ตอนพิเศษจุดจบของคนชั่วช้า เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เผลอครู่เดียวบุตรชายของนางก็อายุครบหนึ่งปีแล้ว พิธีจวาโจว[1] เพิ่งจัดไปเมื่อสามวันก่อน แม่สามีกล่าวว่าหนิงเฉิงช่างเลือกหยิบของได้เหมือนกับบิดาไม่มีผิด ดูแล้วกิจการที่มากมายของหยางซีซวนจะมีผู้สืบทอดแล้ว “กำลังคิดอันใดอยู่หรือฮูหยิน” บุรุษผู้นี้เป็นฟูจวินมานานเกือบสองปีแล้ว ความโปรดปรานที่มีให้ไม่เคยลดน้อยลง น่าสงสารก็แต่บุตรชายที่แม้จะร้องไห้งอแงเพียงใด ก็ยังถูกมอบให้แม่นมดูแล เพื่อจะได้ไม่มารบกวนบิดามารดาในยามค่ำคืน “กำลังคิดถึงคำของท่านแม่เจ้าค่ะ คิดไปคิดมาหนิงเฉิงนอกจากมีใบหน้าคล้ายคลึงกับท่านแล้ว อีกไม่นานคงเก่งกาจไม่แพ้ท่าน” ในพิธีจวาโจว มีของวางมากมาย ทั้งธนู ตำรา หรือแม้แต่ดาบ แต่พอนางปล่อยหยางหนิงเฉิงลง เจ้าเด็กคนนั้นกลับคลานตรงไปหาตำลึงทองก้อนใหญ่และซ่วนผาน[2] สายตาของบุตรชายจับจ้องของสองสิ่งนี้อย่างมุ่งมั่น ยามคลานนั้นไม่มีท่าทีลังเลเลยแม้แต่น้อย จะว่าลังเลหรือไม่ ก็มีบ้างเพียงเล็กน้อย เพราะก่อนที่เด็กคนนั้นจะคลานไปหยิบตำลึงทองและซ่วนผาน เขาพยายามจับและยกทองก้อนใ
“ข้าเพียงแต่จะถามว่าหลังจากที่สหายชั่วช้าของข้าถูกสามีตบตีจนเจ็บหนักแล้วเป็นอย่างไรต่อเจ้าคะ” “สองแม่ลูกที่กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงมีหรือจะยอมเรียกหมอมาดูอาการ แต่อดีตนางโลมผู้นั้นกลับหยิบยื่นความเมตตาให้ด้วยความสงสาร ท่านหมอจึงถูกสาวใช้ที่ติดตามอนุฯ ผู้นั้นพาไปรักษาฮูหยินเอกอย่างเงียบๆ” “ตระกูลกวางช่างน่าขันนะเจ้าคะ ฮูหยินเอกไม่มีสาวใช้ แต่อนุภรรยากลับมีสาวใช้เคียงกาย” “นี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สตรีผู้นั้นโกรธแค้น” แท้จริงสาวใช้ผู้นั้นเป็นคนของเขา ทั้งยังมีวรยุทธ์เก่งกาจยิ่งกว่ามือปราบกวาง “แล้วเป็นอย่างไรต่อเจ้าคะ” “ตรงนี้ร้อนแล้ว เราไปนั่งสนทนากันในเรือนดีหรือไม่” “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้านี่มันใช้ไม่ได้...” จุ๊บ ริมฝีปากของเขาแตะลงบนกลีบปากบางราวกับไม่ต้องการให้นางได้เอื้อนเอ่ยวาจา “อย่าได้กล่าววาจาเช่นนั้น พี่ไม่ได้กล่าวโทษเจ้า พี่เพียงแต่ไม่อยากให้เจ้าร้อนหรือต้องยืนเมื่อยเช่นนี้” “ขอบคุณนะเจ้าคะที่รักและห่วงใยข้าถึงเพียงนี้” เขาช่างใส่ใจนาง แต่กว่าฮูหยินน้อยจะทราบว่
