยู่ที่ลำคอชอบเหรอ?ผมเคยถามตัวเองชัดๆ แบบนี้บ้างไหมว่ารู้สึกยังไงกับเขากันแน่“คุณเงียบ” เขาพูดต่อ “เพราะคุณเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันใช่ไหม?”“…ไม่ใช่แบบนั้น” ผมกัดฟันตอบ “ผมแค่…”“แค่หลอกตัวเองว่าที่คุณเข้าหาผมเป็นเพราะตัวผม ไม่ใช่เพราะพ่อของผม”“…!”“ผมไม่ใช่พ่อของผม” เขาพูดประโยคนั้นอีกครั้ง ดวงตาคมกริบเหมือนใบมีดที่กำลังแล่เนื้อของผมออกมาทีละชั้น “และผมไม่มีวันเป็น”น้ำเสียงของเขาฟังดูเย็นชา… แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ข้างในนั้นเจ็บปวด!....เหรอ?หรือว่าผมคิดไปเอง?“ถ้าอย่างนั้นคุณจะให้ผมทำยังไง?” ผมเอ่ยถาม เสียงเบากว่าที่ตั้งใจไว้มากคุณสารวัตรไม่ได้ตอบกลับมาทันที เขาเพียงแค่จ้องผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะถอนหายใจและพูดว่า“ออกไปซะ”
หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้เจอสารวัตรอีกเลยไม่ใช่ว่าเขาหลบหน้าผมหรืออะไรแบบนั้น แต่เพราะผมติดต่อเขาไม่ได้ต่างหากโทรไปไม่รับ ข้อความก็ไม่อ่าน!แรกๆ ผมคิดว่าเขาอาจจะต้องการเวลาสงบสติอารมณ์ หรือไม่ก็ยังโกรธผมอยู่ แต่พอเวลาผ่านไปหลายวันเข้า ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆมันไม่เหมือนกับเขาเลย...ผมรู้ว่าสารวัตรเป็นพวกหัวแข็ง เอาแต่ใจ และไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของตัวเอง แต่เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะเมินเฉยหรือหนีปัญหาแบบนี้“เฮ้ ฮิลล์ มึงติดต่อสารวัตรได้บ้างไหม?” ผมถามเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งเช็กเอกสารบางอย่างอยู่ อย่างไม่รู้จะถามใครฮิลล์เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยความงุนงง “เปล่า มึงถามกูเนี่ยนะ”“แล้วที่สถานีตำรวจล่ะ?” ผมยังคงถามต่อ ถึงแม้จะรู้คำตอบจากมันแล้วก็ตาม ก็ผมไม่รู้จะถามใครได้นี่นา“กูไม่ได้ไปบ่อยๆ เหมือนมึงนะ”ผมขมวดคิ้ว ลองคิดทบทวนดูอีกครั้ง มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆสุดท้าย ผมตัดสินใจขับรถไปที่สถานีตำรวจด้วยตัวเองสถานีตำรวจ“พี่ครับ สารวัตรศิรชัชอยู่ไหม?” ผมถามตำรวจนายหนึ่งที่กำลังเดินผ่านอีกฝ่ายหันมามองผม ก่อนจะพยักหน้า “อ๋อ สารวัตรเหรอ? เขาไปฝึกภาคสนามกับหน่วยปฏิบัติการพิเ
ห้องทำงานของไซโคลนเวลาผ่านไปเกือบสองสัปดาห์แล้ว และผมก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นทุกวันทุกคืนผมจะเผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กดูว่ามีข้อความจากสารวัตรไหม แม้จะรู้ว่ามันไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลย“ไอ้ไซโคลน“เสียงฮิลล์ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของผม มันเดินเข้ามาพร้อมกับโยนแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ “นี่คือข้อมูลของกลุ่มยาเสพติดที่มึงให้กูสืบ”ผมกวาดตามองข้อมูลแล้วพยักหน้า แต่สมาธิไม่ได้อยู่กับมันเท่าไหร่ฮิลล์มองหน้าผมก่อนจะถอนหายใจ “มึงเป็นอะไร?”