“ท่านย่าขอรับ วันนี้พวกเราคงต้องทำงานหนักกันมากหน่อยนะขอรับ เพราะมีมันหมูที่ต้องเจียว ไหนจะพวกเนื้อสด กระดูก ที่ต้องหมักลงไหเพื่อให้เก็บไว้กินอีกหลายวัน โดยเฉพาะไส้พวกนี้ ต้องล้างทำความสะอาดก่อนที่มันจะเหม็น”
“ได้สิหมิงเอ๋อร์ งานหนักแค่นี้ไม่มีปัญหา ขอแค่มีอาหารให้เรากินก็ดีมากแล้ว เมื่อก่อนย่าอาจจะอิดออดนะ แต่ตอนนี้ย่าปรับตัวได้แล้ว”
“ท่านย่า ข้าสัญญาว่าต่อไปครอบครัวเราจะไม่ต้องอดมื้อกินมื้ออีกแล้ว” จางอี้หมิงพูดอย่างมั่นใจ
“ไม่เพียงเท่านั้นนะขอรับ ครอบครัวเราจะมีเงินมากมายให้มีมากกว่าตอนที่เราอยู่เมืองหลวงเสียอีก ที่สำคัญ ข้ายังอยากมีน้องสาวน้องชายมาเป็นเพื่อนเล่นข้าอยู่นะขอรับ ข้าต้องรีบหาเงินมาเยอะ ๆ ข้าจะสร้างจวนให้ใหญ่กว่าบ้านเก่าของเราขอรับ” จางอี้หมิงพูดเสียงดัง ส่งผลให้จางอี้เทากับหลี่อ้ายที่ฟังอยู่ด้วยถึงกับเขินอายเมื่อบุตรชายคนเดียวเอ่ยเย้าหน้าตาย
“หมิงเอ๋อร์ จะ...เจ้า พูดอันใดออกมา” หลี่อ้ายเอ่ยเสียงดุไม่ดังมากนัก พวงแก้มของนางขึ้นสีแดงระเรื่อก่อนจะเรียกสติของตัวเองกลับมา ปรับสีหน้าให้เป็นดังเดิม
“เรื่องน้องชายน้องสาวเอาไว้ก่อนเถอะหมิงเอ๋อร์” นางบอกเด็กชาย “ไหน วันนี้แม่ต้องทำอันใดบ้าง ท่านแม่ ท่านพี่ ข้าขอช่วยทำด้วยได้หรือไม่ ข้าดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ ข้าอยากช่วยอีกแรง” หลี่อ้ายเอ่ยถาม นางเห็นว่ายังมีงานที่ต้องทำอีกหลายอย่าง ตนเองค่อยยังชั่วแล้วจึงไม่อยากอยู่นั่งเฉย ๆ เพราะลำพังแค่นางหูกับจางอี้เทาก็ดูจะทำไม่ทันกันแล้ว
“ได้สิ แต่น้องหญิงต้องไม่ฝืนตัวเอง ถ้ารู้สึกไม่ดี ให้รีบไปพัก ถ้าทำได้พี่จึงจะอนุญาต”
“ข้าสัญญาเจ้าค่ะ” หลี่อ้ายรับคำของสามี
“หมิงเอ๋อร์ ย่าจะเจียวน้ำมันจากมันหมูเอง ส่วนสะใภ้ เจ้าหมักเนื้อกับกระดูกลงไหก็แล้วกัน แต่ย่าทำไส้ไม่เป็น คงต้องให้หมิงเอ๋อร์ทำให้แล้ว” นางหูแจกแจงหน้าที่อย่างชำนาญ
“ท่านย่า ไส้หมูต้องเอาไปล้างที่ลำธารขอรับ ข้าทำเองไม่ได้ ต้องให้ท่านพ่อทำขอรับ” อี้หมิงยกมือกล่าว
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปกับหมิงเอ๋อร์นะอี้เทา”
“ได้ขอรับ เช่นนั้นข้าจะพาหมิงเอ๋อร์ไปล้างไส้หมูที่ลำธาร หมิงเอ๋อร์ พ่อต้องเอาสิ่งของอันใดไปอีกหรือไม่” จางอี้เทาลุกไปเอาไส้หมูที่ห่อไว้ พลางถามบุตรชายเผื่อว่ามีของที่ต้องใช้อีก
“เกลือขอรับ แต่ไม่ต้องมาก เพียงนิดเดียวเท่านั้นขอรับ”
จางอี้เทาแกะเอาเกลือที่ซื้อมาใส่ลงไปในไหดินเผาทั้งหมด แล้วตักแบ่งมาเพียงเล็กน้อยตามที่บุตรชายบอก เขาหยิบชามไม้ขนาดกลางมาด้วย แล้วหันมาจูงมืออี้หมิงออกไปที่ลำธาร
“ท่านพ่อขอรับ ไส้หมูนี้มันแยกออกเป็นสองส่วน ที่ท่านพ่อถืออยู่เรียกว่าลำไส้อ่อน ขั้นตอนการล้างไม่ยุ่งยาก ท่านพ่อต้องตัดไส้หมูให้เป็นชิ้น ๆ แล้วตัดพังผืดออก นำไปล้างด้วยน้ำเปล่าสองครั้ง หลังจากนั้นนำเกลือลงไปขยำ ๆ ล้างด้วยน้ำเกลืออีกสองครั้ง เพียงเท่านี้ก็สะอาดแล้วขอรับ” อี้หมิงอธิบาย
“แต่ถ้าเป็นลำไส้ใหญ่ เราต้องล้างทั้งข้างนอกและข้างใน ขั้นตอนมันยุ่งยากมาก ที่สำคัญต้องใช้เกลือจำนวนมากขอรับ ข้าว่ามันคงไม่คุ้มค่ากับราคาเกลือ”
จางอี้เทาทำตามที่บุตรชายบอกทุกอย่าง ไม่นานก็เรียบร้อย อี้หมิงมองเห็นดงผักบุ้งริมธารก็นึกขึ้นได้
ที่บ้านยังไม่มีผักบุ้งเลยนี่ แล้วท่านย่าจะผัดอย่างไรเล่า...
