“ไหนบอกว่าหิว ทำไมกินนิดเดียว” เขาบ่นพึมพำที่เห็นนางกินคำเล็กๆ แม้เขาจะเคยถูกเลี้ยงดูในวังหลวง แต่เมื่อใช้ชีวิตในกองทัพก็กินอยู่ง่ายๆ ไม่เรื่องมาก เขาคีบเนื้อปลาวางไว้บนถ้วยข้าวของนาง“กระเพาะข้าเล็ก กินแค่พออิ่มก็อยู่ได้” นางขึงตาใส่ แต่เขากลับเห็นเป็นเรื่องขบขัน คงเพราะเมื่อเช้าเขาแกล้งนางแรงไปนิด นางจึงยังเคืองเขาอยู่บ้าง “แต่กับของอร่อย กินยังไงก็ไม่อิ่ม” การจงใจพูดของเขาทำให้นางชะงักไป พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นแววตาหยอกล้อ หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาคู่นั้นคนบ้า! นางตั้งใจจะลืมเรื่องนั้นไปแล้วแท้ๆ มาสะกิดให้นางคิดทำไมนะ!จ้าวจิ่นสือเห็นนางเดือดดาลแต่โต้กลับไม่ได้ก็กลั้นหัวเราะ อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ตั้งใจยุติการก่อกวนของตนเองแล้วจัดการกินมื้อเช้าจนเสร็จเรียบร้อยพอกินมื้อเช้าเสร็จ อิงฮวาตั้งใจจะหมกตัวเองในครัว แต่จ้าวจิ่นสือไม่ยอมห่างนาง ปาน่าเห็นแล้วแสนจะรำคาญจึงออกปากไล่คนทั้งสองออกจากครัวของนาง“เจ้าสองคนนี้ไปเล่นที่อื่นไป!”แทนที่จ้าวจิ่นสือจะหน้าเสีย เขากลับหัวเราะในลำคอดุจแผนการของตนเองลุล่วง เขาจับข้อมือนางกึ่งลากกึ่งจูงออกไป“จะพาข้าไปไหน”“ไม่ไปไหนหรอก อยู่แถวนี้แหละ รอใ
เจ้ากระต่ายน้อยทำอวดดี แต่จริงๆ ก็กลัวถูกเขาจับกินเสียแล้ว เพราะหยุดพักและเดินทางไม่รีบเร่ง ทำให้ใช้เวลากว่าสองชั่วยาม จ้าวจิ่นสือก็พาอิงฮวามาถึงหมู่บ้านธารจันทร์ ชนเผ่าขนาดเล็ก มีผู้คนอาศัยอยู่ราวห้าร้อยชีวิต บ้านเรือนเป็นลักษณะกระโจม อยู่เรียงรายใกล้แม่น้ำ เขาควบม้าไปยังกระโจมของผู้เฒ่าเจี่ยน ผู้เฒ่าที่ได้รับความนับถือของหมู่บ้าน เขาลงจากม้าแล้วจึงยื่นมือไปประคองให้นางลงมา ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นนางทำหน้าขรึม แววตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม เขาทำอะไรผิดไปละนี่! “พวกเจ้ามาแล้วรึ” ผู้เฒ่าเจี่ยนร้องทัก “ขอรับ” จ้าวจิ่นสือพยักหน้าอย่างนอบน้อม แล้วเอื้อมมือดันแผ่นหลังของหญิงสาวตัวเล็กให้ก้าวมาข้างหน้า นางดูประหม่าเล็กน้อย ก่อนจะย่อตัวคารวะผู้เฒ่าเจี่ยน “ข้าน้อยอิงฮวาเจ้าค่ะ” ผู้เฒ่าเจี่ยนเพียงแค่พยักหน้ารับแต่ไม่พูดหรือถามอะไร หมุนตัวหันหลังให้ เดินโดยมีไม้เท้าช่วยพยุง แต่กระนั้นก็ยังดูกระฉับกระเฉงยิ่งนัก สองหนุ่มสาวเดินตามผู้เฒ่าเจี่ยนไปยังกระโจมใหญ่หลังหนึ่งที่ตั้งห่างจากกระโจมอื่นอยู่พอสมควร
“ไม่ถูกต้อง แบบนี้ไม่ถูกต้อง” นางถอนหายใจหนักหน่วง“ไม่ถูกต้องอย่างไร”“ก็ข้าเคยถามท่านว่า ข้ากับท่านเป็นอะไรกัน ท่านก็ไม่เคยตอบ แล้วท่านก็ไม่มีทั้งภรรยา คู่หมั้น หรือคนรัก แล้วใครกันที่ว่าร้ายประหนึ่งว่าข้าได้แย่งของรักของผู้อื่นมาเล่า!”ชายหนุ่มก็จนปัญญา เขาไม่ถนัดปลอบใจผู้อื่นเสียด้วย“หรือเป็นผู้อื่น” นางพยายามเค้นสมองจนยกมือขึ้นกุมขมับทั้งสองข้าง“มู่ฟางเหนียง” เขาจับมือสองข้างของนาง สายตาทอดมองอย่างอ่อนโยน ทำให้นางหยุดความคิดของตนเองแล้วดำดิ่งในดวงตาคมวาวของเขาได้ “เชื่อข้าสักครั้งเถิด เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงเช่นนั้น”น่าแปลกที่นางกลับสงบใจกับถ้อยคำที่ราวกับให้สัตย์สาบานของเขา หัวใจของนางจึงสงบลง เขาเห็นท่าทางของนางแล้วก็ยอมปล่อยมือของตนออก หญิงสาวสูดลมหายใจลึกก่อนพยักหน้าช้าๆ“ก็ได้ ข้าจะเชื่อท่านสักครั้ง”“หลายครั้งก็ได้”“ชิ!” นางแยกเขี้ยวใส่ คนผู้นี้ช่างเกิดมาเป็นดาวมารประจำตัวนางโดยแท้ แต่เขากลับยิ้มด้วยแววตา ทำให้นางไม่เอ่ยปากโต้เถียงกับเขา หญิงสาวรู้สึกสงบใจได้แล้วก็ทบทวนอาการคนป่วยที่เห็นเมื่อครู่“คนป่วยเหล่านั้นเจ็บป่วยมากี่วันแล้ว” “ราวๆ สิบวันเห็นจะได้” เขาตอบไปตามตรง “เ
“ฟางเหนียง” น้ำเสียงเรียกเหมือนปราม ทำให้หญิงสาวหันไปมองใบหน้าคนตัวสูงที่จ้องเขม็งมองหน้านาง แล้วนางก็หัวเราะคิกคักออกมา ทำให้เขาต้องเอ่ยปากถามว่านางหัวเราะเรื่องใดกัน “ข้าไม่ได้หัวเราะท่าน แค่รู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนชอบใช้น้ำเสียงแบบนี้กับข้าบ่อยๆ” นางยิ้ม “ข้าต้องเป็นเด็กดื้อที่ทำให้ท่านพ่อปวดหัวเป็นแน่” “ข้าเชื่อว่าพ่อของเจ้าจะปลอดภัย” หญิงสาวพยักหน้ารับ นางหวังใจให้เป็นเช่นนั้น ปลอบใจตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่านมากเกินไป “อากาศยามค่ำที่นี่จะหนาวเย็นมาก เจ้ารีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยกินข้าวจะดีกว่า” เขาอดเป็นห่วงนางไม่ได้ “ค่อยๆ หาทางรักษาเถิด” “ข้าก็คิดเช่นนั้น” นางรู้ดีว่าร่างกายตัวเองไม่ทนกับอากาศหนาวเย็นนัก หากล้มป่วยเป็นอะไรไปจะกลายเป็นภาระของผู้อื่น “ท่านหมอผู้เฒ่าก็ยังมาไม่ถึง ข้าจะปรึกษาผู้ใดได้เล่า” มีเพียงการถอนหายใจหนักๆ ที่ระบายความกลัดกลุ้มในอกได้ จ้าวจิ่นสือพานางเดินไปยังกระโจมที่พักที่อยู่ห่างจากกระโจมของผู้ป่วยไกลสักเล็กน้อย นางหยุดยืนแล้วกวาดตามองไปรอบๆ คล้ายกระโจมที่นางเคยอาศัย
“ฟางเหนียง ...มู่ฟางเหนียง” เขาเรียกนางซ้ำหลายครั้ง ยื่นมือลงไปจุ่มน้ำ น้ำอุ่นเปลี่ยนเป็นน้ำเย็นแล้ว นางหลับในอ่างน้ำแบบนี้จะได้กลายเป็นคนป่วยเสียเอง เขาเรียกนางซ้ำอีกสองสามครั้ง หากนางไม่ขยับเขาคงต้องอุ้มนางขึ้นมา“ฮือ” หญิงสาวครางรับออกมา น้ำเสียงเกียจคร้าน ภาพในฝันเลือนหาย ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่นางเห็นคือดวงตาคมที่จ้องมองอย่างห่วงใย นางหลับตาลงอีกครั้ง ตั้งสติก่อนลืมตาอีกทีก็เห็นว่าเขายังอยู่ แต่แววตามีรอยตำหนินางชัดเจนจนนางขมวดคิ้ว‘นางทำอะไรผิดอีกล่ะ’อิงฮวารู้สึกตัวก็ตกใจ นางยังอยู่ในอ่างอาบน้ำ! เขาเข้ามาได้อย่างไรกัน!“ท่านเข้ามาได้อย่างไร! ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!” นางตวาดเสียงสั่น แล้วเลื่อนตัวลงไปในน้ำจนปริ่มปลายคาง“จะไปได้อย่างไร เจ้าอยู่สภาพนี้นานเท่าไหร่แล้ว!” เขาโกรธควันแทบออกหู “จะอย่างไรท่านก็ออกไปก่อน!” นางอายจนตัวแดงไปหมด นางยกมือขึ้นปิดทรวงอกสล้างจ้าวจิ่นสือได้แต่สะบัดหน้าแล้วหันหลังให้ ยกมือขึ้นกอดอกขบฟันจนแทบกลายเป็นสันนูน“รีบออกมาได้แล้ว”“ท่านจะมายืนอะไรตรงนี้ ออกไปสิ” นางตวาดเขาแล้วก็เผลอจามออกมา นี่นางเผลอหลับไปนานเพียงใดแล้ว น้ำในอ่างเย็นหมดแ
เหนื่อยล้ามาทั้งวัน นางจึงผล็อยหลับไปในที่สุด ไม่รู้ว่าคนตัวสูงที่แกล้งหลับไปนั้นลุกขึ้นมาเดินมาดูใบหน้านางยามหลับ เป็นครั้งแรกที่เขาปรนนิบัติผู้อื่น แต่เพราะเห็นนางเหนื่อยทั้งวัน เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจของเขาคือความรู้สึกที่อยากดูแลนางตลอดไปนั้น มันคืออะไรกันล่วงเข้าสู่วันที่สาม แม้มู่ฟางเหนียงจะรั้งชีวิตคนไว้ได้แต่คนป่วยก็ยังมีเพิ่มขึ้น คนไหนที่อาการดีขึ้นนางก็ให้แยกกลับไปพักที่บ้านได้ แต่นางยังแวะเวียนไปตรวจดูอาการอย่างสม่ำเสมอ จ้าวจิ่นสือลอบถอนหายใจ มีเพียงแผ่นหลังของบิดาที่เขาเดินตามเท่านั้น ใครเลยจะรู้ว่าสองสามวันมานี้เขาต้องเดินตามแผ่นหลังของมู่ฟางเหนียง กว่าจะรู้ตัวเขาก็เข้าใจกระจ่างว่าเหตุใดหญิงสาวจึงมักหลงทิศหลงทางอยู่เป็นประจำ เพียงเพราะนางมีเรื่องให้ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาต้องคอยแตะข้อศอกหรือไม่ก็จูงมือนางไม่ให้เดินเลยไปในทิศทางที่ต้องไป เคยคิดว่าเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่บุรุษต้องมาใส่ใจ แต่เมื่อเอาเข้าจริง เขากลับไม่รู้สึกรำคาญหรือเบื่อหน่าย หากไม่มีเขาอยู่ นางก็คงดูแลตัวเองได้อย่างที่เคยเป็นมา แต่เขาจะอยู่อย่างไร หัวใจเ
“หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือไร” นางแสร้งหันไปมองทางอื่น ทำให้เห็นว่าคนกลุ่มหนึ่งล้อมวงคล้ายทำพิธีกรรมอะไรบางอย่าง “เจ้านี่หัวรั้นไม่ใช่เล่น” พูดพลางยกน้ำชาขึ้นดื่ม แต่เมื่อไม่เห็นนางโต้ตอบจึงมองตามสายตาของนาง ไม่ไกลนักมีคนแต่งกายด้วยหนังสัตว์ บนศีรษะประดับด้วยเขาวัวดูน่ากลัว ใบหน้าแต้มสีจนแทบไม่รู้ว่าใบหน้าเดิมเป็นเช่นไร “พวกเขาทำอะไรเหรอ” ถามแล้วชะเง้อคอยาวด้วยความอยากรู้ “รักษาคนป่วย” “หือ? อะไรนะ” นางหันไปมองเขาด้วยความงุนงง “ข้าไปดูใกล้ๆ ได้ไหม” หน้าตาแบบนี้มีหรือใครจะกล้าขัด จ้าวจิ่นสือเห็นว่าเหล่าผู้เฒ่าไม่ได้สนใจพวกตนแล้วจึงพยักหน้ารับ หญิงสาวรีบลุกขึ้นแล้วแทบจะวิ่งไปยังคนกลุ่มนั้น นางยืนดูด้วยความสนใจ เห็นคนแต่งตัวประหลาดผู้นั้นเต้นรำร้องเพลงที่นางไม่เข้าใจ คนป่วยราวสี่คนนั่งอยู่ แต่ละคนปากแห้ง ตัวสั่น ดวงตาเหม่อลอย นางฝืนสงบใจยืนดูอย่างนิ่งเฉยทั้งที่ตัวเองอยากวิ่งเข้าไปพาคนกลุ่มนั้นออกมารักษา ปล่อยให้นั่งตากแดดเที่ยงวันได้อย่างไรกัน หัวใจนางถูกบีบรัดจนต้องยกมือขึ้นทาบอกสะกดความเจ็บปวดนั้นไว้ ครู่ต่อมาผู้ที่
เท้าเล็กๆ ของนางเดินเร็วๆ แทบจะกลายเป็นวิ่ง เขาเดินตามทันได้สบายอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นห่วงท่าทางร้อนรนของนาง นางเดินไปที่ริมน้ำ สายน้ำที่ไหลผ่าน มีซากสัตว์ปีกตายลอยไปตามน้ำผ่านสายตาของนาง เขาเห็นนางทำท่าจะเดินลงน้ำจึงกระโดดทีเดียวก็มาขวางหน้านางไว้ได้ทัน“ท่านนี่!” นางตวาดเขาเพราะตกใจ“เจ้าจะทำอะไร จะเดินลงน้ำฆ่าตัวตายหรือไรกัน” เขาจับไหล่นางไว้ก่อน“ข้าจะทำเรื่องแบบนั้นทำไมกัน” นางทำหน้างุนงง “ข้าแค่จะไปดูซากสัตว์ที่ลอยน้ำนั่นต่างหาก”คราวนี้เป็นจ้าวจิ่นสือที่ผงะไปเล็กน้อย และเพราะตกใจกับคำพูดของนางจึงถูกนางคว้าข้อมือของเขาให้เดินตามไปที่ตลิ่ง “ท่านดูสิ สัตว์พวกนี้ป่วยอาการเดียวกับคนในหมู่บ้านเลย” นางชี้ให้เขาดูอย่างตื่นเต้น “ท่านพ่อเคยสอนข้า โรคภัยบางชนิดถ่ายทอดจากสัตว์สู่คนและแม้แต่คนก็ไปสู่สัตว์ได้ หลังจากที่นกเป็ดน้ำอพยพมา ก็มีอาการเจ็บป่วย แล้วก็แพร่เชื้อไปสู่สัตว์ปีกที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ จากนั้นก็ติดไปสู่คน”“หมายความว่าเจ้าสามารถรักษาโรคนี้ได้” เขาพลอยตื่นเต้นไปกับนาง“ไม่ได้” นางส่ายหน้าไปมาแต่ใบหน้ามีรอยยิ้ม “สิ่งที่พวกเขาเป็นต้องรักษาตามอาการ เพราะแต่ละคนมีความแข็งแรงมาไม่เท
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม
“ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา
“ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน
“ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท
“พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า
มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด