หญิงสาวรู้ดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์โกรธที่เขาจะมองเธอในแง่ร้ายแบบนั้น แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่ บางทีก็อ่อนโยนกับเธอ บางครั้งก็ดูดุร้ายเหมือนชื่อของเขานั้นแหละ หรือเพราะเขาคือเสือ เวลาอยู่ใกล้เธอเลยคอยหวาดระแวงว่าจะโดนตะครุบทุกที
ไปรยาเดินไปเรือนหลังใหญ่ เดินอ้อมไปด้านหลังก็ถึงห้องครัว เป็นไปตามคาดว่าคุณรำเพยตื่นแต่เช้าตรู่แล้ว
“ให้หนูช่วยนะคะคุณท่าน”
“ตื่นแต่เช้าเลยนะหนูปราย”
“ตื่นเวลานี้จนชินแล้วค่ะ” เธอรีบเข้าไปยืนข้างๆ จะได้ดูว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้าง “คุณท่านจะทำอะไรคะ”
“เตรียมอาหารจะใส่บาตรจ๊ะ”
“น่าจะบอกปรายตั้งแต่เมื่อวานนะคะ จะได้มาช่วยเตรียมให้เร็วกว่านี้ มาค่ะ คุณท่านเดี๋ยวหนูทำเอง” ไปรยาหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมแล้วลงมือหุงข้าว
“เอาเป็นผัดผักกับต้มจืดไหมคะ”
“แม่ก็คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันจ๊ะ”
“ปกติคุณท่านทำอาหารใส่บาตรทุกวันหรือคะ ปรายจะได้เตรียมให้”
“จ๊ะ แต่หนูปรายไม่ต้องลำบากก็ได้นะ”
“ไม่ลำบากเลยค่ะ ปรายตื่นเช้าอยู่แล้วจะได้ทราบว่าต้องทำอะไรบ้าง คุณท่านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวปรายจัดสำรับไว้เตรียมถวายพระให้ค่ะ”
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ พระท่านจะผ่านมาประมาณเจ็ดโมงครึ่ง ยังไงหนูปรายตั้งโต๊ะหน้าบ้านรอได้เลยนะจ๊ะ”
“ค่ะคุณท่าน”
แม้ปากจะพูดแต่มือเรียวก็หั่นผักอย่างคล่องแคล่ว ตระเตรียมทุกอย่างก่อนจะลงมือทำอาหาร ไปรยารีบทำอาหารอย่างรวดเร็ว ตอนที่อยู่บ้านอาธงชัยงานในครัวก็งานหลักของเธอเลย หญิงสาวเหลือบไปเห็นถุงร้อนวางอยู่ก็เดาได้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เธอรอเพียงข้าวสวยสุกเท่านั้น หญิงสาวจึงเดินมาที่หน้าบ้าน เห็นมีโต๊ะพับวางพิงอยู่ริมรั้ว เธอจึงไปยกมาตั้งไว้ เดินกลับไปหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดโต๊ะ และยกเก้าอี้มาเพิ่ม เพื่อจะให้ให้คุณผู้หญิงได้นั่งรอพระสบายๆ เดินกลับมาในครัวอีกที ข้าวก็สุกเรียบร้อยให้เธอได้ตักใส่ถุงลืมถามคุณผู้หญิงไปว่าต้องเตรียมกี่ชุด เธอรู้สึกว่ามีคนเข้ามาในครัว คิดว่าคุณผู้หญิงจึงเอ่ยถามไปทั้งที่ไม่ได้หันไปมอง
“พระมาบิณฑบาตกี่รูปคะคุณท่าน”
“ปกติเห็นสามรูปนะ”
ไปรยาหันขวับมามองอย่างตกใจ “คุณพยัต”
“ทำไมเห็นหน้าผมทีไรตกใจทุกที” ภูมิพยัตถามแล้วต่อด้วยหาวปากกว้าง
“ก็ไม่คิดว่าคุณจะตื่นเช้า หรือตื่นมาใส่บาตรคะ”
ชายหนุ่มโบกมือไปมา “เรื่องของผมช่างเถอะ จัดสำรับอาหารเตรียมใส่บาตรก่อน”
“ค่ะ” ไปรยาหันหลังให้แล้วจัดการเตรียมสำรับอาหารสำหรับใส่บาตรพระเสร็จ เธอจัดเรียงใส่ถาดและจัดยกออกไปแต่ภูมิพยัตยื่นมือมาแย่งไปถือเสียเอง
“คุณพยัตค่ะ คุณมาแย่งงานปรายแบบนี้ไม่ได้นะคะ”
“ไม่ได้แย่ง ผมแค่กลัวคุณจะเดินไปไม่ถึงหน้าบ้าน เมื่อวานก็เดินสะดุดก้อนอิฐ เดี๋ยวเดินสะดุดขาตัวเองขึ้นมา แม่ผมจะไม่ได้ใส่บาตร”
ไปรยากัดริมฝีปาก พยายามไม่ตอบโต้ ได้แต่มองเขาเดินถือถาดอาหารมาที่โต๊ะหน้าบ้าน คุณรำเพยออกจะแปลกใจที่เห็นลูกชายมาแต่เช้า
“นี่พายุจะเข้าหรือไง ตาภูมิมาใส่บาตรกับแม่”
“เปล่า แค่มาดู ผมกลับไปอาบน้ำก่อนล่ะ”
ภูมิพยัตเสยผมยุ่งๆ แล้วเดินงุดๆกลับบ้านตัวเองไป คุณรำเพยเองยังงุนงงกับลูกชายคนเดียวของนาง รวมทั้งคุณบุญมาที่เดินตามมาที่หลังยังประหลาดใจ
“นั่นไอ้เสือนี่”
“ก็ลูกชายคุณไงล่ะ”
“มันมาทำอะไรของมัน”
“คุณพยัตมาช่วยยกถาดอาหารค่ะ” ไปรยารีบพูดขึ้นก่อนที่ผู้ใหญ่ทั้งสองจะเข้าใจผิด แต่เธอไม่รู้หรอกว่าคุณบุญมากับคุณรำเพยคิดอะไรอยู่
“พระมาแล้วค่ะ” ไปรยาเปลี่ยนเรื่อง เธอคอยช่วยอยู่ด้านหลัง แต่ก็ได้อธิษฐานจิตให้ชีวิตได้เจอสิ่งดีงามไปด้วย เมื่อรับพรพระเสร็จ เธอก็ประคองคุณบุญมากลับเข้ามาในบ้าน แล้วเธอก็เดินไปโต๊ะให้เรียบร้อย แล้วรีบเข้ามาในครัว จัดแจงเตรียมเครื่องดื่มให้คุณท่าน
“ตอนเช้าเป็นน้ำเปล่าก่อนหนึ่งแก้วนะคะ แล้วลองดื่มน้ำผักสมุนไพร นี้น้ำใบบัวบกปรายเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ”
“พ่อไม่ชอบเลย ไอ้น้ำเขียวๆนี่” คุณบุญมาเบ้ปาก
“ค่อยๆ จิบนะคะ”
ท่าทางคะยันคะยอของไปรยาทำให้คุณบุญมายกแก้วมาค่อยๆจิบ แต่เมื่อรู้สึกว่าไม่มีรสฝาดและไม่เหม็นเขียวก็ดื่มได้จนหมดแก้ว
“โอโห้ นี่หนูปรายใส่เวทมนต์อะไรไปจ๊ะ ปกติคุณพ่อไม่ชอบเลยนะเนี้ย”
“ปรายแต่ต้มใบเตยไปด้วยได้กลิ่นหอมและไม่รู้สึกเหม็นเขียวใช่ไหมคะ”
“จริงด้วยแบบนี้ดื่มง่ายกว่าเยอะเลย”
“ไว้ปรายจะทำไว้ให้คุณท่านทั้งสองดื่มอีกนะคะ มีหลายเมนูเลยค่ะ” ไปรยาดีใจที่ผู้ใหญ่ทั้งสองชอบ อายุมากแล้วไม่อยากให้ดื่มกาแฟมากนัก
“คุณท่านคะ ปกติอาหารสดนี่เราซื้อที่ไหนเหรอคะ”
“อ้อ... ที่นี่ไม่มีห้างสรรพสินค้านะ แต่ปกติจะมีตลาดนัดตอนเช้าหน้าโรงงานทุกวันพุธหรือไงนี่แหละ พวกของสดนี่แม่จดรายการไว้ให้ตาภูมิเขาจัดการซื้อให้”
“แล้วตอนที่แม่บ้านคนเก่าอยู่ละคะ”
“มีตลาดสดอยู่ไม่ไกลนักหรอก แถวท่ารถน่ะ” คุณบุญมาพูดเสริม “หนูอยากได้อะไรหรือเปล่าล่ะ”
“ปรายถามไว้นะคะ จะได้ทราบว่าต้องซื้อของสดที่ไหนยังไงบ้าง แล้วอีกอย่าง ปรายมีเสื้อผ้ามาไม่กี่ชุด คิดว่าต้องซื้อเพิ่มสักตัวสองตัวค่ะ”
“เสื้อผ้าเหรอ จะไปซื้อทำไมกัน ถ้าไม่รังเกียจเอาชุดเก่าๆของแม่ไปใส่ก็ได้นะ มาเลือกดูเอา ตัวไหนพอใส่ได้ก็เอาไปใส่เถอะ”
“จะดีหรือคะ ปรายใส่ทำงานในบ้าน เสื้อผ้าดีๆจะเสียหมดค่ะ”
“ถ้าไม่ใส่พับเก็บไว้ก็ปลวกกินเสียหมดเหมือนกันนั้นแหละ”
“เดี๋ยวกินข้าวเช้าแล้วไปช่วยแม่เสื้อผ้าในตู้ดีกว่า ไม่ได้จัดนานแล้ว อันไหนไม่ได้ใส่จะได้โละๆออกจากตู้บ้า ง”
“ได้ค่ะคุณท่าน”
ภูมิพยัตเดินกลับมาเรือนใหญ่อีกครั้ง คราวนี้เขาอาบน้ำแต่งตัวพร้อมไปทำงานแล้ว เขาเดินเข้ามาไม่ทันได้ยินที่แม่คุยกับไปรยา แต่หันไปคุยกับพ่อแทน
“อีกสามสี่วันลูกค้าจากญี่ปุ่นจะมาดูสินค้าที่โรงงาน เขาอยากดูไม้อัดน้ำยาของเราก่อนจะสั่งออเดอนะพ่อ”
“แล้วเราจะคุยกันรู้เรื่องไหมล่ะ เขาพูดภาษาไทยได้รึ”
“ก็พูดภาษาอังกฤษซิพ่อ แต่ผมกำลังหาล่ามอยู่ ถ้าเขาเอาล่ามเขามาฝ่ายเดียวผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาแปลตรงทุกคำหรือเปล่า”
ไปรยาได้ยินเข้าก็ยกมือขึ้นเหมือนเด็กขออนุญาต ภูมิพยัตเหลือบตามองเหมือนไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ
“ปรายพอพูดภาษาญี่ปุ่นได้นะคะ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ค่ะ”
“ตลกล่ะ” ภูมิพยัตหัวเราะแบบเหยียดๆ แต่คุณแม่ตีแขนเข้าให้ทำให้หยุดหัวเราะเยาะ
“คุณคิดก่อนพูดแล้วใช่ไหมคุณไปรยา” ชายหนุ่มพูดแบบประชด
“ค่ะ ฉันพอได้ภาษาญี่ปุ่นบ้าง ถ้าคุณต้องการฉันก็ยินดีค่ะ”
“อย่างคุณไปเรียนภาษาญี่ปุ่นจากไหนล่ะ” เขาเอียงหน้าลงกระซิบถาม “เรียนจากแขกหรือไง”
“แขก?” ไปรยาทำหน้างุนงง เธอไม่เข้าใจคำพูดของเขา แต่ดันคิดว่าแขกนี่หมายถึงคนแขก คนอินเดียอะไรทำนองนั้น แต่จะบอกว่าจบสายภาษามา ก็คงพูดได้ไม่เต็มเสียงนัก
“ผมต้องเจรจากับลูกค้า ซื้อขายกันมูลค่าหลายล้านบาท ไม่ได้เล่นขายของนะคุณ”
“ปรายก็แค่คิดว่าตัวพอทำได้ก็เลยเสนอตัวไปก็เท่านั้นเอง”
“เอาล่ะ เอาไว้ถ้าลูกค้ามาก็ลองให้หนูปรายไปด้วย เผื่อช่วยอะไรกันได้” คุณรำเพยตัดบท “ทานข้าวเถอะ คุณพ่อต้องทานยาแล้วลูกจะได้ไปทำงาน”
