เดิมทีหนิงกั๋วกงฮูหยินอยากจะพิสูจน์ว่าซือเจ๋อเยว่แกล้งป่วย กลับไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้!เจอผีแล้วจริงๆ!สีหน้าของนางดูแย่ลงไปอีก เดิมทีนางคิดจะจัดการซือเจ๋อเยว่ บัดนี้กลับมิกล้าแตะต้องนางแม้แต่ปลายเล็บแค่ด้วยสถานการณ์ทางร่างกายเช่นนี้ของซือเจ๋อเยว่ หากมาตายอยู่ที่จวนหนิงกั๋วกงจริง ๆ คงได้นำพาเคราะห์ร้ายมาให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดแน่นอนซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ “ดูท่าว่าท่านหมอในจวนหนิงกั๋วกงก็รักษาให้ข้าไม่ได้เหมือนกัน”นางพูดจบก็มองหนิงกั๋วกงฮูหยินพลางเอ่ย “ฮูหยิน ท่านยังอยากพาข้าไปพักผ่อนอีกหรือไม่?”หนิงกั๋วกงฮูหยิน “…”ซือเจ๋อเยว่อมยิ้ม “ข้าค่อนข้างชอบบรรยากาศในจวนหนิงกั๋วกงทีเดียว ถ้าให้อยู่พักผ่อนหย่อนใจที่นี่สักสิบวันหรือครึ่งเดือนก็ย่อมได้”หนิงกั๋วกงฮูหยิน “!!!!!”ด้วยสภาพเช่นนี้ของนาง หากรั้งให้อยู่ที่จวนหนิงกั๋วกง นั่นก็คงไม่ต่างอะไรกับการเก็บชายชราเอาไว้ในจวนยามนี้อวิ๋นเยว่หยางดึงสติกลับมาได้แล้ว เขากล่าวต่อหนิงกั๋วกงฮูหยิน “ท่านแม่ ท่านไปทำธุระก่อนเถิด ข้าจะพูดกับองค์หญิงสักหน่อย”หนิงกั๋วกงฮูหยินเป็นห่วงเขามาก “แต่ว่า…”อวิ๋นเยว่หยางเค้นรอยยิ้มออกมาก่อนก
การขโมยดวงชะตาของคนอื่น นางสามารถใช้วิชาเต๋าจัดการได้ตามใจชอบ แม้จะฆ่าคน ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่สมเหตุสมผลดังนั้นเมื่อนางรู้ว่าอวิ๋นเยว่หยางคือคนที่ขโมยดวงชะตาของเยียนเซียวหราน นางก็คิดในใจเกี่ยวกับวิธีจัดการกับอวิ๋นเยว่หยางหลายวิธีแล้วใบหน้าของอวิ๋นเยว่หยางมีสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย "องค์หญิงควรคิดให้ดี""จวนเยียนอ๋องยามนี้เป็นเพียงโครงร่างเปล่าๆ เยียนเซียวหรานแม้จะยังมีชีวิตอยู่ แต่เขาก็ไม่ใช่แม้แต่ทายาทด้วยซ้ำ""ท่าทีของฝ่าบาทที่มีต่อจวนเยียนอ๋อง เกรงว่าองค์หญิงก็คงรู้ เขาไม่มีทางได้รับตำแหน่งทายาท ห่างไกลจากความตายไม่มากแล้ว"เยียนเซียวหรานเอ่ยเสียงเรียบ "เรื่องของจวนเยียนอ๋องไม่ต้องให้คุณชายรองอวิ๋นเป็นห่วง""ข้าห่างจากความตายไม่มาก แต่ท่านอาจจะใกล้กว่า"ซือเจ๋อเยว่ยื่นมือลูบคาง "คำกล่าวของคุณชายรองอวิ๋นได้เตือนข้าพอดี ว่าน้องสามสามารถรับตำแหน่งทายาทของจวนเยียนอ๋องได้""เมื่อเขากลายเป็นเยียนอ๋องคนใหม่ เกรงว่าในเมืองหลวงคงไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้อีก"อวิ๋นเยว่หยางหัวเราะเสียงดัง "พวกเจ้าช่างมีความฝันที่เลิศล้ำเสียจริง! ชั่วชีวิตนี้เยียนเซียวหรานไม่มีทาง