นึกได้ดังนั้น เด็กน้อยจึงบอกให้บิดาเดินไปเก็บผักบุ้งมาเสียพอประมาณ พวกมันขึ้นอยู่เต็มสองฝั่งน้ำ ไม่จำเป็นต้องนำไปทั้งหมดในคราวเดียว
เมื่อได้ผักมาพอรับประทาน สองพ่อลูกจึงเดินกลับไปที่บ้าน หลี่อ้ายทำเนื้อเค็มหมักลงไหเสร็จแล้วเรียบร้อย ส่วนนางหูยังคงง่วนอยู่กับการเจียวน้ำมันหมู
“ท่านย่าขอรับ วันนี้เราจะฉลองกัน เราจะทำอาหารอะไรหรือขอรับ” จางอี้หมิงรีบถาม เขาอยากกินอาหารกับข้าวสวยร้อนๆ ซึ่งนี่จะเป็นมื้อแรกนับตั้งแต่ที่เขาฟื้นขึ้นมา
“ย่าคิดว่าจะหุงข้าว ผัดผักบุ้งไฟแดง น้ำแกงเนื้อ หมิงเอ๋อร์ว่าดีหรือไม่” นางหูเอ่ยรายการอาหารให้หลานชายฟัง
“ไม่ดีขอรับ วันนี้ข้าขอเสนอรายการอาหารเป็น ไส้ทอดคลุกเครื่องเทศและพะโล้แห้งหญ้าหวานขอรับ ท่านย่าหุงข้าวเยอะ ๆ เลยนะขอรับ” จางอี้หมิงตอบนางหูแล้วก็ถึงกับน้ำลายสอ แทบอดทนรอให้ถึงตอนเย็นไม่ไหวแล้ว อยากจะกินอาหารดี ๆ สักที
“หมิงเอ๋อร์ ชาวบ้านแบบเรา ๆ ไม่มีใครเอาเนื้อมาทำพะโล้นะ มันทั้งสิ้นเปลืองและราคาแพง เนื้อที่เรามีถ้าทำน้ำแกง บ้านเราจะมีน้ำแกงเนื้อกินหลายมื้อเชียวนะ แต่ถ้าเอามาทำพะโล้คงกินได้แค่วันเดียวเท่านั้น” นางหูรีบเอ่ยทัดทานหลานชาย ถึงแม้ว่าจะเป็นการฉลอง แต่ถ้าสิ้นเปลืองถึงขนาดนี้ นางก็ปวดใจเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านย่า ถ้าชาวบ้านไม่ทำกิน แล้วใครทำกินเล่าขอรับ”
จางอี้หมิงถึงกับเอียงคองง โลกที่เขาจากมาพะโล้เป็นอะไรที่ทำง่ายและอร่อย ไม่ใช่อาหารดีเด่นอะไรเลยด้วยซ้ำไป แต่เหตุใดท่านย่าถึงบอกว่าชาวบ้านไม่ทำกินกัน เพราะเนื้อที่นี่มีราคาแพงหูฉี่อย่างนั้นหรือ
เด็กน้อยได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ถึงแม้ว่าจะเคยมีสงครามและจบลงไปแล้วกว่าสิบห้าปี แต่อาหารก็ไม่ถึงกับขาดแคลน ยังคงมีให้ชาวบ้านชาวเมืองได้นำมาประทังชีวิต หรือจะเป็นเพราะว่ายุคนี้ยังไม่รู้จักการปรุงอาหารที่หลากหลายกันแน่
“ต้องเป็นคนที่มีฐานะดี พวกคหบดีต่าง ๆ คนที่ทำงานให้ราชสำนัก เมื่อก่อนบ้านเราก็มีโอกาสได้กินอยู่นะ ถึงแม้ว่าจะไม่บ่อยครั้งก็ตาม” นางหูอธิบายให้หลานชายฟัง แต่ยังคงไม่สามารถตอบคำถามในใจอี้หมิงได้อยู่ดีว่าเหตุใดชาวบ้านไม่ทำกินกัน หากเหล่าคนชั้นสูงทำทานได้ ทำไมชาวบ้านจะทำบ้างไม่ได้
“ท่านย่า ข้าว่าวันนี้เรายังไม่ต้องทำอาหารมากมายเลี้ยงฉลองดีกว่าขอรับ แต่ยังไงไส้นี่ต้องทำอาหารวันนี้ เช่นนั้นเราทำไส้หมูทอด ผัดผักบุ้งไฟแดงกับข้าวสวยก็เพียงพอแล้วขอรับ พรุ่งนี้หลังจากที่ข้ากับท่านพ่อไปเก็บต้นหญ้าหวานบนภูเขาเสร็จแล้ว ข้าจะสอนท่านย่าทำหมูพะโล้แห้ง บางทีพวกเราอาจจะเอาสูตรหมูพะโล้แห้งไปขายให้กับเหลาอาหารในเมือง ท่านย่าว่าดีหรือไม่ขอรับ” อี้หมิงปัดความสงสัยของตัวเองทิ้งไปแล้วเสนอหนทาง
“ย่าตามใจหมิงเอ๋อร์ เพราะอาหารทั้งหมดนี้ เป็นหมิง เอ๋อร์หลานคนเก่งของย่าหาเข้าบ้านมาทั้งนั้น”
“เช่นนั้นท่านพ่อขอรับ ท่านช่วยไปดูหม้อเจียวน้ำมันแทนท่านย่าทีขอรับ เพียงแค่คนบ่อย ๆ ไม่ให้มันไหม้เท่านั้น ท่านย่าจะได้มาทำไส้ทอดกับหุงข้าว”
“ได้สิ แต่พ่อขอเก็บของพวกนี้ให้เข้าที่เข้าทางก่อนนะหมิงเอ๋อร์” จางอี้เทาชี้ไปที่พวกไหเปล่าที่มีหลายขนาด เครื่องใช้ หม้อรวมทั้งผ้าหลายพับ
จางอี้หมิงแจกแจงงานให้ย่ากับบิดาทำ ส่วนตัวเขาถึงแม้อยากจะทำเองใจแทบขาด แต่ด้วยร่างกายตอนนี้เพียงแค่จะหยิบหม้อยังไม่มีปัญญาเลยด้วยซ้ำ
ในนิยายที่คนอื่นเขาย้อนเวลามาเกิดใหม่ มักอายุสิบ ขวบขึ้นไปแล้วทั้งนั้น ไหงเขาถึงมาแค่ห้าขวบเอง ทำอะไรก็ไม่สะดวกสักอย่าง ถ้าขืนยังทำอวดเก่งเหมือนนิยายเรื่องอื่น ๆ คาดว่าจะกลายเป็นคนพิการก่อนได้เป็นคนเก่งเป็นแน่
“ท่านพี่ เช่นนั้นข้าจะเอาผ้าพวกนี้ไปจัดการนะเจ้าคะ”
หลี่อ้ายเมื่อเห็นทุกคนต่างช่วยกันทำงานจึงอยากช่วยบ้าง เนื่องจากยังไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร งานผ้าจึงเป็นสิ่งที่ตนสามารถทำได้ และเพราะหลี่อ้ายเติบโตมาจากร้านค้าขายผ้าปัก งานตัดเย็บจึงเป็นสิ่งที่นางถนัดที่สุด
“ไปเถอะน้องหญิง ถ้าทำไม่ไหวก็อย่าหักโหม เข้าใจหรือไม่” จางอี้เทากำชับ
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่อ้ายแยกตัวจากครอบครัวเพื่อนำผ้าที่สามีซื้อมาไปทำการตัดเย็บต่อไป ส่วนจางอี้เทาหลังจากที่จัดเก็บของเข้าที่แล้ว เขาจึงไปนั่งแทนมารดาเพื่อทำการเจียวน้ำมันหมู“หมิงเอ๋อร์ ย่าพร้อมแล้ว ต้องทำยังไงบ้าง” นางหูเอ่ยถามหลานชาย“ท่านย่าหุงข้าวก่อนขอรับ จากนั้นจึงทำไส้ทอด แล้วค่อยผัดผักบุ้งทีหลัง ท่านย่าพอจะมีน้ำมันหมูเก่าหรือไม่ขอรับ”“หมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะหมิงเอ๋อร์”“เช่นนั้นเอาน้ำมันที่เราเจียววันนี้ก็ได้ขอรับ ท่านย่าตั้งหม้อหุงข้าวไว้ เสร็จแล้วเราจะคลุกไส้หมูหมักกับเครื่องเทศรอระหว่างที่กำลังหุงข้าวนะขอรับ”จางอี้หมิงจำได้ว่าเครื่องเทศที่บิดาซื้อมามีฮวาเจียวที่ให้รสเผ็ดชา ถึงแม้ไม่มีพริก แต่ก็สามารถใช้พริกฮวาเจียวแทนได้ อีกอย่างคือมีชวงเจีย (พริกหอม) รวมทั้งเครื่องเทศพื้นฐานอีกหลายชนิด “ท่านย่า คั่วเม็ดฮวาเจียว (พริกไทยหรือพริกหมาล่า) กับชวงเจีย (พริกหอม) ให้หอม แล้วนำมาตำให้ละเอียดนะขอรับ ใส่กระเทียมเล็กน้อย ขิงนิดหน่อย เกลือสักหยิบมือ อย่าลืมใบยี่หร่าด้วย ที่ขาดไม่ได้คือน้ำตาลผักอีกนิด อย่าลืมซีอิ้วนะขอรับ เสร็จแล้วนำไส้ที่ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงไปหมักสักสองเค่อก็ได้แล้วขอรับ” จางอี
เวลาแห่งความสุขในห้วงนิทรามักหมดไปอย่างรวดเร็ว สมาชิกครอบครัวจางตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ของตนอย่างขันแข็ง นางหูอุ่นซาลาเปาที่ซื้อมาเมื่อวานนี้ให้ทุกคนได้กินกันเป็นมื้อเช้า เรื่องการกินอาหารวันละสามมื้อเป็นเรื่องที่จางอี้หมิงเสนอขึ้นมา เพราะการกินครบสามมื้อจะถูกหลักโภชนาการมากกว่า ที่สำคัญคือ เขาต้องการขุนร่างนี้ให้อ้วนขึ้นอีกนิด เด็กวัยกำลังโตไม่ควรอดอาหาร ไม่เช่นนั้นเมื่อไหร่จะโตเสียทีเล่าอีกอย่าง เขาเป็นคนไทย คนไทยกินข้าววันละสามมื้อ ของหวานของคาวไม่เคยขาด อยู่ดี ๆ ให้มาอด ๆ อยาก ๆ เขาเองก็ไม่ชินในตอนแรกสมาชิกครอบครัวจางดูตกใจกับการทานอาหารมากมายขนาดนั้น แต่จางอี้หมิงบอกเพียงว่าเมืองสวรรค์ทำกันเช่นนี้ ท่านย่า ท่านพ่อ และท่านแม่จึงจำต้องเห็นด้วยอย่างไม่อิดออด เป็นความโชคดีที่หลี่อ้ายหายเป็นปกติ เหลือเพียงอาการอ่อนเพลียเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางหูกับหลี่อ้ายจึงช่วยกันเย็บผ้าห่มและชุดใหม่สำหรับทุกคน ส่วนจางอี้เทาและบุตรชายขึ้นภูเขาเพื่อไปตัดหญ้าหวานมาทำน้ำตาลผักตามที่ได้รับใบสั่งซื้อมา“หมิงเอ๋อร์ เมื่อวานเจ้าบอกว่าจะทำพะโล้วันนี้ เมืองสวรรค์ก็มีพะโล้เช่นกันหรือ” จางอี้เทาเอ่ยถามบุตรชายข
“น้ำสอ สอด อันใดนะ หมิงเอ๋อร์” นางหูขมวดคิ้ว พยายามออกเสียงคำว่าซอสให้เหมือนกับที่หลานชายพูด แต่ดูแล้วลิ้นจะพันกันเสียให้ได้"ท่านย่า ไม่ใช่สอดขอรับ ซอสขอรับ น้ำซอสก็คือน้ำที่มันขลุกขลิกเหลือนิดหน่อยในหมูพะโล้เช่นไรเล่าขอรับ ถ้าทำเสร็จแล้ว ข้าจะชี้ให้ท่านย่าดูขอรับ”“เช่นนั้นย่าต้องหมักเนื้อหมูก่อนเป็นอันดับแรกใช่หรือไม่”“ใช่แล้วขอรับ” ตลอดการทำอาหารหลังจากนั้น เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ นางหูและจางอี้เทาตั้งใจฟังพ่อครัวตัวน้อยกำกับการทำอาหารอย่างสนุกสนาน หลี่อ้ายที่นั่งเย็บผ้าอยู่เหลือบตามองเป็นระยะและยิ้มออกมาอย่างมีความสุขที่เห็นครอบครัวกลับมามีความสุขอีกครั้ง“ท่านย่า รีบใส่เครื่องเทศได้แล้วขอรับ ก่อนกระเทียมจะไหม้”“หมิงเอ๋อร์ ต้องใส่อย่างละเท่าไรนะ”“ท่านแม่ โป้ยกั๊กห้าดอก กระวานหกลูก อบเชยสองแท่ง”“อาเทา เจ้าช่างความจำดีเยี่ยม สมแล้วที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือ”“ท่านย่า อย่าใส่เกลือเยอะขอรับ พอน้ำแห้งมันจะเค็มกว่านี้”“ท่านย่า คนและกลับเนื้อหมูหน่อยขอรับ หมูจะไหม้แล้ว”“ท่านย่า ใส่น้ำเปล่าได้แล้วขอรับ”พ่อครัวตัวน้อยของบ้านจางกลายเป็นผู้กำกับการทำอาหารให้ท่านย่าของตนเองทำตามได้อย่าง
หลังจากที่บ้านจางกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว สองพ่อลูกจึงพากันออกจากกระท่อมปลายนา พวกเขาถือพะโล้แห้งกับน้ำตาลปั้นสามไม้เดินคุยกันกระหนุงกระหนิงตามประสาอย่างมีความสุข มุ่งไปทางบ้านผู้นำหมู่บ้านจางอี้หมิงถามนู่นถามนี่สารพัด แต่อี้เทาก็ตอบด้วยรอยยิ้ม พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดหมาย ตอนนี้เวลาน่าจะประมาณยามเซิน (15.00 – 16.59) ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงเหมันต์ฤดู แต่อากาศช่วงนี้เริ่มเย็นลงบ้างแล้ว ทินกรทอแสงอัสดงเตรียมลับขอบฟ้า แต่ก็ยังมีเวลาเพียงพอให้จางอี้เทาและจางอี้หมิงได้เดินทางกลับบ้านโดยไม่ต้องใช้คบไฟส่องนำทาง ในยุคสมัยนี้ ชาวบ้านธรรมดามักใช้คบไฟในการส่องนำทางตอนกลางคืน พวกเขายังไม่มีตะเกียงใช้ ตอนกลางคืนก็ใช้ใต้ไฟในการจุดให้แสงสว่างภายในบ้าน ซึ่งข้อเสียของมันคือมีควันจำนวนมากดังนั้นชาวบ้านทั่วไปจึงเข้านอนแต่หัวค่ำตามตะวันที่ลับขอบฟ้าไปแล้ว ถ้าไม่จำเป็นจะไม่มีใครจุดใต้ไฟในตอนกลางคืน เทียนไขจะมีใช้แค่ตามบ้านของข้าราชสำนักหรือเศรษฐีมีเงินเพราะราคานั้นแพงมาก ชาวบ้านถือว่าเป็นของสิ้นเปลือง แต่สำหรับผู้มั่งมีแล้วไม่เดือดร้อน“ท่านพี่เย่ ท่านพี่เย่ อยู่บ้านหรือไม่ ข้าจางอี้เทากับหมิงเอ๋อ
“มะ ไม่ใช่เช่นนั้นหมิงหมิงน้อย ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้า แต่ว่า......” ซุนซูลี่ทำตัวไม่ถูก นางไม่ได้ต้องการให้หมิงหมิงน้อยคิดเช่นนั้น เรียวปากสวยยังพูดไม่จบ จางอี้เทาจึงพูดขึ้นก่อน“ลี่เอ๋อร์ น้องอี้หมิงตั้งใจนำขนมมาฝากพวกเจ้าสองคนพี่น้องจริง ๆ ดูสิ” อี้เทาพยักหน้าไปทางขนมน้ำตาลปั้นในมือบุตรชาย “หมิงเอ๋อร์น่ะ เพื่อจะได้กินพร้อมกันกับพี่ ๆ เขาไม่ยอมกินในส่วนของตนเอง ทั้งที่อาซื้อมาตั้งแต่เมื่อวาน เช่นนั้นแล้ว ลี่เอ๋อร์กับเย่เอ๋อร์อย่าได้ปฏิเสธหมิงเอ๋อร์เลยนะ” ซุนซูลี่ได้ยินจางอี้เทากล่าวเช่นนั้นจึงได้หันไปขอความเห็นจากบิดา เมื่อเห็นซุนซูเย่พยักหน้า เด็กน้อยจึงยิ้มกว้างออกมา หันไปพูดกับจางอี้หมิงด้วยเสียงสดใส“หมิงหมิงน้อย ข้าขอบใจเจ้ามากนะ และข้าไม่ได้รังเกียจเจ้า ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี ไหนล่ะน้ำตาลปั้นของข้า” “พี่ซูลี่ไม่รังเกียจข้าจริง ๆ ใช่ไหม ขอบคุณมากขอรับ นี่น้ำตาลปั้นของพี่ซูลี่ ส่วนอันนี้ของพี่หมิงเย่ขอรับ”จางอี้หมิงสดใสขึ้นมาทันที ถ้าในสมัยก่อนคงถูกหาว่าเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสีได้ไวมาก แต่ใครสนกันเล่า ตอนนี้เขาคือจางอี้หมิง เด็กน้อยอายุห้าขวบ ช่วงเป็นเด็กเขาจะทำอะไรก็ได้ ย
ในที่สุด วันที่สำคัญก็มาถึง ยามเฉิน (07.00 – 08.59) ของวันนี้ บ้านจางมีนัดส่งน้ำตาลผักให้กับเถ้าแก่หวังและต้องไปพบชาวบ้านเพื่อฟังผลการแลกเปลี่ยนแรงงานในยามซื่อ (09.00 – 10.59) อีกทั้งหากได้รับคำตอบจากบ้านซุนว่าชื่นชอบพะโล้ที่ลองเอาไปให้ชิมแล้ว จางอี้เทากับจางอี้หมิงจะเข้าเมืองไปเสนอการทำอาหารให้กับเหลาทั้งหลายในวันพรุ่งนี้น้ำตาลผักทั้งหมดสำหรับวันนี้ได้จัดเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วโดยฝีมือของหูไป๋หง จางอี้เทาและหลี่อ้าย ส่วนจางอี้หมิงไม่ได้ช่วยอันใด จางอี้เทาปล่อยให้บุตรชายได้พักผ่อนในการทำน้ำตาลผักนั้นไม่ใช่เรื่องยากอันใด นางหูสอนให้บุตรชายและสะใภ้ไม่กี่ครั้ง ทั้งสองคนก็เข้าใจและทำเองได้ ทั้งสามตื่นมาตั้งแต่ยามเหม่า (05.00 – 06.59) แล้ว หูไป๋หงรับหน้าที่ทำข้าวต้มหมู หลี่อ้ายเย็บเสื้อผ้าและผ้าห่มที่ยังทำค้างไว้ ส่วนจางอี้เทาตรวจสอบความเรียบร้อยของน้ำตาลผักเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อถึงยามเฉิน (07.00 – 08.59) ไม่ขาดไม่เกิน รถม้าของเถ้าแก่หวังก็เดินทางมาถึงบ้านจาง“อรุณสวัสดิ์ขอรับ ข้ามารับน้ำตาลผักตามที่นัดไว้ ไม่ทราบว่าพี่ชายท่านนี้เตรียมสินค้าพร้อมแล้วหรือไม่” อาคุน คนขับรถม้าของเถ้าแ
“ดี ๆ เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ขอบใจพวกเจ้ามากนะที่ไม่ใจร้ายมากนัก” ซุนถงเอ่ยขอบใจเหล่าชาวบ้านทุกคนที่มา“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน พวกข้าถึงแม้ว่าจะเป็นคนธรรมดาแต่พวกเราไม่ไร้น้ำใจ อีกอย่าง บ้านจางดูจะเสียเปรียบด้วยซ้ำ พวกข้าอยากให้บุตรหลานรู้หนังสือ แต่จะให้ส่งไปเรียนในเมืองคงเป็นไปไม่ได้ พวกเราต้องขอขอบคุณบ้านจางด้วยซ้ำที่ยินดีสอนหนังสือให้ หากบ้านจางต้องการสิ่งใดตอบแทนมากกว่านี้ พวกเราก็ยินดีทำให้”“พวกท่านกล่าวหนักไปแล้ว