ซือเจ๋อเยว่รู้สึกอย่างแท้จริงจากก้นบึ้งหัวใจ ว่าฮ่องเต้เจาหมิงเป็นบุรุษที่ไม่รักษาสัจจะ! เมื่อวันนั้นพระองค์ยังเอ่ยไว้ว่าจะให้นางเข้าเฝ้าวังให้น้อยลง เพราะไม่ต้องการพบเห็นหน้านาง แต่เวลานี้กลับส่งคนมาเรียกให้นางเข้าเฝ้าอีก นี่พระองค์ประสงค์จะก่อเรื่องอันใดกัน? ซือเจ๋อเยว่จึงให้เยียนเหนียนเหนียนอุ้มนางออกไปพบขันทีจากวัง แล้วกล่าวตอบไปอย่างเรียบเฉยว่าวันนั้นระหว่างทางข้ากลับจากวัง เผลอพลัดตกจนขาข้าได้รับบาดเจ็บ บัดนี้ไม่อาจเดินได้ ขันทีเห็นนางในสภาพนี้ก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดมาก ได้แต่รีบกลับไปรายงานสถานการณ์เช่นที่เป็น ครั้งนี้ผู้ที่ส่งคนมาเชิญซือเจ๋อเยว่คืออวิ๋นไท่เฟย เมื่อทราบว่าขันทีนำตัวซือเจ๋อเยว่มาไม่ได้ นางก็โมโหจนด่าทอเสียยกใหญ่ พร้อมขว้างปาสิ่งของจนแตกกระจาย อวิ๋นไท่เฟยไม่ได้คิดว่าซือเจ๋อเยว่จะขาพลิกจริง นางมั่นใจว่านางหาเรื่องปฏิเสธไม่ยอมเข้าเฝ้า เพื่อจงใจทำให้นางและองค์หญิงสามต้องขายหน้า ใช่แล้ว ครั้งนั้นแม้เจ้าอาวาสแห่งวัดเป้ากั๋วถูกเชิญเข้าวังมา กลับไม่อาจคลายคาถาลัทธิเต๋าที่พันธนาการองค์หญิงสามได้ บัดนี้เมื่อใดที่องค์หญิงสามกล่าววาจา ก็ยังคงเปล่งเสียงเป็น "กะต๊าก
เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ "บัดนี้คดีของจวนเยียนอ๋องยังไม่ได้ข้อยุติ หากเรามีพระราชโองการตำหนิซือเจ๋อเยว่ เหล่าขุนนางในราชสำนักย่อมมองว่าเราต้องการให้จวนเยียนอ๋องล่มสลาย" "หากเป็นเช่นนั้น จะนำพาผลกระทบตามมาอีกมาก และจวนเยียนอ๋องก็อาจประสบเหตุร้ายใหญ่หลวง นางอาจถึงแก่ชีวิต" อวิ๋นไท่เฟยกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม "นางไร้กตัญญูถึงเพียงนี้ หากไม่ได้ลิ้มรสความลำบากเสียบ้าง นางจะเข้าใจได้อย่างไรว่าผู้ที่รักและใกล้ชิดที่สุดในชีวิตนี้คือตัวหม่อมฉัน" "ส่วนเรื่องของจวนเยียนอ๋อง หม่อมฉันได้ยินจากพี่ชายว่าเยียนอ๋องเกือบเสียช่องเขากรงเสือไป แม้เขาตายในสนามรบเรื่องนี้ก็ควรถูกสอบสวนและรับผิดชอบ" "หากปล่อยให้ผู้เสียแผ่นดินแล้วหนีความผิดด้วยการตาย ต่อไปขุนนางคนอื่นจะยังเกรงกลัวพระบารมีอีกหรือ?" ฮ่องเต้เจาหมิงเมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้ากลับเยือกเย็นขึ้น พระองค์จ้องมองอวิ๋นไท่เฟยอย่างเย็นชา สายตานั้นทำให้อวิ๋นไท่เฟยรู้สึกสะท้าน นางรีบพิงกายเข้าไปใกล้เขา "ฝ่าบาท โปรดอย่ามองหม่อมฉันเช่นนี้ หม่อมฉันรู้สึกกลัวเหลือเกิน!" แต่ครั้งนี้ฮ่องเต้เจาหมิงหาได้โอบกอดนางดังเดิม แต่ก็ไม่ได้ผลักไสนางให้ออกห่าง เ
ในพระราชวัง จวนหนิงกั๋วกงมีเพียงอวิ๋นไท่เฟยเท่านั้นที่สามารถใช้ตำแหน่งใกล้ชิดฮ่องเต้เจาหมิงเพื่อกระซิบบอกหรือโน้มน้าวพระองค์ได้ หากนางถูกฮ่องเต้เจาหมิงรังเกียจ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจวนย่อมมหาศาล ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น เพียงแค่การส่งข่าวสารในพระราชวังย่อมช้าลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้น หากในภายภาคหน้าพวกเขาต้องการบรรลุเป้าหมายใด การให้อวิ๋นไท่เฟยกระซิบบอกฮ่องเต้เจาหมิงก็จะยิ่งเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเดิม หนิงกั๋วกงเอ่ยจากที่นั่งถัดลงมา "ท่านพ่อ พวกเราต้องรีบซ่อมแซมค่ายกลให้เสร็จโดยเร็วที่สุด" หนิงกั๋วกงผู้เฒ่ายกมือขึ้นกดที่ขมับด้วยความเหนื่อยล้า ค่ายกลนั้นถูกซือเจ๋อเยว่ทำลายไปได้เพียงไม่กี่วัน แต่จวนหนิงกั๋วกงกลับประสบปัญหามากมาย เขากังวลว่าอานุภาพที่หลงเหลือของค่ายกลอาจไม่สามารถคงอยู่ได้อีกนาน หากเป็นเช่นนั้น บรรดาบุคคลสำคัญในจวนที่เคยได้รับผลจากการบูชาค่ายกล อาจต้องเผชิญกับผลกระทบย้อนกลับจนเสียหาย เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ใครก็ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ทรัพยากรมากเพียงใด จงไปตามหาราชครูสวรรค์โดยเร็วที่สุด!" หัวหน้าผู้ดูแลรับคำทันที "พ่ะย่ะค่ะ!" การตามหาราชค
เหล่าไท่จวินยิ้ม กล่าวกับนาง “อวิ๋นไท่เฟยถูกลงโทษ เจ้าเป็นบุตรสาวของนาง ถึงอย่างไรก็ต้องแสดงความกตัญญูเสียหน่อย”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ท่านย่าเอ่ยปากเช่นนี้ ข้าจะแสดงความกตัญญูให้เต็มที่เลยเจ้าค่ะ!”ตอนบ่ายวันนั้นนางก็มอบหมายให้คนนำภาพวาดไปส่งให้แก่อวิ๋นไท่เฟยภาพวาดภาพนั้นเป็นภาพของนักวาดของราชวงศ์ก่อน เป็นวิญญาณดวงหนึ่งที่นางเคยช่วยเหลือเอาไว้ก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายมอบให้นางเป็นสิ่งตอบแทนตอนแรกที่อวิ๋นไท่เฟยได้ยินว่าซือเจ๋อเยว่ถูกลงโทษเพราะนาง จึงมอบหมายให้คนนำของขวัญมาให้นาง นางรู้สึกว่าซือเจ๋อเยว่ยังนับว่ารู้คุณอยู่บ้างเพียงแต่ตอนที่นางเปิดภาพวาดนั้นออก มองเห็นบนภาพเป็นฝูงแม่ไก่กำลังหาอาหารอยู่บนพื้น มีเพียงตัวเดียวที่เงยหน้าขึ้น ราวกับหงส์ที่กำลังบินข้ามขอบฟ้าด้านข้างยังมีประโยคหนึ่ง ‘ฟ้าดินกลับตาลปัตร แม่ไก่อยากเป็นหงส์’ประโยคนี้ขอเพียงแค่ไม่ใช่คนโง่ก็สามารถเข้าใจได้ ความหมายเย้ยหยันในนั้นชัดเจนเป็นอย่างยิ่งเดิมทีอวิ๋นไท่เฟยก็เป็นคนที่เย่อหยิ่งจองหอง เมื่อเห็นประโยคนี้ก็โมโหจนฉีกภาพวาดทิ้งซีหลิ่วขัดขวางนางเอาไว้ พลางกล่าว “ไท่เฟย นี่เป็นภาพวาดจริงของราชวงศ์ก่อน มีค่ามาก
