เพียงแต่พวกเขาตะโกนได้สองประโยคก็ตะโกนไม่ออกแล้วเพราะซือเจ๋อเยว่ได้วิ่งเข้าไปฉีกกระชากท้องของผู้หญิงท้องคนนั้นอีกครั้งนางดึงหมอนขนาดใหญ่ใบหนึ่งออกมาจากในท้องของผู้หญิงท้อง ท้องของนางแบนลงทันทีผู้คนโดยรอบที่มามุงดูตะลึงก่อน หลังจากนั้นมีคนตะโกน “ท้องของนางเป็นของปลอม!”ผู้หญิงท้องคนนั้นเห็นท่าไม่ดี หมุนกายก็จะหนีทันทีซือเจ๋อเยว่เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว พลันคว้าผมของนางไว้ กระชากนางล้มลงพื้นอย่างแรงจากนั้นยกเท้าเหยียบหน้าอกของผู้หญิงท้องแล้วกล่าว “แม่นางคิดว่าคนของจวนเยียนอ๋องหลอกง่ายจริงๆ หรือ? รังแกคนของจวนเยียนอ๋องแล้วยังคิดจะหนีอีกหรือ?”พระชายาเยียนอ๋องตะลึงเมื่อเห็นภาพนี้ นางกล่าวด้วยความโกรธ “เป็นของปลอม! ผู้หญิงคนนี้เป็นคนหลอกลวง!”เยียนเหนียนเหนียนกล่าวเสียงดัง “ข้ารู้อยู่แล้ว เสด็จพ่อของข้าไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้!”เฉิงเอินโหวฮูหยินคิดจะหนี เฟิ่งจือเซี่ยขวางนางไว้ “เฉิงเอินโหวฮูหยิน โปรดอยู่ก่อน”“ตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนหลอกลวง รบกวนท่านขอโทษเสด็จแม่และน้องสาวของข้าด้วย”ดวงตาเฉิงเอินโหวฮูหยินมองไปทั่ว เค้นรอยยิ้มแล้วกล่าว “เมื่อครู่ข้าก็ถูกผู้หญิงค
เฉิงเอินโหวฮูหยิน “...”เฉิงเอินโหวฮูหยิน “!!!”คำพูดนี้ฟังดูคุ้นๆ!นางมองไปทางซือเจ๋อเยว่ ซือเจ๋อเยว่จ้องกลับไปตรงๆนางแลดูอ้อนแอ้นอ่อนแอ กลิ่นอายรอบตัวกลับแข็งแกร่งถึงขีดสุด จ้องจนเฉิงเอินโหวฮูหยินเริ่มรู้สึกกลัวซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างเชื่องช้า “วันนี้ฮูหยินพูดโดยไม่คิด หมิ่นเสด็จแม่ของข้า รังแกน้องสาวของข้า”“แม้ตอนนี้จวนเยียนอ๋องไม่มีผู้ชาย แต่ในจวนยังมีผู้หญิง ผู้ที่รังแกจวนอ๋องของเรา ผู้ที่ดูหมิ่นจวนอ๋องของเรา จะต้องได้รับผลกรรม!”“ข้ามีเหตุผลอันสมควรที่จะสงสัยว่า ฮูหยินเป็นคนส่งผู้หญิงท้องท่านนี้มาทำให้เสด็จพ่อเสียชื่อ และอาจเกี่ยวข้องกับคดีแพ้สงคราม เรื่องนี้ปล่อยผ่านไม่ได้เด็ดขาด”“ดังนั้นวันนี้ต้องรบกวนฮูหยินไปศาลต้าหลี่กับข้าแล้ว ข้าจะขอให้ศาลต้าหลี่ตรวจสอบคดีนี้อย่างละเอียด!”เฉิงเอินโหวฮูหยินมองตาค้างโดยตรง นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าซือเจ๋อเยว่จะแข็งกร้าวเช่นนี้! และข้อกล่าวหาที่ซือเจ๋อเยว่กล่าวหานาง ยิ่งทำให้นางตกใจปัจจุบันฮ่องเต้เจาหมิงยังไม่ได้ตัดสินเรื่องแพ้สงคราม จวนเยียนอ๋องยังคงเป็นจวนเยียนอ๋อง!นางรีบกล่าว “เรื่องวันนี้เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด ผู้หญิงท้องคนนั
