“จิ่นสือ... จิ่นสือ” มู่ฟางเหนียงละล่ำละลักเรียกชื่อเขา เวลานี้เขาร้อนแรงยิ่งกว่าเปลวไฟ เขากำลังเผาไหม้นางด้วยไฟเสน่หา“เชื่อใจข้า” เขากระซิบกับผิวอ่อนนุ่ม เป่าลมหายใจร้อนที่จุดอ่อนไหว แหวกเรียวขาของนางให้แยกออกเพื่อที่เขาจะได้ชิมความหวานจากน้ำหวานที่เอ่อล้น“อ๊า.....” นางร้องครางเมื่อถูกลิ้นร้อนฉกไปในกลีบดอกไม้สาว หัวใจเต้นระรัวและร่างกายก็บิดเร่าไปมา รู้ทั้งรู้ว่าต้องห้ามเขา ต้องปฏิเสธ และผลักไส แต่กลับทำได้แค่วางมือข้างที่ไม่เจ็บบนกลุ่มผมของเขา น่าอายเหลือเกินที่ร่างกายของนางยอมรับทุกการกระทำของเขา ซ้ำยังรู้สึกราวกับโหยหารสชาติที่ไม่เคยพานพบ นางผวาเฮือกเมื่อรู้ว่านิ้วกร้านของเขาแทรกเข้าไปสำรวจกลีบดอกไม้ของนาง เขาพรมจูบราวกับบูชามันพร้อมกับขยับนิ้วเข้าออกช้าๆเสียงครวญของนางเย้ายวนยากเกินจะถอนใจได้ เขาเร่งเร้าเพื่อให้นางพร้อมก่อนที่เขาจะผสานร่างกายที่ต้องการเติมเต็มจากนาง นางจวนเจียนจะต้านทานไม่ไหว แล้วเขาก็ถอนริมฝีปากออกจากกลีบดอกไม้ที่ฉ่ำหวานด้วยน้ำหวานก่อนจะละเลงลิ้นที่ยอดอกที่แข็งเป็นตุ่มไตของนางความปรารถนาที่จะถูกเติมเต็มทำให้นางสิ้นอาย ได้แต่ร้องวิงวอนเขา ทั้งที่ตนเองก็ไม่ร
“เอ่อ... ไม่รู้สิ ข้าแค่รู้สึกว่าเส้นทางนี้คุ้นๆ” นางไหวไหล่น้อยๆ นางอาจจะเป็นคนหลงทิศ แต่นางคุ้นเคยกับทิวทัศน์ที่เห็น คล้ายว่าเป็นเส้นทางที่นางเคยไปบ่อน้ำพุร้อนกับเคอหลิ่งหลิน ใช่... ต้องใช้แน่ๆ นี่ไม่ใช่ทางที่จะกลับเข้าเมือง “เจ้ารู้สึกคุ้นๆ” เขาถามย้ำ ในอกพลันเกิดความรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจ นางจำไม่ได้ก็ดี พอคิดว่าถ้านางฟื้นความทรงจำได้ จะนึกถึงเรื่องที่เขาเคยทำไม่ดีกับนางมากนัก หากเป็นไปได้ เขาอยากให้นางจดจำแต่เรื่องราวดีๆ ที่เขามีต่อนาง “อืม” นางพยักหน้า ไม่อยากพูดมากให้เขาผิดสังเกต แต่นางอยากรู้ว่าทำไมเขาไม่พานางตรงกลับจวนแม่ทัพจ้าว ทั้งสองเดินทางช้ากว่าปกติมาก หรือเขาอยากซ่อนตัวนางไว้เป็นนางบำเรอจริงๆ “เมื่อก่อนเคอหลิ่งหลิน... พี่สาวข้า... เคยพามาข้ามาที่บ่อน้ำพุร้อน ยามเมื่อได้รับบาดเจ็บหรือร่างกายบอบช้ำ ข้าเลยจะพาเจ้าไปแช่น้ำพุร้อนก่อนกลับเข้าจวน” “นอกจากข้อมือที่หักนี่แล้ว ข้าก็ไม่ได้บาดเจ็บที่ใดนี่” นางย่นจมูก แต่ยังไม่คลายกังวล ใครจะรู้ว่าเขาคิดอะไรกันแน่ “ข้าทำเจ้าเป็นรอยจ้ำช้ำแบบนั
“ข้าต้องการท่าน”“รัดเอวข้า”ไม่ต้องรอให้นางร้องขออีก เขายกตัวนางขึ้น ให้สองขาของนางโอบรัดรอบเอวของเขา แล้วแทรกแก่นกายเข้าไปในช่องรักอันอ่อนนุ่ม ร่างกายใหญ่โตของเขาถูกนางแผดเผาด้วยไฟปรารถนา ในขณะที่ขยับสะโพกอย่างเป็นจังหวะก็ก้มลงโลมเลียบัวคู่งามของนาง เหมือนคนใกล้ตายไปทุกขณะ นางได้แต่โอบรัดเขาแน่นขึ้น คล้ายไม่อิ่มหนำเอาง่ายๆ และเขาก็รู้ขยับสะโพกเร็วขึ้น แรงขึ้น มีเพียงเสียงของสองหนุ่มสาวครางกระเส่าผสานท่วงทำนองเพลงรักก้องห้วงน้ำความปรารถนาเร่าร้อนผลักดันนางขึ้นโบยบินไปสู่ท้องฟ้า ทำให้นางร่ำร้องไม่ขาดจนกระทั่งเขาเผลอไผลกดกระแทกรุนแรง และนางก็ตอบสนองด้วยการกอดรัดเขาแน่นขึ้น ราวกับจะหลอมรวมเป็นร่างเดียวร่างเล็กเกร็งกระตุกก่อนที่ชายหนุ่มจะคำรามออกมาด้วยความสุขสม หญิงสาวสิ้นเรี่ยวแรง ได้แต่ปล่อยให้เขาประคองนางไปที่ริมตลิ่ง ให้นางนั่งบนตักเปลือยเปล่าของเขา ลูบไล้รอยช้ำเพราะเขาแทะเล็มผิวกายของนางหญิงสาวเริ่มหายใจเป็นปกติ มองชายเบื้องหน้าแล้วกลับเขินอายขึ้นมา เมื่อครู่นางยังใจกล้าเรียกร้องให้เขาเติมเต็มนางอยู่เลย เขาจูบขมับนางอย่างปลอบโยน“เดิมทีข้าจะอดทนรอกลับถึงจวนก่อน แต่ก็ทนไม่ไหว” เข
“ท่าน... ท่าน... พ่อ” “เอาละ ให้พ่อลูกได้พูดคุยกันดีกว่า จิ่นสือตามพ่อออกไปข้างนอก” แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงลุกขึ้นแล้วเรียกลูกชายให้เดินตามออกไป เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นมู่ฟางเหนียงไม่มองมาทางเขาอีก ก็ยอมเดินตามบิดาออกไปเงียบๆเมื่อไม่มีใครอื่นแล้ว มู่ฟางเหนียงก็ดึงมือบิดาไปนั่งที่เก้าอี้ นางจ้องมองบิดาพลางเช็ดน้ำตาตัวเอง“พ่อ...” “ท่านพ่อเจ็บตรงไหนหรือไม่” นางเอ่ยถามแล้วส่งยิ้มอ่อนหวาน เป็นรอยยิ้มที่มอบให้บิดามาตลอดยี่สิบปี“เจ้า?” หมอมู่หยางซัวเห็นลูกจำเขาได้ก็ประหลาดใจพอสมควร“ท่านพ่อฟังข้าก่อน” นางรีบพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้ข้าได้รับความกระทบกระเทือนจนจดจำอะไรไม่ได้ บังเอิญกองคาราวานพ่อค้าชาวเอ้อหลุนชุนผ่านไปพบเข้าและช่วยเหลือข้า ในครานั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าตนเป็นใคร จึงติดตามเขาไปถึงเผ่าเอ้อหลุนชุน จนได้พบจ้าวจิ่นสือเข้า เขาจึงช่วยเหลือให้ลูกได้กลับมาพบท่านอีกครั้ง”มู่หยางซัวฟังลูกสาวพูด ก็ตรงกับที่แม่ทัพจ้าวบอกเล่าให้เขาฟังจากจดหมายที่บุตรชายท่านแม่ทัพส่งมาจากเผ่าเอ้อหลุนชุน เขาพยักหน้ารับให้ลูกสาวพูดต่อ“ระหว่างอยู่ที่นั่น ข้าฝันเห็นท่านพ่อตลอด แต่ในฝันนั้นใบหน้าท่านไม่แจ่ม
หญิงสาวจำได้ว่า ตอนที่อยู่เผ่าเอ้อหลุนชุน ในจดหมายที่แจ้งเรื่องบิดาของนางยังมีชีวิตอยู่ ก็แจ้งข่าวให้จ้าวจิ่นสือกลับมาเตรียมตัวไปช่วยชาวบ้านที่ประสบอุทกภัย หญิงสาวได้แต่ยิ้มขืนๆ มองบิดาที่เอาแต่สำรวจว่านางบาดเจ็บที่ใดอีก เห็นรอยคล้ำใต้ดวงตาของบิดาแล้ว นางก็ตระหนักดีว่าบิดาต้องทุกข์ทรมานใจเพียงใด เรื่องของนางนั้นไม่สลักสำคัญอะไรเลย คงต้องทนอยู่ไปก่อน แล้วค่อยหาทางออกจากจวนแม่ทัพจ้าว หากรีบจากไปก็เกรงว่าจะถูกมองว่าอกตัญญู แต่นางก็กลัวใจตัวเองที่อยู่ใกล้คนผู้นั้นแล้ว นางกลัวว่าตัวเองจะไปจากเขาไม่ได้ แล้วสุดท้ายนางก็คงตรอมตรมในฐานะอนุหรือนางบำเรอคนหนึ่งจ้าวจิ่นสือเดินตามบิดาไปที่ห้องหนังสือ แม่ทัพจ้าวโบกมือไล่คนรับใช้ออกไปแล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้กลม ลูกชายรีบรินน้ำชาให้ทันที“ดูเหมือนครั้งนี้เจ้าจะสร้างผลงานไม่น้อย” แม่ทัพจ้าวหมายถึงที่บุตรชายกำจัดหัวหน้าเผ่าเสือดำไปได้“สถานการณ์พาไป จึงจำเป็นต้องทำ”“เอาเถอะ ถึงเจ้าจะทำเกินหน้าที่แต่ก็เป็นผลดีของเรา เรื่องนี้พ่อจะไม่เอาความกับเจ้า”ใบหน้าคมคายเพียงแค่ก้มศีรษะลงเล็กน้อย แม่ทัพจ้าวมองหน้าลูกชายอยู่อึดใจใหญ่ก่อนส่ายหน้าไปมา “นี่ต้องให้พ่
ครู่หนึ่งเด็กรับใช้ก็เข้ามาเชิญให้ทั้งสองไปร่วมรับประทานอาหารกลางวัน สองพ่อลูกมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่คนเป็นพ่อจะพยักหน้าเหมือนชักชวนให้ออกไป ในขณะที่ลูกสาวยังทำหน้ามุ่ย เพราะคิดว่าจะได้นั่งคุยกับบิดามากกว่านี้ สายตาอ่อนโยนของผู้เป็นพ่อมองลูกสาวอย่างเข้าใจก่อนจะหัวเราะออกมา นานนับเดือนที่เขาไม่ได้หัวเราะออกมาเช่นนี้ “เรายังมีเวลาคุยกันอีกนะลูก” “ก็ได้เจ้าค่ะ” หญิงสาวเบ้ปากเล็กน้อย “ลูกจะได้ดูท่านกินข้าวด้วย ดูสิ ท่านผอมมาก แก้มก็ซูบตอบ เดี๋ยวไปตลาดแล้ว ข้าจะหาซื้อไก่ดำตัวอวบๆ มาตุ๋นน้ำแกงบำรุงท่าน” เห็นนางอารมณ์ดีขึ้น มู่หยางซัวก็เบาใจ แท้จริงแล้วเขาเป็นคนตามใจลูกสาวคนเดียวคนนี้มาก แต่เพราะเขาเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจา จึงดูคล้ายเป็นคนดุและลูกสาวอยู่ในโอวาท ในความจริงแล้วผู้เป็นพ่ออย่างเขาต่างหากเล่า ที่น่าจะเรียกว่าอยู่ในโอวาทของนาง เดือนเศษที่ไม่ได้พบหน้า ไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยกัน มิรู้ชะตากรรม จากที่คลุ้มคลั่งกลายเป็นสงบและทบทวนตัวเองในสิ่งที่ผ่านมา สักวันนางก็ต้องออกเรือน มีครอบครัวของนาง จะมาใช้ชีวิตเร่ร่อนไม่ได้อีกแล้ว แท้จริงการตัด
“ซื้อเสื้อและของใช้จำเป็น ในนี้อาจมีเงินไม่มากนัก เจ้าซื้อมาสักสองสามชุดก่อนก็แล้วกัน” พูดไปแล้วก็น่าละอาย แต่เงินนี้เป็นค่าตอบแทนที่แม่ทัพจ้าวให้เขามา “ไม่ต้องห่วง ลูกดูแลจัดการได้” แน่นอน เรื่องบัญชีค่าใช้จ่ายในบ้านเป็นนางที่ต้องคิดใคร่ครวญ สิ่งใดควรซื้อ สิ่งใดจำเป็น นางย่อมรู้ดีที่สุด จ้าวจิ่นสือมองมู่หยางซัวเดินออกไปพร้อมพ่อบ้านแล้ว เขาก็ชวนนางออกมา ตลาดอยู่ไม่ไกล เดินไปก็ไม่ลำบาก เขาเองก็ไม่ได้ไปนานแล้ว หญิงสาวดูอิดออดไม่น้อย แต่ก็ยอมเดินออกมาพร้อมเขา “ทีแรกข้านึกว่าเจ้าจะพักผ่อน” “ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรนี่” นางเดินไปเรื่อยๆ สองปีที่นางอยู่เมืองนี้แทบไม่ค่อยได้มาเดินตลาดนัก เหตุเพราะนางหลงทิศและบิดาก็ยุ่งกับการตรวจคนเจ็บคนป่วยแทบตลอดเวลา นานวันเข้า นางก็ไม่อยากเอานิสัยไร้เหตุผลมาเป็นข้ออ้างให้พ่อพาเดินเที่ยวตลาด นานๆ นางจึงจะได้มาเดินเล่นสักครั้ง พอเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น ผู้คนก็หนาตา ร้านรวงก็มากมาย นางไม่ได้เห็นความคึกคักเช่นนี้นานแล้ว ความหงุดหงิดที่มีอยู่เดิมเลือนหาย ไม่มีเสียงชวนพูดคุยของเขา แต่นางก็รู้ว่า
จ้าวจิ่นสือรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมอง เขาตวัดสายตาดุดันจ้องกลับ ต่อให้เป็นผู้หญิงเขาก็ไม่สน หากใครคิดจะทำร้ายผู้หญิงของเขา คนผู้นั้นได้เจอดีแน่!“ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้ว” นางพึมพำบอกเขา เพียงเพราะอยากไปให้พ้นจากตรงนี้“ได้ เจ้าได้เสื้อผ้าที่ต้องการหรือยัง” เขาถามแล้วมองไปยังเสื้อผ้าที่นางเลือกไว้ “ยังเลย ข้าตัดใจไม่ได้ คิดว่าจะซื้อแค่สองสามชุดก็พอ” การชวนคุยของเขาทำให้นางคลายความประหม่าลง“แล้วอย่างไร เจ้าชอบตัวไหนก็เอาไปสิ” เขาทำหน้าดุใส่นาง เรียกเด็กในร้านที่ยืนคอยอยู่ใกล้ๆ มา “เสื้อผ้าที่นางเลือกมีกี่ชุดเอาไปให้หมด แล้วส่งกลับไปที่จวนแม่ทัพ”“ขอรับคุณชายจ้าว”“นี่!” นางห้ามเขาไม่ทันแล้ว เห็นเด็กๆ มาช่วยกันขนเสื้อผ้าไปราวกับกลัวลูกค้าจะเปลี่ยนใจ นางก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้“อย่าคิดมาก” เขาจิ้มหน้าผากนางเบาๆ ขำท่าทีมักน้อยของนางนัก “ไปหาที่นั่งดื่มน้ำชา เจ้าจะได้พักสักครู่ด้วย”“ไม่แล้ว ข้าอยากกลับบ้าน” นางส่ายหน้าไปมา แล้วก็นึกได้ว่าพลั้งปากเรียกจวนแม่ทัพจ้าวว่า ‘บ้าน’ ออกไป“ได้ งั้นเรากลับบ้านกัน”หัวใจของจ้าวจิ่นสือพองโตจนคับอก แค่ความรู้สึกที่นางยอมรับเขา
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม
“ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา
“ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน
“ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท
“พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า
มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด