"เสแสร้งต่อไปเถอะ!”คุณย่าคอบบ์ทำสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม“แกคิดว่าแกจะใส่ร้ายฉันด้วยข่าวลือที่ได้ยินมาเหรอ?!“ฉันจะบอกอะไรให้นะ! ที่ฉันทำทั้งหมดนี้ก็เพื่ออำนาจเท่านั้น!”ฮาร์วีย์ทำสีหน้าเคร่งขรึม“ไม่หรอก คุณย่าไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นหรอก“สิ่งที่คุณย่ากำลังค้นหาอยู่ก็คือชีวิตชั่วนิรันดร์“องค์กรที่คุณย่าเข้าไปร่วมด้วยก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก 'เอเวอร์มอร์' นั่นเองดวงตาของคุณย่าคอบบ์กระตุกหลังจากได้ยินชื่อองค์กรแห่งนั้นฮาร์วีย์ฉีกยิ้ม“เอาอย่างนี้ไหม? นี่คือข้อตกลง...“ถ้าคุณย่าเล่าเรื่องเอเวอร์มอร์ให้ผมฟังทั้งหมด ผมก็จะปล่อยให้คุณย่ามีชีวิตอยู่ต่อไป คุณย่าว่าดีไหม?“ผมจะให้ผู้อาวุโสคอบบ์เป็นคนตัดสินชะตากรรมของคุณย่าด้วย“บางทีคุณย่าอาจชอบวิธีนี้มากกว่าก็ได้?“ท้ายที่สุดแล้วเขาอาจให้โอกาสคุณย่าเปลี่ยนใจ เพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ของคุณย่ากับเขา"คุณย่าคอบบ์ปล่อยหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา“แกช่างไร้เดียงสาจริงนะฮาร์วีย์! แกคิดว่าแกสามารถจะเอาทุกอย่างไปจากฉันด้วยวิธีแบบนี้เหรอ?!“แกไม่มีสิทธิ์หรอก!“เอเวอร์มอร์ได้ทำสงครามโดยบีบบังคับกองกำลังภายนอกจำนวนมาก ให้มาต่อสู้กับประเทศ H เ
“ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคุณย่า แต่ผมก็สามารถขุดคุ้ยสมาชิกขององค์กรเอเวอร์มอร์ที่อยู่ในประเทศของผมได้ทุกคน“แล้วทำไมถึงไม่บอกรายละเอียดมาให้หมดล่ะ?”คุณย่าคอบบ์ได้แต่หัวเราะอย่างเย็นชา“ฉันคงจะกลายเป็นผีไม่มีหลุมถ้าฉันพูดอะไรออกไปมากกว่านี้!“ศพของฉันจะถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน!จากนั้นเธอก็เทไวน์ให้ตัวเองก่อนจะยกขึ้นจิบ“จะยังไงก็ตาม ฉันก็ตายไปแล้ว! ทำไมฉันต้องบอกแกเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยล่ะ?!”ความงดงามของชีวิตสามารถสัมผัสได้จากรสชาติหวานอมขมของไวน์ คุณย่าคอบบ์มีแต่ความรู้สึกคิดถึงบ้านเมื่อเธอจิบไวน์เข้าไปท้ายที่สุดแล้วเธอก็เป็นคนของเอเวอร์มอร์ แล้วก็ค้นหาชีวิตอันเป็นนิรันดร์ด้วยฮาร์วีย์ยิ้มอีกครั้ง“ก็เพราะคุณย่าจะได้อะไรมากขึ้นถ้าทำอย่างนั้นน่ะสิ!“ยกตัวอย่างเช่น ผมได้ทำลายแผนการของคุณย่าไปหมดแล้วเมื่อมาถึงจุดนี้ ผมจะทำข้อตกลงกับเอเวอร์มอร์ ถ้าคุณย่าเล่าให้ผมฟังทุกอย่าง...“บางทีคุณย่าอาจฆ่าผมด้วยวิธีนี้ เพื่อเป็นการแก้แค้นผมก็ได้“หรือบางทีผมอาจคิดปล่อยคุณย่าและคนในตระกูลต้องตาย โดยศพของพวกคุณย่าจะไม่บุบสลายและถูกฝังในพื้นทีดี ๆ"คุณย่าคอบบ์ตัวแข็ง