เจ้าหน้าที่ตอบรับพร้อมจะเข้ามาจับกุมคน เฉิงเอินโหวฮูหยินยิ่งวิตกกังวลกว่าเดิม “ข้าก็แค่พูดลอย ๆ ไม่กี่คำ เหตุใดจึงกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเสียได้?” “ใต้เท้าเหวย ท่านจะจับคนตามอำเภอใจไม่ได้!” เหวยอิ้งหวนยกมือคารวะให้เฉิงเอินโหวฮูหยินโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ “ข้ามิได้จับคนตามอำเภอใจ ทว่าเป็นจวนเยียนอ๋องที่ฟ้องร้องฮูหยิน” “บัดนี้มีทุกคนที่นี่เป็นพยาน แน่นอนว่าข้าจะต้องสอบสวนเพิ่มเติม ฮูหยินโปรดอภัย” คำพูดของเขามีความเกรงใจ ทว่าการกระทำนั้นไม่เกรงใจเลย โดยสั่งให้เจ้าหน้าที่กุมตัวเฉิงเอินโหวฮูหยินออกไปทันที เวลานี้เฉิงเอินโหวฮูหยินรู้สึกเสียใจมาก หากรู้ว่าเรื่องจะจบลงเช่นนี้นางคงไม่เข้ามายุ่งตั้งแต่แรก! เหวยอิ้งหวนยังเป็นผู้พิพากษาที่เถรตรงแห่งเมืองหลวง เขากระทำการโดยยึดถือเพียงหลักฐานไม่สนฐานะคน ไม่ว่าเจ้าจะมีสถานะใด ตราบใดที่กระทำความผิด เขาก็กล้าที่จะจับกุม เฉิงเอินโหวฮูหยินรู้ว่าคราวนี้ตนจะต้องมีมลทินจากการถูกจับเข้าเรือนจำ เมื่อกลับจวน เกรงว่าเฉิงเอินโหวจะหย่าขาดจากนางแน่นอน มันจะกลายเป็นเรื่องขบขันของเมืองหลวง นางร้องไห้ขอความเมตตา
“ยามนี้ข้าแค่หวังว่าศาลต้าหลี่จะจัดการกับคดีนี้อย่างจริงจัง ลงโทษเฉิงเอินโหวฮูหยินให้หนัก มิเช่นนั้นเกรงว่าในวันข้างหน้าจะมีใครกล้ามารังแกจวนเยียนอ๋องอีก” ซือเจ๋อเยว่เลิกคิ้วเพียงเบา ๆ “ลงโทษเฉิงเอินโหวฮูหยินนั้นไม่ยาก ทว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการกระทำของนางคือการเชือดไก่ให้ลิงดู” “สำหรับพวกที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเหล่านั้น แม้จะได้รู้แล้วว่าจวนเยียนอ๋องจัดการไม่ง่าย ทว่าจะไม่ยอมแพ้” “และบัดนี้พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ศัตรูอยู่ในที่มืด พวกเราเป็นเพียงเป้าที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ปัญหามากมายจะตามมาเคาะประตูไม่หยุดหย่อน” เหล่าไท่จวินผงกศีรษะ “เป็นเช่นนั้นจริง แล้วองค์หญิงมีแผนการดี ๆ บ้างหรือไม่?” ซือเจ๋อเยว่ตอบว่า “ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ หนทางดีที่สุดสำหรับจวนเยียนอ๋องคือการย้ายทั้งครอบครัวไปอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษนอกเมือง” “แต่ทว่าตอนนี้คดีของจวนอ๋องยังไม่สิ้นสุด พวกเราจำเป็นต้องให้ความร่วมมือในการสอบสวน จึงยังย้ายครอบครัวไม่ได้ ทางเลือกดีที่สุดตอนนี้คือปิดจวน” “บังเอิญว่ายังมีเหตุผลของการปิดจวนเยียนอ๋องที่ดีพอ นั่นคือการไว้ทุกข์” “ขอเพียงพวกเราปิดประตูและใช้ชีวิต
แม้ว่าสุดท้ายลู่จิ่นเหนียงจะจากไปก็ต้องไปพร้อมกับข้ออ้างว่าทุกคนในจวนอ๋องไม่ต้อนรับนาง มิใช่การจากไปโดยที่ทุกคนไม่เกลี้ยกล่อมให้อยู่ต่อเลย นางมองเหล่าไท่จวินด้วยความตกตะลึงมากแล้วพูดว่า “ท่านย่าเร่งรีบผลักไสข้าไปหรือ?” เหล่าไท่จวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “มิใช่ว่าข้าอยากผลักไสเจ้าไป แต่เป็นเจ้าที่อยากไปเอง” “เจ้ายังสาว เสี่ยวซื่อก็จากไปแล้ว หากข้ายังบังคับให้เจ้าอยู่ในจวนเยียนอ๋องต่อไป เกรงว่าจะทำให้เจ้าคับข้องใจ” “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ปล่อยเจ้าไปจะดีกว่า และยุติความสัมพันธ์นี้ลงเสีย” ลู่จิ่นเหนียงน้ำตาร่วงพรูลงมามิขาดสาย “นี่ท่านย่ากำลังขับไล่ข้าออกไป!” เหล่าไท่จวินเพิกเฉยต่อนาง หันไปมองทางเฟิ่งจือเซี่ยและฉินซิ่วเอ๋อร์ “พวกเจ้าทุกคนอายุยังน้อย ชีวิตที่มีสีสันกำลังรออยู่ข้างหน้า” “หากพวกเจ้าก็อยากออกไป ข้าจะแจ้งให้คนในครอบครัวของพวกเจ้ามารับตัวพวกเจ้าด้วย” เฟิ่งจือเซี่ยเอ่ยด้วยดวงตาแดงระเรื่อ “ข้าแต่งงานเข้าจวนอ๋องได้อย่างไร ท่านย่าย่อมรู้ดี” “หากข้ากลับไปตอนนี้ คนในบ้านพ่อแม่เหล่านั้นจะไม่ต้อนรับข้าเด็ดขาด” “และ…และในใจของข้ามีเพียงแ
“หากว่าข้าได้รับโอกาสอีกครั้ง ข้าจะใช้ชีวิตคู่กับพี่เอ้อร์ให้ดี ๆ ตั้งแต่แต่งงานเข้าจวนเลย มีลูกชายและลูกสาวอย่างละคนให้เขา…” น้ำตาของนางร่วงเผาะยามเอ่ยเช่นนั้น สุดท้ายก็พูดต่อไม่ไหวแล้ว สำหรับเรื่องในอดีต ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับนาง ทว่าหลังจากที่นางแต่งเข้าจวนอ๋อง ไม่มีใครเอ่ยถึงเลย แม้แต่นางเองก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ เวลานี้นางได้พูดความในใจทั้งหมดออกมา ทั้งคนจึงแลดูผ่อนคลายมากขึ้น เหล่าไท่จวินยกมือลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยนพลางเอ่ย “ทั้งหมดเป็นเพียงอดีต เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็อย่าพูดถึงอีกเลย” “หากเจ้าตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ เช่นนั้นก็มาเป็นลูกสาวของจวนเยียนอ๋องเถอะ!” เฟิ่งจือเซี่ยพยักหน้าเบา ๆ เหล่าไท่จวินมองไปที่ฉินซิ่วเอ๋อร์อีกรอบ ฉินซิ่วเอ๋อร์ยังไม่ทันได้พูด ลู่จิ่นเหนียงก็ชิงพูดก่อนว่า “น้องสะใภ้ห้า เจ้าอายุน้อยที่สุด และเพิ่งแต่งงานกับน้องอู่ได้เพียงครึ่งปี...” “ข้าอยากอยู่ในจวนอ๋องเจ้าค่ะ” ฉินซิ่วเอ๋อร์พูดแทรกนางและพูดว่า “ข้ากับพี่อู่เป็นคู่รักที่มีใจให้กันตั้งแต่เด็กๆ” “นับตั้งแต่วันที่ข้าได้แต่งงานกับเขา
“ไม่มีทาง” ซือเจ๋อเยว่ยิ้มเอ่ย “กล่าวอีกนัยคือ ข้ามิได้แต่งเรื่องใส่พวกเขา ทว่าพูดตามความจริงทั้งนั้น” “หากในวันข้างหน้าท่านย่ามีโอกาสได้พบพวกเขา ก็จะรู้ว่าทุกสิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริง” แววตาของเหล่าไท่จวินมีความอบอุ่นขึ้นอีก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นับจากนี้องค์หญิงก็พักอยู่ในจวนอ๋องเป็นการชั่วคราวเถอะ” “หากในอนาคตรู้สึกว่าอยู่ในจวนแล้วอึดอัดใจ จึงต้องการที่จะออกไป ก็สามารถไปได้ทุกเมื่อ” ซือเจ๋อเยว่ยิ้มพลางผงกศีรษะ ลู่จิ่นเหนียงมองดูพวกนางพูดคุยหยอกล้อด้วยกัน พลันรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก ทั้งคนแลดูอึดอัดใจมาก เดิมนางคิดว่าเกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นในจวนเยียนอ๋อง ฉินซิ่วเอ๋อร์จะเป็นคนประเภทเดียวกับตัวนาง คือหาทางออกไปจากจวนเยียนอ๋อง นางกลับไม่คาดคิดว่า ฉินซิ่วเอ๋อร์ให้ตายก็ไม่ยอมจากไป! ไม่เพียงแต่ฉินซิ่วเอ๋อร์ไม่ยินยอมจากไป เฟิ่งจือเซี่ยก็ไม่ยินยอมจะจากไปด้วย ซือเจ๋อเยว่ก็ไม่ไป! พวกนางทำให้นางดูแปลกแยกและสร้างภาพให้นางเป็นตัวโกงที่น่ารังเกียจไร้น้ำใจไร้คุณธรรม เดิมนางก็เป็นคนจิตใจคับแคบมากอยู่แล้ว จึงอดกลั้นไม่ไหว เวลานี้ในใจของนาง