เอาเป็นว่าพวกเราต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ พึ่งพาซึ่งกันและกัน แบบนี้ถึงเรียกว่ารักกันดั่งครอบครัว ใช่หรือไม่” จางอี้เทาแย้มรอยยิ้ม เขาก้มหัวให้กับชาวบ้านทุกคน ซึ่งก็ได้รับการกระทำเช่นเดียวกันกลับมาหลังจากข้อแลกเปลี่ยนประสบความสำเร็จ ชาวบ้านจึงเริ่มเดินจากไป เหลือเพียงจางอี้เทาที่อยู่คุยกับบ้านซุนเรื่องพะโล้แห้งต่อ“ท่านลุงถง ท่านพี่เย่ ได้ชิมพะโล้แห้งสูตรบ้านข้าแล้ว เป็นเช่นใดบ้างขอรับ” เขาเอ่ยถาม“อาเทา ข้าก็นึกว่าเจ้าจะลืมไปแล้ว มันอร่อยมาก ข้าก็ไม่เคยได้กินพะโล้ที่เหลาอาหารในเมืองหรือที่ไหน ๆ ทำมาก่อน ข้าจึงเปรียบเทียบไม่ได้ แต่ในความเห็นข้าคือ มันอร่อยมาก อร่อยกว่าน้ำแก
จางอี้หมิงยกยิ้มตื่นตาตื่นใจ เขามองไปด้านหน้าที่เต็มไปด้วยต้นวัชพืชหลากสีสัน ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีม่วง สีชมพู สีน้ำเงิน สีเขียว สีส้ม สีน้ำตาล พวกมันมีลักษณะเป็นพุ่มเตี้ย สูงไม่ถึงหนึ่งเมตร สลับสูงต่ำลดหลั่นกันไปสุดลูกหูลูกตาจนมองไม่เห็นว่าสิ้นสุดตรงไหน ตามแหล่งทุ่งหญ้านั้นมีน้ำทะเลกว้างราวไม่เกินสองเมตรพาดผ่าน สวยสะดุดตาจนทำให้จางอี้หมิงถึงกับเกือบลืมหายใจ เขาไม่รอช้า วิ่งเข้าไปในดงทุ่งวัชพืชนั่น เด็ดใบที่มีลักษณะอวบน้ำและสีเขียวสดออกมาชิม แต่เมื่อขอบใบแค่สัมผัสปลายลิ้น เด็กน้อยก็ถ่มทิ้งอย่างรวดเร็ว“อี้ เค็มอิ๊บอ๊าย” จางอี้หมิงลืมตัวอุทานออกมาเป็นภาษาโลกเดิมซุนซูลี่กับซุนหมิงเย่เมื่อเห็นจางอี้หมิงวิ่งเข้าไปที่ทุ่งหญ้าสายรุ้งก็แปลกใจ ทั้งสองตัดสินใจวิ่งตามเข้ามาด้วยและพอมาทันก็ได้ยินน้องชายคนใหม่อุทานภาษาประหลาดออกมา“หมิงหมิงน้อย เกิดอะไรขึ้น เหตุใจเจ้าจึงวิ่งเข้าทุ่งหญ้าสายรุ้งเช่นนี้” ซุนซูลี่เอ่ยถาม“ทุ่งหญ้าสายรุ้งหรือขอรับพี่ซูลี่”“ก็ใช่นะสิ หญ้าสายรุ้งสวยใช่ไหมล่ะ มันเป็นหญ้าที่ขึ้นเอง ไม่มีใครปลูก ชาวบ้านเห็นว่ามันสวยดี มีหลายสีคล้ายสายรุ้ง จึงเรียกกันว่าหญ้าสายรุ้ง ชาวบ้านก
“ทางออกอันใดหรือเด็กน้อย” เฉินเจียเอ่ยถามด้วยความสงสัย เขามองดูเด็กน้อยตรงหน้าอย่างพินิจ“ทางออกของเรื่องทั้งหมดนี้เช่นไรเล่าขอรับ ข้าขอเสนอให้พวกท่านทั้งสิบคนแลกเปลี่ยนนิลเง็กเซียนกับสามสหายท่องหล้า แบ่งปันกันชิมคนละคำสองคำ เช่นนี้แล้วพวกท่านทั้งหมดก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชิมอาหารชนิดใหม่ด้วยวิธีการปรุงแบบใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน”“สำหรับค่าอาหารจากที่ท่านเฉินเจียกับท่านฉีหมิงต้องจ่ายคนละห้าสิบตำลึง สองจานรวมเป็นหนึ่งร้อยตำลึง เมื่อแลกเปลี่ยนอาหารกันแล้ว พวกท่านเพียงจ่ายคนละสิบตำลึงเท่านั้น เช่นนี้แล้วพวกท่านทุกคนจึงเท่าเทียมเหมือนกันแล้วขอรับ”“ในอนาคต เหลาอาหารซิ่งฝูจะมีรายการอาหารชนิดใหม่ออกมาทุกเดือน เพื่อเป็นการตอบแทนท่านทั้งสิบคน เหลาอาหารซิ่งฝูยินดีที่จะให้ท่านเป็นลูกค้าพิเศษ เมื่อมีรายการอาหารชนิดใหม่ในแต่ละครั้ง เหลาซิ่งฝูจะทำการเชิญท่านทั้งสิบมาทำการลิ้มลองอาหารก่อนเป็นกลุ่มแรก เช่นนี้แล้ว ท่านลุง ท่านตาทั้งหลายพอใจหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงอธิบายเสร็จแล้วจึงถอยหลังกลับไปยืนข้างท่านปู่ด้วยความสงบเรียบร้อย“ฮะ ฮะ ฮะ” ฉีหมิงหัวเราะออกมาและกล่าวชมเชยหลินไห่“เถ้าแก่หลิน หลานชายข