“เลิกพูดอะไรอ้อมค้อมกันได้แล้ว!“บอกข้อมูลของเอเวอร์มอร์มาซะ!“แล้วผมจะให้โอกาสพวกคุณได้มีชีวิตอยู่ต่อไป“แต่ถ้าไม่บอกผมก็จะเอาพวกคุณทั้งคู่ไปโยนให้ปลากิน!”ฮาร์วีย์ไม่คิดที่จะสงบนิ่งอีกต่อไป เขาได้พูดสิ่งที่เขาต้องการออกไปทุกอย่างแล้วใบหน้าของคุณย่าคอบบ์ดูมืดมนลงทันที“แกคิดว่าฉันรู้อะไรมากมายเพียงเพราะฉันเป็นพวกเดียวกับเขาเหรอ?“สุดท้ายแล้วฉันก็เป็นเพียงแค่คนนอกเท่านั้น!“ฉันไม่ได้รู้อะไรมากมายขนาดนั้นหรอก!“ฉันได้บอกแกไปหมดแล้ว!”ฮาร์วีย์ยิ้มในขณะที่ที่หยิบเนื้อราดซอสขึ้นมาชิ้นหนึ่ง“ผมเชื่อว่าถ้าคุณย่าเป็นคนอื่น...“แต่คุณย่าก็ยังเป็นคุณย่าคอบบ์อยู่นั่นเอง!“คุณย่าปล่อยให้ท่านอาวุโสคอบบ์ค้นหาสุสานโบราณโดยไม่มีข้อมูลเพียงพอได้ยังไงกัน? ผมแน่ใจว่าคุณย่าได้วางแผนเอาไว้แล้ว“ถ้าไม่มีตำแหน่งของคุณย่าแล้วล่ะก็ ทำไมคุณย่าถึงพยายามฆ่าเทพสงครามอย่างต่อเนื่องตั้งแต่แรกล่ะ?“พูดง่าย ๆ ก็คือคุณย่าจะไม่ทำอะไรมากมายให้เอเวอร์มอร์หรอก ถ้าพวกเขาไม่ให้การช่วยเหลือคุณย่าอย่างเต็มที่"ฮาร์วีย์ยิ้ม เขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับเอเวอร์มอร์ค่อนข้างน้อย การคาดเดาของเขาส่วนใหญ่ก็เป็นการเก็บโน่
มาร์เซลส่งข้อความกลับมา โดยบอกว่าภรรยาของเขามีลูกอีกคนแล้ว และได้จากมาเพื่อหลบหลีกตระกูลยอร์กแห่งฮ่องกงที่อาจจะมาสร้างปัญหาหนักข้อขึ้นได้ เพื่อที่พวกเขาจะเลี้ยงลูกได้อย่างสงบฮาร์วีย์รู้สึกดีใจกับทั้งสองคนอย่างมาก เขารีบลบประวัติการส่งข้อความทันที เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลโดยไม่ได้ตั้งใจหลังจากกล่าวคำอำลาพวกเขาแล้ว ฮาร์วีย์ก็ขอให้ควินนี่ไปส่งเขาที่สนามบิน เขาวางแผนที่จะเดินทางไปยังโกลด์เด้น แซนด์ในคืนนั้นเลยภายในรถโรลส์รอยซ์รุ่นฐานล้อยาวนั้น ควินนี่สวมถุงน่องสีดำยื่นแก้วแชมเปญให้กับฮาร์วีย์“คุณจะไม่อยู่ต่ออีกสักสองสามวันจริง ๆ เหรอ?“นายท่านบอกฉันเอาไว้แล้ว คุณได้รับอนุญาตให้อยู่ที่นี่ได้อย่างถาวรถ้าคุณต้องการ”“ตระกูลยอร์กแห่งฮ่องกงนั้นเป็นของผม แต่คุณก็เป็นเจ้าของได้เช่นกัน...”จู่ ๆ สีหน้าที่ดูเย็นชาและเหินห่างของควินนี่ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสดทันทีเธอรีบหันหน้ากลับเพื่อซ่อนสีหน้าของเธอเอาไว้ฮาร์วีย์อวดร้อยยิ้มจาง ๆ ราวกับว่าเขามองไม่เห็นอะไรเลย“นั่นก็ดีอยู่หรอก แต่คุณย่ายอร์กไม่ค่อยต้อนรับผมที่นี่สักเท่าไหร่“ในที่สุดคุณก็สามารถยุติเรื่องราวที่นี่ได้ ถ้าผมอยู่ต่อก็ม
