เด็กน้อยเริ่มกลับมาสดใสหลังจากนอนป่วยอยู่สองวันเต็ม จางอี้หมิงสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมป่วยอีกเด็ดขาด เขาเกลียดการกินยาต้มเป็นที่สุด ถึงแม้ว่าจะมีน้ำตาลผักมาช่วยแล้วก็ตาม มันก็ยังขมจนเคลือบลิ้นอยู่ดี เช้าวันใหม่มาเยือน แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมากระทบพื้นหญ้า ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันพ้นขอบฟ้าในยามเฉิน (07.00 – 08.59) สมาชิกบ้านจางคนอื่น ๆ ต่างก็ตื่นนอนและกินมื้อเช้ากันหมดแล้ว เหลือเพียงเด็กน้อยคนเดียวของบ้านที่ยังคงนอนอุตุอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาอย่างสบายใจ“ท่านพี่อี้เทาขอรับ ท่านพี่อี้เทา...” เสียงเรียกชื่อจางอี้เทาตรงหน้าประตูบ้านดังติดต่อกันหลายครั้ง ส่งผลให้จางอี้หมิงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เขาใช้หลังมือขยี้ตาอยู่สักพักจึงตื่นเต็มตา แต่ก็ยังไม่ได้ลุกขึ้น “ใครมาส่งเสียงดังอยู่หน้าบ้าน” นางหูเอ่ยปากถามออกไป“นั่นสิเจ้าคะ ข้าก็อยากรู้เช่นกัน”หลี่อ้ายเองก็สงสัยไม่แพ้กัน ปกติแล้วบ้านสกุลจางของพวกนางมีคนแวะเวียนมาหาบ่อย ๆ เสียเมื่อไหร่ น่าแปลกใจนัก“เดี๋ยวข้าออกไปดูเอง” จางอี้เทาเอ่ยบอกมารดาและภรรยา เขาเดินออกไปดูที่หน้าประตูบ้าน “ผู้ใดกันที่มาเยือนแต่เช้าเช่นนี้ อ้าว อาคุนนั่นเอง มีอ
ส่วนจางอี้เทา หลังจากที่ได้รับใบสั่งซื้อน้ำตาลผักมาอีกห้าร้อยไห เขาก็บอกภรรยากับมารดาว่าจะขึ้นเขาไปเก็บหญ้าหวานเพื่อนำมาตากแห้งตอนนี้เลย เนื่องจากใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว พระอาทิตย์ตกเร็ว ช่วงเวลากลางวันจึงสั้นตามไปด้วย เขาเกรงว่าอาจจะต้องใช้เวลาในการตากต้นหญ้าหวานมากกว่าหนึ่งวัน“ท่านพี่ ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ หมิงเอ๋อร์หายดีแล้ว ข้าไปช่วยจะได้เสร็จเร็วขึ้น” หลี่อ้ายเมื่อนำโจ๊กมาให้บุตรชายแล้วจึงเอ่ยบอกสามี“น้องหญิง เจ้ายังไม่แข็งแรง พี่เกรงว่าจะล้มป่วยไปอีกรอบ” จางอี้เทาปฏิเสธ ถึงแม้ในตอนนี้อากาศจะไม่ร้อนมากแต่ให้หลี่อ้ายออกไปทำงานในช่วงนี้เลยคงจะไม่ดี“ท่านพี่ ให้ข้าตามขึ้นไปช่วยท่านพี่เถอะนะเจ้าคะ อย่างน้อยจะได้ไปเป็นเพื่อน วันนี้ข้าไม่อยากให้หมิงเอ๋อร์ขึ้นเขาอีก ลูกเพิ่งหายไข้ น้องอยากให้ลูกได้พักก่อนเจ้าค่ะ”“พี่ไปคนเดียวได้ ไม่หนักหนาอันใด แต่เอาเถอะ พี่ขอบใจน้องหญิงที่มีใจอยากช่วยเหลือ เช่นนั้นไปกันเถอะ” จางอี้เทาเตรียมห้ามอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวของภรรยาจึงปฏิเสธไม่ลงเอาเถอะ...ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุยระหว่างทาง เขาจะให้นางแบกตะกร้าที่ไม่หนักมากนั
“อย่าขอรับ!” จางอี้หมิงรีบตะโกนเสียงดัง “ท่านย่า อย่าเพิ่งทิ้งขอรับ”เสียงของหลานชายที่ดังก้องบ้านทำให้นางหูถึงกับชะงักค้าง ตกอกตกใจหันมามองเด็กน้อยที่ยืนอยู่ไม่ไกล เด็กน้อยหูผึ่งตั้งแต่ได้ยินคำว่าดอกหญ้าสายรุ้งแล้ว นั่นแหละคือสิ่งที่เขาหลงลืมไป ในที่สุดก็จำได้เสียทีหญ้าสายรุ้ง...อุตส่าห์คิดตั้งนาน โธ่เอ้ย“หมิงเอ๋อร์ มารดาเจ้าเห็นว่าเจ้าตั้งใจเอามาให้นาง นางจึงเก็บไว้ แต่ว่าตอนนี้มันแห้งและเหี่ยวหมดแล้ว ย่าเห็นว่าเก็บไว้ไม่มีประโยชน์อันใด” นางหูเอ่ยกับหลานชายอีกครั้ง“ท่านย่า เจ้าดอกหญ้าสายรุ้งนี่แหละขอรับที่ข้ากำลังหาอยู่ ขอบคุณท่านย่าที่ทำให้ข้าจำได้เสียที”“เจ้าหญ้าสายรุ้งนี่เองหรือที่หมิงเอ๋อร์กำลังตามหา แต่ว่าหมิงเอ๋อร์จะเอาไปทำอันใดเล่า ดูสิ ไม่เห็นจะสวยสักนิด” หูไป๋หงกล่าวกับจางอี้หมิงพลางยื่นหญ้าสายรุ้งส่งให้กับหลานชายตัวน้อยของนาง“มันคือของดีขอรับท่านย่า ยิ่งแห้งเช่นนี้ยิ่งดี” เด็กน้อยรับมาถือไว้แล้วพึมพำเสียงเบา “เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ล้างก่อนทำให้แห้ง”“แล้วมันคือของดีอย่างไรเล่าหมิงเอ๋อร์”“มันคือเกลือผักขอรับ เกลือที่มีรสเค็มแต่ทำมาจากผัก ถึงแม้ว่ารสจะไม่เค็มเหมือ
“มันแตกต่างจากหญ้าหวานขอรับ ถ้าเราต้องการเก็บหญ้าหวานไว้นาน ๆ ต้องตากให้แห้งสนิท ครั้งต่อไปเราจึงไม่ต้องไปเก็บต้นหญ้าหวานบนภูเขาบ่อย ๆ เราทำน้ำตาลผักจากใบหญ้าหวานที่ตากแห้งได้เลย แต่ถ้าเราจะต้มทันที แห้งนิดหน่อยก็นำมาใช้ได้ขอรับ”“ย่าว่ากลิ่นมันคล้าย ๆ ต้นหญ้าหวานเหมือนกันนะ”“หญ้าสายรุ้งมันจะมีกลิ่นฉุนนิดหน่อย คล้ายกลิ่นทะเล และเป็นเพราะเราเอามาตากแห้ง มันจึงมีกลิ่นเหมือนของแห้งทั่วไป ถ้าเราเอาไปปรุงใส่ในน้ำแกง กลิ่นพวกนี้ก็หายไปขอรับ มันอาจจะไม่ดีมากเหมือนเกลือจริง ๆ แต่มันพอใช้แทนกันได้ขอรับ” “หมิงเอ๋อร์ ย่าเข้าใจแล้ว เอาล่ะ เราลงมือทำกันเลย”นางหูนั่งลงบนแคร่ไม้และเริ่มจัดการตำหญ้าสายรุ้งแห้ง ผ่านไปไม่นานจึงได้ผงหญ้าสายรุ้งมาพอประมาณ ถึงแม้ว่ามันจะตำได้ไม่ละเอียดเท่าเกลือในยุคปัจจุบันแต่ก็ละเอียดกว่าเกลือเม็ดในยุคสมัยนี้ จางอี้หมิงพยักหน้าด้วยความพอใจ ถ้ามองเผิน ๆ มันก็คล้ายกับผงสมุนไพรดี ๆ นี่เอง“นี่แหละขอรับ เกลือผัก” เด็กน้อยว่าและเสนอให้ลองนำมาทำอาหารดูหูไป๋หงเห็นว่าได้เวลามื้อกลางวันแล้วจึงผัดผักบุ้งเครื่องเทศไว้รอบุตรชายกับสะใภ้ ครั้งนี้นางใส่เกลือผักลงไปด้วย ปรากฏว่ารสชา
“ท่านแม่ ต้องการสิ่งใดหรือไม่ขอรับ” จางอี้เทาเอ่ยถามมารดาตอนเช้าในวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มจัดเตรียมของให้พร้อม วันนี้เขากับบุตรชายจะเข้าเมืองเพื่อเอาสูตรพะโล้แห้งไปลองเสนอขายแก่บรรดาเหลาอาหารในเมือง ตามที่ได้คุยกันไว้ตั้งแต่เมื่อวาน“อาเทา นี่เงินหนึ่งตำลึง เจ้าเอาติดตัวไว้ ซื้อพวกเนื้อสัตว์กับเครื่องเทศและข้าวสารก็เพียงพอแล้ว อย่างอื่นยังพอมีเหลือ ถ้าเจ้าเห็นว่าสิ่งไหนดีก็ซื้อมาเถอะ เราคงต้องเริ่มเก็บสะสมเสบียงสำหรับฤดูหนาวแล้ว ถ้ารอซื้อในตอนนั้น แม่เกรงว่าราคาสินค้าอาจจะขึ้นเอา” นางหูยื่นเงินให้กับบุตรชายพร้อมกับเอ่ยสำทับอีกเล็กน้อย“ได้ขอรับ น้องหญิงเล่า เจ้าอยากได้สิ่งใดหรือไม่” จางอี้เทารับเงินมาจากมารดาแล้วจึงหันไปถามภรรยาเสียงนุ่ม“ท่านพี่ รอข้าสักประเดี๋ยวเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายแจ้งสามีและเดินไปที่มุมหนึ่งสำหรับวางเสื้อผ้า นางหยิบเอาผ้าปักและถุงหอมที่เก็บพับไว้อย่างเรียบร้อยออกมาทั้งหมดที่มีอยู่ แล้วจึงกลับมาหาสามี“ท่านพี่ ผ้าปักกับถุงหอมพวกนี้ ท่านพี่ลองเอาไปถามที่ร้านผ้าดูว่าพอจะขายได้หรือไม่ ข้านำมาด้วยตอนที่เราย้ายออกจากเมืองหลวง ก่อนหน้านี้ข้าเก็บไว้ ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริง ๆ จะไม่
“แล้วเหลาอาหารทั้งสองอยู่ตรงไหนขอรับ” จางอี้เทาถามอย่างสุภาพ“เจ้าเดินตรงไปอีกแค่หนึ่งเค่อก็ถึงแล้ว ไม่ต้องเลี้ยวไปไหนนะ เหลาอาหารทั้งสองอยู่ตรงถนนหลักนี่แหละ” “ข้าขอบคุณเถ้าแก่มากขอรับ ไปเถอะหมิงเอ๋อร์” จางอี้เทากล่าวขอบคุณเถ้าแก่ร้านบะหมี่แล้วเดินจูงมือบุตรชายไปตามทางที่ชายวัยกลางคนบอกเดินไปไม่ถึงหนึ่งเค่อดังที่ได้ยินมา สองพ่อลูกจึงเห็นอาคารไม้สามชั้นตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ป้ายชื่อเหลาที่บรรจงเขียนด้วยตัวอักษรให้ความรู้สึกมั่นคงและแข็งแกร่งปรากฎเด่นชัด ตรงประตูทางเข้ามีรูปปั้นสิงโตคู่ตัวใหญ่ตั้งอยู่ ถึงแม้จะมองจากข้างนอกเข้าไป ไม่ได้เห็นว่าข้างในตกแต่งอย่างไร อี้เทาก็สามารถบอกได้ว่าสมกับเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถัง ขนาดข้างนอกยังตกแต่งได้สวยงามเช่นนี้ ข้างในเหลาอาหารก็คงไม่แพ้กันระหว่างที่สองพ่อลูกยืนชื่นชมความสง่างามของอาคารไม้ตรงหน้า ด้วยสภาพการแต่งกายที่เหมือนกับชาวบ้านทั่วไป ชุดที่สวมใส่ถึงแม้จะสะอาดสะอ้านแต่ก็ดูราบเรียบ ชายหนุ่มสะพายตะกร้าไม้ไผ่สานไว้ข้างหลัง ส่วนเด็กชายมีร่างกายผอมแห้ง ทำให้เสี่ยวเอ้อร์ที่มีหน้าที่ต้อนรับพิจารณาแล้วว่าคงไม่ใช่ลูกค้า หากเถ้าแก่ออก
“พี่ชาย พี่ชาย อย่าเพิ่งไป รอข้าก่อน” จางอี้เทาหันหลังกลับไปมอง ก็เห็นเด็กหนุ่มสวมชุดเสี่ยวเอ้อร์วิ่งมาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ เด็กหนุ่มคนนั้นยกมือกวักเรียกสองพ่อลูกไปด้วยขณะวิ่ง ท่าทางจะเหนื่อยไม่น้อยจางอี้หมิงที่ยืนรออยู่ถึงกับกลอกตามองบน จะกวักมือเรียกอีกทำไมในเมื่อพวกเขาสองคนพ่อลูกก็หยุดเดินและยืนรออยู่ตรงนี้แล้ว“น้องชายท่านนี้เรียกข้าสองคนพ่อลูกหรือ” จางอี้เทาเอ่ยถามเมื่อเด็กหนุ่มเสี่ยวเอ้อร์คนนั้นวิ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าด้วยอาการเหนื่อยหอบ“ใช่แล้วพี่ชาย ขอเวลา...ข้าพัก...หายเหนื่อยสักครู่” เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้าตอบพลางยกมือสองข้างท้าวกับหัวเข่าตนเอง เขาสูดอากาศเข้าปอดอย่างตะกละตะกลาม ท่าทางจะวิ่งตามมาไกลพอควร ผ่านไปไม่นานเมื่อปรับลมหายใจได้แล้วจึงยืดตัวขึ้นยืนอยู่ในท่าทางปกติ“น้องชายท่านนี้คงบอกได้แล้วหรือไม่ ว่าเรียกข้าสองคนพ่อลูกไว้เพราะเหตุใด” “ข้าเป็นเสี่ยวเอ้อร์ของเหลาอาหารซิ่งฝู เหลาอาหารอันดับสองของเมืองไห่ถัง ข้าเห็นว่าพวกเจ้าสองคนพ่อลูกไปถามขายสูตรอาหารให้กับเหลาอาหารเฟิงฟู่ แต่ถูกเสี่ยวเอ้อร์ไล่ออกมาเสียก่อน เป็นความจริงหรือไม่”“เป็นความจริงน้องชาย” “เช่นนั้นเจ้าก
“พี่ชายเสี่ยวเอ้อร์ จะโกรธให้คนปากเสียเช่นนั้นทำไมขอรับ สู้เราเก็บแรงไว้หัวเราะที่หลังมิดีกว่าหรือ ในเมื่อเหลาอาหารเฟิงฟู่พูดจาดูถูกพวกเราขนาดนี้ พวกเราควรต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกบ้าง และมันมีตั้งหลายวิธีในการสั่งสอน ขอพี่ชายเสี่ยวเอ้อร์ได้โปรดใจเย็นอีกนิด ข้าสัญญาว่าพี่ชายเสี่ยวเอ้อร์จะได้แก้แค้นในไม่ช้านี่แน่นอนขอรับ”“หึ น้องชาย เจ้าตัวเล็กจ้อยเช่นนี้ พูดซะใหญ่โตว่าจะแก้แค้น ก่อนหน้านี้ตอนเจ้านั่นไล่ตีด้วยไม้กวาด ข้าไม่เห็นพวกเจ้าจะทำอันใดได้ เห็นแต่วิ่งหนีไปแทบไม่ทันเหมือนกัน” “พี่ชายเสี่ยวเอ้อร์ อย่าได้เป็นห่วง ท่านพ่อของข้าเก่งกาจยิ่งนัก ขอได้โปรดวางใจ”“หมิงเอ๋อร์...” จางอี้เทาที่กำลังจะเอ่ยปากปรามบุตรชาย ได้แต่หยุดไว้เพียงเท่านั้น เพราะจางอี้หมิงส่งสัญญาณให้บิดาเช่นเขาเงียบเสียก่อน“ท่านพ่อ อย่าได้ถ่อมตนเลยขอรับ พี่ชายเสี่ยวเอ้อร์ท่านนี้คงยังไม่รู้ว่าบิดาของข้าเคยเป็นอาจารย์ในเมืองหลวงมาก่อน เช่นนั้นเรื่องเพียงเท่านี้ ไม่เป็นอันใดเลย” “จริงเหรอว่าพี่ชายเคยเป็นอาจารย์ในเมืองหลวงมาก่อน ข้าก็ว่าแล้ว เหตุใดชาวบ้านธรรมดาถึงมีสูตรพะโล้ ดี ดียิ่ง เห็นทีเหลาอาหารซิ่งฝูจะมีหนทางแล้ว”เ
“ทางออกอันใดหรือเด็กน้อย” เฉินเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขามองดูเด็กน้อยตรงหน้าอย่างพินิจ“ทางออกของเรื่องทั้งหมดนี้เช่นไรเล่าขอรับ ข้าขอเสนอให้พวกท่านทั้งสิบคนแลกเปลี่ยนนิลเง็กเซียนกับสามสหายท่องหล้า แบ่งปันกันชิมคนละคำสองคำ เช่นนี้แล้วพวกท่านทั้งหมดก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชิมอาหารชนิดใหม่ด้วยวิธีการปรุงแบบใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน”“สำหรับค่าอาหารจากที่ท่านเฉินเจียกับท่านฉีหมิงต้องจ่ายคนละห้าสิบตำลึง สองจานรวมเป็นหนึ่งร้อยตำลึง เมื่อแลกเปลี่ยนอาหารกันแล้ว พวกท่านเพียงจ่ายคนละสิบตำลึงเท่านั้น เช่นนี้แล้วพวกท่านทุกคนจึงเท่าเทียมเหมือนกันแล้วขอรับ”“ในอนาคต เหลาอาหารซิ่งฝูจะมีรายการอาหารชนิดใหม่ออกมาทุกเดือน เพื่อเป็นการตอบแทนท่านทั้งสิบคน เหลาอาหารซิ่งฝูยินดีที่จะให้ท่านเป็นลูกค้าพิเศษ เมื่อมีรายการอาหารชนิดใหม่ในแต่ละครั้ง เหลาซิ่งฝูจะทำการเชิญท่านทั้งสิบมาทำการลิ้มลองอาหารก่อนเป็นกลุ่มแรก เช่นนี้แล้ว ท่านลุง ท่านตาทั้งหลายพอใจหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายเสร็จแล้วจึงถอยหลังกลับไปยืนข้างท่านปู่ด้วยความสงบเรียบร้อย“ฮะ ฮะ ฮะ” ฉีหมิงหัวเราะออกมาและกล่าวชมเชยหลินไห่“เถ้าแก่หลิน หลานชายข
“ข้าไม่เคยได้ชิมอาหารจานผักเช่นนี้มาก่อนเลย จะว่าเป็นน้ำแกงก็มีน้ำน้อยเกินไป จะว่าเป็นผักต้มแต่กลับมีกลิ่นของกระเทียม รสชาติกลมกล่อมเกินกว่าจะเป็นผักต้มได้ เถ้าแก่หลิน สามสหายท่องหล้าคืออาหารชนิดใดกันแน่ขอรับ” ชายคนแรกที่ตั้งข้อสงสัยถามเถ้าแก่หลินขึ้นมา“เรียนลูกค้า สามสหายท่องหล้าเป็นอาหารจานผัก ส่วนวิธีการปรุงนั้นทำมาจากการผัด” เถ้าแก่หลินไห่เอ่ยตอบด้วยท่าทางสุขุม“การผัดเช่นนั้นหรือ มันคืออันใดกันเล่า ข้าอายุแก่จนปูนนี้แล้ว ยังมิเคยได้ยินว่ามีการปรุงอาหารด้วยการผัดมาก่อน พวกเจ้าเล่า เคยได้ยินมาก่อนหรือไม่” ชายชราที่อายุมากที่สุดในกลุ่มเอ่ยออกมาเสียงไม่เบานัก ก่อนจะหันไปถามผู้ที่ร่วมชิมสามสหายท่องหล้าด้วยกัน“ข้าไม่เคย”“ข้าก็ไม่เคย” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน“ข้าคงมิสามารถตอบได้เนื่องจากว่าเป็นความลับของเหลาซิ่งฝู ขอลูกค้าอย่าได้ถามอีกเลย” หลินไห่ตอบกลับด้วยความสุภาพ“เจ้าว่าอันใดนะ สามสหายท่องหล้าของพวกเจ้า ปรุงขึ้นมาจากวิธีการปรุงอาหารแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนั้นหรือ” ฉีหมิงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขายินดียิ่งนักที่ได้เป็นคนกลุ่มแรกซึ่งได้ชิมรายการอาหารชนิดใหม่ประเภทจ
หลินไห่เดินจูงมือจางอี้หมิงนำหน้าอู๋เจ๋อและอู๋หมินออกมา ที่มือของคนครัวทั้งคู่ถือถาดไม้บรรจุนิลเง็กเซียนส่งกลิ่นหอมฉุย พวกเขาเดินนำอาหารไปวางไว้บนโต๊ะของผู้ชนะการประมูลซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกันเถ้าแก่หลินเป็นผู้อธิบายถึงรายการอาหารรสเลิศตรงหน้า ทั้งกลิ่นหอมกรุ่ม ทั้งควันที่ลอยออกมาบ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการปรุงมาใหม่ ๆ รวมถึงการตกแต่งจานอาหารให้มีสีสันน่ากิน ประกอบกับล่วงเลยเวลาอาหารมื้อแรกของวันมานานพอสมควรแล้ว ยิ่งทำให้เมนูใหม่ดูน่าเย้ายวนลูกค้าที่แพ้การประมูลทั้งหลายเกือบจะกระโดดออกไปยึดเอาถาดไม้ใส่อาหารมาเป็นของตนเองอยู่รอมร่อ เพียงแต่พอมองหน้าเถ้าแก่หลินแล้ว พวกเขาได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน รออาหารอีกชนิดหนึ่งแทน ซึ่งพวกตนก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอันใดและจะมีกลิ่นหอมเหมือนกับอาหารของผู้ชนะหรือไม่“ท่านเฉินเจียและท่านฉีหมิง อาหารชนิดใหม่ตรงหน้าท่าน เป็นอาหารจานเนื้อ เรียกว่า นิลเง็กเซียน เนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม หอมกลิ่นเครื่องเทศเข้มข้น ข้าขอแนะนำให้นำเนื้อจิ้มลงไปในน้ำแกงก่อนกิน แล้วตามด้วยข้าวสวยร้อน ๆ ดอกไม้ซีหงซื่อและแตงกวาที่วางอยู่บนจาน พวกท่านสามารถนำมากินแก้อาการเลี่ยนได้ เชิญท่านทั้งสองลิ้มลองอา
“พี่ชายหมิน รบกวนหยิบมะเขือเทศกับแตงกวามาให้ข้าที อย่าลืมล้างให้เรียบร้อยด้วยนะขอรับ มาทำตรงโต๊ะเตรียมวัตถุดิบนะขอรับ” จางอี้หมิงบอกแล้วจึงเดินไปรอที่โต๊ะกลางห้องอู๋หมินรีบหยิบผักออกมา เมื่อล้างแตงกวาและมะเขือเทศจนสะอาดแล้วจึงเดินมาสมทบกับอี้หมิงทันที เขาวางวัตถุดิบทั้งสองอย่างไว้บนโต๊ะ แล้วยกตัวของเด็กน้อยขึ้นนั่งบนเก้าอี้ ส่วน อู๋หมินยืนอยู่ข้าง ๆ อีกที“หมิงหมิงน้อยบอกว่าจะทำดอกไม้จากซีหงซื่อเช่นนั้นหรือ”“พี่ชายหมิน ต่อไปต้องเรียกมะเขือเทศนะขอรับ ห้ามเรียกซีหงซื่ออีก”“ดะ ได้ หมิงหมิงน้อยจะทำดอกไม้จากมะเขือเทศเช่นนั้นหรือ” อู๋หมินลนลานถามอีกครั้ง คำพวกนี้ระหว่างที่รอสองพ่อลูกบ้านจางไปขายผ้า พวกเขาก็ถูกเถ้าแก่บังคับให้ฝึกเรียกไว้ก่อนแล้วเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าเถ้าแก่จะเห่อหลานชายคนใหม่ยิ่งนัก เพียงแต่ช่วงแรก ๆ เขาก็มีหลงลืมเผลอใช้คำที่คุ้นเคยเช่นเดิมไปบ้างเท่านั้น“ขอรับ ดอกไม้จากมะเขือเทศทำง่ายมาก เพียงพี่ชาย หมินเอามีดมาปอกเปลือกมะเขือเทศให้เป็นเส้นจากบนลงล่างโดยที่ไม่ให้เปลือกมะเขือเทศขาดออกจากกัน ความกว้างของเส้นเอาสักสองข้อมือข้านี่แหละขอรับ เสร็จแล้วม้วนเปลือกเข้าหากันมันจะ
“เด็กน้อย เหลาเฟิงฟู่ทำอาหารได้เลิศรสจริงอันนี้ข้าไม่มีข้อโต้แย้ง แต่จะให้ข้า เฉินเจียผู้นี้กินอาหารแบบเดิม ๆ ทุกครั้ง เจ้าว่าข้าจะทำได้หรือไม่ นานแค่ไหนแล้วที่เหลาเฟิงฟู่ไม่มีรายการอาหารใหม่ ๆ ให้พวกข้าได้ลองชิมกัน” “วันนี้ในระหว่างที่ข้ากำลังจะมากินอาหารที่เหลาเฟิงฟู่ ระหว่างทางไปข้าเดินผ่านเหลาอาหารซิ่งฝู ข้าได้กลิ่นอาหารที่ หอมมาก หอมจนข้าอดใจไม่ไหวถึงได้เดินเข้ามาที่เหลาซิ่งฝูแห่งนี้ เสี่ยวเอ้อร์บอกเพียงว่าเขาเองก็ไม่รู้ จนเถ้าแก่หลินออกมาอธิบายให้พวกข้าฟังว่าเป็นอาหารชนิดใหม่ และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เจ้ารับรู้ในตอนนี้”“อ๋อ เป็นเช่นนี้นั่นเอง แล้วพวกท่านก็เป็นเช่นท่านเฉินเจียเหมือนกันหรือขอรับ” จางอี้หมิงหันหน้าไปถามบรรดาลูกค้าทั้งหลายที่ยืนออกันอยู่ตรงหน้า แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ในใจ พวกเขาทุกคนต่างพากันพยักหน้าถือเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี“ข้าไม่มีสิ่งใดสงสัยแล้วขอรับ เชิญท่านปู่ทำการประมูลต่อได้เลยขอรับ” อี้หมิงหันหน้ากลับมาบอกหลินไห่“พวกท่านพอใจกับราคาเปิดประมูลหรือไม่ หากคิดว่าราคาแพงไป ดังนั้นขอเชิญสั่งอาหารตามรายการที่ทางเหลาซิ่งฝูมีอยู่แล้วได้เลย” หลินไห่ถามย้ำอีกครั้ง เ
ทันทีที่เถ้าแก่หลินเดินออกมาจากห้องครัว เหล่าคหบดีที่นั่งรออยู่ก็พากันลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาต่างตั้งใจรอฟังว่าเจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูจะแก้ปัญหานี้อย่างไร หลินไห่แย้มรอยยิ้มกว้าง เขาใช้เสียงดังป่าวประกาศออกไป“ท่านลูกค้าทั้งหลาย เหลาอาหารซิ่งฝูต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในรายการอาหารชนิดใหม่มากถึงเพียงนี้ ตามที่ข้าได้แจ้งให้พวกท่านทราบไปก่อนหน้านี้แล้ว อาหารที่เหลาซิ่งฝูทดลองทำมีปริมาณไม่เพียงพอกับทุกคน ในตอนนี้เหลาซิ่งฝูสามารถให้พวกท่านได้ทดลองชิมเพียงสองจานเท่านั้น แต่เท่าที่ข้านับได้ พวกท่านมีประมาณสิบคน ดังนั้นข้าจึงได้มีความคิดหนึ่ง หวังว่าพวกท่านจะเห็นด้วยกับความคิดนี้”คหบดีมากมายยืนนิ่งรอฟัง มีบ้างที่เกือบชักสีหน้าเมื่อรู้ว่าอาหารมีไม่เพียงพอ แต่เถ้าแก่หลินก็รีบกล่าวเสริมต่อ“ข้าจะเปิดประมูลอาหารสองจานนี้ ใครที่ให้ราคามากที่สุดจึงจะได้อาหารทั้งสองจานนี้ไปลิ้มลอง ค่าอาหารทั้งหมดที่ได้รับในวันนี้ ข้าหลินไห่ เจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูจะนำไปบริจาคและช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน โดยแจ้งแก่พวกชาวบ้านว่าเป็นสินน้ำใจจากพวกท่านทั้งหลาย ไม่ทราบว่าพวกท่านเห็นเป็นเช่นใดบ้าง”“…”ห
“นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ให้พวกนั้นตีกันแล้ว ยังได้เงินมาช่วยเหลือคนยากจนอีกด้วย เหล่าคหบดี ข้าราชสำนักพวกนั้นชอบให้คนยกยอตนเองอยู่แล้ว ถ้าพวกเขาอยากชิม ก็จ่ายเงินมา ถ้าไม่จ่าย ก็ไม่ได้ชิม เหลาซิ่งฝูก็ไม่ต้องมากังวลว่าพะโล้จะไม่พอให้ชิม ต้องมาทำอะไรวุ่นวายไปหมด ที่ข้าชอบที่สุดเห็นจะเป็นเหลาอาหารซิ่งฝูยังได้กระจายข่าวรายการอาหารใหม่อีกสอง รายการโดยที่ไม่ต้องทำอันใด ลูกค้าพวกนั้นจะเป็นคนกระจายข่าวให้เหลาอาหารของพวกเราเอง” หลินไห่พึมพำถึงข้อดีของการแก้ปัญหานี้กับตนเอง ก่อนที่จะหันไปถามหัวหน้าพ่อครัวถึงอาหารที่มีตอนนี้“ว่าแต่อู๋เจ๋อ เจ้าลองตักใส่จานดูสิ พะโล้ในหม้อมีจำนวนกี่จาน” “รอสักครู่ขอรับ”อู๋เจ๋อรีบเดินไปตักพะโล้แห้งใส่จาน เขามองดูแล้วว่าได้ทั้งหมดเพียงสองจานเท่านั้น เสร็จแล้วชายวัยกลางคนจึงถือจานมาวางไว้บนโต๊ะที่เถ้าแก่หลินนั่งอยู่“มีเพียงสองจานเท่านี้เองหรือ ไม่เป็นไร ยิ่งมีน้อยความต้องการยิ่งสูงราคายิ่งแพงตามไปด้วย อู๋เจ๋อ เจ้าให้พ่อครัวเตรียมวัตถุดิบทำสามสหายท่องหล้าขึ้นมาสักสิบจาน ข้าจะเอาไว้ปลอบใจให้กับคนที่ประมูลพะโล้แห้งไม่ได้” เถ้าแก่หลินเอ่ยสั่งงานหัวหน้าพ่อครัวด้วยอารมณ์ที
หลินไห่ จางอี้เทา จางอี้หมิง รวมทั้งซีฮันเข้ามายังห้องครัว เท้ายังไม่พ้นประตูดี อู๋เจ๋อที่รออยู่ข้างในครัวด้วยความกระวนกระวายถึงกับถลาเดินเข้ามาหาทั้งสองคนด้วยใบหน้าตื่นตูม“หมิงหมิงน้อย เจ้ากลับมาแล้ว เถ้าแก่เป็นเช่นไรบ้างขอรับ”ใครจะคิดว่าอาหารสูตรบ้านจางจะส่งอิทธิพลขนาดนั้น หลินไห่พยักหน้าตอบพ่อครัว เขากับจางอี้เทาเดินเลี่ยงไปนั่งตรงมุมพักผ่อนเช่นเดิม“ท่านลุงอู๋ พะโล้ได้ที่แล้วกระมังขอรับ รบกวนท่านลุงอู๋ชิมดูได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามหัวหน้าพ่อครัว “ลุงก็ไม่รู้ว่าพะโล้สุกได้ที่แล้วหรือไม่ เพราะหมิงหมิงน้อยเพียงแต่บอกให้ตุ๋นรอเจ้ากลับมา ลุงจะยกลงก็เกรงว่าจะผิดสูตร จึงได้แต่รอเจ้ากลับมานี่แหละ” อู๋เจ๋อเรียกสติของตนเองและตอบกลับ“ท่านลุงลองชิมพะโล้ดูก่อนขอรับ ถ้าเนื้อหมูนุ่ม ซอส เอ่อ น้ำแกงเหลือขลุกขลิก รสชาติใช้ได้แล้วก็ยกลงได้เลย ลองให้ท่านปู่หลินช่วยชิมดูอีกคนก็ได้ขอรับ” อู๋เจ๋อเดินไปที่เตาหม้อตุ๋นหมูพะโล้ เขาก้มลงดูอาหารด้านใน เมื่อเห็นว่าน้ำแกงแห้งขอด มีเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยตามที่เด็กชายได้เอ่ยบอกไว้ เขาจึงหยิบจานใบเล็กมาตักหมูพะโล้วางลงไป แล้วจึงปิดฝาหม้อไว้เช่นเดิม
หน้าเหลาอาหารซิ่งฝูในตอนนี้มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินวนเวียนไปมาอย่างร้อนใจ ซีฮันชะเง้อคอมองหาสองพ่อลูกเจ้าของสูตรอาหาร และเมื่อเห็นว่าทั้งคู่เดินกลับมาแล้วจึงรีบปรี่เข้าไปหาโดยไม่รอให้จางอี้เทาและจางอี้หมิงเดินมาถึงหน้าเหลาอาหารเสียด้วยซ้ำ บุรุษบ้านจางต่างวัยขมวดคิ้วพร้อมกันด้วยความสงสัยเกิดเหตุอันใดขึ้นระหว่างที่พวกเขาสองคนพ่อลูกไปขายผ้าปักเช่นนั้นหรือ“พี่อี้เทา หมิงหมิงน้อย พวกเจ้ากลับมาแล้ว รีบขึ้นไปหาเถ้าแก่และท่านลุงอู๋โดยเร็วเถอะ” ซีฮันไม่ปล่อยให้สองพ่อลูกเอ่ยถามอันใด เขารีบบอกออกไปทันที“อาฮัน เกิดอันใดขึ้นเช่นนั้นหรือ” อี้เทาถามออกไปด้วยความข้องใจ“เถ้าแก่น่ะสิ ร้อนใจอยากให้พวกเจ้ารีบกลับมาตั้งนานแล้ว เจ้าไม่รู้อันใดเสียแล้วว่าพะโล้มันส่งกลิ่นรบกวนทุกคน ลูกค้าที่มากินอาหารที่เหลาโวยวายเสียงดังยกใหญ่” ซีฮันบอกด้วยเสียงเครียดขรึม“พะโล้ส่งกลิ่นรบกวนลูกค้าเช่นนั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน” อี้หมิงพึมพำกับตนเองเบา ๆหรือว่ามีปัญหาในขั้นตอนการปรุง แต่เขาจำได้ว่าในการปรุงพะโล้ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการหมักไปจนถึงการตุ๋น ก่อนที่เขาจะออกจากร้านไป มันไม่มีขั้นตอนไหนผิดพลาดนี่นา“พวก