เรื่องราวของท่านหมอ 1 สตรีที่มีใบหน้างดงามน่าเอ็นดูนิ่งฟังวาจาที่เต็มไปด้วยโทสะของบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้า “อ้ายช่างเจ้าถอนหมั้นเถิด มิเช่นนั้นหากเจ้ายังดื้อรั้นตบแต่งเข้าตำหนักข้า ชีวิตของเจ้าจะไม่ได้พบกับความสุขอีกชั่วชีวิต” หากไม่เป็นเพราะนางรักเขา นางคงไม่ยอมทนให้เขากล่าววาจาร้ายกาจใส่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่จริงสิ่งที่นางทำไปทั้งหมดเพราะต้องการปกป้องเขาจากสตรีที่มีคู่หมายแล้วอย่างกวนฮวาเหมยที่มาดักรอหวังจะแสร้งบังเอิญพบเขา ‘คุณหนูเซียว เหตุใดท่านจึงชอบกล่าวว่าร้ายข้าเช่นนี้’ ท่าทางโศกเศร้าราวกับดอกสาลี่ต้องฝนของสตรีที่ตนพึงใจทำให้หวงหลี่จื้อเกิดโทสะ เซียวอ้ายช่าง สตรีที่เขาเคยมองว่าน่าเอ็นดูเหตุใดถึงได้ทำตัวร้ายกาจเช่นนี้ ให้บิดาขอสมรสพระราชทานหวังบีบบังคับแต่งเป็นพระชายาเขายังไม่พอ ยังชอบเอ่ยวาจาหยามเกียรติสตรีที่เขาพึงใจอีก ‘อ้ายช่าง เจ้าขอโทษคุณหนูกวนเดี๋ยวนี้’ ‘เหตุใดข้าต้องขอโทษนาง ในเมื่อที่ข้ากล่าวไปทั้งหมดเป็นความจริง’ นางกอดอกอย่างไม่ยอม ‘ช่างเถิดเพคะองค์ชาย บ่อยครั้งที่หม่อมฉันม
น้ำตาของนางไหลรินออกมาโดยไม่รู้ตัว พี่ชายทั้งห้าคนที่ลอบฟังอยู่ด้านนอกตั้งแต่แรกรีบเข้ามาหลังจากเขาออกไป ไร้คำปลอบประโลมใดๆ มีเพียงอ้อมกอดอบอุ่นจากบุรุษที่รักนางทั้งห้าคน สุดท้ายแล้วคนที่รักนางที่สุดคงจะมีเพียงบุรุษตระกูลเซียว หลังจากนั้นนางก็ไม่ได้ออกจากจวนไปไหนอีก ข่าวการลอบเจอกันของทั้งคู่ยังคงดังเข้าหูนางอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่อาจถอนหมั้นยกเลิกสมรสพระราชทานได้ จวนเซียวจึงได้แต่ตระเตรียมงานมงคล แต่ทว่าก่อนกราบไหว้ฟ้าดินเพียงหนึ่งวันก็ได้รับข่าวว่าองค์ชายห้าหายตัวออกไปจากตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อเป็นการปลอบใจ นางจึงได้รับพระราชทานของล้ำค่าจำนวนมาก พร้อมทั้งยังได้รับคำสั่งลับให้ตามตัวองค์ชายกลับคืน ด้วยเหตุนี้นางพร้อมผู้ติดตามจึงรีบไปตามหาทันทีที่ได้รับรายงานว่าพบเขา แต่กลับต้องคลาดกันเพราะบุรุษรูปงามผู้หนึ่งเข้าช่วยเหลือ และก็อีกครั้งที่ชายแดนแคว้นหวงนางก็เกือบจะพบตัวเขาแล้ว แต่ทว่าก็คลาดกันจนได้เพราะเล่ห์เหลี่ยมของบุรุษคนเดิมที่นางทราบภายหลังว่าเขาเป็นบุตรชายคนเล็กของแม่ทัพหยาง แม้นางจะท้อแต่นางก็ยังคงตามหาเขาตามคำสั่งของฮ่องเต้
“คงต้องรบกวนให้เจ้าช่วยเหลือแล้ว” คนที่เคยปรามาสสหายของตนบัดนี้กลับลงมือทำเสียเอง หากหยางซีซวนทราบเข้ามิแคล้วคงล้อเลียนเขาไปอีกนาน แต่แล้วอย่างไร หากมารยาแล้วทำให้เขาได้สตรีอันเป็นที่รักกลับคืน เขาก็ยินยอมจะถูกสหายเย้ยหยัน “เช่นนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นนะเจ้าคะ” เซียวอ้ายช่างที่เห็นเลือดซึมออกจากอาภรณ์ของเขาใจคอไม่ดี จึงรีบทำตามคำขอของเขาในทันที ใช้เวลาไม่นานท่านหมอก็มาถึงและเริ่มทำการรักษา เซียวอ้ายช่างฟังคำแนะนำของท่านหมออย่างตั้งใจก่อนจะให้เจ๋อคุนมอบตำลึงแล้วไปส่งท่านหมอ แก้วตาดวงใจของตระกูลเซียวมีสีหน้ายุ่งยากเมื่อท่านหมอสั่งว่าเขาต้องกินยาในทันที แต่คนที่คล้ายจะเสียเลือดมากกลับไร้สติไม่อาจทำตามที่ท่านหมอสั่งไว้ได้ “เหตุใดข้าถึงใจแข็งกับท่านไม่ได้สักที” นางพึมพำเสียงเบาก่อนจะยกชามยาสีน่ากลัวขึ้นดื่มแล้วป้อนยาให้เขาด้วยปากของตนเอง หากท่านหมอไม่กล่าวว่าเขาต้องดื่มยาในชามให้หมดห้ามขาดแม้แต่หยดเดียวนางก็คงไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก ‘เป็นเช่นนั้นดีแล้ว’ คนที่แสร้งหมดสติอยู่คิด นอกจากเขาจะไม่ยอมถอนหมั้นนาง
แท้จริงในใจเขาอยากจะฉีกหนังสือถอนหมั้นเช่นที่เคยทำ แต่ทว่าเขากลัวว่าหากทำเช่นนั้นแล้วนางจะโกรธจนไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้อีก องค์ชายที่เคยถูกเอาอกเอาใจมาโดยตลอดอย่างเขาจึงยอมลงให้นางและหาข้ออ้างสารพัดเพื่อหลีกหนีการลงนามแทน ไม่กี่วันต่อมาเขานำขนมมาให้นางถึงจวนอีกแล้ว เมื่อเห็นเขากล่าวถึงความเลิศรสของขนมที่นำมา ในดวงตาหงส์มีประกายเย็นชาพาดผ่าน “ลี่เกา[1]ที่พี่นำมาทั้งหมดนี้ล้วนรสเลิศพี่จึงอยากให้เจ้าลองชิม” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางยังคงตอบรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมื่อเห็นขนมที่เขานำมาให้นางในวันนี้ นางรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก เพราะขนมทั้งหมดล้วนเป็นขนมที่กวนฮวาเหมยเคยบอกว่าชอบนักหนา แต่เซียวอ้ายช่างผู้นี้นั้น ‘แพ้เกาลัด’ “ลองชิมสิ กินคู่กับชารสดีไม่น้อย” “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะชิมมัน แต่ต้องเป็นหลังจากท่านลงนามให้ข้าเรียบร้อยแล้ว” แม้จะต้องแพ้จนหายใจติดขัด จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดนางก็จะยอมกิน ขอเพียงแค่เขาลงนามในหนังสือถอนหมั้นให้นาง “อ้ายช่าง พี่ขอโทษในเรื่องราวที่แล้วมา พี่ไม่ขอให้เจ้าอภัยให้ เพราะพี