"อะไรนะ? คุณรู้เรื่องพวกเขาด้วยเหรอ?”ตระกูลยอร์กแห่งฮ่องกงเป็นส่วนหนึ่งของห้าตระกูลลี้ลับ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะรู้จักเอเวอร์มอร์ เนื่องจากพวกเขาอยู่แถวนี้มาเป็นเวลานานมากแล้วควินนี่เงียบเสียงไปก่อนจะตอบเบา ๆ "ไม่มีใครรู้ว่าองค์กรแห่งนี้มาจากไหนอีกต่อไป...“นับตั้งแต่ราชวงศ์แส้เป็นต้นมา เอเวอร์มอร์ก็มีบทบาทให้ประเทศ H มากที่สุด“ประเทศหมู่เกาะตามมาเป็นอันดับสอง“เป้าหมายของพวกเขาก็เป็นอะไรง่าย ๆ นั่นคือการมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์“พวกเขาได้ทำสิ่งชั่วร้ายมามากมายก็เพื่อเป้าหมายนี้เพียงอย่างเดียว”พวกเขากลายเป็นนักฆ่าและผู้ทรงอำนาจ ร่องรอยของพวกเขายังปรากฏให้เห็นอยู่ในประเทศเล็ก ๆ บางประเทศ พร้อมกับกองกำลังของรัฐบาลในทะเลใต้“พูดง่าย ๆ ก็คือเอเวอร์มอร์จะไม่หยุดยั้งในการหาหนทางที่จะได้มีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์”แต่ยังไงก็ตามด้วยความที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในด้านมืดของประวัติศาสตร์ พวกเขาจึงมีอิทธิพลต่อประเทศนี้มาหลายปีแล้ว“ทั้งห้าตระกูลลึกลับลับและสิบตระกูลชั้นนำจะกล้าเป็นศัตรูกับเอเวอร์มอร์ก็ต่อเมื่อเราจำเป็นต้องทำ“แต่ถึงกระนั้นหลังจากที่ปักหลักอยู่ในฮ่องกงและลาสเวกัสแล้ว
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น รถก็แล่นไปถึงสนามบินนานาชาติฮ่องกงหลังจากกอดควินนี่อย่างอบอุ่นแล้ว ฮาร์วีย์ก็เดินเข้าไปในสนามบินฮาร์วีย์ต่างจากคนอื่น ๆ เขาเดินเข้าไปในทางเดินสำหรับวีไอพีและนั่งในชั้นเฟิร์สคลาสหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแบล็คเบิร์น ซิตี้ ฮาร์วีย์ก็รู้ว่าการนั่งในชั้นเฟิร์สคลาสจะช่วยให้เขาสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ ได้มากมายหลังจากนั้นก็มีกลิ่นหอม ๆ ลอยมามีผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อเชิร์ตสีดำเดินเข้ามาพร้อมกับผู้ชายรูปร่างกำยำในชุดสูทสองคนฮาร์วีย์เหลือบมองโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะเห็นผู้หญิงคนนั้นสวมแว่นกันแดดกุ๊ชชี่ขนาดใหญ่ปิดบังใบหน้าเอาไว้ในเวลาเดียวกันเธอก็เดินกระแทกส้นสูงในขณะสวมกางเกงหนังขาสั้นจู๋เรียวขาอันเรียวยาวของเธอช่างดูสวยสะดุดตามาก ทำให้ใคร ๆ ต่างก็อยากกระโจนเข้าหาตั้งแต่แรกเห็นท้ายที่สุดแล้วขาของผู้หญิงคนนั้นช่างดูขาวจั๊วะและอ่อนนุ่มเป็นอย่างมากแม้แต่ฮาร์วีย์ยังอดที่จะจ้องมองไม่ได้ ก่อนที่เขาจะเบนสายตาไปที่ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นซึ่งก็เห็นแค่ริมฝีปากกับคางแหลม ๆ เท่านั้น แต่ก็เพียงพอที่จะรู้ได้ว่าเธอเป็นคนสวยชายในชุดสูทสองคนนั้นจ้อง