“กูเปล่า”“ไม่ต้องมาโกหก กูเห็นมึงเช็กโทรศัพท์ทุกห้านาที”ผมหัวเราะในลำคอ ปิดแฟ้มแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้“…กูแค่คิดว่า ถ้าสารวัตรอยู่ที่นี่ เรื่องนี้คงจะง่ายกว่านี้”ฮิลล์เลิกคิ้ว “มึงหมายถึงเรื่องคดี หรือเรื่องของมึงกับเขา?”ผมเม้มปาก ไม่ตอบฮิลล์ยักไหล่ “กูว่ามึงก็แค่ไปเคลียร์กับเขาให้จบ”“เคลียร์ยังไง ในเมื่อเขาไม่ได้อยู่ที่นี่”“…มึงจะรอให้เขากลับมาเหรอ?”“…กูไม่รู้” ผมพูดออกไปตามตรง “กูแค่ไม่อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้”“แล้วมึงคิดว่าเขารู้สึกยังไง?”“…ไม่รู้”“มึงโง่”“อ้าว”“ถ้าเขาไม่รู้สึกอะไรกับมึงจริงๆ เขาคงไม่โทรหามึงก่อนจะหายไปแบบนี้หรอก” ฮิลล์พูดตรงๆ “เ
หลังจากที่สารวัตรพาผมมาถึงที่บ้านสวน ผมเดินตามเขาเข้าไปอย่างไม่พูดอะไร แต่ภายในใจเต็มไปด้วยความเครียดและโกรธแค้น ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกยึดไว้ในวงจรที่สารวัตรเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่ยอมพูดออกมาชัดเจนว่าเขาคิดยังไงกับผม หรือทำไมถึงต้องหลบหน้าแบบนี้“คุณจะเอายังไง?” ผมถามเสียงแข็ง ขณะที่ยืนอยู่ในห้องรับแขกสารวัตรมองผมแวบหนึ่งก่อนจะถอนหายใจและไม่พูดอะไร ผมเริ่มรู้สึกเหมือนกำลังโดนทำให้ตัวเองรู้สึกไร้ค่าเหมือนเดิมเหมือนครั้งแรกที่เจอกันผมไม่สามารถยืนอยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไป จังหวะนั้นมันเหมือนทุกอย่างระเบิดออกมาในหัว“จะหลบหน้าผมไปอีกนานไหม?” ผมตะคอกใส่เขา สบตากันตรงๆ “ไม่เคยคิดเลยเหรอว่าเหตุผลที่ผมทำแบบนี้กับคุณ คืออยากให้คุณตอบอะไรให้ชัดเจน?”สารวัตรสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางของผมที่เริ่มไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ผมก้าวเข้าไปใกล้ เขาไม่ตอบอะไร ผมยืนอยู่ตรงหน้าของเขา พยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้มันพุ่งออกมา“ทำไมไม่บอกผม?” เสียงผมสั่นเล็กน้อย แต่ยิ่งพยายามกดเสียงลงไปมากเท่าไหร่ ความโกรธของผมก็ยิ่งก่อตัว “ถ้าคุณไม่ต้องการผมก็พูดออกมาเลย!”สารวัตรหายใจหนักๆ พยายามหลีกเลี่ยงสายตาผม แต่ผมไม่ยอ
“ผะ ผมไม่ได้ดื้อ…” ผมพยายามพูดเสียงเรียบ แต่มันกลับสั่นเล็กน้อยสารวัตรหัวเราะในลำคอ ก่อนจะบดจูบลงบนริมฝีปากของผมอีกครั้ง คราวนี้มันเร่าร้อนและรุนแรงกว่าเดิม ฝ่ามือของเขาไล้ไปตามช่วงเอวของผม สัมผัสแนบแน่นที่จงใจรั้งให้ผมแนบชิดกับเขามากขึ้น“งั้นก็เรียกสิ” เขากระซิบข้างหู ก่อนจะขบเม้มติ่งหูผมเบาๆ จนร่างกายสะดุ้งเหี้ยเอ๊ย… นี่มันเกินไปแล้ว! ผมต้องรีบกลับไปคุมเกมไม่อย่างนั้นผมเสียเปรียบแน่ผมกัดริมฝีปากแน่น ขณะที่รู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ของเขาที่เป่ารดต้นคอ มันทำให้สติของผมแทบจะระเบิดออก ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่ตอนนี้ผมอยากจะขย้ำเขาให้รู้แล้วรู้รอด“พี่… สไนเปอร์” ผมกัดฟันพูดออกไปในที่สุดไม่ทันไร สารวัตรก็พลิกตัวผมลงกับโซฟา แววตาที่จ้องมานั้นเต็มไปด้วยความกระหายที่สะสมมานาน“เด็กดี” เขายิ้มมุมปาก ก่อนจะก้มลงมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีช่องว่างให้ผมได้หายใจอีกต่อไปมือของผมเลื่อนลงมาจับสะโพกแน่น ลากร่างอีกฝ่ายเข้ามาแนบชิด ความร้อนที่แล่นพล่านไปทั่วร่างทำให้ไม่มีใครคิดจะหยุดแต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ!ผมที่ชันตัวดันร่างคุณสารวัตรให้นอนลงกับโซฟากลับโดนอีกฝ่ายกดไหล่ลงแนบกับโซฟาตัวกว
เช้านี้เงียบสงบกว่าที่คิดผมนอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของสารวัตร ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ ราวกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่มีผลอะไรกับเขาเลย ต่างจากผมที่แม้จะพยายามข่มตาหลับ แต่หัวใจก็ยังเต้นแรงไม่หยุดเมื่อคืน…ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย้อนกลับมาในหัว ทั้งความเร่าร้อนที่เราแบ่งปันให้กัน สัมผัสที่รุนแรงจากความรู้สึกอัดอั้นที่สะสมมานาน จูบที่เหมือนจะกลืนกินกันไปทั้งตัวเชี่ยเอ๊ย…แค่คิดถึงมันผมก็รู้สึกถึงความร้อนที่แล่นขึ้นมาจากแก่นกายลามมาบนใบหน้าแล้ว ผมไม่ใช่คนขี้อายหรอกนะ แต่แม่ง… มันรู้สึกแปลกชะมัดครั้งแรก?ใช่แล้วล่ะ ครั้งแรก…กระดากปากมากหากจะพูดว่านี่เป็นครั้งแรกของผม แต่ก็ครั้งแรกจริงๆ นี่ ที่ผมไม่ใช่ฝ่ายกระทำฮึ่ย!..ผมแอบเหลือบตามองสารวัตร เขายังหลับตาอยู่ แต่แค่เห็นใบหน้าของเขาใกล้ๆ ผมก็รู้สึกถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไปเมื่อคืนมันคืออะไรกันแน่?เราแค่ระบายอารมณ์ให้กันเฉยๆ หรือว่ามันมากกว่านั้น?ผมขยับตัวเล็กน้อย หวังจะลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ขยับมาก แขนของสารวัตรก็กระชับแน่นขึ้น ความระบมแล่นแปลบจากข้างล่างขึ้นมา จนผมส่งเสียง ซี้ด..“หึ…” คุณสารวัตรหัวเราะในลำคอเหมือนชอบใจ “จะไปไหน”
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมนอนเหม่ออยู่อย่างนั้น แต่แล้วเสียงข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้นติ๊ง!ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันที และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากริว: “ว่างไหม?”หัวใจผมกระตุกวูบแปลก ๆ ก่อนจะรีบพิมพ์ตอบกลับไปฝุ่น: “มีอะไร?”รออยู่ครู่หนึ่ง ข้อความถัดไปก็เด้งขึ้นมาริว: “มาหาหน่อย”ผมนิ่วหน้า อะไรของเขาวะ?ฝุ่น: “นายอยู่บ้าน?”ริว: “หน้าห้องนาย”หน้าห้อง?!ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที กวาดตามองนาฬิกา…จะเที่ยงคืนแล้วหมอนี่มันคิดอะไรอยู่ถึงมาโผล่แถวนี้เวลานี้วะ?ผมหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมก่อนจะเดินออกไปตามที่เขาบอกผมเปิดประตูออกไปก็เจอเขายืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ ใบหน้านิ่งเฉยเหมือนทุกครั้ง แต่มีบางอย่างในแววตาที่ดูไม่เหมือนเดิม“มาทำไม?” ผมถามพลางกอดอก“คุยกันหน่อย”“เรื่องอะไร?”“เรื่องของเรา”คำว่า ‘เรา’ ทำให้ผมชะงักไปนิดหน่อย“ไม่มีอะไรให้คุย” ผมบอกเสียงเรียบ “ฉันพูดไปหมดแล้ว”ริวไม่ได้ตอบอะไรในทันที เขาแค่ยกบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้แล้วจุดไฟ สูดมันเข้าปอดก่อนจะพ่นควันออกมาช้า ๆ“…ฉันไม่ชอบความไม่แน่นอน” เขาพูดขึ้นในที่สุด“หืม?”“ฉันไม่ชอบอะไรที่คลุมเครือ” เขาเอียงหน้ามองผม “แล้วฉัน
ผมกอดอกมองสองพี่น้องเถียงกันอย่างไม่รู้จะทำยังไง เรื่องระหว่างผมกับริวมันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้รุยเข้าใจได้"กูสองคนแค่จูบกันไอ้รุย ยังไม่ได้เอากัน"พวกยากูซ่านี่เชื่อถือไม่ได้จริงๆ ไม่ได้เอาพ่อง!"ถ้าจูบกันแล้วก็ต้องเป็นแฟนกันสิ จะมาแอบกินกันเฉยๆ เหมือนไอ้ฮิลล์ไม่ได้นะ" รุยเถียงต่อ"เราแค่จูบกันรุย นายอย่างี่เง่า" น้ำเสียงของไอ้ยากูซ่าขี้เก๊กเริ่มระอา"นายอย่ามาโมโหกลบเกลื่อน" รุยยังคงไม่ยอม"วุ้ยย! มึงจะอะไรนักหนากะอีแค่จูบ ใครๆ เขาก็จูบกันได้ตอนเมา" ผมพูดแทรกขึ้นมา ถ้าผมไม่มีปัญหาทุกอย่างก็น่าจะจบสินะ"พ่องมึงดิ จะมีกี่คนที่จูบพี่ของเพื่อนตอนเมา"มากกว่าจูบกูก็ทำกันมาล่ะ"เออ…มันก็แค่อุบัติเหตุ ใช่ไหม?" ประโยคหลังผมหันไปหาริว เพื่อขอกำลังสนับสนุน"อือ…" ริวพยักหน้า“กูไม่ใช่เด็กแล้วนะริว!"ปั่ก!"ฉันเป็นเพื่อนเล่นนายเหรอ..." ริวตบหัวรุย"อู้ยยส์...เจ็บนะ พะ..พี่" ไอ้รุยเริ่มกลัวเมื่อเห็นสายตาของพี่ชายตัวเองริวถอนหายใจก่อนล้วงกระเป๋าหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด เขาพ่นควันออกจากปากก่อนพูดประโยคที่สิ้นคิดที่สุดออกมา"คบก็คบสิ""ชะ...ช่ายย ห๊ะ!! เดี๋ยวๆ คบอะไร ใครคบกัน" ผมถามด้วยความตกใจ"
…ไซโคลน Talk…ผมยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องพักในโรงแรม มองแสงไฟของโตเกียวที่ส่องสว่างอยู่เบื้องล่าง แต่ความคิดของผมกลับไม่ได้อยู่ที่ทิวทัศน์เหล่านั้นเลยโทรศัพท์ในมือสั่นอีกครั้ง แจ้งเตือนข้อความจากไต้ฝุ่น“มาถึงแล้ว”ผมกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ นิ้วโป้งแตะไปบนหน้าจอโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบชักมือกลับราวกับของร้อนสารวัตร… มาถึงญี่ปุ่นแล้วจริง ๆผมถอนหายใจแรง กดโทรศัพท์ปิดเสียงก่อนจะโยนมันลงบนโต๊ะ ผมเงยหน้ามองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ เห็นภาพสะท้อนของชายหนุ่มที่พยายามทำเป็นไม่สนใจอะไร แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่นผมคิดว่า… ถ้าออกมาห่างไกลขนาดนี้แล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นผมคิดว่า… ถ้าหายไปจากสายตาเขาแล้ว อีกฝ่ายก็คงไม่รู้สึกอะไรแต่เปล่าเลย…สารวัตรตามมาถึงที่นี่และที่สำคัญกว่านั้นคือ ผมไม่ได้แน่ใจว่าตัวเองอยากให้เขาหาเจอหรือไม่…สไนเปอร์ Talk…ผมยืนอยู่หน้าโรงแรมหรูใจกลางโตเกียว มองขึ้นไปยังชั้นบนสุดที่เป็นห้องพักของไซโคลนไต้ฝุ่นเป็นคนบอกผมว่าไซโคลนอยู่ที่นี่ และถึงแม้เขาจะไม่ได้บอกเลขห้องตรง ๆ แต่แค่มีข้อมูลนี้ก็มากพอแล้วผมกำโทรศัพท์แน่น สูดหายใจเข้าลึก ๆถ้าผมขึ้นไป
…สไนเปอร์ Talk…ผมมองจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า แต่มันกลับเบลอไปหมดคดียังคงเดินหน้า งานทุกอย่างยังคงต้องทำเหมือนเดิม แต่มีบางอย่างในใจที่คอยฉุดรั้งให้ผมไม่มีสมาธิไซโคลนไม่อยู่แล้วจริง ๆเขาหายไปจากชีวิตผมแบบสมบูรณ์แบบ… ไม่มีร่องรอย ไม่มีการติดต่อกลับ ไม่มีแม้แต่เงาของเขาให้เห็นผมถอนหายใจ กวาดสายตามองโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวจะโทรไปดีไหม?นิ้วผมเลื่อนไปที่ชื่อของเขา ก่อนจะชะงัก… และกดปิดหน้าจอไปถ้าเขาอยากให้ผมตามหา… เขาคงจะทิ้งอะไรไว้ให้ผมบ้างแต่เขาเลือกที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ แปลว่าเขาคงต้องการแบบนั้นจริง ๆ“เฮ้อ…” ผมเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงาน“เข้ามา”จ่าแชมป์โผล่หน้าเข้ามา “สารวัตร ผมมีข่าวบางอย่าง”ผมเลิกคิ้ว “ข่าวอะไร?”“คนของเราสืบมาให้แล้วครับ…” จ่าแชมป์ส่งแฟ้มเอกสารให้ผม “คุณไซโคลนอยู่ที่ญี่ปุ่นจริง ๆ และดูเหมือนเขาจะตั้งใจอยู่ที่นั่นอีกนาน”ผมนิ่งไป ก่อนจะเปิดแฟ้มออกดู รายละเอียดที่ระบุอยู่ตรงหน้ามันชัดเจนจนผมปฏิเสธไม่ได้และมีรูปที่ไซโคลนไปไหนมาไหนกับริวอย่างสนิทสนม…ใจผมคล้ายๆ มีอะไรหนักๆ กดทับไว้จนเจ็บผม… กำลังจะเสียเขาไปแล้วจริง ๆ
…ไซโคลน Talk…ผมไม่ได้หลบหน้าเล่น ๆ แต่ผมเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมไม่ได้ติดต่อกลับไปหาสารวัตรอีกเลย ไม่มีการส่งกาแฟ ไม่มีการไปหา ไม่มีแม้แต่ข้อความทิ้งไว้เหมือนทุกทีผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดื้อรั้นและไม่เคยยอมแพ้ แต่ครั้งนี้… บางทีผมอาจต้องเป็นฝ่ายปล่อยมือจริง ๆตอนแรกมันก็ยากอยู่หรอก กว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึง ไม่ให้เผลอกดโทรหาหรือส่งข้อความไป ผมต้องข่มใจตัวเองอยู่หลายครั้ง ต้องดื่มให้หนักขึ้น ต้องเอางานมากลบความคิด แต่สุดท้ายแล้ว… มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักทุกคืนก่อนนอน ผมยังคงเผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หวังว่าบางทีสารวัตรอาจจะเป็นฝ่ายส่งข้อความมาก่อน หรืออย่างน้อยอาจจะมีมิสคอลสักสายแต่ไม่มีเลย…เหมือนเขาหายไปจากชีวิตของผมโดยสมบูรณ์ผมเอนตัวพิงกระจกห้องพักโรงแรมในโตเกียว มองแสงไฟของเมืองที่ยังคงสว่างไสว ทว่าความเงียบในห้องมันกลับกดดันผมยิ่งกว่าความวุ่นวายข้างนอกผมคิดถึงสารวัตร…คิดถึงคนที่เอาแต่ทำหน้าเรียบเฉยเวลาถูกแหย่ คิดถึงคนที่บ่นว่าผมกวนประสาทแต่ก็ยังยอมให้มากวนอยู่ทุกวันผมไม่ได้อยากหนีมาไกลขนาดนี้หรอก แต่ผมรู้ว่า ถ้ายังอยู่ที่เดิม ผมคงไม่มีวันอดใจไม่ไหวแล้วกระโจนไปหาเขาอีกตาม
…สไนเปอร์ Talk…ไซโคลนไม่ได้พูดเล่น เขาเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้รับข้อความหรือสายโทรศัพท์จากไซโคลนอีกเลย ไม่มีการแวะมาหา ไม่มีใครส่งกาแฟมาให้ที่โรงพักตอนเช้า และแน่นอน… ไม่มีใครมารอผมเลิกงานอีกเลยผมคิดว่าตัวเองควรจะโล่งใจ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเหรอ? ผมอยากให้ไซโคลนออกไปจากชีวิต อยากให้ไซโคลนอยู่ห่างจากปัญหาทั้งหมด เขาอยากปกป้องไซโคลนจากความวุ่นวายนี้…แต่ทำไมมันถึงรู้สึกไม่ใช่แบบนั้นวะ?ในช่วงแรกผมพยายามไม่คิดอะไรมาก มันก็ดีแล้วที่เขาได้ไปใช้ชีวิตปกติของตัวเอง ไม่ต้องมาลำบากกับผมแต่พอผ่านไปเป็นอาทิตย์ ไซโคลนก็ยังไม่ติดต่อมา“หมอนั่นคงจะลืมฉันไปแล้วจริง ๆ” ผมพึมพำช่วงเวลาที่ไม่มีไซโคลนอยู่รอบตัว ทำให้รู้ว่า… ชีวิตของผมขาดอะไรบางอย่างไปจริง ๆไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าที่ปกติจะมีกาแฟจากร้านประจำส่งมาให้พร้อมโน้ตแซว ๆ จากไซโคลน หรือแม้แต่ช่วงเย็นที่ผมมักจะเจอเขามานั่งรออยู่ในห้อง พอไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว วันเวลาของผมกลับดูเงียบเหงาอย่างน่าประหลาดผมทำงานเหมือนเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม ออกไปสืบคดีเหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันผิดแปลกไปหมด“สารวัตร… คุณโอเคหรือเปล่า?”เส
…ด้านไซโคลน….ผมเดินออกจากห้องทำงานของสารวัตรด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในใจ ทุกอย่างมันชัดเจนในหัวของผม แต่ในขณะเดียวกันมันก็สับสนจนแทบจะทำให้ผมหายใจไม่ออก ทุกๆ อย่างที่ทำไปมันยังไม่ดีพออย่างนั้นเหรอ“ผมเหนื่อย…มาก…” เสียงของผมดังในหัวผมเหนื่อยกับการวิ่งตามเขาแล้ว…เขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนไร้ค่าที่วันๆ เอาแต่วิ่งตามเขา ผมมักจะเป็นคนแรกที่เขาเลือกจะตัดทิ้งง่ายๆ นั่นมันก็แสดงชัดเจนแล้วว่าผมควรหยุดได้แล้ว…ผมเดินไปที่ลิฟต์โดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองห้องทำงานนั้น ผมไม่ต้องการให้ใครเห็นความเจ็บปวดในแววตาของผมในตอนนี้ ความรู้สึกที่คล้ายกับการถูกทอดทิ้ง มันร้อนรุ่มอยู่ในอก ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังวิ่งตามอะไรบางอย่างที่ไม่มีทางจะถึงผมกดปุ่มลิฟต์และยืนรอจนประตูเปิดออก ความรู้สึกข้างในมันเหมือนมีบางอย่างที่กำลังแหลกสลายไปกับทุกก้าวที่เดิน ใจผมมันโหวงและว่างเปล่าบอกไม่ถูกเมื่อถึงชั้นล่างผมเดินออกจากอาคารโดยไม่คิดจะหยุดกลับไปมอง หัวใจของผมมันบีบคั้นจนรู้สึกว่าหายใจไม่ออก ผมหยุดตรงมุมถนนและมองไปที่ท้องฟ้า เหมือนกับกำลังมองหาคำตอบจากสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ สิ่งที่ทำล