สำนักศึกษาหลวงเป็นสำนักศึกษาสูงสุดของแคว้นต้าฉู่ รับบัณฑิตที่ยอดเยี่ยมที่สุดจากทั่วทั้งแผ่นดินเมื่อเยียนเซียวหรานสอบเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง ผู้คนทั้งหลายก็รู้สึกประหลาดใจผู้ใดจะไม่รู้ว่าจวนเยียนอ๋องเป็นจวนของแม่ทัพ แม้ว่าคุณชายในจวนจะร่ำเรียนตำราบุ๋น แต่พวกเขาก็ล้วนแต่ไม่ได้ข้าสอบ ไม่เข้ามาร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลวงยามที่เยียนเซียวหรานเพิ่งเข้าเรียน อวิ๋นเยว่หยางก็หาได้เห็นเยียนเซียวหรานอยู่ในสายตาไม่ เพราะเขาคิดว่าเยียนเซียวหรานสอบเข้ามาได้เพียงเพราะโชคดีเท่านั้นแต่หลังจากเยียนเซียวหรานเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวง เขาก็สอบได้คะแนนสูงสุดทุกครั้ง ทุกวิชาล้วนยอดเยี่ยมแม้แต่คุณชายที่มีชื่อเสียงเป็นที่หนึ่งในเมืองหลวงอย่างอวิ๋นเยว่หยาง ก็ถูกกดอยู่ใต้เขาจนหม่นหมองไปอวิ๋นเยว่หยางไม่ยอมจำนนแม้แต่น้อย พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเอาชนะเยียนเซียวหราน แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าใด ก็ยังคงด้อยกว่าเยียนเซียวหรานอยู่ดีสิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุดคือ อวิ๋นเยว่หยางพบว่าหลังจากเยียนเซียวหรานเลิกเรียนที่สำนักศึกษาหลวง ก็มักจะไปเที่ยวเล่น ไม่ได้ตั้งใจเรียนแม้แต่น้อยแต่ถึงกระนั้นแม้เยียนเซียวหรานจะเป
องครักษ์หลายคนรีบเข้ามาแย่งไป ซือเจ๋อเยว่รู้ว่านางใช้ไปหลายครั้งแล้ว อวิ๋นเยว่หยางจะล่วงรู้ก็เป็นเรื่องปกตินางกำลังจะหลบไปข้างหลังเยียนเซียวหราน แต่เขากลับเร็วกว่า ดึงนางเข้ามาในอ้อมอกกระบี่ในมือของเขาแกว่งขึ้น แสงเย็นยะเยือกแวววับ ฟันแขนขององครักษ์คนหนึ่งขาดไปองครักษ์คนอื่นแทงเข้ามาจากด้านข้าง เยียนเซียวหรานดึงกระบี่กลับไม่ทัน ได้แต่จับแขนขององครักษ์คนนั้นเอาไว้ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าตนเองมีความสามารถในการต่อสู้ในระดับแย่มาก ส่วนที่แข็งที่สุดในร่างกายก็มีแค่ฟันเท่านั้นนางไม่คิดอันใดมากนัก เปิดปากกัดแขนข้างนั้นอย่างแรงเยียนเซียวหราน "..."องครักษ์คนนั้นเจ็บจนร้องโอดโอย แต่กลับยื่นมืออีกข้างมาชิงถุงเงินของนางไปซือเจ๋อเยว่รีบยกมือขึ้นป้องกัน ดังนั้นมือของทั้งสองคนจึงจับถุงเงินนั้นไว้พร้อมกัน ทำให้อวิ๋นเยว่หยางเจ็บปวดจนร้องออกมา "ปล่อยมือ!"องครักษ์คนนั้นไม่ค่อยฉลาดเท่าใด ไม่เข้าใจว่าอวิ๋นเยว่หยางสั่งให้ผู้ใดปล่อยมือ เขาจึงยิ่งจับเอาไว้แน่นกว่าเดิมเยียนเซียวหรานยามนี้ได้จัดการกับองครักษ์คนหนึ่งเสร็จแล้ว จึงฟันเข้าที่แขนขององครักษ์คนนั้นขาดซือเจ๋อเยว่และองครักษ์คนนั้นอยู่ใกล้
เยียนเซียวหราน "..."เยียนเซียวหราน "!!!!!!!"มือของเขาประคองที่สะโพกของนางโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง จึงดึงมือกลับเสียงอุทานของนางดังขึ้นมา "หนู หนูตัวใหญ่มาก!"เยียนเซียวหรานกระแอมออกมาเสียงเบา แล้วจึงเอ่ยขึ้น "ก็แค่หนูเท่านั้นเอง องค์หญิง ท่านลงมาก่อนเถอะ!"ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยความหวาดกลัว "แค่หนูเท่านั้นเองหรือ? ข้ากลัวหนูที่สุดแล้ว!"