“ผะ ผมไม่ได้ดื้อ…” ผมพยายามพูดเสียงเรียบ แต่มันกลับสั่นเล็กน้อยสารวัตรหัวเราะในลำคอ ก่อนจะบดจูบลงบนริมฝีปากของผมอีกครั้ง คราวนี้มันเร่าร้อนและรุนแรงกว่าเดิม ฝ่ามือของเขาไล้ไปตามช่วงเอวของผม สัมผัสแนบแน่นที่จงใจรั้งให้ผมแนบชิดกับเขามากขึ้น“งั้นก็เรียกสิ” เขากระซิบข้างหู ก่อนจะขบเม้มติ่งหูผมเบาๆ จนร่างกายสะดุ้งเหี้ยเอ๊ย… นี่มันเกินไปแล้ว! ผมต้องรีบกลับไปคุมเกมไม่อย่างนั้นผมเสียเปรียบแน่ผมกัดริมฝีปากแน่น ขณะที่รู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ของเขาที่เป่ารดต้นคอ มันทำให้สติของผมแทบจะระเบิดออก ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่ตอนนี้ผมอยากจะขย้ำเขาให้รู้แล้วรู้รอด“พี่… สไนเปอร์” ผมกัดฟันพูดออกไปในที่สุดไม่ทันไร สารวัตรก็พลิกตัวผมลงกับโซฟา แววตาที่จ้องมานั้นเต็มไปด้วยความกระหายที่สะสมมานาน“เด็กดี” เขายิ้มมุมปาก ก่อนจะก้มลงมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีช่องว่างให้ผมได้หายใจอีกต่อไปมือของผมเลื่อนลงมาจับสะโพกแน่น ลากร่างอีกฝ่ายเข้ามาแนบชิด ความร้อนที่แล่นพล่านไปทั่วร่างทำให้ไม่มีใครคิดจะหยุดแต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ!ผมที่ชันตัวดันร่างคุณสารวัตรให้นอนลงกับโซฟากลับโดนอีกฝ่ายกดไหล่ลงแนบกับโซฟาตัวกว
เช้านี้เงียบสงบกว่าที่คิดผมนอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของสารวัตร ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ ราวกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่มีผลอะไรกับเขาเลย ต่างจากผมที่แม้จะพยายามข่มตาหลับ แต่หัวใจก็ยังเต้นแรงไม่หยุดเมื่อคืน…ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย้อนกลับมาในหัว ทั้งความเร่าร้อนที่เราแบ่งปันให้กัน สัมผัสที่รุนแรงจากความรู้สึกอัดอั้นที่สะสมมานาน จูบที่เหมือนจะกลืนกินกันไปทั้งตัวเชี่ยเอ๊ย…แค่คิดถึงมันผมก็รู้สึกถึงความร้อนที่แล่นขึ้นมาจากแก่นกายลามมาบนใบหน้าแล้ว ผมไม่ใช่คนขี้อายหรอกนะ แต่แม่ง… มันรู้สึกแปลกชะมัดครั้งแรก?ใช่แล้วล่ะ ครั้งแรก…กระดากปากมากหากจะพูดว่านี่เป็นครั้งแรกของผม แต่ก็ครั้งแรกจริงๆ นี่ ที่ผมไม่ใช่ฝ่ายกระทำฮึ่ย!..ผมแอบเหลือบตามองสารวัตร เขายังหลับตาอยู่ แต่แค่เห็นใบหน้าของเขาใกล้ๆ ผมก็รู้สึกถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไปเมื่อคืนมันคืออะไรกันแน่?เราแค่ระบายอารมณ์ให้กันเฉยๆ หรือว่ามันมากกว่านั้น?ผมขยับตัวเล็กน้อย หวังจะลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ขยับมาก แขนของสารวัตรก็กระชับแน่นขึ้น ความระบมแล่นแปลบจากข้างล่างขึ้นมา จนผมส่งเสียง ซี้ด..“หึ…” คุณสารวัตรหัวเราะในลำคอเหมือนชอบใจ “จะไปไหน”
ผมไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่กลับเป็นฝ่ายรั้งเขาเข้ามาหาแทนสารวัตรชะงักไปนิดหน่อย ราวกับไม่คิดว่าผมจะตอบสนองกลับมาแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ผละออกหรือหยุดผม เขากลับกอดผมแน่นขึ้น และคราวนี้ทุกอย่างระเบิดออกมารวดเร็วกว่าที่คิดเสื้อเชิ้ตของเขาถูกดึงออกจากกางเกง ริมฝีปากของเรายังคงบดเบียดกันรุนแรง ลมหายใจของเราผสมปนเปกันมั่วไปหมด ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกลงไปในบางสิ่งที่ไม่มีทางกลับขึ้นมาได้แต่ให้ตายเถอะ… ผมไม่คิดจะถอยแล้วเหมือนกันผมถูกดันตัวไปติดเค้าเตอร์บาร์ คุณสารวัตรกวาดทุกอย่างที่ขวางทางวางอยู่บนเค้าเตอร์ลงบนอย่างไม่สนใจใยดี เขาช่วยดันตัวผมขึ้นนั่งบนเค้าเตอร์นั้นปากหนาประกบริมฝีปากผมไม่ห่าง ลิ้นร้อนอุ่นจัดของเขาตวัดฉกฉวยควานหาความหวานจากผมไปจนหมดสิ้น ผมจับไหล่กว้างของเขาเพื่อทรงตัวไว้ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ผมคงละลายไปกองอยู่ตรงพื้นเสียเองเสียงหายใจร้อนผ่าวของเขาเป่ารดข้างแก้มผม ก่อนที่ปลายลิ้นร้อนจะไล้เลียไปตามขอบใบหู สัมผัสเปียกชื้นทำให้ผมสะท้านจนต้องจิกนิ้วลงบนไหล่กว้างของเขาแน่น“อึก…!” ผมหลุดเสียงครางในลำคอเมื่อเขาขบเม้มติ่งหูเบา ๆ ก่อนจะงับมันแรงขึ้นเหมือนจงใจแกล้ง“ชอบเหรอครับ” เสียงทุ้
เช้าวันต่อมาเสียงนกร้องปลุกให้ผมตื่นขึ้นจากการนอนหลับสนิทที่สุดในรอบหลายสัปดาห์ ผมหรี่ตาเล็กน้อยก่อนจะขยับตัว แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงแขนหนักๆ ที่พาดอยู่บนตัวสารวัตร…ผมหันไปมองเขาที่นอนอยู่ข้างๆ ดวงตาของเขาปิดสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าส่องกระทบผิวของเขาทำให้ดูสงบอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก“หึ…” ผมหัวเราะเบาๆ กับตัวเองเมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขายอมปล่อยให้ตัวเองอยู่นิ่งๆ แบบนี้ ไม่ต้องคิดเรื่องงาน ไม่ต้องเก็บทุกอย่างไว้คนเดียวผมยกมือขึ้นไปแตะใบหน้าของเขาเบาๆ ปลายนิ้วไล้ไปตามแนวกรามที่คมชัดและในจังหวะนั้นเอง…“จ้องขนาดนี้ คิดอะไรอยู่?” เสียงแหบพร่าดังขึ้น พร้อมกับเปลือกตาของสารวัตรที่ค่อยๆ เปิดขึ้น ดวงตาคมมองผมตรงๆผมชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะรีบเก็บสีหน้า “ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย”“โกหก” เขาพึมพำพลางยื่นมือมาดึงผมเข้าไปใกล้จนแทบชิดกัน“เฮ้… อย่าดึงดิ”“ก็คุณเล่นจ้องหน้าผมแบบนี้ จะให้ผมทำไง”“แล้วคุณจะทำอะไรล่ะ?” ผมท้าทายกลับไป“อยากรู้?”“…”ผมรู้ทันทีว่าแววตาแบบนี้ของสารวัตรหมายความว่ายังไง ผมรีบดันหน้าอกเขาออกแล้วกลิ้งตัวลงจากเตียงทันที“ไม่เอาแล้ว! ผมจะไปอาบ