“ข้าไม่เคยได้ชิมอาหารจานผักเช่นนี้มาก่อนเลย จะว่าเป็นน้ำแกงก็มีน้ำน้อยเกินไป จะว่าเป็นผักต้มแต่กลับมีกลิ่นของกระเทียม รสชาติกลมกล่อมเกินกว่าจะเป็นผักต้มได้ เถ้าแก่หลิน สามสหายท่องหล้าคืออาหารชนิดใดกันแน่ขอรับ” ชายคนแรกที่ตั้งข้อสงสัยถามเถ้าแก่หลินขึ้นมา“เรียนลูกค้า สามสหายท่องหล้าเป็นอาหารจานผัก ส่วนวิธีการปรุงนั้นทำมาจากการผัด” เถ้าแก่หลินไห่เอ่ยตอบด้วยท่าทางสุขุม“การผัดเช่นนั้นหรือ มันคืออันใดกันเล่า ข้าอายุแก่จนปูนนี้แล้ว ยังมิเคยได้ยินว่ามีการปรุงอาหารด้วยการผัดมาก่อน พวกเจ้าเล่า เคยได้ยินมาก่อนหรือไม่” ชายชราที่อายุมากที่สุดในกลุ่มเอ่ยออกมาเสียงไม่เบานัก ก่อนจะหันไปถามผู้ที่ร่วมชิมสามสหายท่องหล้าด้วยกัน“ข้าไม่เคย”“ข้าก็ไม่เคย” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน“ข้าคงมิสามารถตอบได้เนื่องจากว่าเป็นความลับของเหลาซิ่งฝู ขอลูกค้าอย่าได้ถามอีกเลย” หลินไห่ตอบกลับด้วยความสุภาพ“เจ้าว่าอันใดนะ สามสหายท่องหล้าของพวกเจ้า ปรุงขึ้นมาจากวิธีการปรุงอาหารแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นนั้นหรือ” ฉีหมิงเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขายินดียิ่งนักที่ได้เป็นคนกลุ่มแรกซึ่งได้ชิมรายการอาหารชนิดใหม่ประเภทจ
หลินไห่เดินจูงมือจางอี้หมิงนำหน้าอู๋เจ๋อและอู๋หมินออกมา ที่มือของคนครัวทั้งคู่ถือถาดไม้บรรจุนิลเง็กเซียนส่งกลิ่นหอมฉุย พวกเขาเดินนำอาหารไปวางไว้บนโต๊ะของผู้ชนะการประมูลซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกันเถ้าแก่หลินเป็นผู้อธิบายถึงรายการอาหารรสเลิศตรงหน้า ทั้งกลิ่นหอมกรุ่ม ทั้งควันที่ลอยออกมาบ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการปรุงมาใหม่ ๆ รวมถึงการตกแต่งจานอาหารให้มีสีสันน่ากิน ประกอบกับล่วงเลยเวลาอาหารมื้อแรกของวันมานานพอสมควรแล้ว ยิ่งทำให้เมนูใหม่ดูน่าเย้ายวนลูกค้าที่แพ้การประมูลทั้งหลายเกือบจะกระโดดออกไปยึดเอาถาดไม้ใส่อาหารมาเป็นของตนเองอยู่รอมร่อ เพียงแต่พอมองหน้าเถ้าแก่หลินแล้ว พวกเขาได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน รออาหารอีกชนิดหนึ่งแทน ซึ่งพวกตนก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอันใดและจะมีกลิ่นหอมเหมือนกับอาหารของผู้ชนะหรือไม่“ท่านเฉินเจียและท่านฉีหมิง อาหารชนิดใหม่ตรงหน้าท่าน เป็นอาหารจานเนื้อ เรียกว่า นิลเง็กเซียน เนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม หอมกลิ่นเครื่องเทศเข้มข้น ข้าขอแนะนำให้นำเนื้อจิ้มลงไปในน้ำแกงก่อนกิน แล้วตามด้วยข้าวสวยร้อน ๆ ดอกไม้ซีหงซื่อและแตงกวาที่วางอยู่บนจาน พวกท่านสามารถนำมากินแก้อาการเลี่ยนได้ เชิญท่านทั้งสองลิ้มลองอา
