“ฟางเหนียง” น้ำเสียงเรียกเหมือนปราม ทำให้หญิงสาวหันไปมองใบหน้าคนตัวสูงที่จ้องเขม็งมองหน้านาง แล้วนางก็หัวเราะคิกคักออกมา ทำให้เขาต้องเอ่ยปากถามว่านางหัวเราะเรื่องใดกัน “ข้าไม่ได้หัวเราะท่าน แค่รู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนชอบใช้น้ำเสียงแบบนี้กับข้าบ่อยๆ” นางยิ้ม “ข้าต้องเป็นเด็กดื้อที่ทำให้ท่านพ่อปวดหัวเป็นแน่” “ข้าเชื่อว่าพ่อของเจ้าจะปลอดภัย” หญิงสาวพยักหน้ารับ นางหวังใจให้เป็นเช่นนั้น ปลอบใจตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่านมากเกินไป “อากาศยามค่ำที่นี่จะหนาวเย็นมาก เจ้ารีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยกินข้าวจะดีกว่า” เขาอดเป็นห่วงนางไม่ได้ “ค่อยๆ หาทางรักษาเถิด” “ข้าก็คิดเช่นนั้น” นางรู้ดีว่าร่างกายตัวเองไม่ทนกับอากาศหนาวเย็นนัก หากล้มป่วยเป็นอะไรไปจะกลายเป็นภาระของผู้อื่น “ท่านหมอผู้เฒ่าก็ยังมาไม่ถึง ข้าจะปรึกษาผู้ใดได้เล่า” มีเพียงการถอนหายใจหนักๆ ที่ระบายความกลัดกลุ้มในอกได้ จ้าวจิ่นสือพานางเดินไปยังกระโจมที่พักที่อยู่ห่างจากกระโจมของผู้ป่วยไกลสักเล็กน้อย นางหยุดยืนแล้วกวาดตามองไปรอบๆ คล้ายกระโจมที่นางเคยอาศัย
“ฟางเหนียง ...มู่ฟางเหนียง” เขาเรียกนางซ้ำหลายครั้ง ยื่นมือลงไปจุ่มน้ำ น้ำอุ่นเปลี่ยนเป็นน้ำเย็นแล้ว นางหลับในอ่างน้ำแบบนี้จะได้กลายเป็นคนป่วยเสียเอง เขาเรียกนางซ้ำอีกสองสามครั้ง หากนางไม่ขยับเขาคงต้องอุ้มนางขึ้นมา“ฮือ” หญิงสาวครางรับออกมา น้ำเสียงเกียจคร้าน ภาพในฝันเลือนหาย ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่นางเห็นคือดวงตาคมที่จ้องมองอย่างห่วงใย นางหลับตาลงอีกครั้ง ตั้งสติก่อนลืมตาอีกทีก็เห็นว่าเขายังอยู่ แต่แววตามีรอยตำหนินางชัดเจนจนนางขมวดคิ้ว‘นางทำอะไรผิดอีกล่ะ’อิงฮวารู้สึกตัวก็ตกใจ นางยังอยู่ในอ่างอาบน้ำ! เขาเข้ามาได้อย่างไรกัน!“ท่านเข้ามาได้อย่างไร! ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!” นางตวาดเสียงสั่น แล้วเลื่อนตัวลงไปในน้ำจนปริ่มปลายคาง“จะไปได้อย่างไร เจ้าอยู่สภาพนี้นานเท่าไหร่แล้ว!” เขาโกรธควันแทบออกหู “จะอย่างไรท่านก็ออกไปก่อน!” นางอายจนตัวแดงไปหมด นางยกมือขึ้นปิดทรวงอกสล้างจ้าวจิ่นสือได้แต่สะบัดหน้าแล้วหันหลังให้ ยกมือขึ้นกอดอกขบฟันจนแทบกลายเป็นสันนูน“รีบออกมาได้แล้ว”“ท่านจะมายืนอะไรตรงนี้ ออกไปสิ” นางตวาดเขาแล้วก็เผลอจามออกมา นี่นางเผลอหลับไปนานเพียงใดแล้ว น้ำในอ่างเย็นหมดแ