“ครับ”
ไปรยายกอาหารเช้ามาเสิร์ฟ เช้านี้เป็นข้าวต้มทะเลของโปรดของคุณบุญมา หญิงสาวไม่ให้มีรสคาวของหมึกกับกุ้งทำให้คุณบุญมาทานอาหารได้มาก รวมทั้งภูมิพยัตด้วย เมื่อทานอาหารเสร็จเขาก็ขอตัวลุกจากโต๊ะอาหารก่อนเพราะจะรีบไปโรงงาน
มีเพียงสายตาคมกริบที่จ้องมองไปรยาก่อนที่ก้าวออกมา ภูมิพยัตมองไปยังทางเดิน คิดถึงร่างเนียนนุ่มในวงแขนและกลิ่นหอมละมุนที่ชวนให้เขากระสับกระส่าย เขาไล่ให้เธอไปนอนแต่หัวค่ำ แต่ตัวเขาเองที่นอนไม่หลับ จนต้องเดินลงมานั่งจิบเบียร์อยู่ตามลำพัง และเฝ้ามองว่าเธอจะเปิดประตูห้องออกตอนไหน และ..เขาพบว่าตัวเองนั้นคอยเก้อมือใหญ่หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีน กดเบอร์คนสนิทแล้วกรอกเสียงลงไป“ไอ้ตุ้มเหรอ”“ครับเจ้านาย”“มาซ่อมโคมไฟทางเดินที่บ้านให้หน่อยซิ”“มันก็เสียตั้งนานแล้วนี่ครับ แล้วผมก็บอกเจ้านายให้ซ่อมนานแล้วด้วย”“เออ! แต่ตอนนี้อยากให้มาซ่อม เอ็งจะมาซ่อมไหม? หรือว่าจะให้คนอื่นมาทำแทนแล้วเอ็งก็ไปหางานที่อื่นทำ!”“ครับๆเจ้านาย ผมเอาอุปกรณ์แล้วจะเข้าไปเลยครับ”“เออให้มันเร็วเหมือนเวลาเรียกไปกินเหล้าหน่อย”“ครับเจ้านาย”ภูมิพยัตไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน จะไปห่วงทำไมยัยเด็กตัวเล็กขาสั้นแบบนั้น แต่ถ้าเมื่อวานเขาไม่เดินมาส่องดูว่าเธอจะกลับมายังไง ป่านนี้คงหน้าตาบวมปูนเพราะล้มกลิ้งไปแล้ว แต่นอกจากโคมไฟที่หัวเสาแล้ว พื้นที่ปูอิฐตัวหนอนก็ไม่เป็นระเบียบ เขาปล่อยทิ้งไม่ให้ใครมาดูแลนานแล้ว ชายหนุ่
ไปรยายิ้มหวาน เธอกลับเข้ามาในครัว เมื่อวานทำแกงไว้สามหม้อ มีเหลือเก็บใส่ตู้เย็นพอได้กินอยู่ แต่เธออยากทำอาหารใหม่ๆให้คุณท่านทั้งสองทานมากกว่าอุ่นของเก่า พอเห็นมีคนงานมาก็เลยลองถามดู ข้าวสวยก็น่าจะพอกินอยู่ และเธอใช้เวลาสิบนาทีจริงๆ อาหารก็อุ่นให้ร้อนพร้อมรับประทาน เธอตักใส่ถ้วยวางบนถาดแล้วเดินถือออกมาให้ คนงานเห็นเข้าก็รีบเข้ามาช่วย หามุมนั่งกินข้าวเที่ยง“น่ากินทั้งนั้นเลยครับคุณปราย เป็นบุญปากพวกเราจริงๆ”“พูดเกินไปแล้วค่ะ” หญิงสาวยิ้มเขินๆ“นี่มันอะไรกัน ทำงานกันเสร็จแล้วหรือไง” น้ำเสียงดุดันดังมาจากด้านหลัง ลูกน้องแต่ละคนพากันสะดุ้งโหย่งไม่คิดว่าภูมิพยัตจะกลับมาที่บ้านตอนนี้“นี่มันเที่ยงแล้ว พวกเขาก็พักทานอาหารมันก็เรื่องปกติไม่ใช่หรือคะ” ไปรยาเถียงหน้าตาเฉย บรรดาลูกน้องของภูมิพยัตถึงกับมองด้วยความตะลึง มีใครที่ไหนกล้าเถียงเจ้านายเขาล่ะ“แล้วนั้น!ต้มข่าไก่ใส่เห็ดของผมนี่!” มือใหญ่ชี้นิ้วไปที่ชามกับข้าว“ของแค่นี้ปรายทำให้ใหม่ก็ได้ค่ะ” ไปรยาส่ายหน้าไปมา นี่มันนิสัยเด็กชัดๆ ห่วงขนมของกินเนี้ย “คุณก็ทานข้าวพร้อมลูกน้องก็ได้นี่”ภูมิพยัตโคลงศีรษะไปมา “ผมต้องไปจันทบุรีสักสองวัน
“ฉลองกันหนักไปนิดหนึ่งครับคุณปราย” วินพูดขึ้นแล้วสะอึก กลิ่นเหล้าก็โชยคลุ้งไม่แพ้กัน “ช่างเถอะค่ะ เดี๋ยวปรายดูแลต่อเองค่ะ กลับไปพักผ่อนเถอะ”“ครับคุณปราย” วินยกมือไหว้ลา เดินตัวเซไปถึงประตูแล้วนึกได้ หมุนตัวกลับเอากุญแจรถยื่นให้พร้อมยิ้มแห้งๆ ไปรยาได้แต่ถอนหายใจ มองดูลูกน้องทั้งสองกลับไปพร้อมมอเตอร์ไซค์ที่ขับตามมาเมื่อครู่ เธอเดินไปปิดประตูบ้านให้เรียบร้อยแล้วไปดูสภาพคนเมา อะไรจะเมาได้ขนาดนี้ เธอถอนหายใจแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูสำหรับเช็ดหน้าและอ่างใส่น้ำ เดินกลับมาก็เห็นเขาเอนหลังพิงโซฟา ศีรษะพาดไปกับพนักพิงหลัง มือเรียวหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆแล้วเช็ดใบหน้าของเขา มือใหญ่ปัดมือเธอออกคล้ายรำคาญ พลอยทำให้หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดไปด้วย“อยู่นิ่งๆ สิคะ ปรายจะเช็ดตัวให้ จะได้สบายเนื้อสบายตัว”เธออดดุเขาไม่ได้ เสียงดุของเธอไม่ดังนักแต่ก็ทำให้เขาลืมตาขึ้นมอง ดวงตาของเขาฉ่ำหวาน โครงหน้าคมและเหนือริมฝีปากที่ยิ้มน้อยๆนั้นมีเรียวหนวดบางๆ เสื้อเชิ้ตของเขายับยู่ ไปรยาพยายามไม่สนใจสายตาของเขา บรรจงเช็ดใบหน้าและลำคอให้ มือเรียวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเขาครางในลำคออย่างพอใจ หญิงสาว
ลมหายใจสม่ำเสมอบอกได้ชัดเจนว่าหญิงสาวหลับไปแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยให้เธอหลับเพียงลำพัง เธอยังนอนหนุนท่อนแขนของเขาอยู่ และเขาก็รู้สึกอุ่นในอกทีได้ใช้วงแขนปกป้องใครสักคน มันเนิ่นนานเหินห่างความรู้สึกแบบนี้ไปนานเท่าไหร่ เขาเคยคิดว่าแผลในใจของเขาไม่มีวันดีขึ้น เขาไม่อาจเปิดใจมีความรักใหม่ได้อีก แต่เขารู้ว่าสิ่งที่คิดนั้นมันผิดไปถนัด ตั้งแต่น้ำตาของเธอรินไหล เขาก็รู้สึกได้ว่าหัวใจของเขายังรู้เป็นไม่ด้านชาอย่างที่คิด เวลาที่ได้พบกัน รู้จักกันมันน้อยเกินกว่าจะตัดสินอะไรได้ เขาไม่อยากบังคับเธอ อยากได้ยินความจริงจากปากเธอ ไม่ว่าเรื่องราวจะเลวร้ายเพียงใด ขอให้เธอเป็นคนบอกเขาเอง อย่าให้เขาต้องไปรับรู้จากคนอื่น อย่างที่เขาเคยเจอมาจากคนรักเก่าเลย ภูมิพยัตดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มทั้งสองคน เธอหลับไปแล้ว และหลับจริงๆจังๆเสียด้วย แต่เขาละ ผู้ชายทั้งแท่งมีผู้หญิงตัวนุ่มหอมกรุ่นในวงแขนนี่ ไอ้ที่ตื่นอยู่นี่จะข่มให้มันหลับลงไปได้ยังไง เขาเผลอหัวเราะในลำคอแล้วก้มลงจูบขมับเธอเบาๆ“นี่เธอกำลังลงโทษฉันอยู่ใช่ไหมไปรยา”แสงแดดจากภายนอกแทรกผ่านผ้าม่านลายลูกไม้มาแตะเปลือกตา ปลุกคนที่หลับใหลให้รู้สึกสึกตัว ไป
“ทานอาหารเช้ากันดีกว่าค่ะ” ไปรยาพูดแทรกขึ้น เธอตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้วระหว่างฟังพ่อแม่ลูกพูดคุยกันอย่างน่าอิจฉา เธอมักจะเป็นส่วนเกินของคำว่า“ครอบครัว”เสมอ“วันนี้ผมขอยืมตัวแม่บ้านคนโปรดของพ่อกับแม่ไปใช้งานหน่อยนะครับ” ภูมิพยัตไม่รู้ตัวว่าตัวเองติดพูดประชดประชันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน“เสร็จงานแล้วก็พาน้องไปเที่ยวดูนั้นดูนี่บ้างก็ได้นะ” คุณบุญมาแนะนำลูกชาย“แถวนี้จะมีอะไรให้เที่ยว” ลูกชายคนเดียวส่ายหน้าไปมา“ไม่เป็นไรค่ะ เสร็จงานแล้วปรายจะรีบกลับมารับใช้คุณท่านค่ะ”ไปรยายิ้มหวาน ทุกคนรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เธอก็รีบจัดเก็บถ้วยชามให้เรียบร้อยจะได้ไปทำงานพร้อมภูมิพยัตที่นั่งจิบกาแฟหน้านิ่ง ราวกับเมื่อวานไม่ได้เมาปลิ้นกลับบ้านมา ภูมิพยัตสังเกตเห็นใบหน้าหวานวันนี้แต้มแต่งเครื่องสำอางไม่จัดนัก แต่ก็ทำให้ใบหน้าเธอดูสดใสน่ามอง ซึ่งมันก็ลบรอยช้ำรอบดวงตาได้บ้าง ร่างสูงก้าวเดินนำออกมาเมื่อเห็นว่าเธอเสร็จงานในครัวแล้ว เขาหยุดยืนที่ประตูรถฝั่งคนนั่งรอจนร่างเล็กพาตัวเองเดินเร็วๆมาถึงรถจึงเปิดประตูให้“จะเอาบันไดไหม?” “ปรายปีนขึ้นเองได้ค่ะ”เธอเบ้ปากใส่เขาแล้วก้าวขึ้นรถโฟร์วิล โดยไม่รู้ว่าภูมิพย
“ผมเป็นเจ้าของโรงงาน เลิกงานครึ่งวันจะเป็นไรไป” ปกติเขาไม่ใช่คนแบบนี้หรอกนะ เรื่องงานมาก่อนหญิงเสมอ แต่คราวนี้ให้ตัวเองสักวันก็แล้วกัน“ไปหยิบกระเป๋าเถอะ”“ค่ะ”ไปรยาเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นคล้องไหล่ ภูมิพยัตเดินไปหยิบกุญแจรถแล้วเดินมาเปิดประตูห้องให้เธอก้าวออกมาก่อน เขาหันไปบอกเลขาฯหน้าห้องว่าจะไม่กลับเข้ามาอีก ไปรยารู้สึกโล่งใจที่ไม่มีใครถามอะไรเกี่ยวกับเธอ ทุกคนเคารพเจ้านายอย่างภูมิพยัตมาก หญิงสาวหยุดที่ประตูรถแล้วหันมาบอกเขาก่อนที่เขาจะทำอะไร“ฉันขึ้นรถเองได้ คุณไม่ต้องอุ้มขึ้นหรอก”“ก็ได้ ผมจะยืนดูเผื่อคุณตกผมจะได้หัวเราะได้ทันเวลา”ไปรยาถลึงตาใส่ เขากลับมาเป็นผู้ชายปากร้ายแต่เพิ่มเติมคือจูบของเขาแสนหวานและเร่าร้อนจนเธอแทบจะละลายไปทันที เขารอเธอจึงขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้วจึงเดินอ้อมมาฝั่งคนขับ ใบหน้าคมอมยิ้มนิดๆก่อนที่รถจะเลื่อนตัวออกไป เขาขับรถวนไปรอบๆบริเวณโรงงาน“นี่โรงงานผม จริงๆมันเป็นของพ่อผม พ่อมาตั้งโรงงานที่นี่เพราะมันใกล้สวนยางพาราของชาวบ้าน ไม้พวกนี้มันหมดอายุแล้ว น้ำยางไม่มี ชาวสวนก็โค่นทิ้งปลูกใหม่ แต่ผมมาขยับขยายโรงงานแปรรูปไม้เต็มรูปแบบตามความต้องการของตลา
“ค่ะ ฉันพอเข้าใจ” เธอมองไปรอบๆ “ที่นี่สงบร่มรื่นจริงๆค่ะ อุ้ย!นั้นลูกแกะนี่น่า น่ารักจัง”“ไปดูใกล้ๆ ได้นะครับคุณปราย” เม่นพูดขึ้น“ได้หรือคะ” เธอหันมาถามพร้อมรอยยิ้มสดใส“ตามสบายเลยครับ”ไปรยามองหน้าภูมิพยัตเป็นเชิงขออนุญาต เขาพยักหน้าให้ทำให้ไปรยารีบเดินไปดูคอกที่กั้นไว้เลี้ยงแพะ เธอหยิบหญ้าป้อนให้และลูบหัวแต่ละตัว“ใครนะ” เม่นถามมองดูหญิงสาวร่างเล็กเพลิดเพลินกับการให้หญ้าลูกแกะที่เขาเลี้ยงไว้“ก็แนะนำไปแล้วไง”“หมายถึงเป็นใคร แฟนนายหรือไงไอ้พยัต”“ไม่ใช่” ตอบเร็วเหมือนไม่ต้องคิด แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง“แล้วอยู่กับนายในฐานะอะไรวะ”“เธอเป็นแม่บ้าน”“พูดเป็นเล่น สวยแบบนั้นนะเหรอแม่บ้าน” เม่นกระแทกไหล่เพื่อนเบาๆ “ปรายไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น” เขาพูดน้ำเสียงเคร่งเครียด คนเป็นเพื่อนสนิทเข้าใจในทันทีว่าไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่น“แต่ถ้าคุณปรายไม่ได้เป็นอะไรกับนาย ฉันก็จีบได้ซินะ”“เฮ้ย! เจอกันไม่ถึงสิบนาทีจะจีบแล้วเหรอ”“เป็นไรไป ถ้าคนมันใช่มันใช่นั้นแหละ” เม่นยักไหล่ภูมิพยัตถอนหายใจหนักๆ นี่เขาคิดผิดหรือเปล่าที่มาที่นี่ เม่นไม่ใช่ผู้ชายเลวร้ายอะไรแค่อ่อนไหวง่ายไปนิด แต่พอคิดว่าจะมีใ
“คุณก็หัดซื้ออย่างอื่นใส่ตู้เย็นบ้างก็ดีนะคะ ทีเบียร์นี่ไม่ขาดเลย”“เหลือแค่สี่กระป๋องก็หมดแล้ว”“อะไรกันจะดื่มให้หมดเลยหรือคะ” เธอทำตาโต และเพิ่งเห็นว่าเขาเปิดไปสองกระป๋อง“เก็บไว้ทำไมให้รกตู้เย็น” เขาพูดหน้าตาย“ถ้างั้นปรายช่วยดื่มก็ได้จะได้หมดเร็วๆ”เธอยื่นมือไปแย่งกระป๋องเบียร์จากมือเขาขึ้นมาดื่ม แต่แค่อึกแรกก็สำลักไอแค่กๆออกมา ภูมิพยัตต้องลูบหลังให้แล้วเดินไปหยิบน้ำดื่มส่งให้ไปรยา“ดื่มไม่เป็นแล้วยังจะดื่ม”“ก็เพราะคุณนั้นแหละ” เธอทำหน้ามุ่ย“อีกล่ะ โทษผมทุกที” แม้จะตำหนีอีกฝ่ายแต่เขากลับยิ้มออกมาได้“ก็มันจริงนี่คะ”“คุณดื่มไม่เป็นจริงๆรึ” คราวนี้น้ำเสียงเขาจริงจังขึ้น“ฉันสอนเด็กเล็กน่ะ จะมาดื่มเหล้าดื่มเบียร์ได้ยังไงกัน”“คุณว่าอะไรนะ” “เอ่อ... ฉันพูดอะไรออกไปหรือคะ” ไปรยาสะดุ้งภูมิพยัตวางแขนไปกับพนักโซฟาแล้วยื่นหน้ามาใกล้ หรี่ตามองอย่างจ้องจับผิด“ผมว่าผมได้ยินชัดทุกถ้อยคำเลยล่ะ” เขาคุกคามเธอด้วยสายตา“ถ้าปรายเล่าความจริง คุณสัญญาได้ไหมว่าจะไม่โกรธปราย”“มันร้ายแรงมากไหมล่ะ”“มันขึ้นอยู่กับคุณเอง” เธอบิดมือไปมา พยายามจะสงบใจที่จะพูดความจริงทั้งหมด “ว่ามาก่อนซิ ผมจะพ
เสียงหัวเราะหวานใสดังขึ้น เธอหัวเราะเขาแต่ทำไมเขากลับรู้สึกดี และไม่ได้โกรธเลยสักนิดที่ทำให้เขาดูเป็นตัวตลกแบบนี้“พี่พยัตสายเปย์แบบนี้ ปรายจะตอบแทนยังไงดีนะ”“รักพี่เยอะๆ รักพี่มากๆ รักพี่คนเดียวก็พอแล้วครับ”“ค่ะ ปรายจะรักพี่พยัตเยอะๆ รักมากๆ รักคนเดียว และรักตลอดไป”ไปรยาพูดไปปลดกระดุมเสื้อเจ้าบ่าวออก กล้ามอกแน่นหนั่นที่เคยสัมผัส ปลายนิ้วลากไปที่ขอบกางเกง เธอเลียริมฝีปากตัวอย่างไม่รู้ตัวขณะปลดเข็มขัดและรูดซิปกางเกงลง“พี่ทำไม่ไหวแล้ว ขอเลยแล้วกัน” เขาสารภาพแล้วอุ้มร่างเล็กขึ้นไปวางบนเตียง ถอยตัวเองออกมาจัดการกับกางเกงไปให้พ้นตัว เหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่าแล้วจึงปีนขึ้นเตียงแล้วโน้มหน้าลงจูบกลีบปากหวาน เขาชอบความอ่อนหวานยามอยู่ใกล้ และความร้อนแรงของเธอทำให้เขาคลั่งไคล้“ที่รักของพี่” เขากระซิบเสียงพร่า พรมจูบไปทั่วใบหน้า ลากเรียวลิ้นไปตามลำคอแล้วขบเม้มฝากรอยคิสมาร์ก มือหนาเคล้นคลึงอกคู่สวย เสียงหวานครางกระเส่าพร้อมร่างที่บิดส่ายไปมา“อื้อออ พี่พยัต” ไปรยาครางด้วยความเสียวซ่าน เขาปลดตะขอชุดชั้นในออกแล้วอ้าปากดูดดึงยอดอกสีหวาน ปลายลิ้นตวัดรัวพร้อมกับกอบกุมเต้างาม เธอเสียวกระสัน
“ความจริง หลังจากการทลายบ่อนกับซ่องของกำนันนิยม เรามีหลักฐานพาดพิงมาถึงคุณธงชัยด้วยนะครับ” ภูมิพยัตหยิบซองสีน้ำตาลที่สอดไว้ในกระเป๋าเสื้อนอกออกมาส่งให้ธงชัย เขารับมาแล้วเปิดออกดู ใบหน้าของธงชัยถึงกับซีดเผือกในขณะที่ภรรยาคว้ารูปไปดูแล้วทุบตีสามีพัลวัน“เรามีหลักฐาน นอกจากคุณธงชัยจะเล่นพนันแล้วยังซื้อบริการหญิงที่อายุไม่ถึงสิบห้าปี แค่นี้มันก็ทำให้คุณย้ายไปนอนกินข้าวแดงในคุกได้สบายๆเลยนะครับ”“ไอ้ผัวบ้า! ไอ้จัญไร! ไหนว่าไปเล่นไพ่อย่างเดียวไง”“ก็นั่นมันของแถมนี่ โอ๊ย!” ธงชัยโดนเมียบิดหูเข้าให้“เอาล่ะครับ” ภูมิพยัตหยิบรูปเหล่านั้นกลับคืน “ในฐานะที่เราก็จะเป็นญาติกันแล้ว ผมจะช่วยปิดเรื่องนี้ให้ แต่ผมก็หวังว่าคุณทั้งสองจะตอบแทนบุญคุณผมโดยการไม่ยุ่งเกี่ยวกับไปรยาอีก”“ได้ๆ จะเอาไปทำอะไรก็เอาไปเลย” ธงชัยรีบบอก“คำพูดอย่างเดียวไม่มีความหมาย ผมทำหนังสือสัญญามาแล้ว รบกวนทั้งสองช่วยเซ็นรับรู้ด้วยนะครับ” เขาหยิบซองจดหมายออกมาแล้วส่งให้ ธงชัยรีบเซ็นชื่อโดยไม่อ่านรายละเอียดทั้งมือไม้สั่น ภรรยาของเขาก็เช่นกัน เพราะเกรงสายตาคมกริบคู่นั้น ถ้าขนาดยิงกำนันนิยมคนดังได้ พวกเขาทั้งสองคนรอดได้ยาก
คุณบุญมาและคุณรำเพยดีใจที่จะได้ไปรยามาเป็นลูกสะใภ้ ทั้งสองฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเม่นแล้ว ทั้งสองดูจะเห่อว่าที่ลูกสะใภ้มากกว่าลูกชายเสียอีก เรียกว่าเตรียมวางแผนจัดงานแต่งงานให้สมน้ำสมเนื้อไม่ให้ไปรยาน้อยหน้าใคร“ปรายไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่ไหน เราจัดกันเล็กๆก็ได้ค่ะ”“ไม่ได้หรอก งานแต่งานลูกชายคนเดียวของบ้านเรา” คุณบุญมาหัวเราะชอบใจ “หนูปรายต้องมีลูกเยอะๆนะ พ่อกับแม่มีลูกคนเดียวเหงาจะแย่ ปรายไม่ต้องห่วง แม่กับพ่อจะช่วยเลี้ยงเอง”“อ้าวพ่อ นี่ลูกผมผมจะเลี้ยงเอง พ่อกับแม่เอาไปเลี้ยงเดี๋ยวก็ตามใจจนเสียคนหรอก”“บ่ะ! ไอ้ลูกคนนี้นี่ ดูเอ็งซิ นี่ก็เสียคนจะแย่อยู่แล้ว พูดจากับพ่อกับแม่ไม่มีหางเสียเอาซะเลย”“ก็พ่อเป็นคนสอนผม ลูกผู้ชายอย่าทำตัวหยุมหยิม ผมก็เป็นแบบนี้”“เอาน่าพ่อลูกคู่นี่ก็นะ” คุณรำเพยห้ามทัพ แล้วหันไปมายิ้มให้ไปรยา “แต่ยังไงหนูปรายก็ยังมีอาอยู่ ถึงเขาจะทำไม่ดีกับเรา เราก็คงจะบอกเขานะ เผื่อวันหน้าได้เจอหน้ากันจะได้มองหน้ากันได้”“ปรายก็คิดแบบนั้นค่ะ”“รอแผลหายก่อนผมจะพาปรายไปบ้านที่กรุงเทพฯ“ดีแล้ว ถ้างั้นก่อนแต่งงานให้หนูปรายมาอยู่เรือนใหญ่กับพ่อแม่ก่อนนะ”“ไม่ได้ อีกตั้งเป็นเดือน
Chapter 23.ไม่ได้กะเอาถึงตายนี่“นายต้องไปโรงพยาบาล”“แผลไม่เท่าไหร่” ภูมิพยัตกัดฟันพูดและมองตามร่างของกำนันนิยมที่ถูกหามขึ้นรถพยาบาลออกไปแล้ว“ไม่ค่อยได้ซ้อมหรือไง” เม่นพูดประชด“ก็ไม่ได้กะเอาตายนี่ แค่นี่ก็คงสาหัสเหมือนกัน” เขาถอนหายใจ“เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองเข้าทลายซ่องและบ่อนกำนันนิยม” เม่นอธิบาย“นายเป็นคนทำรึ” “เราแค่เป็นสายให้เท่านั้นเอง” เม่นหัวเราะแฮะๆ “เราจะให้การเป็นพยานให้นายเอง ตอนนี้ไปให้หมอทำแผลก่อนดีกว่า คุณปรายครับ ช่วยพูดให้เพื่อนดื้อๆ ของผมไปโรงพยาบาลที่เถอะครับ”“คุณพยัตไปโรงพยาบาลเถอะค่ะ” ไปรยาอ้อนวอนด้วยแววตาที่ใครเห็นก็ใจอ่อน ภูมิพยัตพยักหน้ารับ เขาอยากกอดเธอแต่แขนเจ็บจนยกไม่ขึ้น เขาหันไปกระซิบกับเม่น เพื่อนกลั้นหัวเราะแล้ววิ่งหายไปครู่หนึ่งกลับมาพร้อมเสื้อแจ็คเก็ตให้ไปรยาใส่คลุมทับชุดเดรสสีแดงเพลิงที่เธอสวมอยู่“คุณปรายต้องอยู่ให้ปากคำกับตำรวจก่อน เราจะดูแลคุณปรายให้เอง นายไปกับโรงพยาบาลก่อนเถอะ เสร็จแล้วพวกเราจะตามไป”มีเพียงสายตาที่จ้องมองด้วยความเข้าใจ จำใจต้องห่างกันเพียงชั่วคราว เธออยากอยู่ดูแลเขาแต่ก็ต้องเคลียร์เรื่องทางนี้ก่อน ไ
เจ้หงส์เดินนวดนาดด้วยท่วงท่านางพญา เธอไม่เหมือนกับเจนนี่ที่มักจะชอบร้องวีดว๊ายๆน่าปวดหัว แต่เจ้หงส์ดูแลแค่เด็กในอาบอบนวด ไม่ได้บริการจัดหาส่งถึงสถานที่อย่างเจนนี่ เจ้หงส์เดินกลับมาที่ห้องเก็บตัวที่ขังไปรยาไว้ ถอนหายใจโล่งอกที่ไม่มีใครยืนคุมหน้าห้อง มือเรียวที่ทาเล็บสีม่วงสวยเปิดประตูเข้าไป ร่างเล็กผวาเฮือกยกมือที่ถูกมัดปาดน้ำตา“เช็ดน้ำตาซะ แต่งตัวสวยๆแล้วออกไปกับเจ้”“ทำไมคะ”“เจ้พูดไม่ได้แต่ต้องรีบ” เจ้หงส์เดินไปที่ตู้เสื้อเลือกหยิบชุดที่แดงเพลิงออกมาแล้วแก้เชือกที่มัดอยู่ ไปรยามองอย่างหวาดๆ“จำไว้ถ้าเกิดอะไรขึ้นอย่าพูดชื่อเจ้เด็ดขาด เจ้ช่วยได้แค่นี้”“ขอบคุณค่ะ” ไปรยาหยิบเสื้อผ้ามาพอคลี่ชุดสีแดงออกดูก็ต้องอ้าปากค้าง เธอไม่เคยใส่เสื้อผ้าแบบนี้เลย แต่เมื่อหันไปทางเจ้หงส์ที่พยักหน้าให้ ทำให้เธอต้องรีบเปลี่ยน มันเป็นชุดเดรสสายเดี่ยวเส้นเล็กอวดเนื้อหนัง กระโปรงก็สั้นจนเธอไม่กล้าก้าวขา มือเล็กพยายามดึงชายกระโปรงลงมาอีกแต่มันก็ไม่ช่วยอะไร เจ้หงส์มองแล้วก็ถอนหายใจ หยิบแปรงมาหวีผมให้หญิงสาว ตามด้วยแต่งหน้าลบรอยน้ำตา ไม่รู้ที่มาที่ไปแต่คิดว่าหญิงสาวคนนี้คงไม่ได้เต็มใจมาจริงๆ แต
“ไปแล้ว” ภูมิพยัตยกเหล้าขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่ เม่นขมวดคิ้วยุ่งกับสิ่งที่เพื่อนพูด“ไปไหน?”“ไม่รู้ รู้แต่ไปแล้ว” “เฮ้ย! พูดจาไม่รู้เรื่องเลยว่ะ”เม่นแย่งแก้วเหล้าจากมือเพื่อน เสียงเพลงที่ดังกระหึ่มในร้านทำให้เขาตัดสินใจลากเพื่อนออกมานั่งที่หน้าร้านแทน แม้เสียงเพลงจะดังออกมาข้างนอก แต่ก็พอจะคุยกับเพื่อนได้ จะได้รู้ว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นหายไปไหนกัน“เรื่องเป็นมายังไงวะ ไหนเล่ามาดิ”“ไม่รู้จะเล่ายังไง”“เวลาแบบนี้เหล้าไม่ช่วยอะไร แต่เพื่อนน่ะช่วยรับฟังได้นะเว้ย”ภูมิพยัตถอนหายใจเฮือกใหญ่ อย่างที่เม่นพูดก็ถูก เวลานี้เขาต้องเพื่อนที่ช่วยรับฟังปัญหาจริง เพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ไปรยาตัดสินใจเลยสักนิด เขาเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้เม่นฟัง เว้นเพียงแต่ความสัมผัสลึกซึ้งที่เขากับไปรยามีร่วมกัน จนมาถึงฉากสุดท้ายที่เห็นไปรยาเดินจากไปพร้อมกำนันนิยม“แล้วนายว่าไงล่ะ เราทำอะไรไม่ถูกเลย”“ไอ้บ้าเอ๊ย!!” เม่นตะคอกใส่เสียงดัง เขาโมโหจนอยากถีบโต๊ะ หรือปาขวดระบายอารมณ์เสียจริง“อะไรวะ”“ทำไมนายโง่ขนาดนี้วะ” เม่นกระชากคอเสื้อของภูมิพยัตเขย่าแรงๆ“เฮ้ย! นายเป็นอะไรไปวะ” ภูมิพยัตปัดมือของเพื่อนออก “ไม่