หลังจากคุณสารวัตรออกจากห้องไปสักพักเพื่อไปคุยโทรศัพท์ ผมก็นั่งอยู่ที่บาร์ จิบเหล้าช้าๆ พลางคิดถึงคำเตือนของอีกฝ่าย‘ระวังตัวไว้ให้ดี’แต่เขาไม่ได้บอกว่าให้ระวังจากใครผมเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ หลับตาแล้วพ่นลมหายใจออกเบาๆถ้าคุณสารวัตรไม่พูดให้จบแบบนั้น เขาก็คงไม่ต้องมานั่งคิดมากอยู่แบบนี้แต่ก่อนที่เขาจะคิดอะไรไปไกลกว่านั้น เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ดังขึ้นจากด้านหลัง“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ไซโคลน”ไซโคลนลืมตาขึ้นช้าๆ หันไปมองคนที่พูดชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีดำพอดีตัว ยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ดวงตาสีเข้มของเขาสบเข้ากับไซโคลนราวไม่มีใครที่จะสามารถปกปิดความคิดของตัวเองได้ หากได้สบตากับดวงตาคู่นี้“พี่ริว!”ริว ชิอาระ พี่ชายของรุย นานแล้วนะที่ผมไม่เจอเขา ล่าสุดผมเจอเขาในวันเปิดร้าน ทำไมอยู่ๆ วันนี้เขาถึงมานี่ได้พี่ริวยกมุมปากเล็กน้อย “ดีใจที่ยังจำกันได้”ไซโคลนวางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันตัวมาหาเขาเต็มๆ“พี่มาที่นี่มีธุระกับไอ้รุยเหรอ?”พี่ริวไหวไหล่ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ อย่างถือวิสาสะ “เปล่า ก็แค่อยากมาเจอนาย”ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย “มาเจอผม?”“อืม” พี่ริวพยักหน้า “ก็คิดถึง”ผมหัวเร
การเงียบในห้องยืดเยื้อไปอีกหลายวินาที เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงเบาๆ ของเครื่องปรับอากาศที่พยายามรักษาอุณหภูมิให้สบายและเสียงเพลงที่เล็ดลอดเข้ามา ท่ามกลางความตึงเครียดที่อบอวลอยู่ในอากาศพี่ริวยังคงนั่งอยู่ในท่าทางที่ไม่รีบร้อน สายตาเขายังคงจับจ้องไปที่สารวัตร โดยที่รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้า ในขณะที่สารวัตรก็ไม่ยอมแพ้ เขาจ้องกลับไปไม่ลดละ ใบหน้าของเขายังคงนิ่งสงบ เหมือนกับการประลองที่กำลังเกิดขึ้นเงียบๆ“ถ้าไม่อยากพูด ก็ไม่เป็นไร” สารวัตรพูดเสียงต่ำ แม้จะมีความตึงเครียดในคำพูด แต่เขาก็ไม่ได้ถอนสายตาจากพี่ริวพี่ริวยักไหล่เบาๆ ก่อนจะหันไปหาเงาของตัวเองในกระจกของบาร์ที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่สนใจคำพูดนั้น เขาค่อยๆ จับขวดเหล้าเทลงแก้วแล้วยกขึ้นดื่มอย่างสงบ“ผมไม่ได้พูดว่าไม่อยากคุยหรอก” พี่ริวพูดเสียงทุ้มขณะวางแก้วลงบนเคาน์เตอร์ “แค่คิดว่ามันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเท่านั้น”ผมที่ยืนอยู่ข้างๆ คุณสารวัตรฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันเหมือนการพูดจาเป็นเชิงลึกมากกว่าการพูดคุยกันแบบปกติ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การคุยกันทั่วไป“หมายความว่าอะไรครับ?” ผมถามโดยไม่สามารถอดกลั้นความสงสัยได้พี่ริวหันมามองผ
บ้าชิบ!ผมเข้าใจได้นะว่าพี่ริวค้ายา มันเป็นเรื่องปกติของธุรกิจมืด และไม่ใช่ยาอย่างเดียวที่พี่เขาค้า สิ่งผิดกฎหมายต่างๆ พี่แกก็เล่นกวาดเรียบแต่จะมีประโยชน์อะไรที่จะมาขายในร้านของน้องตัวเอง ไม่กลัวไอ้รุยมันซวยด้วยหรือไง“คุณคิดว่า…พี่ริวเกี่ยวข้องกับยาในร้านของน้องชายตัวเองเหรอ?” ผมถามด้วยความสงสัยในใจที่ยังไม่หายไปสารวัตรพยักหน้า “ไม่แน่ใจนัก แต่นั่นเป็นหนึ่งในคำถามที่ผมต้องหาคำตอบ” ผมขมวดคิ้วแน่น สายตาจับจ้องไปที่สารวัตรอย่างไม่วางใจ ขณะที่ในหัวก็พยายามเรียบเรียงความคิดให้เป็นระบบ“พี่ริวไม่ใช่คนโง่” ผมพูดช้าๆ “ถ้าเขาจะทำอะไร เขาจะต้องมีเหตุผล… และเหตุผลนั้นจะต้องสำคัญมากพอให้เขาเสี่ยง”สารวัตรยังคงมองผมด้วยสีหน้าสงบ ทว่าดูเหมือนเขากำลังพิจารณาคำพูดของผมอย่างลึกซึ้ง“คุณก็รู้จักพี่ริวของคุณดีนี่”“ผมไม่กล้าพูดว่ารู้จักเขาดีพอหรอก” ผมถอนหายใจ เมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยพอใจผมสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาหึงนะสารวัตร“แต่จากที่เคยเจอมา เขาเป็นคนที่คาดเดาความคิดยาก และไม่เคยปล่อยให้ใครมองออกง่ายๆ” ผมพูดต่อโดยไม่สนใจสายตาคมที่กำลังจองผมด้วยความไม่พอใจแต่กระนั้นเขาก็ยังพยักหน
วันต่อมาผมเดินเข้าไปในบริเวณบูธดีเจของรุยด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง รุยนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ กำลังจัดของบางอย่างอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมก่อนจะยิ้ม“ไงไอ้โคลน มาทำไมแต่เช้า?”ผมยิ้มเจื่อนๆ “ก็แค่อยากแวะมาดู”รุยหัวเราะ “แปลกแฮะ ปกติไม่เห็นเคยเห็นมาเวลานี้”ผมเกาหัวแก้เก้อก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้างเหรอ?”รุยเลิกคิ้ว “ทำไมถามแบบนั้น?”“ก็… แค่รู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกๆ”รุยนั่งลงฝั่งตรงข้ามและจ้องหน้าผมด้วยสายตาคมกริบ “มึงกำลังสงสัยอะไรอยู่กันแน่?”หัวใจผมเต้นแรงขึ้นทันที รุยกำลังจับสังเกตผมอยู่ และผมรู้ว่าถ้าผมไม่ระวังคำพูด เขาจะรู้ทันแน่ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะตอบกลับไป “กูแค่รู้สึกว่ามีบางอย่างที่มึงไม่ได้บอกกู”รุยนิ่งไปสักพักก่อนจะถอนหายใจยาว “กูเองก็มีเรื่องอยากถามมึงเหมือนกัน”“อะไร?”รุยเท้าแขนลงกับเคาน์เตอร์แล้วพูดเสียงต่ำ “เมื่อคืนริวคุยอะไรกับมึงบ้าง?”หัวใจผมกระตุกวูบบ้าชิบ!รุยกำลังจ้องผมด้วยสายตาคมกริบ รอคำตอบที่ผมไม่แน่ใจว่าควรพูดยังไงดี ผมไม่อยากโกหกเขา แต่ก็ไม่สามารถบอกความจริงทั้งหมดได้ นั่นพี่ชายของมันเชียวนะเมื่อคืนริวคุยอะไรกับม
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมนอนเหม่ออยู่อย่างนั้น แต่แล้วเสียงข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้นติ๊ง!ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันที และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากริว: “ว่างไหม?”หัวใจผมกระตุกวูบแปลก ๆ ก่อนจะรีบพิมพ์ตอบกลับไปฝุ่น: “มีอะไร?”รออยู่ครู่หนึ่ง ข้อความถัดไปก็เด้งขึ้นมาริว: “มาหาหน่อย”ผมนิ่วหน้า อะไรของเขาวะ?ฝุ่น: “นายอยู่บ้าน?”ริว: “หน้าห้องนาย”หน้าห้อง?!ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที กวาดตามองนาฬิกา…จะเที่ยงคืนแล้วหมอนี่มันคิดอะไรอยู่ถึงมาโผล่แถวนี้เวลานี้วะ?ผมหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมก่อนจะเดินออกไปตามที่เขาบอกผมเปิดประตูออกไปก็เจอเขายืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ ใบหน้านิ่งเฉยเหมือนทุกครั้ง แต่มีบางอย่างในแววตาที่ดูไม่เหมือนเดิม“มาทำไม?” ผมถามพลางกอดอก“คุยกันหน่อย”“เรื่องอะไร?”“เรื่องของเรา”คำว่า ‘เรา’ ทำให้ผมชะงักไปนิดหน่อย“ไม่มีอะไรให้คุย” ผมบอกเสียงเรียบ “ฉันพูดไปหมดแล้ว”ริวไม่ได้ตอบอะไรในทันที เขาแค่ยกบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้แล้วจุดไฟ สูดมันเข้าปอดก่อนจะพ่นควันออกมาช้า ๆ“…ฉันไม่ชอบความไม่แน่นอน” เขาพูดขึ้นในที่สุด“หืม?”“ฉันไม่ชอบอะไรที่คลุมเครือ” เขาเอียงหน้ามองผม “แล้วฉัน
ผมกอดอกมองสองพี่น้องเถียงกันอย่างไม่รู้จะทำยังไง เรื่องระหว่างผมกับริวมันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้รุยเข้าใจได้"กูสองคนแค่จูบกันไอ้รุย ยังไม่ได้เอากัน"พวกยากูซ่านี่เชื่อถือไม่ได้จริงๆ ไม่ได้เอาพ่อง!"ถ้าจูบกันแล้วก็ต้องเป็นแฟนกันสิ จะมาแอบกินกันเฉยๆ เหมือนไอ้ฮิลล์ไม่ได้นะ" รุยเถียงต่อ"เราแค่จูบกันรุย นายอย่างี่เง่า" น้ำเสียงของไอ้ยากูซ่าขี้เก๊กเริ่มระอา"นายอย่ามาโมโหกลบเกลื่อน" รุยยังคงไม่ยอม"วุ้ยย! มึงจะอะไรนักหนากะอีแค่จูบ ใครๆ เขาก็จูบกันได้ตอนเมา" ผมพูดแทรกขึ้นมา ถ้าผมไม่มีปัญหาทุกอย่างก็น่าจะจบสินะ"พ่องมึงดิ จะมีกี่คนที่จูบพี่ของเพื่อนตอนเมา"มากกว่าจูบกูก็ทำกันมาล่ะ"เออ…มันก็แค่อุบัติเหตุ ใช่ไหม?" ประโยคหลังผมหันไปหาริว เพื่อขอกำลังสนับสนุน"อือ…" ริวพยักหน้า“กูไม่ใช่เด็กแล้วนะริว!"ปั่ก!"ฉันเป็นเพื่อนเล่นนายเหรอ..." ริวตบหัวรุย"อู้ยยส์...เจ็บนะ พะ..พี่" ไอ้รุยเริ่มกลัวเมื่อเห็นสายตาของพี่ชายตัวเองริวถอนหายใจก่อนล้วงกระเป๋าหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด เขาพ่นควันออกจากปากก่อนพูดประโยคที่สิ้นคิดที่สุดออกมา"คบก็คบสิ""ชะ...ช่ายย ห๊ะ!! เดี๋ยวๆ คบอะไร ใครคบกัน" ผมถามด้วยความตกใจ"
…ไซโคลน Talk…ผมยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องพักในโรงแรม มองแสงไฟของโตเกียวที่ส่องสว่างอยู่เบื้องล่าง แต่ความคิดของผมกลับไม่ได้อยู่ที่ทิวทัศน์เหล่านั้นเลยโทรศัพท์ในมือสั่นอีกครั้ง แจ้งเตือนข้อความจากไต้ฝุ่น“มาถึงแล้ว”ผมกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ นิ้วโป้งแตะไปบนหน้าจอโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบชักมือกลับราวกับของร้อนสารวัตร… มาถึงญี่ปุ่นแล้วจริง ๆผมถอนหายใจแรง กดโทรศัพท์ปิดเสียงก่อนจะโยนมันลงบนโต๊ะ ผมเงยหน้ามองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ เห็นภาพสะท้อนของชายหนุ่มที่พยายามทำเป็นไม่สนใจอะไร แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่นผมคิดว่า… ถ้าออกมาห่างไกลขนาดนี้แล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นผมคิดว่า… ถ้าหายไปจากสายตาเขาแล้ว อีกฝ่ายก็คงไม่รู้สึกอะไรแต่เปล่าเลย…สารวัตรตามมาถึงที่นี่และที่สำคัญกว่านั้นคือ ผมไม่ได้แน่ใจว่าตัวเองอยากให้เขาหาเจอหรือไม่…สไนเปอร์ Talk…ผมยืนอยู่หน้าโรงแรมหรูใจกลางโตเกียว มองขึ้นไปยังชั้นบนสุดที่เป็นห้องพักของไซโคลนไต้ฝุ่นเป็นคนบอกผมว่าไซโคลนอยู่ที่นี่ และถึงแม้เขาจะไม่ได้บอกเลขห้องตรง ๆ แต่แค่มีข้อมูลนี้ก็มากพอแล้วผมกำโทรศัพท์แน่น สูดหายใจเข้าลึก ๆถ้าผมขึ้นไป
…สไนเปอร์ Talk…ผมมองจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า แต่มันกลับเบลอไปหมดคดียังคงเดินหน้า งานทุกอย่างยังคงต้องทำเหมือนเดิม แต่มีบางอย่างในใจที่คอยฉุดรั้งให้ผมไม่มีสมาธิไซโคลนไม่อยู่แล้วจริง ๆเขาหายไปจากชีวิตผมแบบสมบูรณ์แบบ… ไม่มีร่องรอย ไม่มีการติดต่อกลับ ไม่มีแม้แต่เงาของเขาให้เห็นผมถอนหายใจ กวาดสายตามองโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวจะโทรไปดีไหม?นิ้วผมเลื่อนไปที่ชื่อของเขา ก่อนจะชะงัก… และกดปิดหน้าจอไปถ้าเขาอยากให้ผมตามหา… เขาคงจะทิ้งอะไรไว้ให้ผมบ้างแต่เขาเลือกที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ แปลว่าเขาคงต้องการแบบนั้นจริง ๆ“เฮ้อ…” ผมเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงาน“เข้ามา”จ่าแชมป์โผล่หน้าเข้ามา “สารวัตร ผมมีข่าวบางอย่าง”ผมเลิกคิ้ว “ข่าวอะไร?”“คนของเราสืบมาให้แล้วครับ…” จ่าแชมป์ส่งแฟ้มเอกสารให้ผม “คุณไซโคลนอยู่ที่ญี่ปุ่นจริง ๆ และดูเหมือนเขาจะตั้งใจอยู่ที่นั่นอีกนาน”ผมนิ่งไป ก่อนจะเปิดแฟ้มออกดู รายละเอียดที่ระบุอยู่ตรงหน้ามันชัดเจนจนผมปฏิเสธไม่ได้และมีรูปที่ไซโคลนไปไหนมาไหนกับริวอย่างสนิทสนม…ใจผมคล้ายๆ มีอะไรหนักๆ กดทับไว้จนเจ็บผม… กำลังจะเสียเขาไปแล้วจริง ๆ
…ไซโคลน Talk…ผมไม่ได้หลบหน้าเล่น ๆ แต่ผมเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมไม่ได้ติดต่อกลับไปหาสารวัตรอีกเลย ไม่มีการส่งกาแฟ ไม่มีการไปหา ไม่มีแม้แต่ข้อความทิ้งไว้เหมือนทุกทีผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดื้อรั้นและไม่เคยยอมแพ้ แต่ครั้งนี้… บางทีผมอาจต้องเป็นฝ่ายปล่อยมือจริง ๆตอนแรกมันก็ยากอยู่หรอก กว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึง ไม่ให้เผลอกดโทรหาหรือส่งข้อความไป ผมต้องข่มใจตัวเองอยู่หลายครั้ง ต้องดื่มให้หนักขึ้น ต้องเอางานมากลบความคิด แต่สุดท้ายแล้ว… มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักทุกคืนก่อนนอน ผมยังคงเผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หวังว่าบางทีสารวัตรอาจจะเป็นฝ่ายส่งข้อความมาก่อน หรืออย่างน้อยอาจจะมีมิสคอลสักสายแต่ไม่มีเลย…เหมือนเขาหายไปจากชีวิตของผมโดยสมบูรณ์ผมเอนตัวพิงกระจกห้องพักโรงแรมในโตเกียว มองแสงไฟของเมืองที่ยังคงสว่างไสว ทว่าความเงียบในห้องมันกลับกดดันผมยิ่งกว่าความวุ่นวายข้างนอกผมคิดถึงสารวัตร…คิดถึงคนที่เอาแต่ทำหน้าเรียบเฉยเวลาถูกแหย่ คิดถึงคนที่บ่นว่าผมกวนประสาทแต่ก็ยังยอมให้มากวนอยู่ทุกวันผมไม่ได้อยากหนีมาไกลขนาดนี้หรอก แต่ผมรู้ว่า ถ้ายังอยู่ที่เดิม ผมคงไม่มีวันอดใจไม่ไหวแล้วกระโจนไปหาเขาอีกตาม
…สไนเปอร์ Talk…ไซโคลนไม่ได้พูดเล่น เขาเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้รับข้อความหรือสายโทรศัพท์จากไซโคลนอีกเลย ไม่มีการแวะมาหา ไม่มีใครส่งกาแฟมาให้ที่โรงพักตอนเช้า และแน่นอน… ไม่มีใครมารอผมเลิกงานอีกเลยผมคิดว่าตัวเองควรจะโล่งใจ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเหรอ? ผมอยากให้ไซโคลนออกไปจากชีวิต อยากให้ไซโคลนอยู่ห่างจากปัญหาทั้งหมด เขาอยากปกป้องไซโคลนจากความวุ่นวายนี้…แต่ทำไมมันถึงรู้สึกไม่ใช่แบบนั้นวะ?ในช่วงแรกผมพยายามไม่คิดอะไรมาก มันก็ดีแล้วที่เขาได้ไปใช้ชีวิตปกติของตัวเอง ไม่ต้องมาลำบากกับผมแต่พอผ่านไปเป็นอาทิตย์ ไซโคลนก็ยังไม่ติดต่อมา“หมอนั่นคงจะลืมฉันไปแล้วจริง ๆ” ผมพึมพำช่วงเวลาที่ไม่มีไซโคลนอยู่รอบตัว ทำให้รู้ว่า… ชีวิตของผมขาดอะไรบางอย่างไปจริง ๆไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าที่ปกติจะมีกาแฟจากร้านประจำส่งมาให้พร้อมโน้ตแซว ๆ จากไซโคลน หรือแม้แต่ช่วงเย็นที่ผมมักจะเจอเขามานั่งรออยู่ในห้อง พอไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว วันเวลาของผมกลับดูเงียบเหงาอย่างน่าประหลาดผมทำงานเหมือนเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม ออกไปสืบคดีเหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันผิดแปลกไปหมด“สารวัตร… คุณโอเคหรือเปล่า?”เส
…ด้านไซโคลน….ผมเดินออกจากห้องทำงานของสารวัตรด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในใจ ทุกอย่างมันชัดเจนในหัวของผม แต่ในขณะเดียวกันมันก็สับสนจนแทบจะทำให้ผมหายใจไม่ออก ทุกๆ อย่างที่ทำไปมันยังไม่ดีพออย่างนั้นเหรอ“ผมเหนื่อย…มาก…” เสียงของผมดังในหัวผมเหนื่อยกับการวิ่งตามเขาแล้ว…เขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนไร้ค่าที่วันๆ เอาแต่วิ่งตามเขา ผมมักจะเป็นคนแรกที่เขาเลือกจะตัดทิ้งง่ายๆ นั่นมันก็แสดงชัดเจนแล้วว่าผมควรหยุดได้แล้ว…ผมเดินไปที่ลิฟต์โดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองห้องทำงานนั้น ผมไม่ต้องการให้ใครเห็นความเจ็บปวดในแววตาของผมในตอนนี้ ความรู้สึกที่คล้ายกับการถูกทอดทิ้ง มันร้อนรุ่มอยู่ในอก ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังวิ่งตามอะไรบางอย่างที่ไม่มีทางจะถึงผมกดปุ่มลิฟต์และยืนรอจนประตูเปิดออก ความรู้สึกข้างในมันเหมือนมีบางอย่างที่กำลังแหลกสลายไปกับทุกก้าวที่เดิน ใจผมมันโหวงและว่างเปล่าบอกไม่ถูกเมื่อถึงชั้นล่างผมเดินออกจากอาคารโดยไม่คิดจะหยุดกลับไปมอง หัวใจของผมมันบีบคั้นจนรู้สึกว่าหายใจไม่ออก ผมหยุดตรงมุมถนนและมองไปที่ท้องฟ้า เหมือนกับกำลังมองหาคำตอบจากสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ สิ่งที่ทำล
คดีของพ่อผมถูกปิดลงอย่างเงียบๆ ไม่ว่าผลของมันจะเป็นเช่นไร เราทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง เขามีใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของเขา พ่อผมอาจจะไม่ได้ซัดทอดใครออกมา แต่มันก็ไม่สามารถปิดบังความจริงบางอย่างได้ พวกเรายังเอื้อไปไม่ถึงตัวการใหญ่นั้นพี่ชายของผมทุกคนก็เข้าใจดีถึงสิ่งที่พ่อทำ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงพยายามช่วยเหลือพ่อในทุกทางที่ทำได้ ไม่มีใครโกรธผมที่ต้องทำหน้าที่จับพ่อ แม้ความรู้สึกจะหนักหน่วงแค่ไหน พวกเขาก็ยอมรับมันได้พวกเขาเห็นสิ่งที่พ่อเคยสอนและปลูกฝังในตัวผมมาตลอดชีวิต….แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้น ข่าวของพ่อที่เคยเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมก็ถูกกลบไปอย่างเงียบๆ ทุกอย่างถูกเบี่ยงเบนความสนใจด้วยข่าวใหม่ ที่มันเหมือนจะกระทบกับทุกคนรอบตัว ข่าวนั้นเป็นเรื่องของการชิงตัวนักโทษระหว่างที่กำลังจะถูกนำไปฝากขังสองคน และเหมือนจะเป็นการกระทำของแก๊งต่างชาติที่มีอิทธิพลข่าวนี้มันกลบข่าวของพ่อไปจนเกือบจะไม่มีใครพูดถึงอีกเลย ตำรวจถูกเหยียบย่ำอีกครั้ง หลังจากการสืบสวนคดีของพ่อผมคดีที่มันทำให้พวกเราเปิดเผยถึงบางอย่างที่ไม่อยากให้ใครรู้… แต่ตอนนี้…ทุ
….สไนเปอร์ Talk….ผมพยายามเจรจากับผู้บังคับบัญชาจนตัวเองยังสามารถอยู่ในคดีนี้ต่อได้ และตอนนี้พวกเราก็กำลังรอให้คนพาพ่อมาสอบสวนสักพักเจ้าหน้าที่สองนายก็พาตัวพ่อซึ่งถูกสวมกุญแจมือ เข้ามายังห้องสอบสวน เขายังคงใส่ชุดของเมื่อคืนอยู่แววตาของเขาดูล้าเล็กน้อย…“พ..พ่อ…” มันยากมากที่เสียงจะหลุดออกจากลำคอของผมตั้งแต่เกิดผมไม่เคยเห็นเขาโทรมแบบนี้มาก่อน แม้เขาจะอายุเยอะแล้ว แต่ก็ยังดูกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอแล้วดูสิ….วันนี้เขากลับอยู่ในสภาพแบบนี้ คนเป็นลูกแบบผมควรทำอย่างไรระหว่างความถูกต้องกับความถูกใจ ผมควรเลือกสิ่งไหน…พ่อมองผมนิ่งๆ แล้วพูดช้าๆ“ฉันเห็นแกแล้วเหมือนเห็นตัวเองในอดีตเลย”ประโยคสุดท้ายที่เขาพูด ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นจากข้างในบุคลิก ความคิด นิสัย ผมล้วนสืบทอดมาจากเขาทั้งนั้น…พ่อมองผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะเอนตัวไปด้านหลัง เท้าแขนลงบนพนักเก้าอี้ที่ดูจะเล็กไปสำหรับเขา“แกจะไม่ถามอะไรหน่อยเหรอ?” เขาเอ่ยเมื่อเห็นเงียบผมเม้มปากแน่น สายตาจับจ้องไปที่กุญแจมือที่ล่ามเขาไว้“…ทำไม?” ผมถามเสียงแผ่ว “ทำไมพ่อต้องทำเรื่องพวกนี้?”พ่อหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอนตัวไปด้านหลัง ดวงตาคม