ใช่แล้ว นางไม่กลัวฟ้า ไม่กลัวดิน แต่กลัวหนูความรู้สึกที่หนูปีนขึ้นมาที่เท้าของนางเมื่อครู่ แทบจะเอาชีวิตนางไปเลยก็ว่าได้ยามนี้นางไม่ได้ต้องการจะฉวยโอกาสจากเยียนเซียวหรานแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะหวาดกลัวเท่านั้นในอุโมงค์มืดนี้ มีเพียงตัวเยียนเซียวหรานเท่านั้นที่ปลอดภัยเยียนเซียวหรานยื่นมือจะดึงนางลงมา แต่เพียงแค่ดึงเบา ๆ นางก็ร้องออกมาอีก "ข้าไม่อยากลงไป!"หลังจากร้องออกมานางก็รู้สึกว่าตนเองในยามนี้ดูไม่ดี เยียนเซียวหรานก็เป็นคนเคร่งครัด นางกลัวว่าเขาจะโยนนางลงไปนางจึงเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเครือ "น้องสาม ขอร้องล่ะ ข้ากลัวหนูจริงๆ""วันนี้ข้าล่วงเกินแล้ว แต่อย่าโยนข้าลงไปเลย วันหลังข้าจะตอบแทนเจ้าแน่นอน"นางตกใจกลัวอ
แต่หลังจากที่นางลงไปแล้ว ก็ยังคงจับแขนของเขาแน่นไม่ยอมปล่อยเยียนเซียวหรานมองนางอีกครั้ง นางยิ้มอย่างประจบแล้วเอ่ยขึ้น "ขอยืมแขนเจ้าให้ข้าจับหน่อย ก็แค่สักพัก!"เยียนเซียวหรานหรี่ตาลงเล็กน้อย ซือเจ๋อเยว่คิดว่าเขาอยากจะสลัดนางออก จึงกอดแขนของเขาแล้วเอ่ยขึ้น "ที่แห่งนี้ไม่มีคนนอก"เขาเข้าใจความหมายของนาง ที่แห่งนี้ไม่มีคนนอก แม้ว่าทั้งสองจะใกล้ชิดกันก็ไม่มีผู้ใดเห็น เมื่อออกจากที่แห่งนี้แล้ว นางจะทำคล้ายดั่งว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเขามองนางด้วยหางตาแล้วแค่นเสียงเย็น แต่สุดท้ายก็ไม่สลัดนางออกซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจเสียงเบายามที่พวกเขาตกลงมา กระบี่ของเขาก็ตกลงมาด้วยเขาหยิบกระบี่ขึ้นมา เดินนำหน้านางครึ่งก้าว ปกป้องนางไม่ให้หนูเข้าใกล้ซือเจ๋อเยว่เห็นว่าแม้เขาจะทำหน้าเย็นชา แต่สุดท้ายก็ไม่สลัดนางออก นางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกเขาพานางเดินไปที่กองกระดูกสีขาว ใช้กระบี่ไล่หนูที่อยู่ใกล้ ๆ ออกไป แล้วถามซือเจ๋อเยว่ "ที่นี่มีวิญญาณหรือไม่?"ซือเจ๋อเยว่กวาดสายตามองดูโดยรอบ ส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้น "ไม่มี คนพวกนี้ตายมานานแล้ว วิญญาณของพวกเขาน่าจะไปเกิดใหม่แล้ว"นางเอ่ยจบก็สูดดมไปรอบ ๆ แล้วขม
ซือเจ๋อเยว่ยังคงจับมือเยียนเซียวหรานเอาไว้ จะเป็นหรือตายก็ไม่ยอมปล่อยมีหนูวิ่งผ่านพวกเขาไปเป็นระยะ ๆ แต่ก็ถูกเยียนเซียวหรานฆ่าด้วยกระบี่แม้จะเป็นเช่นนั้น ทุกครั้งที่มีหนูเข้ามาใกล้ ร่างกายของซือเจ๋อเยว่ก็จะสั่นเทาเล็กน้อยเยียนเซียวหรานถาม "เหตุใดองค์หญิงถึงกลัวหนู?"ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ยามที่ข้ายังเด็ก ข้าเคยถูกลักพาตัวและโยนลงไปในบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยหนู เกือบถูกหนูกิน"เยียนเซียวหรานมองนางด้วยความประหลาดใจ นางจึงหัวเราะเสียงเบา "แม้ว่าข้าจะเกิดมาเป็นองค์หญิง แต่ข้าก็ไม่มีชะตาที่เป็นองค์หญิงทั่วไป""ข้ารู้สึกว่าสวรรค์บ้า ๆ นี่ช่างไม่เป็นธรรม ไม่ให้ข้าเป็นองค์หญิงจริงๆ สักวันก็แล้วไป แต่ยังทำให้ข้าเป็นคนอายุสั้นอีก นับว่ารังแกกันเกินไปแล้ว!"