“อิงฮวาตั้งใจหน่อยสิ!” นางตำหนิตัวเอง พยายามทบทวนว่าบ่าวคนนั้นบอกทางว่าอย่างไร แล้วขณะที่หันขวาหันซ้ายอยู่ สายลมยามเย็นพัดผ่านเบาๆ นางเห็นผ้าที่ผูกกับกิ่งไม้ที่อยู่ริมทางเดิน นางประหลาดใจว่าผู้ใดผูกเศษผ้าไว้ พอเดินเข้าไปใกล้แล้วมองไปรอบตัวก็เห็นว่ามีเศษผ้าแบบเดียวกันผูกไว้ที่อื่น นางเดินตามไปดูแต่ละชิ้น ทั้งแปลกใจและประหลาดใจ เพราะก่อนหน้านางไม่เคยเห็นเศษผ้าเหล่านี้มาก่อน ครั้นเดินตามไปเรื่อยก็มารู้ตัวอีกที นางก็หยุดอยู่หน้าห้องตัวเองแล้ว “หรือว่าคนผู้นั้นผูกเศษผ้าบอกทางให้ข้า” นอกจากเขาแล้วจะมีใครที่กล่าวหาว่านางเป็นคนโง่งมหลงทางแม้กับเส้นทางที่...ที่ไม่น่าจะหลงอย่างนี้ หญิงสาวไม่กล้าถามทั้งพ่อบ้านหรือปาน่า ใบหน้าหวานยิ้มเขินอายอย่างไม่รู้ตัว แม้เขาจะติดตามโจวฟู่หรงแต่ก็ยังเป็นห่วงนาง อิงฮวายังอดครุ่นคิดไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วระหว่างเขากับนางมีความสัมพันธ์ใดกันแน่ พอคิดเรื่องนี้ทีไร นางก็ต้องคิดเรื่องจูบของเขา หากว่า...หากว่านางกับเขาเป็นคนรักกันจริง ไยนางเดินทางโดยไม่บอกลาเขาเล่า หรือนางควรจะอยู่ที่เมืองนั้นไม่ใช่รึ หรือท่านพ่อของนางไม่ชอบเขา หรือครอบครัวของเขา
“หัวหน้าโจว”“เข้ามา” จ้าวจิ่นสือร้องบอก ก่อนผลักบานประตูเข้าไป อิงฮวาก้าวตามหลังจ้าวจิ่นสือ พอเขาเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง หญิงสาวก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางรีบหันไปทางจ้าวจิ่นสือที่ยืนกอดอกนิ่ง “หัวหน้าโจว ทำไม...ท่าน...” อิงฮวารีบเข้าไปดูใกล้ๆ โจวฟู่หรงนั่งเหยียดตัวตรงราวกับเสาหิน ใบหน้าซีดเซียว เพราะเขาสวมเสื้อผ้าชุดดำทำให้มองไม่เห็นคราบเลือดนัก แต่กระนั้นหญิงสาวก็ได้กลิ่นคาวเลือดจากชายผู้นี้“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก” โจวฟู่หรงรู้สึกสงสารหญิงสาวที่ต้องตื่นมากลางดึกเพื่อเจอสภาพเขาเช่นนี้ แต่อิงฮวาส่ายหน้าไปมาแล้วหันไปทางจ้าวจิ่นสือ“มีใครตามท่านหมอผู้เฒ่าหรือยัง” หญิงสาวสั่งทันทีแล้วก็เพิ่งนึกได้ “ส่งคนออกไปเชิญท่านหมอแล้ว แต่เราต้องทำเรื่องนี้ให้เงียบที่สุด จะให้ผู้ใดรู้ไม่ได้ว่าหัวหน้าโจวถูกลอบทำร้าย” จ้าวจิ่นสือพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วหันไปทางโจวฟู่หรง อีกฝ่ายผงกศีรษะอย่างเข้าใจ ก็เพราะเหตุนี้จึงต้องให้นางมาดูแผลให้เขาก่อนอิงฮวาพยักหน้ารับ นางหลุบตาลงก็เห็นคราบเลือดบนพื้นยังเป็นเลือดสดๆ นางรีบเงยหน้าขึ้นทันที“เลือดยังไหลอยู่ เราต้องรีบห้ามเลือดก่อนท่านหมอผู้เฒ่าจะมา ไม่เช่นน
“ต้มยา ให้ใครต้มก็ได้” หมอผู้เฒ่าพูดตัดบท “เจ้าไปพักได้แล้ว”“ขอรับ” เป็นจ้าวจิ่นสือที่เอ่ยแทนมู่ฟางเหนียง เขาวางตะเกียงลงแล้วประคองร่างเล็กไปที่อ่างล้างมือ ช่วยนางล้างคราบเลือดออกแล้วซับด้วยผ้าแห้งพ่อบ้านเข้ามาอย่างรู้หน้าที่ ชายหนุ่มทั้งสองมองตากันก็เข้าใจความหมาย เขาจึงพยุงอิงฮวาเดินออกไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้โจวฟู่หรงจัดการสั่งงานลูกน้องของตนเองถ้านางรู้ว่าคืนนี้ต้องทำแผลให้คนบาดเจ็บหนัก นางคงไม่เอาพลังงานไปทำงานในครัวจนหมดสิ้นสภาพ พอออกมาจากห้องของโจวฟู่หรง ร่างบางก็ปะทะลมเย็นจนต้องห่อตัวและเพิ่งนึกได้ว่าลืมหยิบเสื้อคลุมออกมาด้วย เพียงพริบตาร่างเล็กก็ถูกช้อนตัวอุ้มขึ้น หญิงสาวตกใจรีบยกมือขึ้นคล้องคอของเขาไว้ เผลอกอดแน่นเมื่อเขากระโดดอุ้มนางตัวลอย หญิงสาวหลับตาปี๋ไม่รู้ว่าเขาพานางเหาะเหินมาอย่างไร ก็ต่อเมื่อเขาหยุดนิ่งแล้ว นางจึงลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าของเขามีรอยยิ้มอ่อนโยนจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว นางหลบสายตาคู่นั้นมองไปทางอื่น จึงรู้ว่าเขาใช้วิชาตัวเบาพานางกลับมาที่หน้าห้องตัวเองเขาปล่อยให้นางยืนแล้วจึงเอื้อมมือไปเปิดประตูให้“ไม่ต้องเข้ามานะ” นางห้ามไว้ก่อน แล้วก็ยกมือปิดปากที่อ้าหาวด
เพราะยุ่งอยู่จึงไม่ได้สนใจใคร่ถามอะไรมาก อิงฮวาเร่งเท้าเดินกลับไปทางเก่า ตามเส้นทางที่คนผู้นั้นผูกผ้าไว้ให้นางไม่หลงทาง พอเดินมาผ่านศาลาหกเหลี่ยมก็พอจะจำได้ว่าเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะถึงเรือนพักของจ้าวจิ่นสือ อากาศใกล้รุ่งนี่ช่างหนาวเย็นนัก คนตัวเล็กรีบเดินเร็วๆ เกือบจะกลายเป็นวิ่งไปจนสุดทางเดิน นางหอบหายใจทางปาก พ่นเอาควันสีขาวออกมา นางหยุดที่บานประตู ไม่เห็นวี่แววความเคลื่อนไหวใดๆ จึงเรียกเขาเสียงไม่ดังนัก“จ้าวจิ่นสือ...”ไม่รู้เขาอ่อนเพลียหลับลึกหรือว่าบาดเจ็บล้มป่วย นางรออย่างกระสับกระส่าย ไม่เห็นผู้ใดมาเปิดประตูให้ นางเรียกซ้ำอีกหลายครั้งแต่ก็เงียบไร้เสียงตอบกลับ มือเรียวจึงผลักบานประตูเข้าไปอย่างง่ายดาย เรือนพักของเขาคล้ายเรือนพักของนาง เพียงแค่อยู่คนละฝั่งกัน หญิงสาวเดินดุ่มๆ เดาทิศทางของห้องนอน“จ้าวจิ่นสือ ท่านเป็นอะไรหรือไม่” ด้วยความเป็นห่วงจึงร้อนรน รีบเข้าไปผลักม่านที่เตียงของเขาออก ทว่ามือข้างนั้นกลับถูกกระชากอย่างแรงและรวดเร็วจนหญิงสาวไม่ทันเปล่งเสียง เพียงพริบตาร่างเล็กก็ถูกเหวี่ยงขึ้นเตียงและถูกตรึงให้นอนหงายอยู่เบื้องล่างร่างกายใหญ่โตของเขา ดวงตาคมวาวดุจคมกระบี่จ้องมอง
