“หากท่านไป ข้าก็จะไปเช่นเดียวกัน” เพราะได้เขาช่วยเหลือในวันนั้น นางจึงเกิดความประทับใจและเฝ้ามีใจให้เขา และในงานวันนั้นเองที่นางได้รับรู้ความจริงแล้วว่าแท้จริงบุรุษที่ตนพึงใจนั้นชื่นชอบคุณหนูกวนผู้นั้น ยามที่กวนฮวาเหมยปรากฏตัว เขามักจะลืมนางทุกครั้งไปทำให้นางเกิดความไม่พอใจ เช่นเดียวกับบิดาและพี่ชายทั้งห้าของนาง บิดาที่ทนเห็นนางนั่งเศร้าไม่ออกไปวิ่งเล่นหลายวันอดรนทนไม่ไหว รีบบากหน้าขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เพื่อขอสมรสพระราชทานให้เซียวอ้ายช่างได้เป็นพระชายาเอกในองค์ชายห้า หวงหลี่จื้อ แม้นางจะยังงุนงงที่จู่ๆ สมรสพระราชทานตกใส่หัว แต่ด้วยความดีใจนางจึงรีบไปหาเขาที่จวนเชิงเขา แต่กลับได้พบเขากำลังปลอบใจคุณหนูกวนผู้นั้น ‘หม่อมฉันมาวุ่นวายกับพระองค์เช่นนี้คุณหนูเซียวคงมิพอใจ ถึงได้ขอให้บิดาเข้าวังไปขอสมรสพระราชทาน’ ‘นางกล้าดีอย่างไร มาบังคับองค์ชายอย่างข้า’ ‘นางคงปักใจรักองค์ชาย จึงทำเช่นนั้น ต่อจากนี้หม่อมฉันคงมาเจอองค์ชายไม่ได้อีก หม่อมฉันไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นสตรีไร้ยางอายคิดแย่งบุรุษของผู้อื่น’ ‘ข้า
19รับหน้าที่เป็นผู้เฒ่าจันทรา เมื่อเซียวอ้ายช่างได้ทราบถึงเรื่องราวที่สหายต้องการให้ตนไปเป็นพยานร่วมรับรู้ว่าต่อจากนี้ คุณชายเล็กแห่งจวนตระกูลหยางจะไม่สร้างเรื่องโกหกซูหนิงเซียนอีก ก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ แต่เมื่อเห็นหน้าคนรักของนาง สหายก็แทบจะรักษากิริยามารยาทเอาไว้ไม่ได้ “แท้จริงคนรักของเจ้าก็เป็นคุณชายผู้นี้” “ใช่แล้ว และเขาก็รับปากแล้วว่าเมื่อเจ้าช่วยเหลือเรื่องที่ข้าขอ เขาก็ยินดีจะช่วยเหลือในสิ่งที่เจ้าต้องการ” “เช่นนั้นก็ดี แต่เจ้าไม่กลัวตนเองจะช้ำใจหรือ บุรุษผู้นี้ปลิ้นปล้อนยิ่งนัก ข้ากลัวว่าเจ้าจะเสียใจ” คุณหนูเซียวทำทีป้องปากกล่าวเสียงเบา แต่ผู้ฝึกยุทธ์เช่นเขามีหรือจะไม่ได้ยิน ‘สตรีผู้นี้ คิดจะเอาคืนข้าที่เคยขัดขวางวาสนายวนยางใช่หรือไม่’ “ข้าเชื่อมั่นในตัวเขา” คำกล่าวของนางทำให้หยางซีซวนยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี “เอาล่ะ จะให้ข้าเป็นพยานอย่างไร” ในเมื่อสหายยืนยันเช่นนี้ ตนจะทำอันใดได้นอกจากยินดี “หากต่อจากนี้เขาผิดสัญญา กล้าโกหกข้าอีกไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ ข้าอ