คำกล่าวของนางดูโกรธเคือง แต่กลับเป็นน้ำเสียงที่เย้าหยอกไม่จริงจังเยียนเซียวหรานรู้ว่านางเข้าสำนักเต๋าตั้งแต่ยามที่อายุสองขวบ แต่ไม่รู้ว่านางเคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนเขาถามขึ้น "ครั้งนั้นไม่มีผู้ใดปกป้ององค์หญิงหรือ?"ซือเจ๋อเยว่ตอบ "เสด็จพ่อข้าตายไปแล้ว เสด็จแม่ไม่ต้องการข้า ผู้ใดจะพยายามปกป้องข้าเล่า?""ครั้งนั้นหากไม่ใช่อาจารย์ใ
เยียนเซียวหรานก็รู้ว่าที่แห่งนี้ไม่ธรรมดา เดินตามนางไปข้างหน้าเดินไปได้ไม่ไกล ก็เห็นโครงกระดูกที่ถูกตอกด้วยหมุดไม้ที่คอหอยซือเจ๋อเยว่กัดฟันเอ่ยขึ้น "เป็นเช่นนี้ดังคาด! จวนหนิงกั๋วกงทำเรื่องชั่วร้ายเกินไปแล้ว!"เยียนเซียวหรานเอ่ยถาม "องค์หญิงพบอันใด?"ซือเจ๋อเยว่ตอบ "ข้าเคยเห็นตำราโบราณที่เอ่ยถึงค่ายกลชั่วร้ายโบราณอย่างหนึ่ง""ค่ายกลนั้นใช้หลักของห้าธาตุ ใช้ชีวิตมนุษย์เป็นเครื่องบูชา ยิ่งจำนวนมากเท่าใด ค่ายกลยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น""ข้าเพิ่งนับคร่าว ๆ แต่ละธาตุมีคนถูกบูชาอย่างน้อยเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนสูงสุด""ข้าสงสัยมาตลอดว่าจวนหนิงกั๋วกงใช้วิธีใดดึงพลังดวงชะตาจากจวนอื่น สะสมพลังสีม่วง ที่แท้ก็ใช้ค่ายกลนี้!"เยียนเซียวหรานมองนาง "จวนหนิงกั๋วกงดึงพลังดวงชะตามาจากจวนอื่น?"ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า "ใช่แล้ว ค่ายกลนี้ชั่วร้ายอย่างยิ่ง เป็นวิชาต้องห้ามต้องห้ามของลัทธิเต๋า""เพื่อให้ค่ายกลนี้ทำงาน นอกจากต้องใช้คนเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคนในแต่ละธาตุแล้ว ยังต้องใช้วิญญาณของพวกเขาเป็นเชื้อเพลิงในการบูชา""คนพวกนี้ที่ตายไป วิญญาณของพวกเขาไม่ได้ไปเกิดใหม่ แต่ถูกใช้เป็นเ
นั่นเป็นเพราะหลังจากที่ตอนนั้นเขาเข้าไปในค่ายกลแล้ว ตกอยู่ในภาพลวงตา เหมือนเช่นเยียนเซียวหรานในตอนนี้ตัวประหลาดนั่นโหดเหี้ยมน่ากลัวเกินไป ภายในร่างกายกักขังเศษวิญญาณเอาไว้มากมายขนาดนั้นนางไม่จำเป็นต้องเดา เศษวิญญาณที่ตัวประหลาดกักขังเอาไว้ภายในร่างกายพวกนั้น เกรงว่าทั้งหมดจะเป็นองครักษ์ของเยียนอ๋องซื่อจื่อเมื่อนางนึกถึงเรื่องศพอันไม่สมบูรณ์ของเยียนอ๋องซื่อจื่อที่ถูกขนกลับมายังจวนเยียนอ๋อง เกรงว่าจะไม่ได้โดนสัตว์ป่ากัดเอา ทว่าถูกตัวประหลาดนี้ฉีกนางไม่สามารถจินตนาการได้ เยียนอ๋องซื่อจื่อและกลุ่มคนถูกขังอยู่ภายในค่ายกลนี้ ตอนที่ถูกตัวประหลาดฉีกกินทั้งเป็น จะน่าเวทนาและหมดหนทางมากขนาดไหน!ทว่าเรื่องทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียงแค่ต้องการฆ่าปิดปากพวกเขา จากนั้นก็ทำเป็นตาค่ายกล ถูกกักขังระหว่างหยินกับหยางตลอดไป กลับชาติมาเกิดใหม่ไม่ได้ต่อให้วิญญาณที่ไม่สมบูรณ์จะหนีไปแล้วกลับชาติมาเกิดใหม่ หากไม่โง่ ปัญญาอ่อน ก็จะอายุสั้น เพราะดวงวิญญาณไม่สมบูรณ์ ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะกลับชาติมาเกิดคนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ทำให้รู้สึกโกรธมากจริง ๆ!พวกเขาวิ่งไปข้างหน้าอยู่ครู่หนึ่งถึงได้หยุดลงแล
