กระทั่งเมื่อรถสปอร์ตคันงามเลี้ยวเข้ามายังโครงการคอนโดสุดหรูใจกลางเมืองและด้วยความยิ่งใหญ่บวกกับความสวยงามอย่างน่าเหลือเชื่อ ทำให้ฉันได้แต่มองเพลินจนเผลอลืมไปเลยว่าเขาต้องพาฉันไปยังที่พักใหม่ของฉัน ไม่ใช่พาเลี้ยงเข้ามาที่หรู ๆ แบบนี้และทันทีที่รถสปอร์ตจอดยังชั้นจอดรถที่กว้างใหญ่เสมือนกับว่าทำไว้ให้เขาโดยเฉพาะเท่านั้น...สติที่เหม่อลอยไปความสวยงามอลังการของวัตถุของฉันนั้นก็พลันกลับคืนสติมาในทันที“เอ๊ะ!!...เอ่อ...คุณดีแลนค่ะมาแวะเอาของเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามเขาพร้อมกับฝึกเรียกชื่อเขาให้ชินปาก เนื่องจากพรุ่งนี้ฉันก็ต้องเริ่มไปทำงานกับเขาแล้ว จะมาเรียกนาย ๆ เรียกห้วน ๆ ไม่ได้เดี๋ยวใครมาได้ยินเขา เขาจะหาว่าฉันยกตนเสมอนาย“อืม...เธอเองก็ลงมาด้วยสิเห็นมองนู้นมองนี้ไม่หยุด...อ่อ...แล้วก็เรียกฉันว่า ดีน ก็พอดีแลนมันดูห่างเหินเกินไปหน่อย” เขาที่จะบอกฉันพร้อมกับเดินนำทางฉันไปฉันที่รู้สึกลังเลในตอนแรกเล็กน้อย แต่ด้วยความกว้างของลานจอดรถและความเงียบวังเวงจนดูน่ากลัวก็ทำให้ฉันตัดสินใจเลือกเดินตามเขาเข้าไปยังลิฟต์ส่วนตัว พร้อมกับลิฟต์ที่พาขึ้นไปยังชั้นสูงสุดของคอนโดสุดหรูแห่งนี้และทันทีที่ประตูลิฟต์ได้
“เป็นไงอยู่ได้ไหม หรือว่าจะขึ้นไปอยู่กับฉันที่ชั้นสองก็ได้นะ...ฉันไม่ติด...หึหึ”เขาที่มองฉันสำรวจห้องอยู่สักพัก และเห็นว่าฉันนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาก็ทำให้เขาที่ร้อนใจขึ้นมาด้วยกลัวว่าสาวเจ้าจะไม่ถูกใจกับห้องที่เขาตั้งใจตกแต่งให้ ก็ได้ทำทีเป็นพูดเย้าขึ้นมาจนหญิงสาวตรงหน้าถึงกับหันค้อนขวับ“อยู่ได้ค่ะ...ขอบคุณนะคะ...แล้วก็ของของลินล่ะคะจะมาถึงตอนไหน” ฉันยู่ปากบอกเขาออกไปอย่างนึกหมั่นไส้กับสิ่งที่เขาพูดจากสองแง่สองง่ามก่อนหน้า ก่อนจะเอ่ยถามถึงของของตัวเองเพราะอยากจะจัดของให้เสร็จในวันนี้“ใกล้จะถึงแล้วมั้ง เอางี้แล้วกันฉันเริ่มหิวล่ะเดี๋ยวเราไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า แล้วถ้าของเธอมาถึงแล้วเราค่อยกลับเข้ามาใหม่...ดีไหม” เขายืนกอดอกยื่นข้อเสนอด้วยท่าทางสบาย ๆ และด้วยข้อเสนอที่ส่งมานั้น ฉันเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้เนื่องจากว่าตอนนี้ฉันเองก็เริ่มหิวขึ้นมาหน่อย ๆ แล้วหลังจากที่เราตกลงกันแบบนั้น เขาก็ได้พาฉันขับรถไปหาอะไรกินยังห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ เสร็จแล้วเขาก็พาฉันไปหาซื้อเสื้อผ้าที่ดูให้เหมาะสมกับฐานะเลขาข้างกายของเขาอีกเป็นสิบ ๆ ชุด ซึ่งตอนแรกฉันเองก็ยืนกร้านที่จะปฏิเสธไม่รับเนื่องจากเสื้อผ้าฉัน
ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ต่างประเดประดังเข้ามาในห้วงวินาทีนั้น แม้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจในอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่ทว่า...กลับมีอยู่หนึ่งอย่างที่ชัดเจนแจ่มแจ้งได้ฉายขึ้นมายังกลางใจของฉัน นั่นก็คือ...ฉันไม่อยากเปลี่ยนแบบนาฬิกาไปเป็นแบบอื่นที่ไม่ใช่รูปแบบที่คล้ายกันกับเขา...และไม่ใช่เพราะว่าฉันกลัวจะได้นาฬิกาใหม่ที่ราคาน้อยกว่าเรือนที่ใส่แต่อย่างใด...แต่มันเป็นเพราะว่า...“ว่าไงล่ะลิน...เธอยินดีจะใส่นาฬิกาแบบเดียวกับฉันไหม หรือว่า...เธออยากจะเปลี่ยนแบบใหม่...เอ่อ...ฉันก็จะตามใจเธอนะ และรับรองได้ว่าฉันจะซื้อให้ในราคาที่ไม่น้อยกว่าเรือนนี้เลย” เขาถามย้ำอย่างต้องการฟังคำตอบด้วยใจที่เต้นระรัว และไม่ใช่ว่าเขาจะกลัวว่าเธอจะเลือกซื้อนาฬิกาใหม่ที่แพงกว่าที่เธอใส่ แต่ทว่า...เขากลัวคำตอบของเธอมากกว่า...เขากลัวว่าคำตอบนั้นจะทำให้เขาต้องผิดหวังหลังจากที่ฉันยืนนิ่งเงียบมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเองอยู่สักพัก ฉันก็ได้คำตอบที่แน่ชัดกับตัวเองแล้วว่าฉันควรจะตอบเขากลับไปอย่างไรดี“กลับบ้านได้หรือยังค่ะ...ลินอยากพักผ่อนแล้ว” ฉันก้มหน้ามองข้อมือที่ประดับด้วยนาฬิกาที่แพงที่สุดในชีวิตของตัวเองและคิดว่าชาตินี้คงไ
ฉันหวีดออกมาอย่างไม่เต็มเสียงมากนักแต่ความรู้สึกข้างในกลับเต็มไปด้วยความโมโห พร้อมกับคิดไม่ถึงว่าการกระทำอันดิบเถื่อนของเขาตอนนั้นจะสร้างรอยอารยธรรมให้ฉันได้มากถึงขนาดนี้ และทันทีที่คิดได้แบบนั้นขาเรียวยาวก็รีบสาวเท้าทั้งสองข้างให้เดินมุ่งออกไปจากห้องด้วยความโกรธเคืองทันที“หึ๊ย ~~ มิน่าล่ะ...ทำไมวันนี้มีแต่คนมองฉันแปลก ๆ” ฉันที่พานนึกไปถึงท่าทีของผู้คนที่ฉันได้พบเจอในวันนี้...พร้อมกับนึกไปถึงสายตาของพวกเขาที่เหล่มองมาทางฉันอยู่หลายหน จนในตอนนั้นฉันก็คิดว่ามันคงเป็นเพราะผู้ชายที่อยู่ด้านข้างฉันมากกว่าที่คงดูหล่อเหล่าราวกับเทพบุตรจนทุกคนต้องเผลอมองแต่ทว่า...ความจริงแล้วมันกลับไม่ใช่!! แต่มันเป็นเพราะไอ้รอยบ้าพวกนี้ต่างหากที่ทำให้ทุกคนมองมา...แต่เรื่องนั้นมันก็ยังไม่น่าเจ็บใจเท่า...เมื่อเขาคนนั้นคนที่ทำให้เกิดรอยเหล่านี้กลับไม่ยอมบอกอะไรกับฉันเลยสักนิดเดียวปล่อยให้ฉันเดินไปไหนต่อไหนพร้อมกับโชว์หราความน่าอายไปทั่ว ทั้งที่เขาคนที่อยู่ใกล้ชิดฉันน่าจะเห็นชัดที่สุดด้วยซ้ำ...(โอ๊ยยยย...คิดแล้วมันน่าเจ็บใจชะมัด...ตายๆๆ แล้วแบบนี้แกจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนยัยลลิน เอ้ยยยยย...) ฉันที่ก่นด่าตัวเองไป
ส่วนฉันหลังจากที่ได้คำตอบที่พึงพอใจแล้ว ฉันก็ฉีกยิ้มเยาะเย้ยคนตรงหน้าไปอย่างผู้ชนะพร้อมกับเชิดหน้าเดินหันหลังกลับเข้าบ้านไปด้วยอารมณ์ที่เบิกบานทันทีจากนั้นเมื่อฉันได้พาร่างตัวเองเข้ามายังห้องนอนแล้ว ฉันก็เริ่มทบทวนจำนวนหนี้ที่ยังเหลืออีกครั้งว่ายังเหลือที่จะต้องชดใช้ให้กับผู้ชายหน้าเลือดคนนั้นอีกสักเท่าไร“เอ...เหลือหนี้อีกเท่าไหร่แล้วนะ...” ฉันนึกย้อนพร้อมกับเอามือถือที่เคยโน้ตข้อมูลขึ้นมาดูประกอบกัน“เมื่อวันนั้นก็น่าจะเคลียร์ไปจนเหลือประมาณ 79 ล้าน...แล้ววันนี้หักไปอีก 15 ล้าน เพราะฉะนั้นก็จะเหลืออีก 64 ล้าน...เย้...ใกล้แล้วยัยลลินเอ๊ย...