“หากเจ้าใช้วรยุทธเมื่อใดเจ้าก็เจ็บอย่างเมื่อครู่อีก”“ข้าทนได้ ข้าจะฝึกฝนตัวเองให้กลับมาเป็นดั่งเดิมอีกครั้ง””หลินเอ๋อร์” แม่ทัพจ้าวส่ายหน้าไปมา “ที่ข้าปิดเรื่องที่เจ้าสูญสิ้นกำลังภายในไปเพราะเกรงว่าคนที่ปองร้ายเจ้าจะฉวยโอกาสนี้เล่นงานเจ้า”หญิงสาวหลุบตาลงต่ำ นางเข้าใจในสิ่งที่แม่ทัพจ้าวกล่าวมาเป็นอย่างดี แต่คนอย่างนาง...หากไม่มีแม้แต่วรยุทธจะปกป้องตนเองหรือใครได้ นางจะอยู่ในฐานะอะไร เดิมทีนางคิดเสมอว่าตัวเองยังมีค่าก็เพราะทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสกุลจ้าวได้ “หลินเอ๋อร์ จำได้ไหมว่าพ่อของเจ้าฝากฝั่งเจ้าไว้กับข้า” แม่ทัพจ้าวทอดน้ำเสียงอ่อนโยน เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้า กลับมาเป็นเด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าหงึกหงักเขาจึงเอ่ยต่อ “หลายปีมานี่เจ้าติดตามข้ามากกว่าลูกชายข้าเสียอีก ซ้ำยังช่วยเหลืองานได้อย่างดีเยี่ยม ฝีมือการแกะรอยหรือแม้กระทั่งอ่านแผนที่ของเจ้าไม่เป็นรองใคร แต่ข้ารับปากพ่อเจ้าจะเลี้ยงดูเจ้าอย่างลูก ไม่ใช่คนในค่ายทหาร”“ข้า... ข้าทำด้วยความเต็มใจยิ่ง ท่านพ่อข้าสั่งเสียให้ข้าทำตามคำสั่งท่านที่ผ่านมาท่านดูแลข้าอย่างดียิ่ง”“สภาพตอนที่เจ้ากลับมามันย่ำแย่มากนะหลินเอ๋อร์ ฮูหยินขอ
หลังจากนางฟื้นจากหลับไปนานนับเดือนแล้วก็มีพิธีรับนางเป็นลูกบุญธรรม ตอนนี้คนในจวนหรือในกองทหารต่างมองนางด้วยสายตายำเกรง แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าแตะต้องนางเพราะเกรงจะได้รับโทษ ไม่ว่าเป็นเรื่องใดก็ตาม งานในคอกม้าที่นางเคยทำเองถูกแย่งชิงลงมือทำก่อนนางจะไปถึง หญิงสาวจึงได้แต่ดื่มยาและอ่านตำราเพื่อหาทางฟื้นฟูร่างกายให้กลับคืนโดยเร็ว ที่นางนิ่งเงียบไปเพราะมัวแต่ครุ่นคิดถึงสาเหตุที่ตนเองถูกทำลายกำลังภายในหมดสิ้น อาจเพราะฝ่ามือที่ท่านป้าซัดเข้าใส่ทำให้นางต้องอยู่ในสภาพนี้ ทว่าทำไมท่านป้าทำแบบนั้นกับนาง หรือท่านป้าโกรธที่นางเข้าไปเอาไข่มุกหมื่นราตรี แต่...ท่านป้าเองเป็นคนชี้แนะแนวทางให้นางได้เข้าไปเอาไข่มุกหมื่นราตรีนี่นะ ที่น่าคิดหนักกว่าคือ นางจำได้ว่าเอาไข่มุกหมื่นราตรีใส่ถุงผ้าแล้วคล้องคอไว้ ไข่มุกนั่นหายไปไหน แล้วนางกลับมาจวนแม่ทัพได้อย่างไร คำถามที่นางไม่รู้คำตอบยังมีอีกมาก ที่สำคัญคือนางคิดถึงรอยยิ้มอ่อนโยนและแววตาที่อบอุ่นของเขา เมืองหลวงผู้คนมากมาย นางจะได้เจอเขาไหม แค่ได้เห็นกับตาว่าเขาสบายดีก็พอแล้ว อาการเงียบขรึมของเคอหลิ่งหลินทำให้ฮูหยินอี้ซิ่ว
“เจี้ยนเหิงเยว่ถวายพระพรพระสนมเพคะ” “ลุกขึ้นๆ คนกันเองทั้งนั้น” พระสนมอวี้เหมยแสดงความชื่นชมหญิงสาวคนนี้ออกมาอย่างเปิดเผย “เอ้า! รู้จักกันไว้ ฮูหยินอี้ซิ่ว ฮูหยินของแม่ทัพจ้าวประจำอยู่ชายแดน วันนี้มาเยี่ยมเยือนที่ตำหนักและจะอยู่ที่นี่สักระยะ” “ลูกเต้าเหล่าใครหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรานัก” ฮูหยินอี้ซิ่วเองก็พอใจกับรูปร่างหน้าตาสะสวยของหญิงสาวผู้นี้ เดาได้ไม่ยากว่าถูกวางตัวให้เคียงคู่กับองค์ชายใดองค์ชายหนึ่งในบรรดาพระโอรสขององค์ฮ่องเต้ “หม่อนฉันเป็นบุตรสาวของคหบดีเจี้ยนเพคะ” “ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว” “สิบเจ็ดเพคะ” “อายุน้อยกว่าหลิ่งหลินของข้าสองสามปี” ฮูหยินอี้ซิ่วหันไปทางเคอหลิ่งหลินที่ยืนนิ่งอยู่ พอรู้ตัวว่าถูกพูดถึงก็ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “ข้าไปอยู่ชายแดนมานาน ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรนักหรอกนะ” “มิได้เพคะ” เคอหลิ่งหลินยิ้มน้อยๆ แต่เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่แย้มยิ้มเมื่อครู่ก็เปลี่ยนไปราวกับเห็นภูติผีปีศาจ “ทำไม!” “ทำไม?” เคอหลิ่งหล
“นี่ถ้าพ่อเจ้ามาเห็นต้องดีใจมากแน่ๆ” หญิงสาวเพียงแค่ยิ้มนิดๆ ไม่เข้าใจว่าแม่บุญธรรมพูดถึงพ่อคนไหนของนาง พ่อแท้ๆ ที่ตายจากไปหรือพ่อบุญธรรม “เอาล่ะไปกันเถิด” “ท่านแม่” นางดึงมือของฮูหยินอี้ซิ่วไว้ก่อน “มีอะไรรึ” “คือ...ข้ากลัว” “หือ? เจ้ากลัวอะไร” “ข้ากลัวทำอะไรไม่ดี ไม่ถูกต้องต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้” “โธ่! คนอย่างเจ้าออกรบร่วมกับพ่อเจ้ามาตั้งกี่ปี กลับมากลัวเรื่องแค่นี้” “ข้ามิเคยอยู่ในวังอย่างท่านแม่ หากทำกิริยาไม่เหมาะสม ข้ามีหัวเดียวจะพอให้ตัดหรือเปล่าก็ไม่รู้” “แม่อยู่ด้วยอย่าได้กังวลไปเลย” ฮูหยินอี้ซิ่วหัวเราะคิกคัก “คิดเสียว่ากินข้าวเย็นกับญาติๆ ก็พอแล้ว” หญิงสาวได้แต่ยิ้มแหย ท่านแม่พูดง่ายนัก แต่นางนี่ซิ ท่านพ่อก็กระไรรู้อยู่เต็มอกว่านางไม่ถนัดเรื่องประเพณีธรรมเนียมอะไรพวกนี้ยังส่งนางมาอีก นี่มันเป็นการลงโทษที่สาหัสยิ่งกว่าโดนโบยเสียอีก เจ้าของใบหน้าสวยได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินตามแม่บุญธรรมไปรับประทานอาหารเย็นตามประสาคนในครอบครัว เพียงแต
เคอหลิ่งหลินทำอะไรไม่ถูก ฮูหยิงอี้ซิ่วต้องแตะข้อศอกเรียกสติของลูกบุญธรรม หญิงสาวรู้สึกตัวก็มองใบหน้าอีกฝ่ายที่คลี่ยิ้มอ่อนโยนจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว แต่กระนั้นนางได้แต่บอกตัวเองว่าเขาไม่ใช่ ‘คุณชายเฉิน’ ของนาง!“หม่อนฉันจ้าวหลิ่งหลินเพคะ” เคอหลิ่งหลินยอบตัวลง แต่เพราะตื่นตระหนกกับบุรุษที่หน้าเหมือนคุณชายเฉินทำให้เหยียบชายกระโปรงตัวเองซวนเซจะหกล้ม ทว่ามือใหญ่กลับยื่นมาประคองไว้ได้ทัน“ขะ...ขอบ...ขอบพระทัย เอ่อ...ขออภัยเพคะ”หญิงสาวไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพูดอย่างไร ยิ่งอยู่ใกล้แบบนี้ เขายิ่งเหมือนคนๆ นั้นเหลือเกิน เคอหลิ่งหลินได้แต่ก้มหน้าจึงไม่เห็นว่าใบหน้านั้นมีเปิดเผยรอยยิ้มปลื้มปิติ“เจ้าสองคนนี่เคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่” จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสถาม เพราะไม่เคยเห็นโอรสองค์โตให้ความสำคัญกับสตรีนางใดมาก่อน แม้ว่าจะอายุยี่สิบแปดแล้วก็ตาม แต่เพราะร่างกายอ่อนแอแต่เล็กทำให้พระองค์ทรงตามใจ หญิงสาวที่คัดเลือกให้เป็นคู่ครองล้วนมิถูกใจไท่หยาง สารพัดข้ออ้างที่ไม่ยอมอภิเษกเสียที จนองค์หญิง องค์ชายองค์อื่นๆ อภิเษกมีลูกหลานให้อุ้มเล่นกันแล้ว“ไม่...”“เคย...”สองหนุ่มสาวพูดพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายและหัน
เคอหลิ่งหลินลุกขึ้นคารวะองค์ฮ่องเต้กับพระเมหสีแล้วจึงค่อยๆ เดินออกมา นางกลั้นใจไม่ยอมมองใบหน้านั้นจนเดินออกมาได้ระยะหนึ่ง เสียงเพลงเริ่มเบาลงไปแล้ว หัวใจเริ่มเต้นเป็นปกติจึงมองเห็นสระบัวเบื้องหน้า สะพานเล็กๆทอดตัวอยู่เหนือผิวน้ำที่สะท้อนแสงจันทร์ หญิงสาวก้าวช้าๆ หยุดยืนบนสะพานเลี่ยงการยอมรับความจริงไปไยหลิ่งหลิน เขาคือคนผู้นั้น คนที่นางยอมเสี่ยงเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อนำไข่มุกหมื่นราตรีมาขับพิษในกายเขา เขาคนผู้นั้นที่นางหวังจะให้ดวงตาของเขาเปล่งประกาย แม้ดวงตาคู่นั้นจะไม่ได้มีไว้มองนางอีกแล้วก็ตามแค่เขามียังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว เพียงเท่านี้ที่เจ้าต้องการมิใช่หรือเคอหลิ่งหลิน....“ชุนเอ๋อร์ เจ้ากลับไปดูท่านแม่เถิด”“แต่คุณหนูไม่สบายนี่เจ้าคะ” ชุนเอ๋อร์เป็นห่วงผู้เป็นนายนัก เป็นบ่าวรับใช้มานานไม่เคยมีสีหน้าเจ็บปวดใจเช่นนี้มาก่อน“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่ดื่มเหล้ามากไปนิดก็เลยมึนๆ”“คุณหนูนี่นะ เมาสุรา?” ชุนเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก “ท่านดื่มเหล้ากับทหารยกไห เจ้าพวกนั้นยังสู้ท่านมิได้ นี่แค่จิบเล็กน้อยจะทำให้นายของข้าเมามายเชียวรึเจ้าคะ หรือว่าเพราะสายตาองค์ชายไท่หยางที่ทำให้คุณหนูของบ่าวเมาม
‘องค์ชายไท่หยาง’ ต้าซื่อ-องครักษ์ที่ติดตามพระองค์หลายปียืนมองผู้เป็นนายอย่างประหลาดใจ เพียงชั่วพริบตาที่หญิงสาวนางหนึ่งตกน้ำ ผู้เป็นนายถึงกับกระโจนลงน้ำไปช่วยด้วยพระองค์เอง แต่พอเขาแลเห็นเสี้ยวหน้าของหญิงสาวที่สั่นสะท้านในอ้อมกอดขององค์ชาย เขาก็ต้องตกใจหนักเข้าไปอีก “แม่นางเคอ!” “ข้าจะพานางกลับที่พัก เจ้าไปบอกหญิงรับใช้ของนางให้รีบตามมา” “พ่ะย่ะค่ะ” ต้าซื่อรับคำสั่ง เขาเข้าใจว่านางเป็นคนของสกุลจ้าว ติดตามจ้าวฮูหยินเข้าวังมาด้วย เขาจึงรีบกลับเข้าไปในงานเลี้ยงอย่างรวดเร็ว “ปะ...ปล่อย...ปล่อยหม่อมฉัน” แม้เจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ความเจ็บปวดนี้กลับเรียกสติของนางให้รู้ว่าตนเองกำลังอยู่กับผู้ใด “หม่อมฉันไม่เป็น...ไม่เป็นอะไร...เพคะ” นางกัดฟันไม่ให้ได้ยินเสียงฟันกระทบกันเพราะหนาวสั่น “ไม่เป็นได้อย่างไร เจ้าตัวสั่นออกอย่างนี้” เสียงสูดลมหายใจลึกข่มโทสะ เหตุใดถึงโกรธนางนักนะ “หม่อมฉันกลับเองได้เพคะ” เคอหลิ่งหลินยืนยันทั้งที่สองขาแทบไร้แรงทรงตัว แต่กระนั้นก็ยังเม้มปากแน่นจนเรียบตึงเพื
“คุณหนูเจ้าคะท่านเป็นอย่างไรบ้าง”เสียงชุนเอ๋อร์ดังอยู่ด้านนอก เคอหลิ่งหลินสบตากับดวงตาคบกริบคู่นั้นแล้ว เขานั่งอยู่ขอบเตียงแต่นางไม่มีแรงยันตัวเองขึ้นจากที่นอน“ไม่...ไม่มีอะไร ข้าจะนอนแล้ว”สิ้นเสียงของนาง มือใหญ่ยกขึ้นสะบัดเพียงเล็กน้อยเทียนในห้องก็ดับวูบไปเหลือเพียงแสงจันทร์ที่สาดเข้ามาทางหน้าต่าง นางอยากจะหัวเราะแต่ทำไม่ได้ เขาเคยพร่ำเตือนนางให้เข้าทางประตู แต่ครั้งนี้เป็นเขาที่เข้ามาทางหน้าต่าง เวลานี้เขาไม่เหมือนคนเจ็บป่วยอ่อนแอเลย“เจ็บตรงไหน?” น้ำเสียงนั้นไม่อ่อนโยนสักนิด มิใช่คำถามแต่เหมือนคาดคั้น นางเผยอริมฝีปากขึ้นเพื่อจะอ้าปากกัดริมฝีปากตัวเองกลั้นเสียงร้องแห่งความทุกข์ทรมาน ทว่าบุรุษผู้นั้นกลับส่งนิ้วตนเองขวางไว้ให้นางงับแทนเสียนี่“อย่า! เจ้าอาจกัดลิ้นตัวเองได้” ใช่ นางมิได้กัดลิ้นตนเอง แต่กัดนิ้วของเขาแทนเพราะกัดเข้าไปเต็มแรงจนรู้สึกถึงรสคาวในปาก ริมฝีปากที่ซีดนั้นกลายเป็นสีแดงชาดเพราะเลือดของเขา นางอ้าปากออก มองใบหน้าของเขา เขาไม่ใช่ ‘คุณชายเฉิน’ ของนาง เขาเป็นองค์ชายไท่หยาง โอรสองค์โตของฮ่องเต้ต่างหาก นางเจ็บปวดและเจ็บใจ ช่างโง่นักไยไม่ใช้สมองน้อยๆ คิดบ้างล่ะว่