ตัวประหลาดจับลูกธนูดอกนั้นไว้แล้วโยนใส่พวกเขาเยียนเซียวหรานหลบด้วยความรวดเร็ว ธนูดอกนั้นลอยเฉียดหัวของเขาไปซือเจ๋อเยว่ส่งเสียงร้องประหลาดใจออกมาเบา ๆ พลังสังหารของตัวประหลาดตัวนี้มากเสียจนน่าหวาดกลัวสีหน้าของเยียนเซียวหรานเองก็ค่อนข้างดูแย่เช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปอยากจะยิงให้ถูกตัวประหลาดอีกก็คงกลายเป็นเรื่องที่ยากมากตอนที่ซือเจ๋อเยว่เห็นตัวประหลาดไล่ตามมา พลังชั่วร้ายสีดำที่แผ่ซ่านออกมาจากมือ นางจึงมีวิธีการแล้วนางหยิบลูกธนูดอกหนึ่งขึ้นมาแล้วติดยันต์ที่ด้านบน ให้เยียนเซียวหรานยิงอีกครั้งตัวประหลาดในเวลานี้อยู่ใกล้กับพวกเขามาก เยียนเซียวหรานทำได้เพียงหลบไปก่อน แล้วค่อยยิงธนูดอกนั้นออกไปตัวประหลาดตัวนั้นมองเห็นการเคลื่อนไหวนี้ของเขา ในดวงตาปรากฏความเหยียดหยามขึ้นมาแวบหนึ่ง ใช้วิธีการเดิมซ้ำอีกครั้งเพื่อจับธนูดอกนั้นเพียงแต่ครั้งนี้ตอนที่มันจับลูกธนูดอกนั้นเอาไว้ ทันใดนั้นยันต์ห้าอัสนีบาตรก็ทำงาน ภายในชั่วพริบตา เสียงฟ้าร้องคำรามลั่น ฟ้าผ่ามันจนไหม้เกรียมเยียนเซียวหรานแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดว่าทำแบบนี้น่าจะผ่าจนตัวประหลาดตายแล้ว ทว่าครู่ต่อมา ตัวประหลาดก็ขยับอ
ตลอดทาง เขากลับทำให้ตัวประหลาดนั่นไม่ต้องครุ่นคิดอีก วิ่งไล่ตามชื่อปาเลี่ยไปทันทีในระหว่างที่ซือเจ๋อเยว่กำลังพูด ตัวประหลาดก็ได้โจมตีชื่อปาเลี่ยหลายรอบแล้วชื่อปาเลี่ยในเวลานี้ได้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว กลัวว่าจะช่วยชีวิตเขาไม่ได้ เขาจำต้องคิดหาหนทางช่วยเหลือตัวเองศักยภาพของร่างกายเขาถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด ไม่นึกเลยว่าเขาจะหลบการโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนของตัวประหลาดได้อย่างหวุดหวิดเขาในเวลานี้พลางร้องอย่างสิ้นหวัง พลางหลบอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นเจ้าอ้วนที่คล่องแคล่วที่สุดในใต้หล้านี้ได้สำเร็จเมื่อซือเจ๋อเยว่มองเห็นท่าทางที่ตกอยู่ในอันตรายของเขา ทั้งรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร แล้วก็อยากจะขำอีกด้วย เนื่องจากตอนที่เขาหลบ เรียกได้ว่าไม่ได้สนใจภาพลักษณ์เลยสักนิดนางกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ถึงแม้ในหนังสือจะไม่ได้บอกวิธีการที่สามารถสังหารตัวประหลาดประเภทนี้เอาไว้ สิ่งของบนโลกใบนี้อยากจะให้หายไปก็มีเพียงสองวิธี”“หนึ่งคือการโจมตีทางกายภาพ อีกอย่างก็คือการโจมตีแบบลี้ลับ”“ในเมื่อการโจมตีทางกายเมื่อครู่นี้ไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ต้องลองการโจมตีแบบลี้ลับดูเสียหน่อย”ครั้งก่อนนางวาดยันต์สำรองเอาไว
ตอนนี้สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ก็คือสัตว์ยักษ์สีแดงที่สูงประมาณหนึ่งจั้งตัวหนึ่งสัตว์ยักษ์ตัวนั้นมีดวงตาสีดำที่คล้ายกับระฆัง ไม่มีคิ้ว ไม่มีขนตาจมูกมีเพียงรูจมูกสองรู ปากไม่มีริมฝีปาก ปรากฏให้เห็นฟันแหลมคมเต็มปาก ภายใต้ฟันอันแหลมคม เวลานี้ยังมีของเหลวสีเหลืองไหลย้อยออกมาเพียงแค่พวกนี้ก็พอทนแล้ว ร่างกายของเขายังมีตุ่มสีแดงเต็มตัวตุ่มพวกนั้นห้อยอยู่บนร่างกายของสัตว์ยักษ์ ปกคลุมร่างกายของมันที่เดิมทีเต็มไปด้วยขนสีดำ มองดูน่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง ซือเจ๋อเยว่ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนมีความรู้กว้างขวางมาโดยตลอด กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้ชื่อปาเลี่ยร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ “นี่มันตัวบ้าอะไรกันเนี่ย!”นี่เป็นคำถามที่เยี่ยมมากจริง ๆ ซือเจ๋อเยว่เองก็อยากรู้เช่นกันว่านี่มันคือตัวบ้าอะไรสัตว์ยักษ์ที่กำลังน้ำลายไหลตัวนั้นเดินมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเขา ทันทีที่มันเข้าใกล้ กลิ่นคาวกลุ่มนั้นก็รุนแรงขึ้นซือเจ๋อเยว่สะอิดสะเอียนจนอยากอ้วก!ตอนที่เยียนเซียวหรานมองเห็นสัตว์ยักษ์ตัวนั้น เสียงเตือนภายในใจของเขาก็ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่งตอนที่สัตว์ยักษ์ตัวนั้นเดินเ
นางมีแววตาเปล่งประกายล้ำลึก “ช่างเป็นฝีมือที่สูงส่งยิ่งนัก!” เยียนเซียวหรานมองนาง นางจึงเอ่ยต่อ "ฟ้าคือหยาง ดินคือหยิน ยามหยินหยางกลับตาลปัตร สรรพสิ่งพลิกผัน กฎแห่งฟ้าดินถูกตัดขาด!" “แต่สิ่งใดที่หลอกลวงได้ชั่วคราว ย่อมไม่อาจปิดบังไปชั่วชีวิต!” “เหล่าดวงวิญญาณผู้ซื่อสัตย์แห่งสนามรบ ท่านทั้งหลายที่คืนสู่แผ่นดิน ณ ที่แห่งนี้ โปรดร่วมมือกับข้ากำจัดภาพลวงที่ปกคลุมโลกใบนี้ จงสลายม่านมายา! ทำลายมันเสีย!” นางฟาดฝ่ามือลงกับพื้นดิน สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงแตกร้าวดังมาจากรอบทิศ ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น พื้นดินสีดำสนิทรอบตัวก็พลันหายไป อาการหายใจที่ยากลำบากบัดนี้กลับมาเป็นปกติ ต้นไม้ที่เคยหายไปปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและความเสื่อมสลาย ขุนเขาเช่นนี้ หาได้มีภาพของทัศนียภาพอันงดงามเหนือจินตนาการอย่างที่ชื่อปาเลี่ยที่เคยบอกเอาไว้ไม่ แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากลับเป็นดินแดนรกร้างที่ไร้ซึ่งชีวิต! เกรงว่าภาพที่เยียนอ๋องเห็นในอดีตก็คงจะเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น เพียงแค่นางยังไม่เข้าใจเหตุผล ผู้ที่วางค่ายกลนี้ เหตุใดจึงต้องสร้างภาพลวงเช่น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่อากาศโดยรอบเริ่มบางเบาจนผิดปกติ พวกเขาเพียงแค่เดินตามปกติ แต่กลับรู้สึกหายใจติดขัด ชื่อปาเลี่ยอ้าปากหอบหายใจ พลางเอ่ยด้วยความตระหนก “นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดข้าหายใจไม่ออก?” ซือเจ๋อเยว่เอ่ยเสียงเบา “เราก้าวเข้าสู่ค่ายกลของผู้อื่นแล้ว” ชื่อปาเลี่ยเอ่ยด้วยความสงสัย “แต่เมื่อครู่ยามที่เข้ามา ท่านได้ทำลายค่ายกลไปแล้วไม่ใช่หรือ?” ซือเจ๋อเยว่ตอบไป “นี่คือค่ายกลซ้อนค่ายกล ผู้วางค่ายกลนี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง ฝีมือในด้านค่ายกลไม่ได้ด้อยกว่าข้าเลย” “แม้แต่ยามที่ก้าวเข้ามาครั้งแรก ข้าเองก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ” “ในเมื่อเราตกเข้ามาแล้ว ยามนี้สิ่งที่ต้องทำคือหาทางทำลายค่ายกลนี้” ชื่อปาเลี่ยรีบถาม “ทำอย่างไรจึงจะทำลายได้?” ซือเจ๋อเยว่กวาดตามองโดยรอบแล้วเอ่ยขึ้น “หากต้องการทำลายต้องหาแกนกลางค่ายกลให้พบ ขอเพียงหามันเจอ การทำลายค่ายกลนี้ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง” “ส่วนเรื่องที่ว่ามันอยู่ที่ใด ยามนี้ข้าเองก็ยังไม่แน่ชัด เราต้องหาต่อไป” ยิ่งพวกเขาก้าวไปข้างหน้าเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าการหายใจยากลำบากเท่านั้น พื้นดินรอบตัวกลายเป็นสีดำไหม้ ฟ้า
ราชครูมองเห็นโชคชะตาของจวนหนิงกั๋วกงกระจัดกระจาย ก่อนที่มันจะรวมตัวขึ้นอีกครั้ง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขายกนิ้วขึ้นคำนวณบางสิ่ง แต่เมื่อได้ผลลัพธ์ เขากลับแย้มยกริมฝีปากแล้วเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “นี่มันตัวอันใด!” เด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายเอ่ยถาม “ท่านราชครู เป็นอันใดไปหรือขอรับ?” ทว่าราชครูกลับตอบไม่ตรงคำถาม “ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนมีเหตุและผลของมัน” “มีบางเรื่องที่ข้าสามารถแทรกแซงได้ แต่บางเรื่องต้องปล่อยให้นางเป็นผู้จัดการเอง” “นางคนนั้นมีชะตาชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น เมื่อยามทุกข์ก็ทุกข์อย่างแท้จริง” “แม้ข้าจะสงสารนางเพียงใด แต่เรื่องบางเรื่องก็มีแต่นางที่ต้องเผชิญด้วยตนเอง” เด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวเอ่ยถาม “ท่านกำลังเอ่ยถึงชะตากรรมใดกัน? หรือว่าท่านกำลังเป็นห่วงศิษย์พี่หญิง?” ราชครูหยิบไม้ขนไก่ข้างตัวขึ้นมาแล้วหวดลงไปที่หลังของเด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวทันที “ผู้ใดสนใจนางกัน?!” “ชะตาชีวิตของนางเป็นชะตาที่ต้องตาย แม้แต่มหาเทพเซียนมาเองก็ไม่อาจช่วยนางได้!” “ตลอดหลายปีมานี้ เป็นเพราะนาง ข้าแก่ขึ้นไปตั้งเท่าใด ข้าจะไปสนใจนางเ
ดังที่ซือเจ๋อเยว่คาดการณ์ไว้ อดีตหนิงกั๋วกงพลันกระอักเลือดออกมา เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเคียดแค้น “ซือเจ๋อเยว่!” ตลอดหลายวันผ่านมานี้ เขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาโชคชะตาของจวนหนิงกั๋วกง สมบัติวิเศษล้ำค่าที่เขาเสาะหามานานหลายปีล้วนถูกใช้ไปจนหมดสิ้น จึงจะประคับประคองไว้ได้อย่างยากลำบาก ครั้งก่อนที่ไป๋จื้อเซียนบุกเข้าไปยังห้องลับ และกลืนกินดวงวิญญาณของบรรพบุรุษคนสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ทำให้อดีตหนิงกั๋วกงเริ่มรู้สึกถึงความสั่นคลอนของพลัง แม้เวลานั้นสถานการณ์จะอันตราย แต่ค่ายกลใหญ่แห่งชายแดนยังไม่ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ หากสามารถจัดการพลังที่หลงเหลือได้อย่างเหมาะสม ก็ยังสามารถต่อเวลาของโชคชะตาในจวนหนิงกั๋วกงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เมื่อรู้ว่าซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานออกจากเมืองหลวง เขาจึงเร่งวางแผนเพื่อกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก เดิมทีเขาคิดว่าหากสามารถสกัดซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานเอาไว้ที่ด่านอวิ๋นหลิ่งได้ ทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหา ทว่าเมื่อครู่ เขาได้รับสารลับจากนกพิราบส่งข่าวจากด่านอวิ๋นหลิ่ง ข้อความในจดหมายบอกเอาไว้ว่าที่ด่านอวิ๋นหลิ่งนั้น เกิดหิมะตกหนัก
ดังนั้น เขาจึงเปลี่ยนจากบุรุษผู้ซื่อสัตย์ กลายเป็นคนหยาบกระด้างและไม่สนใจเหตุผลใด ๆ อีกต่อไป เขาชินเสียแล้วกับสายตาของผู้คนที่มองเขาปานสิ่งสกปรก เขาใช้ชีวิตอย่างเมามายไร้จุดหมายไปวัน ๆ แต่เมื่อวาน ยามที่ไป๋จื้อเซียนคิดจะสังหารเขา ซือเจ๋อเยว่กลับทุ่มเทสุดกำลังเพื่อช่วยชีวิตเขา ยิ่งไปกว่านั้นแววตาที่นางใช้มองเขา ก็หาได้แตกต่างไปจากการมองคนอื่นไม่ ไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวของความดูแคลน เขาจึงรู้สึกว่าสตรีในโลกนี้ ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเช่นมารดาหรือสตรีที่เขาเคยหมายปองในอดีต เขากระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณชายสาม หลังจากเรื่องนี้จบแล้ว ท่านพอจะพาข้าไปเมืองหลวงได้หรือไม่?” เยียนเซียวหรานรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “เจ้าคิดจะไปเมืองหลวง?” ชื่อปาเลี่ยตอบไป “ใช่ขอรับ ข้าไม่อยากอยู่ที่ชายแดนอีกต่อไปแล้ว ที่นี่ทุกคนล้วนรู้เรื่องของข้า หากข้าไม่เลือกเป็นอันธพาลก็ต้องเป็นเพียงคนไร้ค่า” “แต่ข้าไม่อยากเป็นอันธพาลและไม่อยากเป็นคนไร้ค่า ข้าเพียงแค่อยากเป็นคนธรรมดา” “ข้าต้องการพึ่งพาความสามารถของตนเอง มีชีวิตที่ดี และแต่งงานกับสตรีดี ๆ สักคน เพื่อใช้ชีวิตอย่างปกติสุข” เยียนเซียวหรานเอ่ย