เหนื่อยล้ามาทั้งวัน นางจึงผล็อยหลับไปในที่สุด ไม่รู้ว่าคนตัวสูงที่แกล้งหลับไปนั้นลุกขึ้นมาเดินมาดูใบหน้านางยามหลับ เป็นครั้งแรกที่เขาปรนนิบัติผู้อื่น แต่เพราะเห็นนางเหนื่อยทั้งวัน เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจของเขาคือความรู้สึกที่อยากดูแลนางตลอดไปนั้น มันคืออะไรกันล่วงเข้าสู่วันที่สาม แม้มู่ฟางเหนียงจะรั้งชีวิตคนไว้ได้แต่คนป่วยก็ยังมีเพิ่มขึ้น คนไหนที่อาการดีขึ้นนางก็ให้แยกกลับไปพักที่บ้านได้ แต่นางยังแวะเวียนไปตรวจดูอาการอย่างสม่ำเสมอ จ้าวจิ่นสือลอบถอนหายใจ มีเพียงแผ่นหลังของบิดาที่เขาเดินตามเท่านั้น ใครเลยจะรู้ว่าสองสามวันมานี้เขาต้องเดินตามแผ่นหลังของมู่ฟางเหนียง กว่าจะรู้ตัวเขาก็เข้าใจกระจ่างว่าเหตุใดหญิงสาวจึงมักหลงทิศหลงทางอยู่เป็นประจำ เพียงเพราะนางมีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาต้องคอยแตะข้อศอกหรือไม่ก็จูงมือนางไม่ให้เดินเลยไปในทิศทางที่ต้องไป เคยคิดว่าเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่บุรุษต้องมาใส่ใจ แต่เมื่อเอาเข้าจริง เขากลับไม่รู้สึกรำคาญหรือเบื่อหน่าย หากไม่มีเขาอยู่ นางก็คงดูแลตัวเองได้อย่างที่เคยเป็นมา แต่เขาจะอยู่อย่างไร หัวใจเ
“หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือไร” นางแสร้งหันไปมองทางอื่น ทำให้เห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งล้อมวงคล้ายทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง “เจ้านี่หัวรั้นไม่ใช่เล่น” พูดพลางยกน้ำชาขึ้นดื่ม แต่เมื่อไม่เห็นนางโต้ตอบจึงมองตามสายตาของนาง ไม่ไกลนักมีคนแต่งกายด้วยหนังสัตว์ บนศีรษะประดับด้วยเขาวัวดูน่ากลัว ใบหน้าแต้มสีจนแทบไม่รู้ว่าใบหน้าเดิมเป็นเช่นไร “พวกเขาทำอะไรเหรอ” ถามแล้วชะเง้อคอยาวด้วยความอยากรู้ “รักษาคนป่วย” “หือ? อะไรนะ” นางหันไปมองเขาด้วยความงุนงง “ข้าไปดูใกล้ๆ ได้ไหม” หน้าตาแบบนี้มีหรือใครจะกล้าขัด จ้าวจิ่นสือเห็นว่าเหล่าผู้เฒ่าไม่ได้สนใจพวกตนแล้วจึงพยักหน้ารับ หญิงสาวรีบลุกขึ้นแล้วแทบจะวิ่งไปยังคนกลุ่มนั้น นางยืนดูด้วยความสนใจ เห็นคนแต่งตัวประหลาดผู้นั้นเต้นรำร้องเพลงที่นางไม่เข้าใจ คนป่วยราวสี่คนนั่งอยู่ แต่ละคนปากแห้ง ตัวสั่น ดวงตาเหม่อลอย นางฝืนสงบใจยืนดูอย่างนิ่งเฉยทั้งที่ตัวเองอยากวิ่งเข้าไปพาคนกลุ่มนั้นออกมารักษา ปล่อยให้นั่งตากแดดเที่ยงวันได้อย่างไรกัน หัวใจนางถูกบีบรัดจนต้องยกมือขึ้นทาบอกสะกดความเจ็บปวดนั้นไว้ ครู่ต่อมาผู้ที่
เท้าเล็กๆ ของนางเดินเร็วๆ แทบจะกลายเป็นวิ่ง เขาเดินตามทันได้สบายอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นห่วงท่าทางร้อนรนของนาง นางเดินไปที่ริมน้ำ สายน้ำที่ไหลผ่าน มีซากสัตว์ปีกตายลอยไปตามน้ำผ่านสายตาของนาง เขาเห็นนางทำท่าจะเดินลงน้ำจึงกระโดดทีเดียวก็มาขวางหน้านางไว้ได้ทัน“ท่านนี่!” นางตวาดเขาเพราะตกใจ“เจ้าจะทำอะไร จะเดินลงน้ำฆ่าตัวตายหรือไรกัน” เขาจับไหล่นางไว้ก่อน“ข้าจะทำเรื่องแบบนั้นทำไมกัน” นางทำหน้างุนงง “ข้าแค่จะไปดูซากสัตว์ที่ลอยน้ำนั่นต่างหาก”คราวนี้เป็นจ้าวจิ่นสือที่ผงะไปเล็กน้อย และเพราะตกใจกับคำพูดของนางจึงถูกนางคว้าข้อมือของเขาให้เดินตามไปที่ตลิ่ง “ท่านดูสิ สัตว์พวกนี้ป่วยอาการเดียวกับคนในหมู่บ้านเลย” นางชี้ให้เขาดูอย่างตื่นเต้น “ท่านพ่อเคยสอนข้า โรคภัยบางชนิดถ่ายทอดจากสัตว์สู่คนและแม้แต่คนก็ไปสู่สัตว์ได้ หลังจากที่นกเป็ดน้ำอพยพมา ก็มีอาการเจ็บป่วย แล้วก็แพร่เชื้อไปสู่สัตว์ปีกที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ จากนั้นก็ติดไปสู่คน”“หมายความว่าเจ้าสามารถรักษาโรคนี้ได้” เขาพลอยตื่นเต้นไปกับนาง“ไม่ได้” นางส่ายหน้าไปมาแต่ใบหน้ามีรอยยิ้ม “สิ่งที่พวกเขาเป็นต้องรักษาตามอาการ เพราะแต่ละคนมีความแข็งแรงมาไม่เท
ไม่ทันได้ส่งเสียงหวีดร้อง ขาก็ไม่ยอมขยับหนี ทำได้แต่หลับตาปี๋อยู่อย่างนั้น แต่เพียงอึดใจร่างนางก็ถูกรวบไปปะทะกับแผงอก หญิงสาวลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าคมคายก้มมองนางด้วยสายตาตำหนิ นางก้มหน้างุดทั้งที่หัวใจเต้นรัว แต่เมื่อตั้งสติได้ก็เงยหน้าขึ้น ได้ยินเสียงโอดครวญของหมอผีผู้นั้นที่นอนคลุกฝุ่นแบบไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้าไปช่วย คงไม่ต้องถามว่าเขาปกป้องนางได้อย่างไร วิทยายุทธ์ระดับรองแม่ทัพแล้ว แค่นี้ไม่คณามือของเขาแน่ เพียงแต่...เขาอยู่ที่ใดกันถึงได้มาช่วยนางได้เร็วนัก “เห็นคนถือมีดพุ่งเข้าใส่ไยไม่หลบ เนื้อตัวทำจากเหล็กกล้าหรือไรกัน” นางอ้าปากจะเอ่ยขอบคุณ แต่พอได้ยินเขาดุ หญิงสาวก็หุบปากแล้วสะบัดหน้าหนี ถ้านางขยับเท้าได้ก็ไม่ต้องมายืนให้เขาทำหน้าดุใส่แบบนี้หรอก! ชิ! เห็นท่าทางของนางแล้วเขาก็กลั้นหัวเราะ แต่เพราะต้องแสร้งทำหน้าขึงขังอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาคงแหงนหน้าหัวเราะลั่นไปแล้ว ทำไมเขาจะไม่รู้ นางกลัวจนขยับเท้าไม่ได้ แม้เขาจะไม่ได้อยู่ใกล้ แต่นางอยู่ในสายตาของเขาตลอด มีหรือที่จะยอมให้มีอันตรายใดมาแตะต้องนางแม้แต่ปลายเล็บ “เจ้า! เจ้า
“เจ้าเป็นอะไร ทำไมทำหน้าอย่างนี้” เขาสืบเท้าเข้ามาใกล้ ยื่นหลังมือมาแตะหน้าผากของนาง “ตัวก็ไม่ร้อนนี่”“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” นางยกมือขึ้นปัดมือเขาไม่จริงจังนัก“มองหาข้าอยู่ใช่ไหมล่ะ” เขาพูดขึ้น แม้น้ำเสียงราบเรียบแต่แววตามีประกายเจ้าเล่ห์“ไม่ใช่เสียหน่อย” นางก้มหน้ามองเสื้อผ้าที่ประคองไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง“เจ้านี่นะ” เขาหัวเราะออกมา นอกจากจะขี้เหนียวคำขอบคุณแล้วยังไม่ยอมรับความจริง เขาแอบมองอยู่ตั้งนาน เห็นนางยืนเหมือนเด็กหลงทางแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่พอเห็นสีหน้าของนางเหมือนเจ็บปวด เขาก็แทบกระโจนมาหานางในทันที เมื่อเห็นว่านางปากแข็งไม่ยอมรับความจริง เขาก็ได้แต่เดินนำทางให้นางกลับไปที่กระโจมที่พัก มองเห็นเสื้อผ้าชุดใหม่ที่นางถือมาแล้วก็ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม เขาจับไหล่นางให้เดินเข้าไปในกระโจม“รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย อย่าให้ผู้อื่นต้องรอนาน”“ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อย”นางหันไปทำตาดุใส่แล้วหมุนตัวเดินไปหลังฉากกั้น อดประหลาดใจไม่ได้ว่าเขาเอาเวลาที่ไหนมาเตรียมน้ำอุ่นให้ ลึกๆ คือความพอใจ แต่อีกเสี้ยวหนึ่งบอกให้ยับยั้งใจไว้ ยังไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วนางกับเขามีความสัมพันธ์ใดกันแน่
จ้าวจิ่นสือก้าวยาวๆ พาร่างที่อ่อนปวกเปียกลงบนที่นอน ลมหายใจของนางทำให้เขาพลอยร้อนระอุไปด้วย ประคองศีรษะนางลงบนหมอน ท่าทางดุจกระต่ายน้อยของนางทำให้มุมปากของเขายกยิ้ม “เรา...เราออกมา..แบบนี้จะดีเหรอ” นางถามไปอย่างนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกแปลกๆ ร้อนวูบวาบในอกเหมือนคนเป็นไข้ หรือเพราะสุราที่ดื่มเข้าไปมาก“ข้าไม่ต้องการให้ใครจ้องมองเจ้า” น้ำเสียงแหบพร่าและจ้องมองนางอย่างเป็นเจ้าของ “ข้าไม่ใช่ของท่านเสียหน่อย” นางเถียงเสียงอ้อแอ้ มือเล็กดันแผงอกที่ทาบทับจนเกือบจะแนบชิด และไม่รู้ตัวว่าคำพูดของนางได้ไปยั่วยุเขาเข้าให้แล้ว ร่างใหญ่ลงนอนเคียงข้าง นางขยับตัวถอยห่าง แต่เตียงที่นางยึดครองมาผู้เดียวหลายราตรีมันไม่ได้กว้างอะไรนัก ขยับออกห่างได้แค่นิดเดียวเขากลับพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างนางไว้ ดวงตาดุดันของเขาจ้องมองนาง ร่างกายนางร้อนระอุขึ้นมาทันทีจนต้องปิดเปลือกตาหลบซ่อนตนเองทิ้งเสีย แล้วนางก็ต้องผวาลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อริมฝีปากถูกริมฝีปากหยักสวยกดจูบบดขยี้จนแทบหายใจไม่ออก!นางประท้วงด้วยการทุบแผงอกกำยำแต่ไร้ผล จุมพิตร้อนแรงทำให้นางเปิดปากยอมให้เรียวลิ้นของเขาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อยๆ ของนาง มือที่ทุบแผง
องค์ชายไท่หยางมักมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าซีดเซียวเสมอ ซึ่งมองเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าและร่างกายอ่อนแอนี้กุมความลับที่ใช้ต่อรองกับเขาได้ดียิ่งนัก เขาเองก็ได้สัญญาการซื้อขายกับทางการหลายรายการเพราะการแนะนำของคุณชายเฉิน“แล้วนี่คุณชายเฉิน อ้อ! ไม่สิ! องค์ชายไท่หยางนึกสนุกอย่างไรถึงอยากได้หน้ากากอสูรที่ดูน่ากลัวเช่นนี้”“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าที่เบื้องหน้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเช่นกัน”“พระองค์กล่าวเช่นนี้ เห็นทีว่ากระหม่อมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้วกระมัง” เหวินเฮ่าหลันกลับรู้สึกพอใจกับท่าทางเปิดเผยขององค์ชายไท่หยาง“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน... แต่การเคลื่อนไหวในฐานะขององค์ชายไท่หยางทำได้ลำบากนัก จึงอยากจะรบกวนเจ้าหาช่างดีๆ ทำหน้ากากอสูรนี่ให้ข้า”“พระองค์จะเอาไว้ใช้เอง?”เหวินเฮ่าหลันได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเขาหาช่างที่ไว้ใจได้สั่งทำหน้ากากอสูร แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาให้ช่างทำสองอัน เมื่อส่งมอบหน้ากากอสูรนั่นให้องค์ชายไท่หยาง ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวว่ามีบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากากอสูรออกอาละวาดเล่น
ปีศาจน้อย! จ้าวจิ่นสือขบกรามแน่น นางเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำกับนาง เขาไม่อาจทานทนไฟปรารถนาที่เผาไหม้อยู่นี้ได้อีก ขยับร่างกายรวดเร็วรุนแรงและลึกล้ำ เป็นนางที่พาเขาให้เตลิดโบยบินไปในค่ำคืนวิวาห์ที่อุ่นร้อน ราวกับวิหคคู่ที่โบยบินในเวิ้งฟ้า หยอกล้อราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เขากับนางเท่านั้น ร่างสองร่างสอดประสานแทบเป็นหนึ่งเดียว ชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ในขณะที่หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม แล้วเขาจึงผ่อนร่างนางลงนอนกอดอย่างรักใคร่นางปิดเปลือกตาหอบใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตัวเองจนเกือบจะเป็นปกติจ้าวจิ่นสือมองหญิงคนในรักในวงแขน ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของนางให้พ้นใบหน้า หนึ่งชีวิตได้พานพบผู้คนมากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของเสียงในหัวใจ เขาก้มหน้าสูดกลิ่นหอมของนางให้กลิ่นกายของนางไหลเวียนในตัวเขา นางคือหญิงสาวของเขาแต่เพียงผู้เดียว“ฟางเหนียง ข้ารักเจ้า”ผ่านเรื่องราวมากมายฟันฝ่ามาด้วยกันจนมีวันนี้ แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางคิดถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น นางจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู ของขวัญล้ำค่าที่เชื่อมโยงหัวใจของคนสองคนให้ได้มาใกล้ชิดกั
“ท่าน...” นางถูกดวงตาร้อนแรงของเขาจ้องมองจนลืมคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น “อืม”เขาจ้องมองนาง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้มองใบหน้านี้เลยสักคราเดียว คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางเคียงข้างแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจำนนยอมแพ้พ่ายต่อสายตาคู่นี้ของนาง “ข้า... ข้าต้องปรนนิบัติท่าน... พี่” คืนนี้นางเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำหน้าที่ของตนเองถึงจะถูก แต่มือเล็กก็สั่นเทา ยื่นไปหมายจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อาการเงอะงะของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ทำให้นางฉุนกึกขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึงตาใส่อย่างดุดัน “ใช่สิ! ข้าทำไม่เก่งนี้ เรื่องแบบนี้ข้าคุ้นเคยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางหงุดหงิดโมโห อารมณ์นางช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนชอบกล “ไม่เป็นไร น้องหญิงอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด” เขากลั้นหัวเราะแต่กลายเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มแทน ปล่อยให้มือเล็กช่วยถอดเสื้อตัวนอก พอนางลุกขึ้นจะเอาเสื้อของเขาไปแขวน ตัวเองก็เสียหลักเพราะนั่งตัวเกร็งอยู่ตั้งนา
หญิงสาวนั่งก้มหน้า มองปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีแดงสดสวยปักรูปหงส์อย่างงดงามประณีต เสียงครื้นเครงด้านนอกไม่ได้ช่วยให้นางลดอาการตื่นเต้นลงได้เลย ยามมองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหอราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง นางจึงหลุบตาลงก้มมองปลายเท้าของตนแทน เพียงหนึ่งเดือนหลังเสร็จภารกิจลับของจ้าวจิ่นสือ ด้วยความช่วยเหลือขององค์ชายไท่หยาง ทำให้ทั้งสองได้รับราชโองการพระราชทานสมรส แม้มู่ฟางเหนียงจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญชน แต่ด้วยความรักใคร่ที่รองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือมีให้นางนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว นางทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ดีใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วรักและเอ็นดูนางราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ ท่านพ่อของนางก็พลอยวางใจว่านางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด “เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ต่อไปนี้ทำอะไรก็เชื่อฟังพ่อแม่สามีของเจ้าให้ดี” “ท่านพ่อ” นางกลั้นน้ำตา คราวนี้ได้แยกกันอยู่แล้วจริงๆ ท่านพ่อของนางมีใจรักใคร่น้าเสี่ยวหลิว เสร็จงานแต่งงานของนางแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวง ช่วยน้าเสี่ยวหลิวดูแลโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาและรักษาคนเจ็บป่วยเช่นเคย ส่วนนางเองก็ได้รั
“ท่าน... ระ.. รักข้า..” นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ อาศัยจังหวะที่นางไม่เป็นตัวของตัวเองลอกคราบเสื้อผ้าออกเหลือเพียงเอี๊ยมปิดบังทรวงอกที่สะท้อนหอบหายใจแรงกับกางเกงชั้นในตัวน้อย มือกร้านลูบไล้เรียวขาของนาง ไอร้อนจากกายของเขาทำให้นางแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเปลือยเปล่าอยู่แล้ว“ข้า... เข้าใจว่า... ท่าน ระ รัก พี่หลิ่งหลิน” นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปเขาผงกศีรษะรับแล้วกลับยิ้มให้นาง “ก่อนนั้นข้าคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”หัวใจของนางแทบหยุดเต้นไป แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นอยู่ “แต่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ท่านจะรับข้าไว้ในฐานะใดเล่า”“ข้าย่อมให้เจ้าเป็นภรรยา” มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากต้นขาด้านในสู่กลีบบุปผาอ่อนบาง “ข้าจ้าวจิ่นสือจะมีภรรยาเพียงผู้เดียวก็คือเจ้า”“ท่านจะไม่มีหญิงอื่นอีกหรือ?” นางกะพริบตามองหน้าเขา ค้นหาความจริงใจในทุกถ้อยคำ “ข้าไม่ได้หวังตำแหน่งใด ข้าเพียงไม่อาจแบ่งสามีกับผู้อื่นได้”“เจ้าทำให้ข้ารักเจ้าจนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่นแล้ว” แตะกลีบดอกไม้เบาๆ แล้วกระซิบเสียงพร่า แท่งศิลาใต้ตักของนางเริ่มร้อนระอุ“อย
“นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ไม่รอถามอะไรเขาทั้งนั้น ขยับเสื้อของเขาออกกว้างเพื่อจะได้จัดการล้างแผลและใส่ยาให้ใหม่ ขณะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อนางอย่างเกรงใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่รอพานางไปส่งที่พักก็ต้องตกใจเพราะเห็นมู่ฟางเหนียงกำลังเปลื้องผ้าชายหนุ่มอยู่ แต่เขามองไม่เห็นบาดแผลจึงคิดไปเองว่าทั้งสองกำลัง...“ข้าจะรอข้างนอก แม่นางมู่เสร็จธุระแล้วโปรดเรียก”นางเพียงหันไปพยักหน้ารับ เพราะใจจดจ่อกับบาดแผล พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาของเขาก้มมองนางอยู่ก่อนแล้วผู้หญิงคนนี้ วุ่นวายกับเขานัก! จ้าวจิ่นสือได้แต่บ่นในใจ แต่ก็ยอมให้นางแกะผ้าพันแผลและทำความสะอาดที่บริเวณชายโครงซ้ายของเขา“โรคทางใจรักษายากนัก” นางรำพึง“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เขาแค่นเสียงในลำคอ รินสุราใส่จอกให้ตนเอง แต่นางกลับยื่นมือไปคว้าแย่งไว้“ระหว่างที่รักษาแผลนี้อยู่ งดดื่มสุราทุกชนิด” นางถลึงตาสั่งเขา “ข้ารักษาให้ท่านได้เพียงบาดแผลภายนอก แต่ในใจที่เจ็บปวดของท่านนั้น ท่านคงต้องใช้เวลาเยียวยารักษาเอง”“ข้าจะดื่ม” เขาท้าทายนาง“ถือว่าข้าเตือนแล้ว ท่านอยากให้แผลเน่าอยู่ภายในก็ตามใจท่านเถิด” นางปิดบาดแผลให้เขาเรียบร้อย “ท่าน
“เจ้าจะรีบไปไหนกัน!” “ข้าหายดีแล้ว จะไปหาฟางเหนียง” เขาควรรีบไปอธิบายกับนาง เมื่อวานส่งจดหมายแจ้งให้ท่านพ่อทราบเรื่องภารกิจลับเรียบร้อยแล้ว และจะเดินทางกลับพร้อมรับมู่ฟางเหนียงไปด้วยเลย โธ่! ยังมิทันไรก็เป็นพวก ‘เกรงใจภรรยา’ เสียแล้ว เหวินเฮ่าหลันได้แต่คลี่พัดโบกไปมา ปกปิดสีหน้าระอาใจ เป็นบุรุษองอาจ ไฉนต้องมาพะวักพะวนกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ “เจ้ารออยู่นี่แหละ เดี๋ยวนางก็มาแล้ว” “เฮ่ย!” “เจ้าจะร้องอะไร” เหวินเฮ่าหลันเห็นอาการของสหายแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะไปมา ได้ยินมาจากเคอหลิ่งหลินว่าจ้าวจิ่นสือบาดเจ็บแต่ไม่ให้เรียกมู่ฟางเหนียงมาทำแผลเพราะเกรงใจที่เป็นเวลาพักผ่อนของนางแล้ว อย่างไรนางก็จะเป็นภรรยาอยู่แล้ว หน้าที่ภรรยาดูแลสามีก็ถูกแล้ว จะค่ำหรือสว่างจะเป็นไรไป เดือดร้อนต้องไปตามหมอผู้อื่นมารักษาให้ แม้จะไม่ใช่บาดแผลสาหัสก็เถอะ “ข้ายังไม่ได้อธิบายกับนาง นางมาเจอข้าแบบนี้...” “เจ้านี่! เป็นถึงรองแม่ทัพ! อย่ามาทำตัวกลัวเมียให้เสียชื่อหน่อยเลย!” เหวินเฮ่าหลันกดเสียงต่ำ เรื่องแบบนี้พ