“อ้ายช่าง พี่คิดถึงรอยยิ้มของเจ้ายิ่งนัก” “...” “อ้ายช่าง พี่อยากเห็นรอยยิ้มของเจ้าในวันวานได้หรือไม่” “...” “อ้ายช่าง พี่ขอโทษที่เคยทำร้ายเจ้า พี่ขอโทษที่ร่วมมือกับผู้อื่นทำร้ายเจ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ พี่มันโง่เง่า” “...” “เจ้าให้โอกาสพี่ได้แก้ตัวกับเจ้าอีกสักครั้งได้หรือไม่ พี่ขอโอกาสจากเจ้าอีกเพียงครั้งเดียว” “...” “อ้ายช่างเจ้ารู้หรือไม่ แท้จริงแล้วพี่รักเจ้ามานาน เพียงแต่พี่ไม่รู้ใจตนเอง กว่าจะยอมรับว่าพี่ก็รักเจ้ามากเช่นกัน เจ้าก็พยายามจะไปจากพี่” “เฮ้อ...เอาเถิดเจ้าค่ะ ข้าง่วงแล้วเราไปนอนกันดีกว่า” “เช่นนั้นให้พี่กล่อมเจ้านอนนะ” “ไม่...” นางกล่าววาจาไม่ทันจบ ริมฝีปากนางก็ถูกปิด ลิ้นร้อนรุกเร้าโพรงปากของนางอย่างเอาแต่ใจ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการบดเบียดริมฝีปากอย่างหนักหน่วงคล้ายกับลงโทษที่นางกล่าววาจาไม่เข้าหู “ให้พี่ได้ดูแลเจ้าเถิด” เขายกตัวนางขึ้นก่อนจะวางลงบนเตียงด้านใน ไม่ปล่อยให้นางปฏิเสธอีก “อ้ายช่าง ให้โอกาสบุรุษโง่เ
เรื่องราวของท่านหมอ 2 (จบ) องค์ชายหวงหลี่จื้อมีใบหน้าสดใสเป็นอย่างยิ่งยามกระโดดลงจากม้าแล้วเข้าไปพาเจ้าสาวของตนลงจากเกี้ยว เขาช่วยประคองนางเดินไปเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินอย่างทะนุถนอม วันนี้เขาช่างมีความสุขยิ่งนักที่ได้ตบแต่งกับสตรีที่ตนพึงใจ พิธีตบแต่งพระชายาขององค์ชายเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ตามพระประสงค์ เมื่อทั้งสองเสร็จสิ้นพิธีกราบไหว้ฟ้าดินแล้ว องค์ชายห้าก็เข้าประคองพระชายาของตนเพื่อจะพานางไปที่ห้องหอ “วันนี้ข้ามีความสุขยิ่งนัก ขอบคุณเจ้าที่ยอมแต่งให้ข้า” ความสุขของเขามากล้นจนไม่รู้จะเอ่ยวาจาใดออกไป แต่เมื่อหันหน้ามามองกลุ่มคนตระกูลเซียว ใบหน้าของสตรีที่ยืนอยู่ด้านหลังของบุตรชายทั้งห้าของตระกูลเซียวทำให้เขาต้องตกใจแทบสิ้นลม ‘นางจะยืนอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร’ ในเมื่อสตรีที่สวมชุดเจ้าสาวสีแดงที่เขาประคองอยู่คือเซียวอ้ายช่าง แต่พอยกมือขยี้ตา สตรีผู้นั้นก็ยังยืนอยู่ที่เดิม นางส่งยิ้มสดใสเช่นที่เขาเคยเอ่ยวาจาขอ “เซียวอ้ายช่างเหตุใดเจ้า...” หวงหลี่จื้อที่รู้สึกงุนงงเป็นอย่างมากจะเดินฝ่ากลุ่มคนไปหาสตรีที่ตนรัก แต่ทว่าพระชายาที่เพิ่งเข้าพิ
“เรื่องนั้นท่านอย่าได้ห่วงเลยเจ้าค่ะ พี่เหลียงอี้ เขาไปลาดตระเวนตรวจตราที่บริเวณจวนของนางอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นนางปลอดภัยไม่มีอันตรายแน่นอน” ‘สตรีโง่ ข้าอยากจะบอกเจ้าเหลือเกินว่า คู่หมั้นข้านางผู้นั้นมีของล้ำค่ามากกว่าปิ่นที่เจ้าจะซื้อให้อีก’ ยิ่งได้เห็นความใสซื่อของซูหนิงเซียน ความสนใจในตัวคู่หมั้นก็เริ่มลดลง หากไม่ติดที่ว่ามีบุญคุณช่วยชีวิตเขาก็คงไม่คิดสนใจไยดีแล้ว น่าแปลกที่เขาเชื่อวาจาที่ซูหนิงเซียนบอกกล่าวออกมามากกว่าที่ได้รับฟังจากหม่าลี่อิน “ข้าเลือกชิ้นนี้เจ้าค่ะ ลี่อินนางชอบไข่มุก ข้าว่านางต้องดีใจมากแน่นอนเจ้าค่ะที่ได้ปิ่นนี้” “อืม” รอยยิ้มจริงใจของคุณหนูซูทำให้เขาเอ่ยวาจาไม่ออก “คุณหนูซูท่านช่างโชคดีเหลือเกินขอรับ วันนี้นายท่านของร้านเราใจดี สั่งลดราคาเครื่องประดับให้กับลูกค้าคนที่สิบเก้า ซึ่งคือท่าน” “ลดราคาเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “ใช่ขอรับ เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่ม้าตัวโปรดของนายท่านคลอดลูกม้า นายท่านสั่งลดราคาเครื่องประดับให้ลูกค้าคนที่สิบเก้าครึ่งราคา นั่นเท่ากับว่าวันนี้คุณหน
ดวงหน้าหวานที่โผล่ออกมาจากรถม้าทำให้ใจของเขาสั่นไหว เมื่อนางเผยรอยยิ้มเขาแทบจะกระโดดลงจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมเพื่อไปหานาง “แม่นางหนิงเซียน” เสียงทุ้มของบุรุษที่ดังขึ้นดึงความสนใจของซูหนิงเซียนให้หันไปมอง “คารวะคุณชายซวนเจ้าค่ะ” ยามเห็นหน้ากากจึงจดจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคู่หมั้นของสหาย “ท่านมาคนเดียวหรือ” “เจ้าค่ะ วันนี้ข้าจะมาหาซื้อผ้าไปตัดชุดให้สาวใช้คนสนิท จึงตั้งใจมาด้วยตัวเองไม่ได้ชวนลี่อินมาด้วย” นางเข้าใจว่าเขาถามหาสตรีในดวงใจ “ข้ามีความรู้เรื่องผ้าไม่น้อย ให้ข้าช่วยเลือกดีหรือไม่ ไม่แน่เจ้าอาจจะได้ผ้าเนื้อดีที่ราคาถูก” “หากมิรบกวนคุณชายซวนเกินไป…” ซูหนิงเซียนยังกล่าวไม่ทันจบเขาก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นก่อน “เรื่องนี้มิได้เหลือบ่ากว่าแรง จะถือว่ารบกวนข้าได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” นางตอบรับแล้วยกยิ้มเล็กน้อย บุรุษสวมหน้ากากช่วยนางเลือกผ้าได้หลายพับ แต่เมื่อจ่ายเงินนางกลับพบว่านางได้ของดีแต่ราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ “ท่านหลงจู๊ ลองคิดเงินใหม่อีกครั้งดีหรือไม่
ในกาลก่อนที่ข้ารักเจ้า บริเวณชั้นบนของโรงเตี๊ยมเลี่ยงจิน บุรุษสวมหน้ากากจ้องมองคู่หมั้นของตนที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ดวงหน้าหวานแต่งแต้มรอยยิ้มสดใสพาลทำให้บุรุษรอบตัวต่างหันมามอง แต่เขากลับถูกสตรีนางหนึ่งดึงดูดสายตาให้จ้องมอง สตรีนางนั้นคล้ายจะเป็นสหายของคุณหนูหม่า แม้ดวงหน้านางจะแต่งแต้มรอยยิ้มบาง แต่ทว่ากลับดึงดูดเขาได้อย่างน่าประหลาด และดูเหมือนว่าแท้จริงบุรุษเหล่านั้นจะจ้องมองนางเสียมากกว่า