แกใกล้จะได้เป็นไทยแล้ว...” (^-^) ฉันยิ้มกว้างออกมาเต็มใบหน้า พร้อมกับมือที่กดบันทึกข้อความเพิ่มเติมลงไป ก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่นอนฟูกใหญ่ด้วยความดีใจที่ตัวเองปลดหนี้ได้จนเกือบจะถึงครึ่งทางแล้ว...รุ่งเช้า~~ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความสดใสหลังจากที่เมื่อคืนฉันนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่พร้อมกับฝันดีสุด ๆ และด้วยวันนี้เป็นวันแรกที่ฉันได้เริ่มงานใหม่ในตำแหน่งใหม่ที่ฉันยังไม่เคยทำ นั่นจึงทำให้ฉันทั้งกระปรี้กระเปร่าตื่นเต้นอยากจะเรียนรู้งานเต็มทีและแม้ในใจขอ
“มานานแล้วเหรอ”เสียงนุ่มทุ้มทรงพลังเช่นเคยเอ่ยถามฉัน จนฉันที่กำลังเหม่อลอยไปกับคำหวานของป้านุ่มถึงกับสะดุ้งออกจากภวังค์“อะ...อ๋อ...ค่ะ” ฉันตอบพร้อมกับความรู้สึกที่ร้อนผ่าวบนใบหน้า“เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายเหรอทำไมหน้าแดงแบบนั้นล่ะ” ผู้ที่มาใหม่ขมวดคิ้วเอ่ยถาม ก่อนที่เขาจะวางเสื้อสูทไว้บนเก้าอี้แล้วเปลี่ยนทิศทางการนั่งจากตรงข้ามมาเป็นด้านข้างฉันแทน“ว่าไง...ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” เขาพูดพลางเอาหลังมือของตัวเองมาแตะอังที่หน้าผากของฉัน และด้วยการกระทำนั้นก็ยิ่งทำให้ใบหน้าสาวร้อนผ่าวขึ้นไปอีก“ปะ...เปล่าค่ะ” ฉันรีบส่ายหัวปฏิเสธเขาออกไป พร้อมกับเสหน้าหลบหลังมือของเขาที่เอาแต่อังหน้าฉันไม่หยุด“หน้าแดงขนาดนี้แล้วยังบอกไม่เป็นอะไรอีก...วันนี้ไม่ต้องไปทำงานหรอกพักผ่อนอยู่บ้านนี้แหละ” จากนั้นเขาที่บอกด้วยสีหน้ากังวล จนฉันต้องรีบทำอะไรบางอย่างก่อนที่เรื่องราวมันไปบานปลายไปกันใหญ่โต(ตาทึ่มเอ๊ย...เพราะนายนั่นแหละที่ทำให้ฉันหน้าแดง...) (o//_//o) ฉันแอบว่าเขาในใจ ก่อนจะรีบอธิบายให้เขาเข้าใจ“ลินไม่เป็นอะไรจริง ๆ ค่ะ คุณดีแลน...” ฉันกุลีกุจอบอกเขา เพราะไม่อยากพลาดงานใหม่วันนี้“ดีน...” (-_-) ก่อ
เฮือก ~~ฉันลอบกลืนน้ำลายลงคอเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกประหม่าเล็กน้อย หลังจากที่ตัวเองได้เดินตามคนตัวสูงตรงหน้าที่ดูแผ่ออร่าความน่าเกรงขามและรังสีอำมหิตชนิดที่ว่าใครก็ต่างไม่กล้าจะมองมาตรง ๆ ทั้งที่ภาพที่ก่อนหน้านี้ยังมีเสียงคุยจอแจกันอยู่บ้าง แต่กลับเงียบสงัดลงถนัดตา พร้อมกับเหล่าบรรดาพนักงานทั้งหลายที่ต่างยืนตรงก้มหน้ากันเล็กน้อยยามที่เขานั้นเดินผ่านด้วยท่วงท่าที่เขาเดินช่างดูสง่างามและดุดัน อีกทั้งเท้าที่ก้าวเดินตรงไปอย่างมาดมั่นทำให้เขาที่อยู่ตรงหน้าฉันยิ่งดูสุขุมเยือกเย็นและน่านับถือในเวลาเดียวกัน จนฉันที่เดินตามเขามาตั้งแต่ต้นยังอดชื่นชมต่อความสง่างามของคนตรงหน้าไม่ได้แต่ทว่า...นอกจากความยำเกรงที่หลายคนแสดงออกมานั้นกลับมีให้แค่เขาเพียงผู้เดียว เพราะเมื่อทุกสายตาสาดส่องมายังฉันคนที่เดินตามหลังเขานั้น กลับเป็นสายตาที่แสดงถึงความสงสัย ความไม่พอใจ ความเย้ยหยันและเหยียบหยาบคละเคล้ากันไปจากหลาย ๆ คู่อย่างปิดไม่มิดฉันก้มหน้าสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทันทีเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจตัวเองให้กลับมา จนไม่รู้ตัวเลยว่าการก้มหน้าไม่มองทางของฉัน จะทำให้ใบหน้าตัวเองนั้นชนเข้าที่หลังเขาเต็มเปา“อ๊ะ...ขอ
“จะไปไหน...??”และเสียงเข้มที่เอ่ยปากถามตามหลังมาก็เสมือนกับคำอาญาสิทธิ์ให้เท้าฉันหยุดชะงักลงทันที“ก็ไปทำงานไงคะ...” ฉันที่ค่อย ๆ หันกลับมามองหน้าเขาช้า ๆ ก่อนจะส่งสายตาเหล่มองออกไปยังโต๊ะด้านนอกสำทับ“อยู่เป็นเพื่อนฉันก่อนซิ” ส่วนเขาที่ไม่รอฟังคำตอบจากฉันก็ถือวิสาสะเดินมาจูงมือฉันให้ไปนั่งที่โซฟาด้วยกันกับเขา“แต่ว่าตอนนี้ได้เวลางานแล้วนะคะ...ท่านประธาน” ฉันที่แม้ว่าใจจะยังเต้นระรัวจากการกระทำของเขาก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเอ่ยเตือนเขาเรื่องงานก่อนที่ในจังหวะเดียวกันนั้น...ในขณะที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัวจู่ ๆ เขาก็เอนตัวลงนอนหนุนตักฉันพร้อมกับปิดตาหลับไปเสียดื้อ ๆ อย่างงั้น“อ่ะ...คุณดีน...ทำอะไรคะเนี้ย” (O//.//O) ฉันถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจต่อการกระทำของเขา“อืมมมมม ~~ นุ่มจัง...” (- u -) ส่วนเขาที่เปล่งเสียงครางออกมาเพียงแค่ประโยคสั้น ๆ แต่ทว่า...กลับทำให้ร่างกายที่แข็งทื่อของฉันอ่อนยวบยาบลงทันทีจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เอื้อมมือมาจับมือฉันแล้วเอาไปวางลงตรงกลางอกของเขา และการกระทำทั้งหมดของเขานั้นก็ยิ่งทำให้หัวใจของฉันเต้นโครมครามจนแทบจะทะลุออกมานอกอกก่อนที่ฉันนั่งมองภาพเบื้อง
“แต่ว่าแม่ครับ...ได้โปรดอย่าห้ามไม่ให้พี่แดนไปบ้านปู่อีกเลยนะครับ” เด็กชายตรงหน้าพูดเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของฉันที่มีต่อเขาในสถานการณ์ตอนนี้“แต่พี่แดน...ลูก...” ส่วนฉันที่แม้จะปวดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของลูกชายตัวเองก็ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ“นะครับแม่...พี่แดนสัญญาว่าพี่แดนจะตั้งใจเรียนศิลปะการป้องกันตัวให้หนักมากขึ้น และพี่แดนขอเรียนพวกการใช้อาวุธด้วยได้ไหมครับ...พี่แดนอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่านี้”สายตามุ่งมั่นของลูกชายที่ส่งมาทำให้ฉันถึงกับสะท้อนใจ พร้อมกับมองไปที่ลูกชายด้วยความรู้สึกหน่วงในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กชายตรงหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าเขาบัดนี้เขาได้เติบโตไปมากกว่าที่ฉันเห็นแค่ไหนแล้ว โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยพูดด้วยสายตาแน่วแน่ไม่มีความรู้สึกลังเลหรือหวั่นใจเลยแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นถึงเรื่องที่อยากจะทำในสิ่งที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่คิดจะทำ“พี่แดนไม่กลัวเหรอลูกถ้า...เอ่อ...ต้องกลับไปที่นั่นอีก” ฉันหยั่งเชิงถามลูกชายออกไป แม้ว่าคำตอบจากท่าทางของลูกชายที่มีให้ก่อนหน้านี้จะเป็นคำตอบให้ฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังอ
รุ่งเช้า ~~วันนี้ฉันเลือกที่จะไม่เข้าไปบริษัท เพราะอยากจะอยู่รอรับลูกชายที่ไม่เคยห่างกายไปไกลขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อสัญญาณการขอลงจอดเครื่องบินดังขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่มีมานับตั้งแต่ลูกชายขึ้นเครื่องบินไปบ้านปู่ของเขาก็ได้ทุเลาลง“แม่คร้าบบบ ~~ พี่แดนคิดถึงแม่จังเลยครับ” ฟอด ~~ ฟอด ~~ ลูกชายตัวน้อยที่นับวันใกล้จะสูงเท่าฉันแล้ว วิ่งยิ้มร่าโผเข้ามากอดฉันแน่น พร้อมกับหอมแก้มฉันซ้ายขวาไม่หยุดก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่ฉันคิดถึงไม่แพ้กันจะตรงปรี่เข้ามาหาฉันพร้อมกับทำเลียนแบบลูกชายของตัวเอง“พี่ก็คิดถึงลินมากเลยคร้าบบบบ ~~” ฟอด ~~ ฟอด ~~ คนเป็นพ่อที่ไม่ยอมน้อยหน้าลูกตรงถลาเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนกัน โดยที่ลูกชายฉันได้แต่ดิ้นพล่านเพราะอึดอัดที่ถูกอัดอยู่ตรงระหว่างกลางการกอดกันของพ่อแม่ของเขา“เป็นไงบ้างคะ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของผู้ชายทั้งสอง แล้วเอ่ยถามด้วยความคิดถึงแต่ทว่า...เสียงและท่าทางเจื่อน ๆ ของผู้เป็นสามีที่ตอบกลับมา ทำฉันอดแปลกใจไม่ได้“ก็ดีจ๊ะ...”“แล้วลูกล่ะครับพี่แดน เป็นไงบ้างสนุกไหมไปบ้านท่านปู่ครั้งแรก” ฉันมองไปยังลูกชายที่แสดงสีหน
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาเร่งรัดให้แดนไปกับคุณนะครับ โปรดเข้าใจด้วยว่าลูกผมยังเล็ก” คนตัวโตเปิดประเด็นก่อน“ก็แล้วทำไมไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร” ส่วนคนสูงวัยที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ก็ได้เอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจ“เพราะผมรู้ไงว่ามันอันตรายยังไง ผมรู้ว่าท่านนะยิ่งใหญ่แต่ใครจะรับประกันให้กับลูกชายของผมได้ล่ะ เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงระหว่างเราที่ผมจะยอมให้ได้ นั่นก็คือผมจะขอเวลา 5 ปีเพื่อฝึกให้แดนทันคนและมีวิชาเพื่อป้องกันตัวเวลาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นผมถึงจะอนุญาตให้เขาไปที่ประเทศของท่านได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวว่าเขายังพอใจที่จะรับตำแหน่งบ้า ๆ นั้นไหม และหลังจากที่เขาอายุครบที่จะเข้าพิธีรับมอบตำแหน่งได้แล้วถึงวันนั้นถ้าแดนยังต้องการที่จะไปกับท่านอยู่ล่ะก็ ผมก็พร้อมที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของลูก เพียงแต่ถ้าหากว่าเขาเล็งเห็นแล้วว่าการไปอยู่กับท่านมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแต่อย่างใด และถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ใครหน้าไหนมันคิดจะมาฆ่าล้างตระกูลผมก็ตาม ผมจะไม่มีวันปล่อยมันไว้อย่างแน่นอน” คนตัวโตพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง โดยไม่มีช่องให้คนที่มีอำน