“จิ่นเหนียง ถือว่าแม่ขอร้องเจ้า แม้ว่าเจ้าจะไม่อยากอยู่ในจวนอ๋องอีกแล้ว ก็ขอให้คลอดลูกคนนี้ก่อนเถอะ” ลู่จิ่นเหนียงหลบเลี่ยงสายตาของพระชายาเยียนอ๋องเล็กน้อย มิได้รับปาก ฉินซิ่วเอ๋อร์และเฟิ่งจือเซี่ยมองไปที่ลู่จิ่นเหนียงด้วยสายตาอิจฉา เหล่าไท่จวินเห็นปฏิกิริยาของลู่จิ่นเหนียง ก็ถอนหายใจข้างในใจ นางพูดเสียงเบา “วันนี้พวกเจ้าเหนื่อยมากแล้ว ทุกคนกลับไปพักผ่อนเถอะ ให้จิ่นเหนียงได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ด้วย” หลังจากที่ทุกคนออกจากห้องของลู่จิ่นเหนียง และต่างคนต่างกลับห้อง เหล่าไท่จวินเรียกซือเจ๋อเยว่ไว้ เพื่อถาม “องค์หญิงคิดเห็นอย่างไรกับสถานการณ์นี้?” ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าเหล่าไท่จวินถามถึงอะไร แม้ว่านางจะมองเห็นบางเหตุการณ์ก็ตาม ทว่าในเวลานี้ยังมิสามารถพูดออกไปตามตรงได้ นางพูดเลี่ยง “เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของน้องสะใภ้สี่ ผู้ใดก็ตัดสินใจแทนนางไม่ได้” หลังจากที่เหล่าไท่จวินถอนหายใจเบา ๆ ก็พูดว่า “ท่านพูดถูก” นางพูดจบแล้วก็ส่งเสียงไอสองสามครั้ง ซือเจ๋อเยว่พูดด้วยความเป็นห่วง “ท่านย่าต้องรักษาสุขภาพด้วย” เหล่าไท่จวินผงกศีรษะ “วางใจเถอะ ร่ายก
"ไม่มีคำว่าแต่อันใดทั้งนั้น" นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน "หากท่านไม่รีบออกไป อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!" ซือเจ๋อเยว่ "…" เมื่อคืนที่ผ่านมานางได้ยินเยียนเซียวหรานบอกว่าราชครูไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น และไม่ชอบพบเจอคนแปลกหน้า นางคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนเช่นนั้น อย่างน้อยก็การที่เขาเร่งเดินทางไกลกลับมาเพื่อใช้กระบี่ฟันไป๋จื้อเซียนครั้งนั้น ก็หมายความว่าเขาหาใช่คนที่เพิกเฉยต่อปัญหาของผู้คนโดยสิ้นเชิง นางยังคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้ เมื่อเขาเดาเจตนาของนางได้ เขากลับส่งนักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวที่ดุดันมาไล่นางออกไป หากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่อื่น นางคงจะบุกขึ้นเขาไปถามเขาให้รู้เรื่อง แต่ที่นี่คือเมืองหลวง อีกทั้งกระบี่ของเขาคราวก่อนทรงพลังจนเกินคาด ราชครูผู้นี้คงเป็นยอดฝีมือที่นางไม่อยากขัดแย้งด้วย ดังนั้น นางจึงทำได้แค่พาเยียนเซียวหรานเดินออกจากค่ายกลไปอย่างเงียบ ๆ ทันทีที่พวกเขาก้าวออกจากค่ายกล นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวก็รีบปิดซุ้มประตูที่เชิงเขาทันที ซึ่งปกติแทบไม่เคยปิด เขาปิดประตูอย่างรุนแรงจนซือเจ๋อเยว่ที่เดินช้ากว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่มีความจำเป็นต้องถามอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า” ครั้งนี้เยียนเซียวหรานไม่ได้หันกลับมามองนางอีก และนางก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ นางหมุนตัวแล้วเดินจากไป เยียนเซียวหรานมองเปลวเทียนที่ลุกไหวอยู่ในศาลบรรพชน ก่อนจะถอนหายใจเสียงยาว เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมาที่ห้อง นางครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเยียนเซียวหรานในปีนี้ นางคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ในสถานการณ์เช่นนี้ คำอธิบายเดียวที่ดูคล้ายจะสมเหตุสมผล คืออาจเป็นเพราะลุงเขยของเยียนเซียวหรานมาเยือน จึงทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ นางยักไหล่เล็กน้อย ไม่ใส่ใจจะคิดต่อ และหันไปวางแผนว่าหากได้พบกับราชครูในวันรุ่งขึ้น นางจะเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วยจัดการไป๋จื้อเซียนได้อย่างไร เช้าวันรุ่งขึ้น เยียนเซียวหรานมาตามที่นัดไว้ เขาพานางไปยังหอพยากรณ์ดวงดาวเพื่อพบกับราชครู แม้จะเรียกว่าหอ แต่ที่แท้แล้วคือกลุ่มอาคารขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่อดีตฮ่องเต้สร้างขึ้นเพื่อราชครู ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งที่แห่งนั้น ก็สามารถเฝ้าดูดวงดาวและทำนา
แท้จริงแล้วราชครูมีการไปมาหาสู่กับเยียนอ๋อง ในเมืองหลวงเขาแทบไม่มีสหายที่ใด เยียนอ๋องกลับเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว ครั้งล่าสุดก่อนที่เยียนอ๋องจะออกศึก ราชครูเคยมาพบเยียนอ๋องครั้งหนึ่ง ส่วนพวกเขาหารือเรื่องใดกันนั้น เยียนเซียวหรานไม่อาจรู้ได้ เพียงแค่ได้ยินเสียงทั้งสองทะเลาะกันในห้องหนังสือ หลังจากจวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง ราชครูก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ในค่ำคืนนั้นเมื่อเยียนเซียวหรานพบราชครูที่เรือนพักในจวนหนิงกั๋วกง เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกในความทรงจำของเยียนเซียวหราน ที่ราชครูยอมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ ปกติเมื่อเขาอยู่ในเมืองหลวง ก็มักจะพำนักอยู่ในหอพยากรณ์ดวงดาว ไม่ว่าจะมีเรื่องใดที่ไม่สำคัญจริง เขาจะไม่มีทางออกมา ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยความกังวล “แต่ไป๋จื้อเซียนนั้นเป็นภัยใหญ่ ทั้งยังเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย” “เกรงว่าไม่นานเกินรอเขาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีก ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็จะยิ่งจัดการยากขึ้น” “ไม่ว่าราชครูจะยินยอมพบข้าหรือไม่ ข้าคงต้องหาวิธีพบเขาให้ได้” เยียนเซียวหรานพยักหน้า “ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่าน” ซือเจ๋อเยว
เขานึกถึงภาพในช่วงหลายวันที่ผ่านมายามนางนอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีวี่แววของลมหายใจใด ๆ หัวใจเขาเจ็บปวดราวกับถูกบีบคั้นจนแทบทนไม่ได้ ถึงแม้เขาจะรู้อยู่เสมอว่าสภาพร่างกายของนางไม่แข็งแรง แต่ทุกครั้งที่เขาได้พบนาง นางกลับมีรอยยิ้มเปี่ยมล้นบนใบหน้า ร่างกายของนางดูเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขาไม่เคยคิดว่านางเป็นคนที่กำลังจะสิ้นลม และไม่เคยคิดว่าสภาพร่างกายของนางจะแย่ถึงเพียงนี้ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับเตือนเขา ว่านางบอบบางยิ่งกว่าที่เขาเคยคาดคิดไว้มากนัก เขาเอ่ยเสียงเบา “เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้ องค์หญิงพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนให้ดีเถอะ”ซือเจ๋อเยว่หัวเราะเสียงเบา “สภาพร่างกายของข้า ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?” “เมื่อมีเจ้าอยู่ข้างกาย ข้าอาจอยู่ได้นานขึ้นอีกสักหน่อย แต่หากเจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะตายเร็วขึ้นกว่าเดิม” เยียนเซียวหรานขมวดคิ้วแน่น บัดนี้เขาไม่อยากได้ยินคำว่า ‘ตาย’ อีกแล้ว ซือเจ๋อเยว่นั่งลงข้างเขา ใช้มือทั้งสองประคองคางของตนเองไว้พลางเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง ไป๋จื้อเซียนนั่นเป็นข้าที่ปล่อยออกมาเอง” “เรื่องครั้งนี้จะไปโทษเจ้าไม่ได้หรอก หากจะโทษก็ต้องโทษข้า” “
เยียนเซียวหรานหลุบตาลง “ท่านย่าสั่งสอนได้ถูกต้อง ครั้งนี้เป็นข้าที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ตอนนี้องค์หญิงฟื้นแล้ว ท่านย่าลงโทษข้าเถิดขอรับ”เหล่าไท่จวินพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ท่านย่า เรื่องนี้โทษน้องสามไม่ได้จริง ๆ หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตอนนั้นสถานการณ์พิเศษ”“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอเข้ากับไป๋จื้อเซียนที่นั่น หากไม่ใช่เพราะน้องสามปกป้องข้าจนสุดชีวิตละก็ ข้าก็คงตายไปแล้ว”“ดังนั้นท่านย่าอย่าได้ลงโทษน้องสามเลย เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน”เหล่าไท่จวินถอนหายใจ “องค์หญิงไม่ต้องร้องขอความเมตตาแทนเขา เขาเป็นบุรุษ เดิมทีก็ควรปกป้องญาติผู้หญิงในครอบครัวอยู่แล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเยียนเซียวหราน เขายืนหน้านิ่งยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นนางมองมา ก็สบตากับนางแวบหนึ่ง แล้วก็เก็บสายตาคืนกลับมาซือเจ๋อเยว่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนั้นข้าเห็นเหนียนเหนียนหมดสติไปเช่นกัน เหนียนเหนียนไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เยียนเหนียนเหนียนโผล่หน้าออกมาจากทางด้านหลังของเหล่าไท่จวิน “ข้าไม่เป็นไร แค่หมดสติเป็นครู่เดียวเท่านั้น ในไม่ช้าก็หายดีแล้ว”“ร่างกายของข้าแข็งแรง องค์หญิ
ตอนที่ไป๋จื้อเซียนมองเห็นยันต์พวกนั้นก็หรี่ตาลงทันที เมื่อตระหนักได้ว่าทรงพลัง ก็โยกหลบอย่างรวดเร็วซือเจ๋อเยว่ฉวยโอกาสยื่นนิ้วออกไป ยันต์พวกนั้นก็ไล่ตามไป๋จื้อเซียนไป ร่างกายของเขามียันต์ห้าอัสนีบาตแผ่นหนึ่งแปะอยู่เขาด่าทอด้วยคำหยาบคาย มองไปทางด้านนอกห้องแวบหนึ่ง รู้ว่าหากวันนี้ไม่หนีไป เกรงว่าจะต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ จึงวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็วตอนที่เขาวิ่งหนี เมฆฝนก่อตัวขึ้น ไล่ตามเขาภายในชั่วพริบตา ทั่วทั้งเรือนเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้อง ผู้ดูแลพาท่านหมอเดินเข้ามาพอดี ทันทีที่เห็นฉากนี้ ก็ตกใจจนลูกตาเกือบถลนออกมาถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นไป๋จื้อเซียน แต่เขามองเห็นสายฟ้าบนท้องฟ้า เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายฟ้าหน้าตาแบบนี้ทันทีที่ไป๋จื้อเซียนวิ่งหนี ห้องก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ตะเกียงน้ำมันที่มุมห้องยังคงสว่างอยู่ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้น ทันทีที่หันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าคนที่ฟันกระบี่ใส่ไป๋จื้อเซียนก็คือเยียนเหนียนเหนียนนางรู้สึกผิดปกติ ต่อให้นางแปะยันต์แผ่นหนึ่งบนกระบี่ของเยียนเหนียนเหนียน กระบี่เล่มนั้นของนางร้ายกาจกว่ากระบี่ทั่วไปเล็กน้อย ก็ไม่มีทางทำลายอาณาเขตที่ไป๋จื้อเซียนวางเอาเม
ครู่ต่อมา ซือเจ๋อเยว่หยิบอาวุธเวทย์อีกชิ้นหนึ่งออกมา เพียงแต่นางยังไม่ทันเข้าไปหา ก็ถูกเส้นผมสีดำของเขากวาดลอยกระเด็นออกไปเยียนเซียวหรานอยากจะเข้ามาช่วย แต่กลับถูกผ้าต่วนสีแดงรัดลำคอเอาไว้เขากล่าวอย่างยากลำบาก “องค์หญิง!”ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้นกระอักเลือดออกมา ไป๋จื้อเซียนไม่ได้เขยิบเข้าไปใกล้ตรงหน้าของนางพอดีเลือดพ่นใส่มือของไป๋จื้อเซียน มือของเขาเป็นรูทันทีเขาค่อนข้างประหลาดใจ “นักพรตหญิงน้อย ร่างกายของเจ้ามีความพิเศษนี่นา!”ปากเขาพูดไป มือกลับบีบลำคอของนางเอาไว้ “กินตบะของเจ้า จะต้องบำรุงมากแน่!”ร่างกายของซือเจ๋อเยว่ เป็นวิญญาณมาหนึ่งพันปี เป็นครั้งแรกที่ได้เจอร่างกายอย่างนางเขาเคยเห็นในหนังสือเล่มหนึ่ง หากได้กินวิญญาณของนาง เท่ากับเป็นการบำเพ็ญตบะห้าร้อยปีถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยประมือกับนางมาก่อน แต่ครั้งก่อนนางไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก เขาไม่รู้ว่านางจะมีร่างกายที่พิเศษเช่นนี้บัดนี้ค้นพบแล้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันทีเพียงแต่คนที่มีร่างกายเช่นนาง เนื่องจากร่างกายพิเศษมากเกินไป ดังนั้นอยากจะกลืนกินนางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซือเจ๋อเยว่ใช้มือปาดเลือดที่มุมปาก ยื่นมื
พวกเขาร่วมมือกันอยากจะจับตัวไป๋จื้อเซียนเอาไว้เป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งเรื่องหนึ่งเขารู้ว่าในเวลานี้ไม่มีเวลาห่วงหน้าพะวงหลังอีกแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องเป็นคนจบเรื่องนางพูดกับเยียนเซียวหรานเบา ๆ “เจ้าถ่วงเวลาเขาไว้สักสิบวินาที”เยียนเซียวหรานพยักหน้า มือของซือเจ๋อเยว่ร่ายคาถาอย่างรวดเร็วไป๋จื้อเซียนเห็นสัญลักษณ์มือของนาง ก็แค่นเสียงหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะจับตัวข้าเอาไว้อีกอย่างนั้นหรือ?”เขาพูดจบก็พุ่งตัวเข้ามาหานาง พุ่งตรงเข้ามาควักหัวใจของนางกระบี่ไม้ท้อในมือของเยียนเซียวหรานพันเข้าใส่ไป๋จื้อเซียนทันทีทั้งสองอย่างปะทะกัน ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไป๋จื้อเซียนหัวเราะเบา ๆ “ฮ่า น่าสนุก! แต่วันนี้ ที่ตรงนี้เป็นถิ่นของข้า ข้าเป็นใหญ่!”เส้นผมสีดำของเขาแผ่สยาย ผ้าต่วนสีแดงบนร่างกายพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าใส่เยียนเซียวหรานที่แฝงไปด้วยเจตนาสังหารต่อให้วิชากระบี่ของเยียนเซียวหรานจะดีแค่ไหน กระบี่ไม้ท้อไม่ใช่อาวุธแหลมที่สามารถตัดโลหะหรือหยกได้ จึงถูกพันธนาการเอาไว้ทันทีเขารีบชักกระบี่ติดตัวของตนเองที่อยู่บริเวณเอวของตนเองออกมา ฟันเข้าใส่เส้นผมสี
ค่ำคืนนี้ ซือเจ๋อเยว่มาตามที่คาดไว้!เขามองเยียนเซียวหรานด้วยสายตาเย็นยะเยือก หันหน้ากลับไปมองค่ายกลที่ได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างชั่วร้ายเขาเฝ้าอยู่ที่ เป็นเพราะกลิ่นอายจากตัวของซือเจ๋อเยว่กับค่ายกลนั่นค่อนข้างคล้ายคลึงกับกลิ่นอายที่เคลื่อนตัวอยู่บนร่างกายหของอวิ๋นเยว่หยางครั้งก่อนที่เขาเจอกับเยียนเซียวหรานแบบรีบร้อนเกินไปหน่อย ประกอบกับซือเจ๋อเยว่ก็อยู่ตรงนั้นด้วย ดังนั้นเขาจำไม่ได้ในทันทีว่ากลิ่นอายบนตัวของอวิ๋นเยว่หยางคือกลิ่นอายของเยียนเซียวหรานในเวลานี้ทันทีที่ค่ายกลถูกทำลาย กลิ่นอายพวกนั้นก็ไหลย้อนกลับ เขาจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนค่อนข้างเกิดความสนใจเป็นเพราะเขารู้ว่า เป็นการยากที่คนคนหนึ่งจะมีกลิ่นอายของคนอื่นติดอยู่อย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันก็เป็นไปไม่ได้หากติดแล้ว นั่นก็แสดงว่าโชคชะตาของทั้งสองคนรวมเข้าด้วยกันแล้วไป๋จื้อเซียนมองเยียนเซียวหราน กล่าว “น่าสนุก”เขาหันหน้าไปมองซือเจ๋อเยว่อีกครั้ง “นักพรตหญิงน้อย เจ้าหมอนี่ดีกับเจ้าเหลือเกินนี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีชะตาชีวิตร่วมกันกับเจ้า”เ