“คุณพยัตจะเข้าใจยังไงมันก็เรื่องของคุณ คนเห็นแก่ตัวอย่างปรายก็ต้องไปตามทางของปราย” เธอพูดแล้วก็รีบเดินไปที่ประตูห้อง เปิดออกอย่างรวดเร็ว“ปราย”ภูมิพยัตทำเสียงเหนื่อยๆ เขาเองก็สับสนกับความรู้สึกของตัวเอง โกรธที่เธอไม่พูดความจริง หรือโกรธที่ความจริงมันเปิดเผยตอนที่เหตุการณ์มันมาบรรจบกันอย่างนี้ เขาเคยถูกทิ้งเพราะมีหนี้สินล้นพ้นตัว เขาเกลียด เขาเสียใจที่ถูกทิ้งยามยากลำบาก ไปรยาทิ้งครอบครัวตัวเองทั้งที่รู้ว่ามีหนี้สินและหนีมาอยู่กับเขาแบบนี้ เขา...เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเธอรู้เพียงแค่ ปล่อยเธอไปจากชีวิตเขาไม่ได้เท่านั้นไปรยาเปิดประตูออกมา เธอต้องอุทานด้วยความตกใจ เมื่อเห็นผู้เป็นอารวมทั้งคนที่วิ่งตามจับเธอคราวก่อนอยู่ตรงนั้น“นังปราย! แกมันแย่จริงๆ ทิ้งอาแล้วหนีไปแบบนั้น เอาตัวมันไปเลยครับกำนันนิยม” ธงชัยชี้หน้าด่าทันที เขาโกรธจนควันแทบออกหู เห็นเงียบๆไม่คิดว่าจะมีพิษสงเล่ห์เหลี่ยมเยอะขนาดนี้ ธงชัยหันไปพูดน้อมน้อมกับกำนันนิยม กำนันมองหญิงสาวด้วยสายตาพึ่งพอใจแล้วพยักหน้าให้ลูกน้องไปเอาตัวหญิงสาวมา ร่างบางถึงกับผงะถอยหลัง อยากหมุนตัวกลับไปหาภูมิพยัต แต่สายตาดูถูกดูแคลนของเข
“ไม่เป็นไรค่ะ ปรายเข้าใจ” ไม่หรอก จริงๆแล้วเธอไม่เข้าใจอะไรเลย จู่เขาก็ทำท่าโกรธเธอมากมายขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี่เขาแสนดีกับเธอจะตายไป“ใช่ เราต้องคุยกัน”ภูมิพยัตปล่อยมือจากเจนนี่ เล่นเอาแม่เล้าถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้น ไปรยาเดินตามแผ่นหลังของเขาออกมานอกร้านกาแฟ“คุณพยัตค่ะ มีเรื่องอะไรหรือคะ”“ผมถามจริงๆ คุณรู้จักคนที่ผมพาเข้าไปเมื่อกี้ไหม?”“เอ่อ...ไม่ทราบค่ะ” เธอพูดตามจริง”“คุณจำได้ไหมว่า คุณบอกผมว่าใครส่งคุณมาเป็นแม่บ้านที่บ้านของผม”“ค่ะ” ไปรยาพยักหน้ารับ “คุณเจนนี่ค่ะ”ภูมิพยัตสูดลมหายใจลึก แล้วจ้องมองราวกับจะฉีกเธออกเป็นชิ้นๆ เพราะเขาเกลียดคนโกหกที่สุด“ไปรยา เราต้องหาที่เงียบๆคุยกันแล้ว ผมต้องการรู้ความจริงจากปากคุณเท่านั้น”คำพูดของเขาเฉียบขาดดุจกับคมมีดที่กรีดคนให้ตายได้ เขาดึงข้อมือเธอให้เดินมาที่รถราวกับกลัวเธอจะวิ่งหนีไป เขาขับรถเข้ามาในโรงแรมที่ทั้งคู่เจอกัน ไปรยารู้สึกหวาดกลัว ไม่ใช่เพราะเขา แต่เพราะเคยหนีเจ้าหนี้ของอาธงชัย ขณะที่ภูมิพยัตโอบไหล่คนตัวเล็กเข้าห้องพัก หญิงสาวไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว เพราะเธอกังวลแต่เรื่องของชายหนุ่มจนลืมไ
อาจจะมีแต่ภูมิพยัตเท่านั้นที่ไม่รู้ตัว ว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เมื่ออยู่บ้านเขามักจะช่วยไปรยาหยิบนั้นหยิบนี่ กลายเป็นเงาตามตัวไปรยาไปเสีย วันนี้เขามีธุระต้องเข้าไปในตัวอำเภอ เขาสั่งลูกน้องให้แวะเวียนมาเดินยามที่หน้าบ้านพ่อแม่ ต้องบอกพ่อให้คอยระวังด้วย“ไม่พาหนูปรายไปเที่ยวบ้างละลูก” “ไม่เป็นไรคะคุณท่าน คุณพยัตไปทำงาน ปรายไปก็เกะกะเปล่าๆ”“ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างซิ อยู่ในบ้านทุกวันเป็นเดือนๆแล้ว”ภูมิพยัตมองอย่างชั่งใจแล้วพยักหน้ารับ เขาก็อยากอยู่ตามลำพังกับเธอบ้างเหมือนกัน “ไปแบบนี้นั้นแหละ ถ้าคืนนี้กลับไม่ทันก็จะมาตอนเช้า”“ดูแลน้องด้วยล่ะ” พ่อกำชับ“พ่อก็ดูแลแม่ด้วย” เขายังแอบห่วงเรื่องคนที่มาเผาโรงงานอยู่ แต่ก็สั่งคนให้คอยมาดูที่บ้านแล้ว“ไปเถอะ กว่าจะไปถึง” เขาพยักหน้าเรียกและเดินนำมาที่รถ ไปรยารีบเดินเร็วๆตามหลังเขามา แต่เขาไม่ได้เดินไปที่รถกระบะที่ใช้ประจำ แต่เป็นรถเก๋งคันหรูสีน้ำเงินเข้ม และก็เป็นเช่นทุกครั้งที่เขาจะเปิดประตูรถให้ รอจนเธอขึ้นรถเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาฝั่งคนขับและออกรถ “รถมันจอดให้ฝุ่นจับอยู่อย่างนาน เลยเอาออกมาใช้บ้าง”“ค่ะ” เธอไม่รู้จะพ