“พี่แดนอยากไปครับ...ท่านปู่บอกอยากให้พี่แดนไปดูอาณาจักรที่จะเป็นของพี่แดน แต่พี่แดนก็อยากให้แม่คร้าบกับดีแลนไปด้วย แต่ดีแลนคงไม่อยากไป...ท่านปู่บอกแบบนั้น”เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วด้วยแววตาเป็นประกายซุกซน ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในประโยคท้ายยามเอ่ยปากนินทาผู้เป็นพ่อของตน“อย่างงั้นเหรอลูก” ฉันตอบลูกชายตัวน้อยกลับไปเพียงประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ที่ช่างต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มเหลือเกินแต่ด้วยแววตาดวงน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนาที่อยากจะเห็นโลกกว้าง ทำให้ฉันที่แม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่จำต้องเก็บความต้องการนั้นเอาไว้แล้วเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้“ถ้าพี่แดนอยากไปแม่ก็จะอนุญาตครับ...เพียงแต่ ณ เวลานี้มันยังเร็วเกินไปที่พี่แดนจะไปบ้านท่านปู่ด้วยเหตุผลแรก แม่เองก็ใกล้ที่จะคลอดน้องแล้วแม่คงจะไปกับพี่แดนด้วยไม่ได้ พี่แดนคงไม่อยากให้แม่ไปคลอดน้องบนฟ้าใช่ไหมครับ” ฉันค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟัง“ส่วนเหตุผลที่สอง แม่อยากให้พี่แดนโตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้พี่แดนโตจนสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดนอยากจะไปบ้านท่านปู่จริง พี่แดน
--- ดีแลน Talk ---“ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไงครับ” ผมเปิดปากถามคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแม้ว่าผมจะไม่เคยนับว่าเขาเป็นพ่อก็ตาม“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ...” ก่อนที่คนเจนสนามอย่างเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยักคิ้วพูดหยั่งเชิง“พูดมาตรง ๆ เถอะครับ ผมรู้ว่าการที่คุณเทียวไปเทียวมาแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะคิดถึง...เอ่อ...หลาน” ผมพูดไปด้วยรู้เจตนาคนตรงหน้าดีแต่อยากได้ความชัดเจน“เฮ้อ...ดีแลนแกพูดอย่างนั้นมันก็ดูจะดูถูกจิตใจฉันเกินไปนะ ฉันน่ะคิดถึงหลานจริง ๆ และอยากเจอเขาด้วย แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรง ๆ ฉันคิดว่าแกคงรู้สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลฉันดี และฉันก็รู้ดีว่าแกไม่โง่ที่จะไม่รู้เจตนารมณ์ของฉัน เพราะแกย่อมรู้ดีที่ฉันทำแบบนี้มันก็เพื่อแกเอง...” คนเป็นพ่อของผมพูดโดยที่มือบรรจงลูบไปที่หัวของลูกชายผมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนซึ่งผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากเขา“เพื่อผมเหรอ ผมว่าท่านทำเพื่อตัวเองมากกว่านะ” ผมแสยะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเหลือจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา“ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นกับพ่อได้ล่ะ...” ก่อนที่คนสูงวัยจะเบนสายตาจากหลานชายตัวน้อยมายังบุคคลที่เป็นลูกชายตนเองแทน พร้อมกับมอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงเหมือนกับที่ท่านชีคได้พูดเอาไว้ ว่าสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้นั่นก็คือเขายังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านชีคเขาจริง ๆ และยังคงมีสิทธิ์ในตำแหน่งผู้สืบทอดโดยชอบธรรม เพียงแต่เขาที่ไม่ต้องการตำแหน่งนั้นกลับไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าถ้าหากถึงเวลาจวนตัวที่ตำแหน่งท่านชีคว่างขึ้นมาจริง ๆ เขาจะปฏิเสธมันได้อย่างไรเพราะด้วยกฎประหลาดที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าถ้าหากท่านชีคองค์ปัจจุบันไม่อาจมีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อไปได้ ทุกอย่างจำต้องรีเซตใหม่โดยการกำจัดสายเลือดที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือเป็นภัยคุกคามในตระกูลต่อไปที่จะได้ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทนหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากผู้เป็นสามี ฉันถึงกับหน้าถอดสีทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาไปถึงข้อสันนิษฐานในข้อตกลงที่ในวันนี้ท่านชีคชาดีฟคิดจะมาพูดกับพวกเรา“ถ้างั้นพี่ดีนคิดว่าเพราะอะไรท่านชีคถึงมาหาเราที่นี่ค่ะ” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ก็อย่างแรกข่าวที่เราแต่งงานหลุดออกไปที่ประเทศนั้นในวงศ์ตระกูลของท่านชีคต่างรู้ว่าพี่เป็นลูกของเขา แต่ด้วยอำนาจของเขาที่ยังคงเข้มแข็งอยู่พี่ถึ
หลายปีผ่านไป ~~“ฮึก...ฮึก...พี่แดนไม่ไปไม่ได้เหรอลูก ฮือออออ ~~ พี่ดีน ลินไม่อยากให้ลูกไปเลย”ฉันร้องไห้หลังจากวันนี้เป็นวันที่ฉันต้องส่งลูกให้ไปอยู่กับพ่อสามีที่เป็นชีคอยู่ที่ประเทศประเทศหนึ่งของแถบตะวันออกกลาง แต่ทว่า...ลูกชายของฉันนอกจากจะไม่ฟังคำทัดทานของฉันแล้วยังดูท่าว่าอยากจะไปเสียเต็มที“แม่ครับอย่าร้องไห้ซิ ถ้าแม่คิดถึงก็บินไปพี่แดนได้นี่น่าเดี๋ยวพี่แดนให้ท่านปู่ส่งเครื่องบินส่วนตัวมารับ หรือเอาไว้ถ้าพี่แดนฝึกขับเครื่องบินเก่งแล้วเมื่อไรเดี๋ยวเอาไว้พี่แดนบินกลับมาหาดีไหมครับ” ลูกชายตัวน้อยที่บัดนี้เติบโตเริ่มเข้าสู่วัยแตกเนื้อหนุ่มแถมรูปร่างยังสูงมากกว่าฉันโอบกอดปลอบฉัน จนกลายเป็นฉันที่ซุกหน้าเข้ากับอกลูกเหมือนเด็กน้อยแทน“ฮืออออ ~~ แต่แม่ไม่อยากให้ลูกไปเลยนี่ครับ” ฉันยังกอดลูกชายแน่นโดยที่ด้านหลังของเขาได้มีร่างของผู้ชายที่เป็นพ่อสามีฉันมายืนรอรับลูกชายของฉันไป“พี่แดนก็ยังอยู่กับแม่เสมอนะครับ” ลูกชายตัวน้อยที่เคยจ้ำม่ำใช้มือที่ใหญ่ขึ้นปาดน้ำตาของฉันพร้อมกับส่งยิ้มหวานที่เหมือนกับพ่อและปู่ของเขาไม่มีผิดเพี้ยน“ไม่ต้องห่วงนะ เรารับรองได้เลยว่าเราจะดูแลแดเนียลให้ดีที่สุด” ท่า