จ้าวจิ่นสืออยากจะรั้งนางไว้ หยิบเสื้อคลุมให้นางก่อน แต่นางก็วิ่งออกไปแล้ว เขาได้แต่ส่ายหน้าไปมา นางเหมือนกระต่ายป่าปราดเปรียว เห็นทีว่ากลับไปครั้งนี้เขาคงต้องหาตะกร้าใบใหญ่ๆ ขังนางไว้ไม่ให้หนีหายไปไหนอีก ‘อย่ากินข้าเลยนะ ข้า..ข้าไม่อร่อยหรอก’พลันคิดถึงคำพูดของนาง เขาก็หัวเราะออกมา ยกนิ้วโป้งขึ้นแตะริมฝีปากของตนเอง คิดถึงรสหวานละมุนจากเรือนกายของนางใครบอกเนื้อของนางไม่อร่อย มันแสนจะหวานล้ำ ชวนให้แทะเล็มละเลียดกินทีละคำก่อนกลืนกินนางทั้งเป็นหญิงสาววิ่งกลับไปที่ครัวอีกครั้งก็สว่างมากแล้ว หลายคนทยอยเข้ามาช่วยงานในครัว ปาน่าเงยหน้ามาเห็นนางก็รีบกวักมือเรียก“เมื่อครู่พ่อบ้านให้เด็กมาบอกว่ายกยาไปให้หัวหน้าโจวได้แล้ว”“เจ้าค่ะ” นางพยักหน้ารับ “โจ๊กเสร็จแล้ว ข้าจะยกไปพร้อมกันเลย”เพราะไม่ต้องการให้ใครสงสัย นางจึงให้เด็กรับใช้ยกโจ๊กไปพร้อมกับอิงฮวาที่ยกถ้วยยา เมื่อไปถึงห้องของโจวฟู่หรง เขาก็นั่งอยู่ก่อนแล้ว สวมเสื้อคลุมหลวมๆ ท่วงท่าสง่างามไม่เหมือนคนบาดเจ็บหนักเลยสักนิด พ่อบ้านไล่เด็กรับใช้ออกไปแล้ว อิงฮวาก็เดินเข้าไปยื่นถ้วยยาให้เขาดื่ม หญิงสาวสังเกตแขนขวาที่ทิ้งข้างตัวนิ่งคล้ายเขาจะขยับไ
“ไหนบอกว่าหิว ทำไมกินนิดเดียว” เขาบ่นพึมพำที่เห็นนางกินคำเล็กๆ แม้เขาจะเคยถูกเลี้ยงดูในวังหลวง แต่เมื่อใช้ชีวิตในกองทัพก็กินอยู่ง่ายๆ ไม่เรื่องมาก เขาคีบเนื้อปลาวางไว้บนถ้วยข้าวของนาง“กระเพาะข้าเล็ก กินแค่พออิ่มก็อยู่ได้” นางขึงตาใส่ แต่เขากลับเห็นเป็นเรื่องขบขัน คงเพราะเมื่อเช้าเขาแกล้งนางแรงไปนิด นางจึงยังเคืองเขาอยู่บ้าง “แต่กับของอร่อย กินยังไงก็ไม่อิ่ม” การจงใจพูดของเขาทำให้นางชะงักไป พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นแววตาหยอกล้อ หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาคู่นั้นคนบ้า! นางตั้งใจจะลืมเรื่องนั้นไปแล้วแท้ๆ มาสะกิดให้นางคิดทำไมนะ!จ้าวจิ่นสือเห็นนางเดือดดาลแต่โต้กลับไม่ได้ก็กลั้นหัวเราะ อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ตั้งใจยุติการก่อกวนของตนเองแล้วจัดการกินมื้อเช้าจนเสร็จเรียบร้อยพอกินมื้อเช้าเสร็จ อิงฮวาตั้งใจจะหมกตัวเองในครัว แต่จ้าวจิ่นสือไม่ยอมห่างนาง ปาน่าเห็นแล้วแสนจะรำคาญจึงออกปากไล่คนทั้งสองออกจากครัวของนาง“เจ้าสองคนนี้ไปเล่นที่อื่นไป!”แทนที่จ้าวจิ่นสือจะหน้าเสีย เขากลับหัวเราะในลำคอดุจแผนการของตนเองลุล่วง เขาจับข้อมือนางกึ่งลากกึ่งจูงออกไป“จะพาข้าไปไหน”“ไม่ไปไหนหรอก อยู่แถวนี้แหละ รอใ
เจ้ากระต่ายน้อยทำอวดดี แต่จริงๆ ก็กลัวถูกเขาจับกินเสียแล้ว เพราะหยุดพักและเดินทางไม่รีบเร่ง ทำให้ใช้เวลากว่าสองชั่วยาม จ้าวจิ่นสือก็พาอิงฮวามาถึงหมู่บ้านธารจันทร์ ชนเผ่าขนาดเล็ก มีผู้คนอาศัยอยู่ราวห้าร้อยชีวิต บ้านเรือนเป็นลักษณะกระโจม อยู่เรียงรายใกล้แม่น้ำ เขาควบม้าไปยังกระโจมของผู้เฒ่าเจี่ยน ผู้เฒ่าที่ได้รับความนับถือของหมู่บ้าน เขาลงจากม้าแล้วจึงยื่นมือไปประคองให้นางลงมา ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นนางทำหน้าขรึม แววตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม เขาทำอะไรผิดไปละนี่! “พวกเจ้ามาแล้วรึ” ผู้เฒ่าเจี่ยนร้องทัก “ขอรับ” จ้าวจิ่นสือพยักหน้าอย่างนอบน้อม แล้วเอื้อมมือดันแผ่นหลังของหญิงสาวตัวเล็กให้ก้าวมาข้างหน้า นางดูประหม่าเล็กน้อย ก่อนจะย่อตัวคารวะผู้เฒ่าเจี่ยน “ข้าน้อยอิงฮวาเจ้าค่ะ” ผู้เฒ่าเจี่ยนเพียงแค่พยักหน้ารับแต่ไม่พูดหรือถามอะไร หมุนตัวหันหลังให้ เดินโดยมีไม้เท้าช่วยพยุง แต่กระนั้นก็ยังดูกระฉับกระเฉงยิ่งนัก สองหนุ่มสาวเดินตามผู้เฒ่าเจี่ยนไปยังกระโจมใหญ่หลังหนึ่งที่ตั้งห่างจากกระโจมอื่นอยู่พอสมควร
“ไม่ถูกต้อง แบบนี้ไม่ถูกต้อง” นางถอนหายใจหนักหน่วง“ไม่ถูกต้องอย่างไร”“ก็ข้าเคยถามท่านว่า ข้ากับท่านเป็นอะไรกัน ท่านก็ไม่เคยตอบ แล้วท่านก็ไม่มีทั้งภรรยา คู่หมั้น หรือคนรัก แล้วใครกันที่ว่าร้ายประหนึ่งว่าข้าได้แย่งของรักของผู้อื่นมาเล่า!”ชายหนุ่มก็จนปัญญา เขาไม่ถนัดปลอบใจผู้อื่นเสียด้วย“หรือเป็นผู้อื่น” นางพยายามเค้นสมองจนยกมือขึ้นกุมขมับทั้งสองข้าง“มู่ฟางเหนียง” เขาจับมือสองข้างของนาง สายตาทอดมองอย่างอ่อนโยน ทำให้นางหยุดความคิดของตนเองแล้วดำดิ่งในดวงตาคมวาวของเขาได้ “เชื่อข้าสักครั้งเถิด เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงเช่นนั้น”น่าแปลกที่นางกลับสงบใจกับถ้อยคำที่ราวกับให้สัตย์สาบานของเขา หัวใจของนางจึงสงบลง เขาเห็นท่าทางของนางแล้วก็ยอมปล่อยมือของตนออก หญิงสาวสูดลมหายใจลึกก่อนพยักหน้าช้าๆ“ก็ได้ ข้าจะเชื่อท่านสักครั้ง”“หลายครั้งก็ได้”“ชิ!” นางแยกเขี้ยวใส่ คนผู้นี้ช่างเกิดมาเป็นดาวมารประจำตัวนางโดยแท้ แต่เขากลับยิ้มด้วยแววตา ทำให้นางไม่เอ่ยปากโต้เถียงกับเขา หญิงสาวรู้สึกสงบใจได้แล้วก็ทบทวนอาการคนป่วยที่เห็นเมื่อครู่“คนป่วยเหล่านั้นเจ็บป่วยมากี่วันแล้ว” “ราวๆ สิบวันเห็นจะได้” เขาตอบไปตามตรง “เ
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม
“ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา
“ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน
“ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท
“พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า
มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด