หลังจากนางฟื้นจากหลับไปนานนับเดือนแล้วก็มีพิธีรับนางเป็นลูกบุญธรรม ตอนนี้คนในจวนหรือในกองทหารต่างมองนางด้วยสายตายำเกรง แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าแตะต้องนางเพราะเกรงจะได้รับโทษ ไม่ว่าเป็นเรื่องใดก็ตาม งานในคอกม้าที่นางเคยทำเองถูกแย่งชิงลงมือทำก่อนนางจะไปถึง หญิงสาวจึงได้แต่ดื่มยาและอ่านตำราเพื่อหาทางฟื้นฟูร่างกายให้กลับคืนโดยเร็ว ที่นางนิ่งเงียบไปเพราะมัวแต่ครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ตนเองถูกทำลายกำลังภายในหมดสิ้น อาจเพราะฝ่ามือที่ท่านป้าซัดเข้าใส่ทำให้นางต้องอยู่ในสภาพนี้ ทว่าทำไมท่านป้าทำแบบนั้นกับนาง หรือท่านป้าโกรธที่นางเข้าไปเอาไข่มุกหมื่นราตรี แต่...ท่านป้าเองเป็นคนชี้แนะแนวทางให้นางได้เข้าไปเอาไข่มุกหมื่นราตรีนี่นะ ที่น่าคิดหนักกว่าคือ นางจำได้ว่าเอาไข่มุกหมื่นราตรีใส่ถุงผ้าแล้วคล้องคอไว้ ไข่มุกนั่นหายไปไหน แล้วนางกลับมาจวนแม่ทัพได้อย่างไร คำถามที่นางไม่รู้คำตอบยังมีอีกมาก ที่สำคัญคือนางคิดถึงรอยยิ้มอ่อนโยนและแววตาที่อบอุ่นของเขา เมืองหลวงผู้คนมากมาย นางจะได้เจอเขาไหม แค่ได้เห็นกับตาว่าเขาสบายดีก็พอแล้ว อาการเงียบขรึมของเคอหลิ่งหลินทำให้ฮูหยินอี้ซิ่ว
“เจี้ยนเหิงเยว่ถวายพระพรพระสนมเพคะ” “ลุกขึ้นๆ คนกันเองทั้งนั้น” พระสนมอวี้เหมยแสดงความชื่นชมหญิงสาวคนนี้ออกมาอย่างเปิดเผย “เอ้า! รู้จักกันไว้ ฮูหยินอี้ซิ่ว ฮูหยินของแม่ทัพจ้าวประจำอยู่ชายแดน วันนี้มาเยี่ยมเยือนที่ตำหนักและจะอยู่ที่นี่สักระยะ” “ลูกเต้าเหล่าใครหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรานัก” ฮูหยินอี้ซิ่วเองก็พอใจกับรูปร่างหน้าตาสะสวยของหญิงสาวผู้นี้ เดาได้ไม่ยากว่าถูกวางตัวให้เคียงคู่กับองค์ชายใดองค์ชายหนึ่งในบรรดาพระโอรสขององค์ฮ่องเต้ “หม่อนฉันเป็นบุตรสาวของคหบดีเจี้ยนเพคะ” “ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว” “สิบเจ็ดเพคะ” “อายุน้อยกว่าหลิ่งหลินของข้าสองสามปี” ฮูหยินอี้ซิ่วหันไปทางเคอหลิ่งหลินที่ยืนนิ่งอยู่ พอรู้ตัวว่าถูกพูดถึงก็ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “ข้าไปอยู่ชายแดนมานาน ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรนักหรอกนะ” “มิได้เพคะ” เคอหลิ่งหลินยิ้มน้อยๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่แย้มยิ้มเมื่อครู่ก็เปลี่ยนไปราวกับเห็นภูติผีปีศาจ “ทำไม!” “ทำไม?” เคอหลิ่งหล