คดีของพ่อผมถูกปิดลงอย่างเงียบๆ ไม่ว่าผลของมันจะเป็นเช่นไร เราทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง เขามีใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของเขา พ่อผมอาจจะไม่ได้ซัดทอดใครออกมา แต่มันก็ไม่สามารถปิดบังความจริงบางอย่างได้ พวกเรายังเอื้อไปไม่ถึงตัวการใหญ่นั้นพี่ชายของผมทุกคนก็เข้าใจดีถึงสิ่งที่พ่อทำ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงพยายามช่วยเหลือพ่อในทุกทางที่ทำได้ ไม่มีใครโกรธผมที่ต้องทำหน้าที่จับพ่อ แม้ความรู้สึกจะหนักหน่วงแค่ไหน พวกเขาก็ยอมรับมันได้พวกเขาเห็นสิ่งที่พ่อเคยสอนและปลูกฝังในตัวผมมาตลอดชีวิต….แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้น ข่าวของพ่อที่เคยเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมก็ถูกกลบไปอย่างเงียบๆ ทุกอย่างถูกเบี่ยงเบนความสนใจด้วยข่าวใหม่ ที่มันเหมือนจะกระทบกับทุกคนรอบตัว ข่าวนั้นเป็นเรื่องของการชิงตัวนักโทษระหว่างที่กำลังจะถูกนำไปฝากขังสองคน และเหมือนจะเป็นการกระทำของแก๊งต่างชาติที่มีอิทธิพลข่าวนี้มันกลบข่าวของพ่อไปจนเกือบจะไม่มีใครพูดถึงอีกเลย ตำรวจถูกเหยียบย่ำอีกครั้ง หลังจากการสืบสวนคดีของพ่อผมคดีที่มันทำให้พวกเราเปิดเผยถึงบางอย่างที่ไม่อยากให้ใครรู้… แต่ตอนนี้…ทุ
….สไนเปอร์ Talk….ผมพยายามเจรจากับผู้บังคับบัญชาจนตัวเองยังสามารถอยู่ในคดีนี้ต่อได้ และตอนนี้พวกเราก็กำลังรอให้คนพาพ่อมาสอบสวนสักพักเจ้าหน้าที่สองนายก็พาตัวพ่อซึ่งถูกสวมกุญแจมือ เข้ามายังห้องสอบสวน เขายังคงใส่ชุดของเมื่อคืนอยู่แววตาของเขาดูล้าเล็กน้อย…“พ..พ่อ…” มันยากมากที่เสียงจะหลุดออกจากลำคอของผมตั้งแต่เกิดผมไม่เคยเห็นเขาโทรมแบบนี้มาก่อน แม้เขาจะอายุเยอะแล้ว แต่ก็ยังดูกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอแล้วดูสิ….วันนี้เขากลับอยู่ในสภาพแบบนี้ คนเป็นลูกแบบผมควรทำอย่างไรระหว่างความถูกต้องกับความถูกใจ ผมควรเลือกสิ่งไหน…พ่อมองผมนิ่งๆ แล้วพูดช้าๆ“ฉันเห็นแกแล้วเหมือนเห็นตัวเองในอดีตเลย”ประโยคสุดท้ายที่เขาพูด ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นจากข้างในบุคลิก ความคิด นิสัย ผมล้วนสืบทอดมาจากเขาทั้งนั้น…พ่อมองผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะเอนตัวไปด้านหลัง เท้าแขนลงบนพนักเก้าอี้ที่ดูจะเล็กไปสำหรับเขา“แกจะไม่ถามอะไรหน่อยเหรอ?” เขาเอ่ยเมื่อเห็นเงียบผมเม้มปากแน่น สายตาจับจ้องไปที่กุญแจมือที่ล่ามเขาไว้“…ทำไม?” ผมถามเสียงแผ่ว “ทำไมพ่อต้องทำเรื่องพวกนี้?”พ่อหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอนตัวไปด้านหลัง ดวงตาคม