เคอหลิ่งหลินก็เห็นหญิงสาวในชุดแดงหน้าตาซีดเซียว นางมาไม่ทันจึงไม่รู้ว่าหญิงนางนี้มีเรื่องแค้นใดกับจ้าวจิ่นสือ แต่ด้วยความสงสารในท่าทีสับสนและดูเคว้งคว้างของนางจึงเดินเข้าไปใกล้ หมายจะปลอบประโลมให้สงบใจ“แม่นาง อย่างไรแล้วค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันเถิด เจ้ามีบาดแผล ให้ข้าดูหน่อยจะเป็นไร” เคอหลิ่งหลินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ทำให้ร่างของหญิงสาวในชุดแดงแข็งทื่อ กวาดตาจ้องมองคนทั้งหมด คนพวกนี้พูดคุยเหมือนเป็นญาติพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน แต่นางนั้นเล่า ไร้ผู้ใดไม่มีใครอีกแล้ว ความเศร้าหมองและหดหู่กัดกินจิตใจ มือบางกำด้ามกริชแน่นขึ้น หมายมั่นจะเอาชีวิตของจ้าวจิ่นสือให้ได้ นางพุ่งเข้าใส่อย่างไม่คิดหวาดกลัวและไม่สนใจว่านางอาจถูกฝ่ามือซัดกลับจนถึงแก่ชีวิตช่างปะไร นางจะได้ไม่ต้องเดียวดายอีกแล้ว“จิ่นสือ!” เป็นเสียงเคอหลิ่งหลินที่หวีดร้องอย่างตกใจ น้องชายนางกลับไม่หลบยืนนิ่งปล่อยให้หญิงนางนั้นแทงกริชเข้าชายโครงด้านซ้ายของเขา เพราะคิดว่าจ้าวจิ่นสือจะหลบหลีกหรือตอบโต้ได้ จึงไม่มีใครขวางหรือเข้าไปช่วย ทุกคนจึงตื่นตะลึง แม้แต่หญิงผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ“เจ้า! ไยไม่หลบข้า!” หญิงสาวในชุดแดงปล
แต่กระนั้นอีกฝ่ายกลับไม่ลดความพยายาม เตรียมพุ่งกริชเล่มเดิมนั้นใส่จ้าวจิ่นสืออีก นั่นหมายความว่าเขาคือคนที่นางต้องการชีวิต ร่างบางง้างมือขึ้นแต่ยังไม่ทันไร แสงวาบหนึ่งก็พุ่งผ่านเฉียดมือนางไปเล็กน้อย แต่ก็กรีดผิวเรียกเลือดสีเข้มกระเซ็นออกมา หญิงสาวหวีดร้องอย่างตกใจแต่ไม่ยอมทิ้งกริชเพียงแค่ยกมือกุมบาดแผลแล้วมองมีดสั้นที่ปักบนผนังห้องก่อนจะตวัดสายตามองไปทางหน้าต่าง ผู้มาใหม่กระโจนเข้ามา ใบหน้ามีหน้ากากอสูรปกปิดครึ่งหน้าด้านบน แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทันทีที่เห็นนาง คราวนี้จ้าวจิ่นสือจับกระบี่ขึ้นมา แต่หัตถ์เทวะกลับยกมือโบกไปมาคล้ายไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ แล้วเดินวนเวียนรอบกายหญิงสาว ดวงตาคู่งามนั้นไร้แววหวาดกลัวแต่กลับวาวโรจน์ดุจแมวป่า ‘ช่างน่าสนใจนัก!’ “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” เป็นจ้าวจิ่นสือที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เห็นชัดว่าชายผู้นั้นไม่ได้รู้จักหญิงสาวในชุดสีแดง “เป็นข้าควรถามเจ้ามากกว่า” หัตถ์เทวะหันมาทางจ้าวจิ่นสือ “ข้านึกว่าเรามีเรื่องสนทนากันตามลำพัง” “เจ้าไม่ได้ส่งนางผู้นี้มาทำร้ายข้าหรอกหรือ” ฝีมืออย่างนาง... จ