“นี่ถ้าพ่อเจ้ามาเห็นต้องดีใจมากแน่ๆ” หญิงสาวเพียงแค่ยิ้มนิดๆ ไม่เข้าใจว่าแม่บุญธรรมพูดถึงพ่อคนไหนของนาง พ่อแท้ๆ ที่ตายจากไปหรือพ่อบุญธรรม “เอาล่ะไปกันเถิด” “ท่านแม่” นางดึงมือของฮูหยินอี้ซิ่วไว้ก่อน “มีอะไรรึ” “คือ...ข้ากลัว” “หือ? เจ้ากลัวอะไร” “ข้ากลัวทำอะไรไม่ดี ไม่ถูกต้องต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้” “โธ่! คนอย่างเจ้าออกรบร่วมกับพ่อเจ้ามาตั้งกี่ปี กลับมากลัวเรื่องแค่นี้” “ข้ามิเคยอยู่ในวังอย่างท่านแม่ หากทำกิริยาไม่เหมาะสม ข้ามีหัวเดียวจะพอให้ตัดหรือเปล่าก็ไม่รู้” “แม่อยู่ด้วยอย่าได้กังวลไปเลย” ฮูหยินอี้ซิ่วหัวเราะคิกคัก “คิดเสียว่ากินข้าวเย็นกับญาติๆ ก็พอแล้ว” หญิงสาวได้แต่ยิ้มแหย ท่านแม่พูดง่ายนัก แต่นางนี่ซิ ท่านพ่อก็กระไรรู้อยู่เต็มอกว่านางไม่ถนัดเรื่องประเพณีธรรมเนียมอะไรพวกนี้ยังส่งนางมาอีก นี่มันเป็นการลงโทษที่สาหัสยิ่งกว่าโดนโบยเสียอีก เจ้าของใบหน้าสวยได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินตามแม่บุญธรรมไปรับประทานอาหารเย็นตามประสาคนในครอบครัว เพียงแต
เคอหลิ่งหลินทำอะไรไม่ถูก ฮูหยิงอี้ซิ่วต้องแตะข้อศอกเรียกสติของลูกบุญธรรม หญิงสาวรู้สึกตัวก็มองใบหน้าอีกฝ่ายที่คลี่ยิ้มอ่อนโยนจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว แต่กระนั้นนางได้แต่บอกตัวเองว่าเขาไม่ใช่ ‘คุณชายเฉิน’ ของนาง!“หม่อนฉันจ้าวหลิ่งหลินเพคะ” เคอหลิ่งหลินยอบตัวลง แต่เพราะตื่นตระหนกกับบุรุษที่หน้าเหมือนคุณชายเฉินทำให้เหยียบชายกระโปรงตัวเองซวนเซจะหกล้ม ทว่ามือใหญ่กลับยื่นมาประคองไว้ได้ทัน“ขะ...ขอบ...ขอบพระทัย เอ่อ...ขออภัยเพคะ”หญิงสาวไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพูดอย่างไร ยิ่งอยู่ใกล้แบบนี้ เขายิ่งเหมือนคนๆ นั้นเหลือเกิน เคอหลิ่งหลินได้แต่ก้มหน้าจึงไม่เห็นว่าใบหน้านั้นมีเปิดเผยรอยยิ้มปลื้มปิติ“เจ้าสองคนนี่เคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่” จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสถาม เพราะไม่เคยเห็นโอรสองค์โตให้ความสำคัญกับสตรีนางใดมาก่อน แม้ว่าจะอายุยี่สิบแปดแล้วก็ตาม แต่เพราะร่างกายอ่อนแอแต่เล็กทำให้พระองค์ทรงตามใจ หญิงสาวที่คัดเลือกให้เป็นคู่ครองล้วนมิถูกใจไท่หยาง สารพัดข้ออ้างที่ไม่ยอมอภิเษกเสียที จนองค์หญิง องค์ชายองค์อื่นๆ อภิเษกมีลูกหลานให้อุ้มเล่นกันแล้ว“ไม่...”“เคย...”สองหนุ่มสาวพูดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายและหัน
เคอหลิ่งหลินลุกขึ้นคารวะองค์ฮ่องเต้กับพระเมหสีแล้วจึงค่อยๆ เดินออกมา นางกลั้นใจไม่ยอมมองใบหน้านั้นจนเดินออกมาได้ระยะหนึ่ง เสียงเพลงเริ่มเบาลงไปแล้ว หัวใจเริ่มเต้นเป็นปกติจึงมองเห็นสระบัวเบื้องหน้า สะพานเล็กๆทอดตัวอยู่เหนือผิวน้ำที่สะท้อนแสงจันทร์ หญิงสาวก้าวช้าๆ หยุดยืนบนสะพานเลี่ยงการยอมรับความจริงไปไยหลิ่งหลิน เขาคือคนผู้นั้น คนที่นางยอมเสี่ยงเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อนำไข่มุกหมื่นราตรีมาขับพิษในกายเขา เขาคนผู้นั้นที่นางหวังจะให้ดวงตาของเขาเปล่งประกาย แม้ดวงตาคู่นั้นจะไม่ได้มีไว้มองนางอีกแล้วก็ตามแค่เขามียังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว เพียงเท่านี้ที่เจ้าต้องการมิใช่หรือเคอหลิ่งหลิน....“ชุนเอ๋อร์ เจ้ากลับไปดูท่านแม่เถิด”“แต่คุณหนูไม่สบายนี่เจ้าคะ” ชุนเอ๋อร์เป็นห่วงผู้เป็นนายนัก เป็นบ่าวรับใช้มานานไม่เคยมีสีหน้าเจ็บปวดใจเช่นนี้มาก่อน“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่ดื่มเหล้ามากไปนิดก็เลยมึนๆ”“คุณหนูนี่นะ เมาสุรา?” ชุนเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก “ท่านดื่มเหล้ากับทหารยกไห เจ้าพวกนั้นยังสู้ท่านมิได้ นี่แค่จิบเล็กน้อยจะทำให้นายของข้าเมามายเชียวรึเจ้าคะ หรือว่าเพราะสายตาองค์ชายไท่หยางที่ทำให้คุณหนูของบ่าวเมาม
‘องค์ชายไท่หยาง’ ต้าซื่อ-องครักษ์ที่ติดตามพระองค์หลายปียืนมองผู้เป็นนายอย่างประหลาดใจ เพียงชั่วพริบตาที่หญิงสาวนางหนึ่งตกน้ำ ผู้เป็นนายถึงกับกระโจนลงน้ำไปช่วยด้วยพระองค์เอง แต่พอเขาแลเห็นเสี้ยวหน้าของหญิงสาวที่สั่นสะท้านในอ้อมกอดขององค์ชาย เขาก็ต้องตกใจหนักเข้าไปอีก “แม่นางเคอ!” “ข้าจะพานางกลับที่พัก เจ้าไปบอกหญิงรับใช้ของนางให้รีบตามมา” “พ่ะย่ะค่ะ” ต้าซื่อรับคำสั่ง เขาเข้าใจว่านางเป็นคนของสกุลจ้าว ติดตามจ้าวฮูหยินเข้าวังมาด้วย เขาจึงรีบกลับเข้าไปในงานเลี้ยงอย่างรวดเร็ว “ปะ...ปล่อย...ปล่อยหม่อมฉัน” แม้เจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ความเจ็บปวดนี้กลับเรียกสติของนางให้รู้ว่าตนเองกำลังอยู่กับผู้ใด “หม่อมฉันไม่เป็น...ไม่เป็นอะไร...เพคะ” นางกัดฟันไม่ให้ได้ยินเสียงฟันกระทบกันเพราะหนาวสั่น “ไม่เป็นได้อย่างไร เจ้าตัวสั่นออกอย่างนี้” เสียงสูดลมหายใจลึกข่มโทสะ เหตุใดถึงโกรธนางนักนะ “หม่อมฉันกลับเองได้เพคะ” เคอหลิ่งหลินยืนยันทั้งที่สองขาแทบไร้แรงทรงตัว แต่กระนั้นก็ยังเม้มปากแน่นจนเรียบตึงเพื
“คุณหนูเจ้าคะท่านเป็นอย่างไรบ้าง”เสียงชุนเอ๋อร์ดังอยู่ด้านนอก เคอหลิ่งหลินสบตากับดวงตาคบกริบคู่นั้นแล้ว เขานั่งอยู่ขอบเตียงแต่นางไม่มีแรงยันตัวเองขึ้นจากที่นอน“ไม่...ไม่มีอะไร ข้าจะนอนแล้ว”สิ้นเสียงของนาง มือใหญ่ยกขึ้นสะบัดเพียงเล็กน้อยเทียนในห้องก็ดับวูบไปเหลือเพียงแสงจันทร์ที่สาดเข้ามาทางหน้าต่าง นางอยากจะหัวเราะแต่ทำไม่ได้ เขาเคยพร่ำเตือนนางให้เข้าทางประตู แต่ครั้งนี้เป็นเขาที่เข้ามาทางหน้าต่าง เวลานี้เขาไม่เหมือนคนเจ็บป่วยอ่อนแอเลย“เจ็บตรงไหน?” น้ำเสียงนั้นไม่อ่อนโยนสักนิด มิใช่คำถามแต่เหมือนคาดคั้น นางเผยอริมฝีปากขึ้นเพื่อจะอ้าปากกัดริมฝีปากตัวเองกลั้นเสียงร้องแห่งความทุกข์ทรมาน ทว่าบุรุษผู้นั้นกลับส่งนิ้วตนเองขวางไว้ให้นางงับแทนเสียนี่“อย่า! เจ้าอาจกัดลิ้นตัวเองได้” ใช่ นางมิได้กัดลิ้นตนเอง แต่กัดนิ้วของเขาแทนเพราะกัดเข้าไปเต็มแรงจนรู้สึกถึงรสคาวในปาก ริมฝีปากที่ซีดนั้นกลายเป็นสีแดงชาดเพราะเลือดของเขา นางอ้าปากออก มองใบหน้าของเขา เขาไม่ใช่ ‘คุณชายเฉิน’ ของนาง เขาเป็นองค์ชายไท่หยาง โอรสองค์โตของฮ่องเต้ต่างหาก นางเจ็บปวดและเจ็บใจ ช่างโง่นักไยไม่ใช้สมองน้อยๆ คิดบ้างล่ะว่
“เจ้าได้ยินชัดแล้ว” เคอหลิ่งหลินถอนหายใจเบาๆ“แต่ข้าอยากพบองครักษ์ของเขามากกว่า” “คุณหนูจะพบคนผู้นั้นทำไมเจ้าคะ” “ข้ามีเรื่องต้องสอบถามเขา” แล้วนางก็หุบปากลง เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพลั้งปากพูดมากเกินไป “เจ้านี่ช่างซักข้าเหมือนท่านแม่เสียจริง” “ก็จริงนี่เจ้าคะ ท่านจะไปพบชายหน้าตาโหดแถมไร้กิริยามารยาทอย่างคนผู้นั้นทำไมกัน” ชุนเอ๋อร์เบ้ปากทำจมูกย่น “หิ้วข้ามานี่ถามข้าสักคำไหมว่าเจ็บหรือเปล่า” เคอหลิ่งหลินเห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดของชุนเอ๋อร์ก็หัวเราะออกมาเบาๆ “เขาเป็นองครักษ์ จะให้ทำตัวนุ่มนิ่มเป็นขันทีได้อย่างไรกัน” นางหยอกล้อสาวใช้ประจำตัว “แหม! ทะนุถนอมบ่าวหน่อยก็มิได้ หิ้วมาอย่างกับข้าเป็นกระต่ายจะเอาไปเชือดอย่างไรก็ไม่รู้ หน้าตาบึ้งตึงผิดกับองค์ชายไท่หยางที่หล่อเหลาสง่างามยิ่งนัก” “เจ้านี่ก็เปรียบเทียบไปได้ คนผู้นั้นเป็นถึงโอรสของฮ่องเต้อย่างไรก็ต้องดีกว่าองครักษ์อยู่แล้ว” ใช่ ก็มีแต่นางที่โง่งมดูไม่ออกว่าเขาเป็นใครมาตั้งสองปี “แล้วทำไมท่านไม่ไปหาองค์ชายไท่หยางละเจ้าคะ จะไ
นางจึงให้กินยาบำรุงไป ส่วนคนอื่นก็เจ็บป่วยตามประสาโรคของผู้หญิงจึงมิกล้าเอ่ยปากพูดไป พอเห็นนางเป็นหญิงจึงแทบจะเรียกว่ารุมล้อม จากที่คิดจะเสร็จเร็วจึงใช้เวลาไปมากกว่าที่คิด “อ้อ! ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อไปส่งเจ้านะ” คณิกานางหนึ่งเอ่ยอย่างเพิ่งนึกได้ เชิญตัวนางมารักษา ต้องมีคนไปส่งนางกลับ เหตุเพราะท่านหมอหญิงผู้นี้ ฝีมือเก่งกาจนัก ทว่ากลับมักจะหลงทิศหลงทางบ่อยๆ “อืม” นางได้แต่พยักหน้ารับ กำลังง่วนกับการเก็บสัมภาระ มือบางก็ถูกยื้อไว้แล้วกำไลหยกวงหนึ่งก็ถูกวางใส่ฝ่ามือของนาง “เห็นว่าเจ้าไม่รับเงิน เจ้าก็เอาสิ่งนี้ไปแทนเถิด หากจำเป็นเจ้าจะขายหรือทำอย่างไรก็ย่อมได้” “ไม่เป็นไรเจ้าคะ เรื่องเล็กน้อยจริงๆ” มู่ฟางเหนียงปฏิเสธแต่อีกฝ่ายยืนกรานนางจึงรับไว้ เสี่ยวเอ้อเดินมารับมู่ฟางเหนียง หญิงสาวกล่าวลาแล้วเดินออกมา ทว่าเมื่อเดินผ่านห้องๆ หนึ่ง นางกลับเห็นเงาร่างที่คุ้นตา ยิ่งเมื่อเพ่งตามองผ่านช่องประตูกลับเห็นชายผู้นั้นชัดเจน เขานั่งดื่มสุราอย่างเมามาย “ท่านรองแม่ทัพ” มู่ฟางเหนียงร้องอย่างตกใจ นางรีบผลักบานประตูเข้าไปทันทีโดยไม่สนใจว่าใครจะร้องห้าม “นี่ๆ ใครให้เจ้าเข้ามา” คณิกานางหนึ่งโวยว
“มิคิดว่าโรงเตี๊ยมเล็กๆ จะมีสุราเลิศรสอย่างนี้” พูดพลางชิมอาหาร “อาหารรสชาติก็ใช้ได้ อีกหน่อยคงโด่งดังมิแพ้โรงเตี๊ยมอื่น” “เป็นอย่างไรล่ะ ผลงานของข้า” นางอวดขึ้นมาทันที “ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์แอบเก็บเป็นความลับ ตั้งใจว่าให้โรงเตี๊ยมเข้าที่เข้าทางกว่านี้อีกหน่อยค่อยบอกท่าน” “เจ้าออกจากวังอย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้” องค์ชายไท่หยางส่ายหน้าไปมา ยังดีที่นางบอกใครต่อใครว่าแต่งงานแล้ว มิใช่ทำตัวเป็นสาวน้อย นางคงไม่รู้ตัวว่านับวันนางยิ่งดูเปล่งปลั่งงดงามขึ้นมากกว่าเดิมนัก “ท่านหมอมู่มา เจ้าได้ให้ท่านหมอตรวจร่างกายบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขารู้เรื่องที่ท่านหมอมู่กับบุตรสาวมาเมืองหลวงในช่วงที่เขาไปราชการต่างเมืองพอดี“ข้าให้น้องฟางเหนียงตรวจแล้ว” นางแย้มยิ้ม “นางเขียนใบสั่งยา เป็นยาบำรุงร่างกาย ร่างกายข้าขับพิษออกไปเกือบหมดแล้ว บำรุงตัวเองอีกนิดก็พร้อมมีทายาทให้ท่านได้”เพราะนางบาดเจ็บในครั้งนั้น แม้กำลังภายในจะกลับคืนแต่ร่างกายก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มทีนัก“ข้าห่วงเจ้ามากกว่า เรื่องนั้น ข้ารอได้” เขาแตะหลังมือนาง “สามีไม่โกรธภรรยานะ ข้าแค่อยากช่วยเหลือคนเหล่านี้” นางเคย
เสี่ยวหลิวกับอาปู้-ลูกชายวัยสิบขวบและอาเหลียง-ลูกสาววัยเจ็ดขวบ รวมถึงคนเฒ่าคนแก่หลายคนที่นางเคยเจอที่ศาลเจ้าร้างเมื่อครั้งที่แอบย่องหนีออกจากวังมาตามหาหัตถ์เทวะ คราแรกนางคิดแค่ว่าอยากมาดูว่าพวกเขายังอยู่ที่นี่หรืออพยพไปแล้ว แต่เมื่อกลับมาก็พบว่าทุกคนยังอยู่ คนไหนที่พอแข็งแรงหน่อยก็ออกไปหาทำงานรับจ้างทั่วๆ ไป พอได้มีข้าวสารมาจุนเจือคนอื่น จากที่คิดว่าจะหาบ้านให้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งพอคุยกันไปกันมาก็กลายเป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้ “คนพอใช้งานหรือเปล่า เมื่อครู่ข้าเห็นอาปู้ยกอาหารส่งลูกค้า” เคอหลิ่งหลินถามอย่างเป็นห่วง เขาเป็นแค่เด็กผู้ชายวัยสิบขวบ เพื่อนวัยเดียวกันวิ่งเล่นสนุกสนาน แต่เขากลับต้องทำงานหนัก ครั้งแรกที่เจอกันเขาผายผอมมากแต่ตอนนี้เริ่มมีเนื้อมีหนัง ยามว่างนางก็ให้เขาฝึกหัดเพลงมวยขั้นพื้นฐาน คิดอยู่ว่าจะหาทางให้อาปู้ได้ร่ำเรียนหนังสือหนังหาจะได้มีความรู้และมาช่วยดูแลคนอื่นๆ ได้ “ร้านเพิ่งเปิดค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยเจ้าคะ” เสี่ยวหลิวพูดขึ้น “อีกหน่อยอาปู้ต้องไปเรียนหนังสือจะไม่มีคนช่วยงานนะซิ” เคอหลิ่งหลินถอน