เพียงแต่ทันทีที่ซือเจ๋อเยว่นึกถึงว่าตอนนี้ยังไม่สามารถแก้คาถาที่ไป๋จื้อเซียนทำใส่นางได้ ก็ปวดหัวทันทีหลายวันมานี้ตอนที่นางว่าง ได้ทดลองวิธีมากมาย แต่ส่วนมากไม่ได้ผลมีความเป็นไปได้ที่จะได้ผล จะต้องใช้วิชาเต๋าของนางอย่างมหาศาล ของสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่ออายุขัยของนางโดยตรงหรือว่าต่อไปจะต้องใช้วิธีการเป็นอัมพาตครึ่งตัวเพื่อไปพบเจอผู้คน?นางยื่นมือออกไปนวดคลึงหว่างคิ้ว เมื่อเยียนเหนียนเหนียนเห็นท่าทางกลัดกลุ้มของนางจึงถาม “องค์หญิง ท่านเป็นอะไรหรือ?”ซือเจ๋อเยว่กำลังจะส่ายหน้าบอกว่านางไม่เป็นไร ก็เห็นเยียนเซียวหรานเดินมาจากอีกด้านนางกล่าวอย่างหมดแรงทันที “รู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่สะดวก พักผ่อนสักเดี๋ยวก็คงหาย”เยียนซุ่ยซุ่ยอยากจะจับชีพจรให้นาง เมื่อนึกขึ้นได้ว่านางไม่มีชีพจรจึงเก็บมือเยียนซุ่ยซุ่ยถามด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อย “อาการป่วยขององค์หญิง ไม่มีวิธีการรักษาหรือ?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาการป่วยของข้าต้องดูว่าสวรรค์จะมารับข้าไปตอนไหน หากเมื่อใดเขาพูดว่า ข้าอยากให้เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนข้าแล้ว คาดว่าวันนั้นข้าก็คงจะจากไปทันที”นางพูดอย่างสบาย ๆ เยียนเหนียนเหนียนกับเยี
ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเกลียดนางมากก็ได้!หลังจากตกค่ำ นางก็นั่งวาดยันต์อยู่บนเตียงต่อให้นางต้องตายจริง ๆ นางก็จะต้องจับตัวไป๋จื้อเซียนกลับมาให้ได้ จะให้เขาสร้างหายนะให้เมืองหลวงไม่ได้อย่างเด็ดขาดยันต์ที่นางเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ใช้ไปจนเกือบหมดตอนที่ไปจวนหนิงกั๋วกงแล้ว หลายวันมานี้นางไม่มีอะไรทำ จึงวาดเอาไว้ไม่น้อยเพียงแต่เพราะผลกระทบของร่างกายนาง ยันต์แต่ละแผ่นที่วาดทำให้นางสูญเสียพลังงาน แต่ไม่นับว่ารวดเร็วนางวาดแผ่นหนึ่งก็ต้องพักผ่อนครู่หนึ่ง เพื่อให้กำลังกายฟื้นฟูเล็กน้อยตอนนี้นางเพิ่งวาดยันต์ห้าอัสนีบาตรเสร็จหนึ่งแผ่น ก็บิดขี้เกียจทีหนึ่ง ก็เห็นสาวใช้ที่รับใช้นางเป็นลมอยู่บนพื้นนางตกใจมาก คิดว่าไป๋จื้อเซียนมาอีกแล้ว ทันทีที่หันหน้าไป กลับเห็นเยียนเซียวหรานนางประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ามาทำไม?”เยียนเซียวหรานไม่ได้พูดอะไร เพียงดึงมือของนางเข้าไปหา พบว่าเส้นสีแดงบนมือของนางสั้นเหลือเพียงแค่เล็กน้อยแล้วหว่างคิ้วของเขาขมวดเล็กน้อยนางชักมือกลับ หัวเราะเบา ๆ “มนุษย์เมื่อถึงวันหนึ่งก็ต้องตาย เจ้าไม่ต้องฝืนตัวเอง”เมื่อเยียนเซียวหรานได้ยินประโยคนี้ในใจก็รู้สึกแย่ นางยอมตาย แต่ไม