แอร์โฮสเตสรีบเข้ามาช่วยเหลือผู้หญิงคนนั้นทันที ในขณะที่แสดงสีหน้าที่ดูกระตือรือร้นออกมาผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าอย่างเย็นชา ก่อนจะนั่งลงตรงที่นั่งหลังสุดแบบสบาย ๆผู้โดยสารคนอื่น ๆ หันมามองสองสามทีก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นฮาร์วีย์ขมวดคิ้ว เขากวาดตามองผู้หญิงที่แต่งตัวทันสมัยคนนั้น ก่อนจะเหลือบมองมือของเธอที่พันผ้าพันแผนเอาไว้มีกลิ่นดินปืนจาง ๆ โชยออกมาคนอื่น ๆ อาจไม่ทันสังเกต แต่ทหารผ่านศึกที่ช่ำชองอย่างฮาร์วีย์แล้ว กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยเกินกว่าจะมองข้ามไปได้ฮาร์วีย์ขมวดคิ้วก่อนจะลุกขึ้นยืนเขาลุกออกจากที่นั่งทันทีก่อนจะหันกลับไปมองโดยสัญชาตญาณเขารู้สึกแปลกใจที่ผู้หญิงคนนั้นไม่แม้แต่ชายตามองเขาเลยฮาร์วีย์จึงต้องหยุดหลังจากเห็นภาพนั้นนั่นหมายความว่าผู้หญิงที่แต่งตัวทันสมัยคนนั้นไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เขาโดยเฉพาะแอร์โอสเตสหน้าหวานคนหนึ่งเดินเข้ามาหาฮาร์วีย์ ก่อนจะกระซิบบอกว่า "ขอโทษนะคะเครื่องบินกำลังจะออกแล้ว กรุณากลับไปนั่งประจำที่ด้วยค่ะ“ถ้าคุณกำลังจะเข้าห้องน้ำ ก็ช่วยกรุณารีบหน่อยนะคะ คุณอาจจะทำให้เครื่องบินออกไม่ตรงเวลาถ้าคุณใช้เวลานานเกินไป" แอร์โฮสเตสอีกคนที่มีใบห
"เธอไม่ได้เอามาโชว์ให้ผมดู แต่ผมได้กลิ่นระเบิด" ฮาร์วีย์อธิบายทุกอย่างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“คุณได้กลิ่นเหรอ?“คุณเป็นสุนัขหรือยังไง?“คุณคิดว่าประสาทรับกลิ่นของคุณจะดีถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?”แอร์โฮสเตสมองหน้ากันก่อนจะมองฮาร์วีย์แปลก ๆเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วพวกเขาคิดว่าฮาร์วีย์เป็นเพียงคนวิกลจริตเท่านั้นเอง“ฉันจะให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย กลับไปยังที่นั่งของคุณเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะไล่คุณลงจากเครื่อง!”แอร์โฮสเตสหน้าหวานคนนั้นแสดงสีหน้าหยิ่งผยองออกมา“มีคนบนเครื่องบินลำนี้อยู่เป็นร้อยคน! นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คุณจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายได้!“ไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะซื้อตั๋วชั้นเฟิร์สคลาสมา!“ถ้าจมูกของคุณดมกลิ่นได้ดีขนาดนั้น ทำไมคุณไม่ลองเดาดูหน่อยล่ะว่าตอนนี้ฉันใช้น้ำหอมอะไรอยู่?” แอร์โฮสเตสที่มีใบหน้ารูปหัวใจร้องบอกอย่างเย็นชาฮาร์วีย์มองแอร์โอสเตสเหล่านั้นก่อนจะดูป้ายชื่อบนหน้าอกของพวกเธอ“คุณเชลบี้ คอบบ์ คุณอาบน้ำนมมาเมื่อคืนนี้ คุณใช้น้ำหอมนัมเบอร์ 5 ของชาแนล แต่คุณขี้ตืดมากที่ใช้น้ำหอมที่หมดอายุไปแล้ว...“คุณเจมม่า ลี เมื่อคืนคุณอยู่กับผู้ชายสองคน หนึ่งในนั้นเป็นหนุ่มน้อยห