“ก็ได้ ข้าถามใหม่ก็ได้ ท่านจะกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่” นางถามทั้งที่ยังเคี้ยวขนมอยู่ “ข้ามาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ได้กำหนดกลับ ยังคิดอยู่ว่าจะได้เจอเจ้าหรือไม่” “โชคดีที่ได้พบกันก่อนท่านจะไป” นางพึมพำ “ระหว่างที่ท่านไม่อยู่ ข้าจะแวะเวียนไปดูแลแม่นมเหมยให้ท่านก็แล้วกัน” ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ยังเอร็ดอร่อยกับขนมในตะกร้า แม่นมเหมยดูแลเขาอยู่หลายปีตั้งแต่อยู่เมืองหลวง เมื่ออายุมากขึ้นจึงขอกลับมาอยู่บ้านเดิม เมื่อเขาเดินทางมาพักฟื้นรักษาร่างกายจึงได้พบกับแม่นมเหมยอีกครั้ง แม้เขาจะไม่ใช่เด็กน้อยแล้วแต่แม่นมเหมยก็ยังคอยทำขนมของกินอร่อยๆ ให้เขาเสมอ ที่ไหนๆ ก็มีบ่อน้ำพุร้อน ทว่าแต่ละที่ที่เคยไป เขามักเบื่อหน่ายกับสตรีมากหน้าหลายตาที่พยายามเข้ามาทำให้ชีวีตคนใกล้ตายอย่างเขาวุ่นวายนัก ร่างกายของเขาอ่อนแอตั้งแต่กำเนิดจะตายวันตายพรุ่งมิอาจรู้ แต่เมื่อมาที่นี่ตามคำเชื้อเชิญของเหวินเฮ่าหลัน กลับได้พบหญิงสาวนิสัยตรงไปตรงมาผู้นี้ นางตรงเสียจนพูดต่อหน้าว่าชอบเขา แต่กลับไม่ได้วุ่นวายในชีวิตเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น ไปๆ มาๆ เขากลับรู้สึกชอบมองผู้หญิงที่ย
“แต่คุณหนูเพิ่งเข้ามานะคะ” “ข้าจะพาเมฆเหินไปแช่น้ำร้อน มันอ่อนเพลียมาก” นางบอกไปตามตรง “แต่นายท่านทั้งสองรอคุณหนูอยู่นะเจ้าคะ” “ก็ไปรายงานอย่างที่ข้าบอกนั้นแหละ” หญิงสาวยืนยัน และเมื่อได้เสื้อผ้าเนื้อหยาบแบบสาวชาวบ้านแล้วก็รีบผลัดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ชุนเอ๋อร์รีบสางผมและเกล้าขึ้นให้คุณหนูใจร้อนของตนเอง ยามอยู่ในชุดทหารนางดูเคร่งขรึมไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อถอดเกราะออกแล้ว นางก็เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงและซุกซนราวเด็กน้อย หากคุณหนูของนางแต่งกายงดงามเหมือนคุณหนูบ้านอื่นละก็ นางก็งดงามไม่แพ้หญิงใดเลยทีเดียว ร่างเพรียวยกมือขึ้นแตะแก้มชุนเอ๋อร์หยอกล้อเหมือนทุกครั้ง “ข้าไปนะ เดี๋ยวมา” “คุณหนู” ทำได้แค่เรียก แต่คุณหนูของนางก็กระโจนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับกับหายตัวได้อย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนรับใช้อย่างนางต้องแบกภาระไปรายงานท่านแม่ทัพและฮูหยิน เคอหลิ่งหลินแอบย่องเข้าไปในห้องครัวได้หมั่นโถวมาสองลูกแล้วเดินกัดกินอย่างไม่กังวลเรื่องกิริยามารยาทแล้วเดินมาทางคอกม้า เมฆเหินเห็นนางก็ยกหัวสะบัดไปมาคล้ายจะบ่นที
หญิงสาวอดคิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ นางเองก็ไม่รู้หรอกว่า โม่ชิงถงถูกหมอกหลอนประสาทไปเห็นภาพอะไรจึงได้ปลิดชีพตนเช่นนั้น แต่นางเข้าใจลวดลายดอกไม้แดงที่ปรากฏแผ่นหลังของนางนั้น เป็นการเผยค่ายกลและที่ซ่อนกระบี่ผงาดฟ้า นางขอร้องให้เหวินเฮ่าหลันหาช่างทำลายดอกไม้แดงบนแผ่นหนังให้เพื่อเก็บไว้ยามจำเป็น เพราะนางจะไม่สำแดงดอกไม้ให้ผู้ใดเห็นอีกนอกจากชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางองค์ชายไท่หยางยื่นมือไปดึงร่างบางมานั่งบนตัก กอดรัดนางไว้ดื่มด่ำความอบอุ่นที่ละลายความโดดเดี่ยวในใจของเขาที่เกาะกุมอยู่เนิ่นนาน ‘ทายาทหญิงรุ่นต่อไปเมื่ออายุครบยี่สิบปีดอกไม้แดงจะปรากฏ แม้การปรากฏตัวของดอกไม้แดงจะนำความเจ็บปวดมาให้เจ้าของ ทว่าเมื่อเหยื่อพรหมจรรย์ถูกทำลายความเจ็บปวดนั้นก็มลายไปด้วย เพราะหมายความว่านางจะยอมเสียพรหมจรรย์กับชายคนที่นางรักและเชื่อใจ’เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่สอบถามท่านนักพรตหญิง ปล่อยให้นางเข้าใจไปเถิด เขาจะเก็บความลับรอยสักดอกไม้แดงไว้เอง มือเรียวยกขึ้นคล้องคอเขาไว้และเอียงคอมองเขาด้วยกิริยาน่ารักจนอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้ว“ท่านรู้แล้วอย่าแสร้งทำไม่เป็นรู้ซิ” นางทำท่าแง่งอนออกมา“หาเรื่องไปเที่ย
ใครเลยจะคาดคิดว่าบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วงและฮูหยินอี้ซิ่วจะถูกตาต้องใจองค์ชายไท่หยาง หลังจากเสร็จงานดูแลราษฏรผู้ประสบอุทกภัยได้เดือนเศษ ทางวังหลวงก็ส่งเกี้ยวมารับเจ้าสาวอย่างสมเกียรติ จ้าวหลิ่งหลินหรือเคอหลิ่งหลิน แม้อยู่ในกองทัพจะแลดูดุดันและใบหน้าเรียบนิ่งอยู่เสมอ ทว่าเมื่อมีข่าวมงคลเช่นนี้ เหล่าทหารที่เคยร่วมรบก็อดดีใจมิได้ แน่ชัดแล้วว่านางเป็นที่รักของทุกคนแม้จะโดนนางเคี่ยวกรำฝึกฝนหนักมืออยู่บ้าง กลายเป็นเรื่องเล่าของผู้คนไปทั่ว คราวนั้นนางติดตามฮูหยินอี้ซิ่วเข้าวังหลวง เพียงการพบหน้าครั้งแรก พรหมลิขิตก็บันดาลให้ องค์ชายไท่หยางถึงกับตกหลุมรักบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวเข้าให้จนถอนตัวมิขึ้น บุรุษผู้มีใบหน้าอ่อนโยนแสสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด กลับหลงรักหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของจ้าวจิ่นสือ บุตรชายของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง องค์ชายไท่หยางขอจัดงานอภิเษกอย่างเรียบง่ายแต่กระนั้นองค์ฮ่องเต้ก็ทรงพระราชทานงานเลี้ยงให้อย่างสมเกียรติ จ้าวหลิ่งหลินขอให้มีการเลี้ยงอาหารแจกทานให้คนยากไร้แทนการมอบของขวัญให้นาง นำพาซึ่งเสียงสรรเสริญแก่คนทั้งสอง ว
“ข้าโง่งมนักมิรู้จะทำอย่างไรให้ท่านเชื่อใจข้าได้” นางใช้ปลายจมูกถูกไถแผงอกเขาอย่างหยอกล้อ “แล้วท่านมาหาข้าได้อย่างไรกัน” “ก็ใช้สิทธิ์ขององค์ชายขี้โรคหลบออกมาตามหาเจ้าไงล่ะ” องค์ชายไท่หยางจับมือข้างหนึ่งของนางมากุมไว้แล้วยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตน “เป็นข้าที่ทำให้ท่านเสียการเสียงาน” นางรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าอีกแล้ว “ใช่...แต่จ้าวจิ่นสือก็บัญชาการได้อย่างดี ทุกอย่างราบรื่น ข้ามิอยู่ตรงนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก” เขาเริ่มแทะเล็มปลายนิ้วที่ละนิ้วของนาง “เห็นทีข้าต้องไปส่งเจ้าถึงจวนแม่ทัพจ้าวเสียแล้ว” “ข้าไม่อยากเป็นตัวปัญหาของท่าน” นางหายใจติดขัดกับลิ้นชื้นที่ไล้เลียปลายนิ้วของนางอยู่ “หลินเอ๋อร์” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงรักใคร่ “ข้าควรคุยกับเจ้าให้รู้เข้าใจเสียที” “หือ?” นางช้อนตาขึ้นมอง เห็นแววตาชวนให้หัวใจไหวสั่นแต่ก็ไม่อาจหลบดวงตาคมคู่นี้ได้“อย่างที่เจ้ารู้ ข้าอ่อนแอมาแต่เกิด มิอาจคาดหวังถึงวันพรุ่งนี้ได้ ดังนั้นจึงใช้ชีวิตไปในแต่ละวัน จนเมื่อเจ้าเข้ามาพร้อมไข่มุกหมื่นราตรี ข้าได้มีหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป” เขานิ่
คนผู้นี้ยามโกรธก็น่ากลัวเหลือเกิน จะขยับร่างกายหนีแต่เตียงก็ไม่ได้กว้างสักเท่าใด เคอหลิ่งหลินทำได้เพียงเบือนหน้าหนีเพราะต้องการตั้งหลักเตรียมรับมือกับโทสะของเขาที่นางเป็นผู้ก่อ ทว่ามือใหญ่กลับยื่นมาจับปลายคางของนางให้หันมามองเขา เห็นเขาอ้าปากจะพูด นางก็ชิงพูดออกมา“ข้าขอโทษๆ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” เคอหลิ่งหลิงจำใจทำใจกล้าสบตากับดวงตาคู่คมของเขา นางรู้ว่าตนเองทำผิดไป แต่นางตั้งสติได้จะถามว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ก็กลายเป็นริมฝีปากของเขาก็จู่โจมนางอย่างไม่ทันตั้งตัว “อุ๊บ!” ร่างสูงโถมเข้าใส่ปิดปากนางด้วยจุมพิตรุนแรง บดขยี้และขบเม้มริมฝีปากนางจนนางรู้สึกเจ็บ มือเรียวยกดันแผงอกเขาเป็นการประท้วงการลงทัณฑ์อันแสนร้ายกาจของเขา หัวใจชายหนุ่มร้อนระอุ ทั้งห่วงหาอาทร ปวดร้าวใจยิ่งนัก หากไม่เอะใจกับข่าวที่เหวินเฮ่าหลันส่งมากับนกพิราบสื่อสารแล้วละก็ เขาคงควบม้าเร็วตามมาไม่ทันช่วยนางเป็นแน่ มิรู้ว่าเกิดสิ่งใดกับนางบ้าง เขามาถึงเป็นจังหวะที่ร่างใหญ่ยักษ์ของโม่ชิงถงร่วงลงสู่บึงมรกต พอแหงนหน้าขึ้นไปก็เห็นร่างของหญิงสา