“นั่นมันหยกจันทร์กระจ่างใช่หรือไม่เจ้าคะ” แม่สื่อที่อดรนทนไม่ไหวเอ่ยปากถาม มือที่จับพัดออกแรงพัดดวงตาที่คล้ายจะร้อนขึ้นมาหวังจะทำให้เย็นลง “ใช่แล้วท่านแม่สื่อ” “แล้วนั่นไข่มุกอันใดหรือเจ้าคะ ช่างแปลกตายิ่งนัก” แม่สื่อซักถามต่อ แม้การกระทำของแม่สื่อจะดูเป็นการเสียมารยาทแต่เพื่อสร้างข่าวลือที่น่าริษยา หยางฮูหยินก็ยินดีที่จะทำตามคำขอของบุตรชายอย่างสุดความสามารถ จะให้เสียชื่อจอมยุทธ์เจ้ามารยาแห่งยุทธภพได้อย่างไร “ไข่มุกเลือดเจ้าค่ะ ส่วนนั่นเป็นไข่มุกทะเลตงไห่เจ้าค่ะ” “ช่างเป็นบุญตาข้ายิ่งนัก ที่ได้มีโอกาสเห็นหยกจันทร์กระจ่างก้อนใหญ่เช่นนี้ ทั้งยังไข่มุกเลือดอีก” ว่ากันว่าของสองสิ่งนี่เป็นของที่หาได้ยากยิ่ง หากตระกูลใดมีไว้ครอบครองบ่งบอกถึงความมั่งคั่งร่ำรวยไม่แพ้ฮ่องเต้ผู้ครองแคว้น “หยางฮูหยินของล้ำค่าเช่นนี้ ท่านนำมามอบเป็นสินสอดเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง” “ท่านเจ้ากรมอาญาอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเจ้าค่ะ สินสอดที่ข้าเตรียมมาในวันนี้ ท่านแม่ทัพและข้าล้วนไตร่ตรองดีแล้ว คุณหนูซูเป็
ช่างเป็นการเจรจาสู่ขอที่ใช้คำว่า ‘ร่ำรวย’ ได้สิ้นเปลืองเสียจริง ซูหนิงเซียนจิบชาพลางลอบมองสหายชั่วช้าที่นั่งเอ่ยวาจาเจื้อยแจ้วอยู่ตรงหน้า “หนิงเซียนเจ้าออกไปร้านผ้ากับข้าเถิดนะ ข้าอยากไปดูอาภรณ์ใส่ไปงานเลี้ยงที่จวนคหบดีหลิน” “เจ้าไปเถิด ท่านพ่อสั่งให้ข้าเก็บเนื้อเก็บตัว หากไม่จำเป็นไม่ให้ออกไปไหนมาไหนจนกว่าจะถึงวันงาน” แท้จริงแล้วนางคิดว่าต้องเป็นเขาเสนอบิดาของนางเช่นนั้นแน่นอน ซึ่งพักหลังมานี้ท่านพ่อก็คล้ายจะสนทนาถูกคอกับว่าที่บุตรเขย “หนิงเซียนไปเถิดนะ เจ้าเป็นสหายคนเดียวของข้า หากเจ้าไม่ไปข้าก็ไม่รู้จะไปชักชวนใครแล้ว” “กล่าวถึงงานเลี้ยงจวนคหบดีหลิน เจ้าได้เทียบเชิญด้วยหรือ” “ข้าเคยช่วยเหลือคุณหนูรองตระกูลหลินเอาไว้ นางจึงส่งเทียบเชิญให้ข้าไปร่วมงานเลี้ยง” ก็แค่ทำให้รถม้าของหลินอี้เฟยมีปัญหาแล้วยื่นมือเข้าช่วย สตรีผู้นั้นก็ซาบซึ้งใจและขอเป็นสหายกับตนแล้ว “ในเมื่อเจ้าคุ้นเคยกับนาง เหตุใดไม่ลองชวนคุณหนูรองหลินออกไปเลือกซื้ออาภรณ์ ในภายหน้าหากข้าแต่งเข้าจวนหยางแล้ว เจ้าจะได้ไม่เหงา” คำกล่าวข
‘ถึงคราวต้องใช้เจ้าแล้ว หลินอี้เฟย’ สตรีที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จเดินออกจากหลังฉากกั้น กลิ่นหอมกรุ่นโชยเข้าจมูกของบุรุษที่มานั่งจิบชารอนางในดวงใจ “ท่านคงไม่ได้ปีนหน้าต่างเรือนของข้าเพื่อมานั่งจิบชาใช่หรือไม่เจ้าคะ” “ฮูหยินของพี่ช่างเก่งกาจไม่แพ้พี่ แท้จริงพี่มีเรื่องสำคัญจะมาบอกกล่าวเจ้า” “เช่นนั้นก็บอกมาเถิดเจ้าค่ะ” “ในครานั้นที่ท่านพ่อตาโดนคนร้ายทำร้าย เป็นฝีมือของกวางเหลียงอี้จริง และวันนี้สหายของเจ้าและกวางเหลียงอี้ ก็มีแผนจะลงมือกับเจ้า เพียงแต่เมื่อเจ้าปฏิเสธที่จะออกจากจวนแผนของพวกนั้นจึงพัง” เรื่องราวเหล่านั้นเขาได้เก็บหลักฐานเอาไว้หมดแล้ว เมื่อซูหนิงเซียนยินยอมให้ลงดาบ เขาจึงจะนำมันออกมาใช้ “การกระทำของหม่าลี่อินวันนี้ดูรีบร้อนไม่รอบคอบ คงเป็นเพราะข่าวลือที่ข้าขอให้ท่านปล่อยออกไป” ถึงได้เก็บอาการไม่อยู่ พยายามเร่งเร้าให้นางออกจากเรือนด้วยจนน่าสงสัย “นางจะลงมืออีกครั้งในงานเลี้ยงที่จวนหลิน โดยมีหลินอี้เฟยให้ความร่วมมือด้วย” แม้เป็นเพียงบุตรสาวของฮูหยินรอง แต่เขาก็ไม่คิดว่าบุตรสาวที่มีบิ
20คืนสนอง ซูหนิงเซียนซ่อนความเอือมระอาเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มบางอย่างแนบเนียน นางส่งเสียงตอบรับวาจาของสหายชั่วช้าเป็นครั้งคราว “ข้าได้ยินอี้เฟยกล่าวว่าเจ้าตอบรับเทียบเชิญจากจวนหลินแล้ว” “อืม คราแรกข้าคิดว่าจะไม่ไป แต่เป็นซีซวน เอ่อ...ข้าหมายถึงคุณชายเล็กหยางเอ่ยวาจาโน้มน้าวจนข้ายินยอมไปร่วมงานในฐานะว่าที่ฮูหยินของเขา” “ดียิ่งนักที่เจ้าไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนหลิน ข้าจะได้มานอนที่จวนเจ้า รุ่งเช้าเราจะได้ช่วยกันเลือกสรรอาภรณ์ แต้มหน้าทาปาก...” “ลี่อิน คุณชายเล็กหยางจะมารับข้าที่จวนและเราจะนั่งรถม้าไปด้วยกัน คงไม่ดีแน่หากเจ้าจะไปพร้อมข้า” “เช่นนั้นเจ้าก็นั่งรถม้าคันเดียวกับคุณชายเล็กหยาง ส่วนข้าก็นั่งรถม้าของจวนซูตามหลังเจ้าไป” “ลี่อิน เราค่อยเจอกันที่จวนหลินเลยดีหรือไม่ แต่หากเจ้าอยากได้สหายช่วยแต่งตัว เหตุใดเจ้าไม่ไปขอค้างที่จวนหลิน จะได้ไม่ต้องเดินทางให้เหนื่อย ข้าว่าคุณหนูหลินต้องยินดีที่เจ้าจะไปนอนค้างที่จวนกับนาง” จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร หลินอี้เฟยหรือจะยอมให้ตนหยิบยืมอาภรณ์และเครื่องประดับล้
“ต่อจากนี้หากต้องไปร่วมงานเลี้ยงจวนใดอีก เจ้าต้องบอกกล่าวพี่ด้วย พี่จะได้ไปร่วมงานกับเจ้า” สายตาของบุรุษพวกนั้นไม่น่าไว้ใจยิ่ง เขากลัวจะมาล่อลวงนาง “เจ้าค่ะ เราเข้าไปด้านในเถิด” นางและหยางซีซวนเดินไปทักทายนายท่านหลินก่อนจะเดินตามสาวใช้ที่เดินนำไปยังที่นั่งซึ่งได้ถูกจัดเอาไว้แล้ว ‘เป็นสตรีในห้องหอ แต่จ้องมองบุรุษของข้าราวกับหญิงนางโลม’ ซูหนิงเซียนเผลอจ้องมองสตรีรอบตัวด้วยสายตาไม่ชอบใจ “พี่ไม่สนใจสตรีเหล่านั้นหรอก เซียนเอ๋อร์อย่าได้มีโทสะเลย” น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยคล้ายกับกำลังกลั้นหัวเราะ ทำให้นางตวัดสายตาหันไปมอง “แม้ท่านจะมากมารยา แต่ท่านก็อย่าได้ดูถูกมารยาสตรีนะเจ้าคะ หากวันใดท่านพลาดพลั้งจนต้องรับสตรีอื่นเข้าจวน ข้าคงได้แต่เขียนหนังสือหย่ามอบให้ท่านแล้วจากไป” “จะไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นแน่นอน” เพราะหากวันหนึ่งเขาเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาจริง สตรีผู้นั้นเกรงว่าจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและไร้ชีวิต เฝ้ารอนางเพื่อให้ได้ครองคู่มานานถึงเพียงนี้ เขาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องใดหรือใครมาขัดขวางได้
“ข้านี่ไม่ได้เรื่องเลย เชิญคุณชายหยางคุณหนูซูไปนั่งที่โต๊ะทางนั้นก่อนเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนเตรียมขนมและน้ำชามาขึ้นโต๊ะ” “รบกวนคุณหนูรองหลินแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานก่อนจะก้าวเดินด้วยท่วงท่าสง่างาม บุรุษรูปงามสตรีงดงามอ่อนหวานเดินเคียงข้างกันเรียกสายตาของผู้อื่นให้หันมามองได้ไม่ยาก เมื่อถึงที่นั่งหลินอี้เฟยแจ้งว่างานเลี้ยงนี้แบ่งที่นั่งชายหญิง ดังนั้นบุรุษรูปงามจึงไม่อาจนั่งเคียงข้างคู่หมั้นได้ “คุณชายหยางเจ้าคะ ที่นั่งฝ่ายชายอยู่ด้านโน้น ให้ข้าได้นำทางท่านไปเถิดเจ้าค่ะ” “หนิงเซียนงานเลี้ยงที่แบ่งแยกเช่นนี้ พี่ไม่อยากอยู่ร่วมแล้ว หากเจ้าไม่อาจนั่งกับพี่ พี่ไม่อาจนั่งกับเจ้าได้ เราก็กลับจวนกันเถิด” เพื่อป้องกันความผิดพลาดหยางซีซวนไม่มีทางยอมแยกกับนางจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม “หากท่านอยากกลับข้าก็จะ...” “อี้เฟย ยกเว้นคุณชายหยางไว้สักคนเถิด เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ให้คุณชายหยางกับหนิงเซียนสหายข้าไปนั่งตรงโน้น จะได้ไม่เป็นที่สังเกตมาก” “แต่ว่า...” “นะอี้เฟย ถือว่า
“เรื่องนั้นท่านอย่าได้ห่วงเลยเจ้าค่ะ พี่เหลียงอี้ เขาไปลาดตระเวนตรวจตราที่บริเวณจวนของนางอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นนางปลอดภัยไม่มีอันตรายแน่นอน” ‘สตรีโง่ ข้าอยากจะบอกเจ้าเหลือเกินว่า คู่หมั้นข้านางผู้นั้นมีของล้ำค่ามากกว่าปิ่นที่เจ้าจะซื้อให้อีก’ ยิ่งได้เห็นความใสซื่อของซูหนิงเซียน ความสนใจในตัวคู่หมั้นก็เริ่มลดลง หากไม่ติดที่ว่ามีบุญคุณช่วยชีวิตเขาก็คงไม่คิดสนใจไยดีแล้ว น่าแปลกที่เขาเชื่อวาจาที่ซูหนิงเซียนบอกกล่าวออกมามากกว่าที่ได้รับฟังจากหม่าลี่อิน “ข้าเลือกชิ้นนี้เจ้าค่ะ ลี่อินนางชอบไข่มุก ข้าว่านางต้องดีใจมากแน่นอนเจ้าค่ะที่ได้ปิ่นนี้” “อืม” รอยยิ้มจริงใจของคุณหนูซูทำให้เขาเอ่ยวาจาไม่ออก “คุณหนูซูท่านช่างโชคดีเหลือเกินขอรับ วันนี้นายท่านของร้านเราใจดี สั่งลดราคาเครื่องประดับให้กับลูกค้าคนที่สิบเก้า ซึ่งคือท่าน” “ลดราคาเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” “ใช่ขอรับ เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่ม้าตัวโปรดของนายท่านคลอดลูกม้า นายท่านสั่งลดราคาเครื่องประดับให้ลูกค้าคนที่สิบเก้าครึ่งราคา นั่นเท่ากับว่าวันนี้คุณหน
ดวงหน้าหวานที่โผล่ออกมาจากรถม้าทำให้ใจของเขาสั่นไหว เมื่อนางเผยรอยยิ้มเขาแทบจะกระโดดลงจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมเพื่อไปหานาง “แม่นางหนิงเซียน” เสียงทุ้มของบุรุษที่ดังขึ้นดึงความสนใจของซูหนิงเซียนให้หันไปมอง “คารวะคุณชายซวนเจ้าค่ะ” ยามเห็นหน้ากากจึงจดจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคู่หมั้นของสหาย “ท่านมาคนเดียวหรือ” “เจ้าค่ะ วันนี้ข้าจะมาหาซื้อผ้าไปตัดชุดให้สาวใช้คนสนิท จึงตั้งใจมาด้วยตัวเองไม่ได้ชวนลี่อินมาด้วย” นางเข้าใจว่าเขาถามหาสตรีในดวงใจ “ข้ามีความรู้เรื่องผ้าไม่น้อย ให้ข้าช่วยเลือกดีหรือไม่ ไม่แน่เจ้าอาจจะได้ผ้าเนื้อดีที่ราคาถูก” “หากมิรบกวนคุณชายซวนเกินไป…” ซูหนิงเซียนยังกล่าวไม่ทันจบเขาก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นก่อน “เรื่องนี้มิได้เหลือบ่ากว่าแรง จะถือว่ารบกวนข้าได้อย่างไร” “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” นางตอบรับแล้วยกยิ้มเล็กน้อย บุรุษสวมหน้ากากช่วยนางเลือกผ้าได้หลายพับ แต่เมื่อจ่ายเงินนางกลับพบว่านางได้ของดีแต่ราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ “ท่านหลงจู๊ ลองคิดเงินใหม่อีกครั้งดีหรือไม่
ในกาลก่อนที่ข้ารักเจ้า บริเวณชั้นบนของโรงเตี๊ยมเลี่ยงจิน บุรุษสวมหน้ากากจ้องมองคู่หมั้นของตนที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ดวงหน้าหวานแต่งแต้มรอยยิ้มสดใสพาลทำให้บุรุษรอบตัวต่างหันมามอง แต่เขากลับถูกสตรีนางหนึ่งดึงดูดสายตาให้จ้องมอง สตรีนางนั้นคล้ายจะเป็นสหายของคุณหนูหม่า แม้ดวงหน้านางจะแต่งแต้มรอยยิ้มบาง แต่ทว่ากลับดึงดูดเขาได้อย่างน่าประหลาด และดูเหมือนว่าแท้จริงบุรุษเหล่านั้นจะจ้องมองนางเสียมากกว่า พลันในอกรู้สึกไม่ชอบใจอย่างประหลาด ความรู้สึกหวงแหนก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างไม่รู้ตัว เหตุใดกับคู่หมั้นตน เขาถึงไม่รู้สึกเช่นนี้ พรึ่บ ไวกว่าความคิดร่างสูงโปร่งของบุรุษรูปงามก็ปรากฏตัวด้านหลังสตรีทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยทักทาย “ลี่อินเจ้ามาเดินเที่ยวเล่นหรือ” เขาทราบว่ามันเป็นคำถามที่ดูโง่งม แต่เขาไม่รู้จะเอ่ยถามอันใดออกไป “คารวะคุณชายซวนเจ๋อเจ้าค่ะ” สายตาที่มีประกายรังเกียจพาดผ่านทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่คู่หมั้นจะแสดงความเคารพเขา หลายครั้งที่นางมองเขาเช่นนี้ คงเพราะหวาดกลัวหน้ากากที่ปกปิดบนใบหน้าเขา การเป
“คนของเจ้าสืบได้ละเอียดถึงเพียงนั้น” หมิงอี้เฉินหรี่ตามองอย่างจับผิด “เรื่องที่คิดกำจัดนางกับท่านพ่อตา คนของข้าได้ยินหม่าลี่อินวาดฝันกับกวางเหลียงอี้ เมื่อเห็นว่าเป็นภัยต่อนาง คนของข้าจึงนำมารายงานข้าด้วย” “...” “เบื้องต้นข้ามีหลักฐานที่กลุ่มนักเลงพวกนั้นสารภาพ เจ้าอยากดูหรือไม่” “อืม” เขายกชามสุราขึ้นจิบก่อนจะตอบรับ “นี่คือจดหมายรับสารภาพของนักเลงที่ดักปล้นรถม้าแต่ถูกข้าซ้อนแผนจับเป็นทั้งหมด ก่อนจะนำมาทรมานเพื่อเค้นความจริง” หยางซีซวนยื่นจดหมายที่เพิ่งนำออกมาจากอกเสื้อให้เขา “หม่าลี่อินชั่วช้ายิ่งนัก คิดจะให้พวกนักเลงข่มเหงนาง” จากคำสารภาพของนักเลง กวางเหลียงอี้เพียงแต่ตั้งใจทำให้นางตกใจ แต่หม่าลี่อินกลับซ้อนแผนให้นักเลงพวกนั้นข่มเหงนางก่อนที่กวางเหลียงอี้จะไปช่วย คงกลัวว่าหากเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ของตนได้พบเจอนางจะเปลี่ยนใจ จึงสร้างมลทินให้ซูหนิงเซียน “เพราะเหตุนี้ข้าจึงแสร้งสติฟั่นเฟือนเพื่อจะได้อยู่ในจวนตระกูลซูต่อไป เพื่อจะได้ปกป้องนางและบิดาด้วยตนเอง” “เรื่องนี้เจ้าสามารถใช้ผ
คุณชายหมิงอี้เฉิน เมื่อได้รับข่าวว่าสหายในวัยเด็กเดินทางกลับมาจากเมืองซานโจวแล้ว เขาจึงรีบไปหา แต่ใครจะคิดเล่าว่าการพบเจอครั้งนี้จะพ่วงบุรุษผู้นั้นมาด้วย ชายที่มองอย่างไรก็ไม่คล้ายคนสติฟั่นเฟือน ท่าทางออดอ้อนนั้นแลดูเหมือนบุรุษเจ้ามารยาเสียมากกว่า คุณชายหมิงเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน แล้วยืนนิ่งราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง “คุณชายขอรับ นี่ก็เป็นปลายยามไฮ่ (21.00-22.59) แล้ว น้ำค้างก็ลงมากแล้วอย่างไร...” บ่าวรับใช้คนสนิทยังกล่าวไม่ทันจบ คุณชายเจ้าของจวนก็เอ่ยวาจาแทรกขึ้นก่อน “เจ้าไปนอนก่อนเถิด ข้าจะยืนชมดาวอีกสักหน่อยก็จะไปนอนแล้ว” “ขอรับ” เมื่อคุณชายกล่าวเช่นนั้น บ่าวรับใช้คนสนิทก็ได้แต่เดินจากไป พรึ่บ บุรุษชุดดำกระโดดลงมาตรงหน้าเขาหลังจากบ่าวรับใช้เดินหายไปไม่นาน “มาแล้วหรือ” คุณชายหมิงเอ่ยวาจาทักทายผู้มาเยือน “เจ้าอยากพบข้าด้วยเหตุใด” หากบุรุษผู้นี้ไม่ค้นพบการมีตัวตนของผู้ติดตาม เขาก็คงคิดว่า ซือเย่ผู้นี้เป็นเพียงบัณฑิตอ่อนปวกเปียกที่ไม่กล้าฆ่าแม้แต่ไก่ “ท่านควรแจ้งถึงจุดประสงค์ในก
“พี่ไม่ได้รังแกเจ้า พี่มอบความโปรดปรานให้เจ้า” “หน้าอกท่านแน่นเสียจริง” “หากเจ้าอยากลูบไล้ยามไร้อาภรณ์ ก็จงรีบกลับจวนกับพี่” “ไม่เอา ข้ายังไม่อยากกลับ กว่าจะได้ออกมาเที่ยวเช่นนี้ไม่ง่ายเลย ต้องขอบคุณท่านแม่นะเจ้าคะ ที่เมตตาข้า” “มิเป็นไรๆ เจ้าอยู่สนุกกับเหล่าชายงามต่อเถิด แม่ต้องกลับไปรับโทษ...ไม่ใช่ แม่ต้องรีบกลับแล้ว” กล่าวจบหยางฮูหยินก็หันไปมองใบหน้าบึ้งตึงของสามี ‘ครั้งนี้นางคงหยอกเย้าบุตรชายมากเกินไป จึงทำให้ฟูจวิน ของนางโกรธขึ้นมาจริงๆ’ ต่อจากนี้คงต้องทนปวดเอวเพื่อง้อท่านแม่ทัพใหญ่หลายคืนอีกแล้ว “ได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะสนุกกับพี่ชายคนงามแทนท่านแม่เองเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินโซซัดโซเซไปหากลุ่มชายงาม แต่กลับโดนสามีโอบรั้งเอวคอดกิ่วเอาไว้ “พี่ชายคนงามพวกนี้ อยากกลับไปพักผ่อนแล้ว เจ้าอย่าได้รบกวนพวกเขาเลย” น้ำเสียงที่เอ่ยกับฮูหยินตนช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ต่างจากสายตาที่จ้องมองคล้ายจะเข้าขย้ำเหยื่อตรงหน้าของราชสีห์ “จริงหรือเจ้าคะพี่ชาย” “จริงขอรับ”
“ท่านพ่อ คราวนี้ท่านแม่ทำเกินไปขอรับ” เขารีบฟ้องบิดาในทันที มารดาพาฮูหยินของเขามาเที่ยวหอชายงามเช่นนี้ เกิดนางติดใจเข้าจะทำเช่นไร “อย่าได้ห่วง พ่อจะจัดการลงโทษนางตามกฎของพ่อ เข้าไปด้านในกันเถิด” เพียงแค่คิดถึงบทลงโทษที่จะได้ใช้กับฮูหยินตนแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่ก็คล้ายจะอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอจะก้าวเท้าเข้าหอชายงาม ผู้ติดตามที่ถูกสั่งให้กีดกันคุณชายก็โผล่ออกมาขัดขวางตามคำสั่งของหยางฮูหยิน “พวกเจ้ากล้าขัดขวางข้าหรือ” น้ำเสียงที่ไม่คล้ายจะพอใจทำให้ผู้ติดตามของหยางฮูหยินรีบคุกเข่า “มิได้ขอรับ แต่พวกข้าน้อยถูกสั่งให้ขัดขวางคุณชายไม่ให้เข้าไปในที่แห่งนี้ขอรับ” กลิ่นอายสังหารของท่านแม่ทัพใหญ่ทำให้บุรุษชุดดำทั้งหมดหวั่นเกรงยิ่งนัก “พวกเจ้ากล้าขัดขวางบุตรชายข้าหรือ นายที่แท้จริงของพวกเจ้าคือใครจำได้หรือไม่” “ท่านแม่ทัพขอรับ” บรรดาผู้ติดตามพร้อมใจกันตอบรับ หากเทียบกันแล้วหยางฮูหยินนั้นรับมือง่ายกว่าท่านแม่ทัพมากนัก ‘ต้องขออภัยฮูหยินแล้วขอรับที่พวกข้าต้องเลือกฝั่งท่านแม่ทัพใหญ่’ บรรดาผู้ติดตามได้แต่แสร้
ท่านแม่กำลังไปตามหาน้องให้ สิ่งแรกที่เขามักจะมองหาเมื่อกลับถึงจวนคือฮูหยินของเขาที่มักจะมายืนส่งยิ้มให้ แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น นัยน์ตาดำกวาดมองไปทั่วบริเวณ จึงพบเด็กชายตัวน้อยกำลังนั่งเล่นตัวต่อไม้โดยมีแม่นมและสาวใช้คอยดูแลอยู่ ไร้เงาของผู้เป็นมารดา “หนิงเฉิง กำลังเล่นอันใดอยู่หรือลูก” เขาโบกมือไล่แม่นมและสาวใช้ออกไป ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงสนทนากับบุตรชายวัยสามขวบที่คล้ายฉลาดเกินวัย “ตัวต่อไม้ขอรับท่านพ่อ” “นี่คืออันใด” หยางซีซวนชี้ไปยังตัวต่อที่ถูกต่อขึ้นมาคล้ายเรือนหลังเล็ก “เรือนของน้องชายขอรับ” “เรือนของหนิงเฉินหรือ น่าอยู่ไม่น้อย” เพราะบุตรชายคนเล็กอายุเพียงเจ็ดเดือน จึงต้องอยู่กับแม่นมไม่สามารถมาเล่นกับพี่ชายได้ “อืม...หรือเก็บไว้ให้น้องสาวดี” เด็กน้อยทำท่าครุ่นคิด “จะน้องชายหรือน้องสาว ก็เป็นน้องของเจ้าทั้งนั้น อย่าได้ลำเอียง เข้าใจหรือไม่” “ขอรับท่านพ่อ” “ท่านแม่ของเจ้าไปไหน เหตุใดพ่อจึงไม่เห็น” “ทะ ท่านแม่หรือขะ ขอรับ น่าจะนอนอยู่ระ เรือนนะขอรั
ยามอยู่ในงานเลี้ยงองค์ชายห้าเกาะติดนางไม่ห่าง ทำให้นางรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก “เจ้ากินเซาปิ่งมากถึงเพียงนี้ ระวังจะกินอาหารเลิศรสจานอื่นไม่ได้” “เซาปิ่งของจวนเสิ่นอร่อยถูกปากข้ามากเลยเจ้าค่ะ” ท่าทางกินของนางทำให้มุมปากหยักของเขายกยิ้มอย่างเอ็นดู “พี่ไม่แย่งเจ้าหรอก ค่อยๆ กินประเดี๋ยวติดคอ” “ข้า...” เซาปิ่งที่เซียวอ้ายช่างจับอยู่ตกลงบนพื้น สองมือของนางกุมอกเอาไว้ ท่าทางคล้ายจะขาดใจตายของนางทำให้เขาร้อนรน “อ้ายช่าง อ้ายช่างเจ้าเป็นอันใด เซาปิ่งติดคอใช่หรือไม่” หวงหลี่จื้อช่วยตบหลังให้นาง “ลี่จึ...ในเซาปิ่งมี อึกๆ” ท่าทางทุรนทุรายของคุณหนูเซียวและสีหน้าตื่นตระหนกขององค์ชายห้า ทำให้ผู้นำตระกูลเสิ่นรีบเข้ามาดูนางพร้อมกับเสิ่นฮูหยิน “เจ้าพยายามกินยานี้เข้าไปเร็วเข้า” “อึกๆ อึก” เพราะหายใจไม่ออก นางจึงดิ้นทุรนทุราย หวงหลี่จื้อเห็นท่าไม่ดี จึงเอายาใส่ปากแล้วป้อนให้นางด้วยปาก เขาบังคับให้นางกลืนยาลงไป การกระทำขององค์ชายคล้ายจะทำให้เกิดเสียงฮือฮา แต่มีหรือเขาจะสนใจ การช่วยช