พลันในอกรู้สึกไม่ชอบใจอย่างประหลาด ความรู้สึกหวงแหนก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างไม่รู้ตัว เหตุใดกับคู่หมั้นตน เขาถึงไม่รู้สึกเช่นนี้ พรึ่บ ไวกว่าความคิดร่างสูงโปร่งของบุรุษรูปงามก็ปรากฏตัวด้านหลังสตรีทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยทักทาย “ลี่อินเจ้ามาเดินเที่ยวเล่นหรือ” เขาทราบว่ามันเป็นคำถามที่ดูโง่งม แต่เขาไม่รู้จะเอ่ยถามอันใดออกไป “คารวะคุณชายซวนเจ๋อเจ้าค่ะ” สายตาที่มีประกายรังเกียจพาดผ่านทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่คู่หมั้นจะแสดงความเคารพเขา หลายครั้งที่นางมองเขาเช่นนี้ คงเพราะหวาดกลัวหน้ากากที่ปกปิดบนใบหน้าเขา การเป
“คนของเจ้าสืบได้ละเอียดถึงเพียงนั้น” หมิงอี้เฉินหรี่ตามองอย่างจับผิด “เรื่องที่คิดกำจัดนางกับท่านพ่อตา คนของข้าได้ยินหม่าลี่อินวาดฝันกับกวางเหลียงอี้ เมื่อเห็นว่าเป็นภัยต่อนาง คนของข้าจึงนำมารายงานข้าด้วย” “...” “เบื้องต้นข้ามีหลักฐานที่กลุ่มนักเลงพวกนั้นสารภาพ เจ้าอยากดูหรือไม่” “อืม” เขายกชามสุราขึ้นจิบก่อนจะตอบรับ “นี่คือจดหมายรับสารภาพของนักเลงที่ดักปล้นรถม้าแต่ถูกข้าซ้อนแผนจับเป็นทั้งหมด ก่อนจะนำมาทรมานเพื่อเค้นความจริง” หยางซีซวนยื่นจดหมายที่เพิ่งนำออกมาจากอกเสื้อให้เขา “หม่าลี่อินชั่วช้ายิ่งนัก คิดจะให้พวกนักเลงข่มเหงนาง” จากคำสารภาพของนักเลง กวางเหลียงอี้เพียงแต่ตั้งใจทำให้นางตกใจ แต่หม่าลี่อินกลับซ้อนแผนให้นักเลงพวกนั้นข่มเหงนางก่อนที่กวางเหลียงอี้จะไปช่วย คงกลัวว่าหากเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ของตนได้พบเจอนางจะเปลี่ยนใจ จึงสร้างมลทินให้ซูหนิงเซียน “เพราะเหตุนี้ข้าจึงแสร้งสติฟั่นเฟือนเพื่อจะได้อยู่ในจวนตระกูลซูต่อไป เพื่อจะได้ปกป้องนางและบิดาด้วยตนเอง” “เรื่องนี้เจ้าสามารถใช้ผ
คุณชายหมิงอี้เฉิน เมื่อได้รับข่าวว่าสหายในวัยเด็กเดินทางกลับมาจากเมืองซานโจวแล้ว เขาจึงรีบไปหา แต่ใครจะคิดเล่าว่าการพบเจอครั้งนี้จะพ่วงบุรุษผู้นั้นมาด้วย ชายที่มองอย่างไรก็ไม่คล้ายคนสติฟั่นเฟือน ท่าทางออดอ้อนนั้นแลดูเหมือนบุรุษเจ้ามารยาเสียมากกว่า คุณชายหมิงเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วยืนนิ่งราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง “คุณชายขอรับ นี่ก็เป็นปลายยามไฮ่ (21.00-22.59) แล้ว น้ำค้างก็ลงมากแล้วอย่างไร...” บ่าวรับใช้คนสนิทยังกล่าวไม่ทันจบ คุณชายเจ้าของจวนก็เอ่ยวาจาแทรกขึ้นก่อน “เจ้าไปนอนก่อนเถิด ข้าจะยืนชมดาวอีกสักหน่อยก็จะไปนอนแล้ว” “ขอรับ” เมื่อคุณชายกล่าวเช่นนั้น บ่าวรับใช้คนสนิทก็ได้แต่เดินจากไป พรึ่บ บุรุษชุดดำกระโดดลงมาตรงหน้าเขาหลังจากบ่าวรับใช้เดินหายไปไม่นาน “มาแล้วหรือ” คุณชายหมิงเอ่ยวาจาทักทายผู้มาเยือน “เจ้าอยากพบข้าด้วยเหตุใด” หากบุรุษผู้นี้ไม่ค้นพบการมีตัวตนของผู้ติดตาม เขาก็คงคิดว่า ซือเย่ผู้นี้เป็นเพียงบัณฑิตอ่อนปวกเปียกที่ไม่กล้าฆ่าแม้แต่ไก่ “ท่านควรแจ้งถึงจุดประสงค์ในก
“พี่ไม่ได้รังแกเจ้า พี่มอบความโปรดปรานให้เจ้า” “หน้าอกท่านแน่นเสียจริง” “หากเจ้าอยากลูบไล้ยามไร้อาภรณ์ ก็จงรีบกลับจวนกับพี่” “ไม่เอา ข้ายังไม่อยากกลับ กว่าจะได้ออกมาเที่ยวเช่นนี้ไม่ง่ายเลย ต้องขอบคุณท่านแม่นะเจ้าคะ ที่เมตตาข้า” “มิเป็นไรๆ เจ้าอยู่สนุกกับเหล่าชายงามต่อเถิด แม่ต้องกลับไปรับโทษ...ไม่ใช่ แม่ต้องรีบกลับแล้ว” กล่าวจบหยางฮูหยินก็หันไปมองใบหน้าบึ้งตึงของสามี ‘ครั้งนี้นางคงหยอกเย้าบุตรชายมากเกินไป จึงทำให้ฟูจวิน ของนางโกรธขึ้นมาจริงๆ’ ต่อจากนี้คงต้องทนปวดเอวเพื่อง้อท่านแม่ทัพใหญ่หลายคืนอีกแล้ว “ได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะสนุกกับพี่ชายคนงามแทนท่านแม่เองเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินโซซัดโซเซไปหากลุ่มชายงาม แต่กลับโดนสามีโอบรั้งเอวคอดกิ่วเอาไว้ “พี่ชายคนงามพวกนี้ อยากกลับไปพักผ่อนแล้ว เจ้าอย่าได้รบกวนพวกเขาเลย” น้ำเสียงที่เอ่ยกับฮูหยินตนช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ต่างจากสายตาที่จ้องมองคล้ายจะเข้าขย้ำเหยื่อตรงหน้าของราชสีห์ “จริงหรือเจ้าคะพี่ชาย” “จริงขอรับ”
“ท่านพ่อ คราวนี้ท่านแม่ทำเกินไปขอรับ” เขารีบฟ้องบิดาในทันที มารดาพาฮูหยินของเขามาเที่ยวหอชายงามเช่นนี้ เกิดนางติดใจเข้าจะทำเช่นไร “อย่าได้ห่วง พ่อจะจัดการลงโทษนางตามกฎของพ่อ เข้าไปด้านในกันเถิด” เพียงแค่คิดถึงบทลงโทษที่จะได้ใช้กับฮูหยินตนแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่ก็คล้ายจะอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอจะก้าวเท้าเข้าหอชายงาม ผู้ติดตามที่ถูกสั่งให้กีดกันคุณชายก็โผล่ออกมาขัดขวางตามคำสั่งของหยางฮูหยิน “พวกเจ้ากล้าขัดขวางข้าหรือ” น้ำเสียงที่ไม่คล้ายจะพอใจทำให้ผู้ติดตามของหยางฮูหยินรีบคุกเข่า “มิได้ขอรับ แต่พวกข้าน้อยถูกสั่งให้ขัดขวางคุณชายไม่ให้เข้าไปในที่แห่งนี้ขอรับ” กลิ่นอายสังหารของท่านแม่ทัพใหญ่ทำให้บุรุษชุดดำทั้งหมดหวั่นเกรงยิ่งนัก “พวกเจ้ากล้าขัดขวางบุตรชายข้าหรือ นายที่แท้จริงของพวกเจ้าคือใครจำได้หรือไม่” “ท่านแม่ทัพขอรับ” บรรดาผู้ติดตามพร้อมใจกันตอบรับ หากเทียบกันแล้วหยางฮูหยินนั้นรับมือง่ายกว่าท่านแม่ทัพมากนัก ‘ต้องขออภัยฮูหยินแล้วขอรับที่พวกข้าต้องเลือกฝั่งท่านแม่ทัพใหญ่’ บรรดาผู้ติดตามได้แต่แสร้
ท่านแม่กำลังไปตามหาน้องให้ สิ่งแรกที่เขามักจะมองหาเมื่อกลับถึงจวนคือฮูหยินของเขาที่มักจะมายืนส่งยิ้มให้ แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น นัยน์ตาดำกวาดมองไปทั่วบริเวณ จึงพบเด็กชายตัวน้อยกำลังนั่งเล่นตัวต่อไม้โดยมีแม่นมและสาวใช้คอยดูแลอยู่ ไร้เงาของผู้เป็นมารดา “หนิงเฉิง กำลังเล่นอันใดอยู่หรือลูก” เขาโบกมือไล่แม่นมและสาวใช้ออกไป ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงสนทนากับบุตรชายวัยสามขวบที่คล้ายฉลาดเกินวัย “ตัวต่อไม้ขอรับท่านพ่อ” “นี่คืออันใด” หยางซีซวนชี้ไปยังตัวต่อที่ถูกต่อขึ้นมาคล้ายเรือนหลังเล็ก “เรือนของน้องชายขอรับ” “เรือนของหนิงเฉินหรือ น่าอยู่ไม่น้อย” เพราะบุตรชายคนเล็กอายุเพียงเจ็ดเดือน จึงต้องอยู่กับแม่นมไม่สามารถมาเล่นกับพี่ชายได้ “อืม...หรือเก็บไว้ให้น้องสาวดี” เด็กน้อยทำท่าครุ่นคิด “จะน้องชายหรือน้องสาว ก็เป็นน้องของเจ้าทั้งนั้น อย่าได้ลำเอียง เข้าใจหรือไม่” “ขอรับท่านพ่อ” “ท่านแม่ของเจ้าไปไหน เหตุใดพ่อจึงไม่เห็น” “ทะ ท่านแม่หรือขะ ขอรับ น่าจะนอนอยู่ระ เรือนนะขอรั
ยามอยู่ในงานเลี้ยงองค์ชายห้าเกาะติดนางไม่ห่าง ทำให้นางรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก “เจ้ากินเซาปิ่งมากถึงเพียงนี้ ระวังจะกินอาหารเลิศรสจานอื่นไม่ได้” “เซาปิ่งของจวนเสิ่นอร่อยถูกปากข้ามากเลยเจ้าค่ะ” ท่าทางกินของนางทำให้มุมปากหยักของเขายกยิ้มอย่างเอ็นดู “พี่ไม่แย่งเจ้าหรอก ค่อยๆ กินประเดี๋ยวติดคอ” “ข้า...” เซาปิ่งที่เซียวอ้ายช่างจับอยู่ตกลงบนพื้น สองมือของนางกุมอกเอาไว้ ท่าทางคล้ายจะขาดใจตายของนางทำให้เขาร้อนรน “อ้ายช่าง อ้ายช่างเจ้าเป็นอันใด เซาปิ่งติดคอใช่หรือไม่” หวงหลี่จื้อช่วยตบหลังให้นาง “ลี่จึ...ในเซาปิ่งมี อึกๆ” ท่าทางทุรนทุรายของคุณหนูเซียวและสีหน้าตื่นตระหนกขององค์ชายห้า ทำให้ผู้นำตระกูลเสิ่นรีบเข้ามาดูนางพร้อมกับเสิ่นฮูหยิน “เจ้าพยายามกินยานี้เข้าไปเร็วเข้า” “อึกๆ อึก” เพราะหายใจไม่ออก นางจึงดิ้นทุรนทุราย หวงหลี่จื้อเห็นท่าไม่ดี จึงเอายาใส่ปากแล้วป้อนให้นางด้วยปาก เขาบังคับให้นางกลืนยาลงไป การกระทำขององค์ชายคล้ายจะทำให้เกิดเสียงฮือฮา แต่มีหรือเขาจะสนใจ การช่วยช