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ~~ฉันได้รับอนุญาตจากพี่น้ำค้างให้กลับบ้านได้แล้ว และทันทีที่ถึงบ้านฉันที่มัวแต่เป็นห่วงลูกในท้องจนเพิ่งจะมานึกออกถึงเรื่องของแม่ตัวเอง“พี่ดีนค่ะ...” ฉันเรียกชื่อผู้เป็นสามีเบา ๆ ก่อนจะเสหน้าหลบเล็กน้อยด้วยความลังเลที่เกิดขึ้นว่าควรจะถามออกไปดีไหม เนื่องจากกลัวว่าเขาอาจจะยังโกรธเคืองแม่ของฉันอยู่“ว่าไงครับ...ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หรือว่ายังรู้สึกเจ็บที่ท้องอยู่ให้พี่พาไปโรงพยาบาลเอาไหม” ส่วนพี่ดีนที่ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลเขาดูแลฉันไม่ห่างกาย แม้ว่าจะได้รับคำยืนยันจากปากหมออย่างพี่น้ำค้างแล้วว่าทั้งฉันและลูกปลอดภัยดี แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าเขายังมีความกังวลอยู่“ปะ...เปล่าค่ะ ลินไม่เจ็บแล้วค่ะ” ฉันรีบปฏิเสธออกไป ก่อนจะทำท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆแต่ทว่า...เขาที่มักจะรู้ใจฉันดีว่าฉันคิดอะไรและกังวลใจเรื่องอะไรอยู่ ก็ได้พูดออกมาก่อน“จะถามเรื่องแม่ของลินใช่ไหม” เขาเอ่ยปากด้วยสีหน้าเหมือนกับคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไร และนั่นก็ทำให้ฉันพยักหน้ารับออกไปทันที“พี่จัดการเรียบร้อยแล้ว เขาจะไม่มายุ่งกับลินและลูกอีก” คนตัวโตพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกร้อนรน“พะ...พี่ดีนทำ
“ไม่มีเหรอ...ชิ...ดูสภาพแกตอนนี้จะมาบอกว่าไม่มีเงินใครหน้าไหนมันจะไปเชื่อ ผัวแกทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเขารวยแค่ไหน ทำไม...คนเป็นแม่อย่างฉันจะมาขอค่าน้ำนมหน่อยไม่ได้หรือไง...ห๊ะ!! ยัยลิน!!” แม่ฉันระเบิดอารมณ์ออกมาพร้อมกับตรงเข้ามาบีบแขนฉันแน่น“มันไม่เกี่ยวกับเขาเลยนะคะ เขาจะรวยมันก็เงินเขาหามา” ฉันที่ทนให้แม่บีบแขนอยู่อย่างนั้นแม้ว่ามันจะเจ็บมากก็ตาม แต่ทว่า...มันไม่ได้เจ็บไปมากกว่าที่หัวใจฉันเจ็บตอนนี้เลยและในจังหวะเดียวกันนั้นเอง พี่ริกที่วิ่งมาทางพวกเราพร้อมกับกระซิบอะไรบางอย่างกับคุณดีน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันสนใจเท่ากับผู้หญิงตรงหน้า“เกี่ยวซิ...ทำไมจะไม่เกี่ยวฉันเป็นแม่ของแก เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของแก แต่แกไม่คิดจะตามหาฉันมาร่วมงานแต่งงานของแกเลยสักนิด...เหอะ...ปล่อยให้ฉันต้องทนลำบากอยู่ได้ตั้งนาน” แม่ฉันพูดพลางมองบริษัทของคุณดีนไปทั่วด้วยแววตามีความหมายส่วนฉันที่แม้จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉันดีใจมากแค่ไหนในแวบแรกที่ได้เจอแม่ แต่พอได้มาเห็นพฤติกรรมของท่านที่ไม่เหลือเค้าคนเป็นแม่ที่ฉันเคยรู้จัก มันก็ทำให้ฉันเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าฉันไม่ควรขุดความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่เคยมีต่อตัวท่