นางกล่าวอย่างหยั่งเชิง “คืนนี้ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ ข้ารู้สึกว่าตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว”“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่?”สายตาที่เยียนเซียวหรานจ้องนางลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิมเมื่อนางเห็นสายตาของเขาก็คิดว่าตนเองเป็นผู้หญิงชั่วที่จูบ กอด ลูบคลำชาวบ้านแล้ว ไม่ยอมรับผิดชอบนั่นเป็นรสชาติที่โหดร้ายไปหน่อยนางจำต้องกล่าวอีกว่า “ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นนะ...”หลังจากนางกลืนน้ำลายก็กล่าวขึ้นอีกว่า “หากเจ้ากลัวว่ามืดแล้วเดินทางไม่สะดวก ไม่อย่างนั้นก็ค้างที่นี่สักคืนเป็นอย่างไร?”“ได้” เยียนเซียวหรานตอบเสียงเรียบซือเจ๋อเยว่ “...”ต่อให้นางจะหัวช้าแค่ไหน แต่ในเวลานี้ก็สามารถสัมผัสความหมายอื่นได้นางมองเขาอีกครั้ง แล้วกล่าว “ถ้าอย่างนั้น...พวกเรา...นอนกันดีหรือไม่?”ถึงแม้นางจะรู้ว่าถึงพวกเขาจะกอดกันนอนหลับไปแบบนี้ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่การนอนบนเตียงเดียวกัน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่คลุมเครือเรื่องหนึ่งนางพูดจบก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อยเยียนเซียวหรานกลับกล่าว “ช้าก่อน”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเขา “เจ้าจะกลับไปนอนหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าเดินทางปลอดภัย ข้าเคลื่อน
เมื่อนางพูดจบก็เริ่มเตะขาไปมาเนื่องจากนางไม่ได้เดินมาหลายวัน ดังนั้นในเวลานี้การไหลเวียนของเลือดจึงติดขัดเล็กน้อย การเคลื่อนไหวไม่ค่อยคล่องตัวเท่าใดนัก แต่ว่าคาถาถูกทำลายแล้วจริง ๆเยียนเซียวหรานกล่าวเสียงเบา “ดีใจด้วย”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยอารมณ์ทอดถอนใจบางอย่าง “ก่อนหน้านี้ตอนที่สามารถกระโดดได้ไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไร”“เดินไม่ได้มาหลายวัน รู้สึกว่าไม่สะดวกไปเสียทุกอย่าง”“บัดนี้อะไรก็หายดีแล้ว จึงรู้สึกดีใจมาก”“ที่แท้นี่ก็คือความรู้สึกของการสูญเสียบางอย่างไปแล้วได้กลับคืนมา ไม่เลวเลยจริงๆ!”เยียนเซียวหรานจ้องมองใบหน้าที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มนั้นของนาง ภายในใจมีความรู้สึกสะเทือนอารมณ์เล็กน้อยดูเหมือนว่านางจะเป็นคนที่รู้จักพอกับอะไรง่าย ๆ เป็นพิเศษ เรื่องแค่เพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้นางพอใจมากได้ซือเจ๋อเยว่เตะขาบนเตียงสองครั้งแล้วแต่ยังรู้สึกไม่พอ จึงลงจากเตียงแล้วเดินต่ออีกหลายก้าว ท่าทางดีใจราวกับเด็กน้อยเยียนเซียวหรานที่กำลังเอนตัวพิงเตียงจ้องมองกระโดดไปกระโดดมาอยู่ตรงนั้น ความอบอุ่นในดวงตาก็เพิ่มมากขึ้นหลังจากที่นางกระโดดเสร็จก็กระโจนขึ้นเตียงอีกครั้ง มองเขากล่าว “ก่อนหน
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