“พี่ชายหมิน รบกวนหยิบมะเขือเทศกับแตงกวามาให้ข้าที อย่าลืมล้างให้เรียบร้อยด้วยนะขอรับ มาทำตรงโต๊ะเตรียมวัตถุดิบนะขอรับ” จางอี้หมิงบอกแล้วจึงเดินไปรอที่โต๊ะกลางห้องอู๋หมินรีบหยิบผักออกมา เมื่อล้างแตงกวาและมะเขือเทศจนสะอาดแล้วจึงเดินมาสมทบกับอี้หมิงทันที เขาวางวัตถุดิบทั้งสองอย่างไว้บนโต๊ะ แล้วยกตัวของเด็กน้อยขึ้นนั่งบนเก้าอี้ ส่วน อู๋หมินยืนอยู่ข้าง ๆ อีกที“หมิงหมิงน้อยบอกว่าจะทำดอกไม้จากซีหงซื่อเช่นนั้นหรือ”“พี่ชายหมิน ต่อไปต้องเรียกมะเขือเทศนะขอรับ ห้ามเรียกซีหงซื่ออีก”“ดะ ได้ หมิงหมิงน้อยจะทำดอกไม้จากมะเขือเทศเช่นนั้นหรือ” อู๋หมินลนลานถามอีกครั้ง คำพวกนี้ระหว่างที่รอสองพ่อลูกบ้านจางไปขายผ้า พวกเขาก็ถูกเถ้าแก่บังคับให้ฝึกเรียกไว้ก่อนแล้วเช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าเถ้าแก่จะเห่อหลานชายคนใหม่ยิ่งนัก เพียงแต่ช่วงแรก ๆ เขาก็มีหลงลืมเผลอใช้คำที่คุ้นเคยเช่นเดิมไปบ้างเท่านั้น“ขอรับ ดอกไม้จากมะเขือเทศทำง่ายมาก เพียงพี่ชาย หมินเอามีดมาปอกเปลือกมะเขือเทศให้เป็นเส้นจากบนลงล่างโดยที่ไม่ให้เปลือกมะเขือเทศขาดออกจากกัน ความกว้างของเส้นเอาสักสองข้อมือข้านี่แหละขอรับ เสร็จแล้วม้วนเปลือกเข้าหากันมันจะ
“เด็กน้อย เหลาเฟิงฟู่ทำอาหารได้เลิศรสจริงอันนี้ข้าไม่มีข้อโต้แย้ง แต่จะให้ข้า เฉินเจียผู้นี้กินอาหารแบบเดิม ๆ ทุกครั้ง เจ้าว่าข้าจะทำได้หรือไม่ นานแค่ไหนแล้วที่เหลาเฟิงฟู่ไม่มีรายการอาหารใหม่ ๆ ให้พวกข้าได้ลองชิมกัน” “วันนี้ในระหว่างที่ข้ากำลังจะมากินอาหารที่เหลาเฟิงฟู่ ระหว่างทางไปข้าเดินผ่านเหลาอาหารซิ่งฝู ข้าได้กลิ่นอาหารที่ หอมมาก หอมจนข้าอดใจไม่ไหวถึงได้เดินเข้ามาที่เหลาซิ่งฝูแห่งนี้ เสี่ยวเอ้อร์บอกเพียงว่าเขาเองก็ไม่รู้ จนเถ้าแก่หลินออกมาอธิบายให้พวกข้าฟังว่าเป็นอาหารชนิดใหม่ และสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เจ้ารับรู้ในตอนนี้”“อ๋อ เป็นเช่นนี้นั่นเอง แล้วพวกท่านก็เป็นเช่นท่านเฉินเจียเหมือนกันหรือขอรับ” จางอี้หมิงหันหน้าไปถามบรรดาลูกค้าทั้งหลายที่ยืนออกันอยู่ตรงหน้า แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้ในใจ พวกเขาทุกคนต่างพากันพยักหน้าถือเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี“ข้าไม่มีสิ่งใดสงสัยแล้วขอรับ เชิญท่านปู่ทำการประมูลต่อได้เลยขอรับ” อี้หมิงหันหน้ากลับมาบอกหลินไห่“พวกท่านพอใจกับราคาเปิดประมูลหรือไม่ หากคิดว่าราคาแพงไป ดังนั้นขอเชิญสั่งอาหารตามรายการที่ทางเหลาซิ่งฝูมีอยู่แล้วได้เลย” หลินไห่ถามย้ำอีกครั้ง เ
ทันทีที่เถ้าแก่หลินเดินออกมาจากห้องครัว เหล่าคหบดีที่นั่งรออยู่ก็พากันลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาต่างตั้งใจรอฟังว่าเจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูจะแก้ปัญหานี้อย่างไร หลินไห่แย้มรอยยิ้มกว้าง เขาใช้เสียงดังป่าวประกาศออกไป“ท่านลูกค้าทั้งหลาย เหลาอาหารซิ่งฝูต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในรายการอาหารชนิดใหม่มากถึงเพียงนี้ ตามที่ข้าได้แจ้งให้พวกท่านทราบไปก่อนหน้านี้แล้ว อาหารที่เหลาซิ่งฝูทดลองทำมีปริมาณไม่เพียงพอกับทุกคน ในตอนนี้เหลาซิ่งฝูสามารถให้พวกท่านได้ทดลองชิมเพียงสองจานเท่านั้น แต่เท่าที่ข้านับได้ พวกท่านมีประมาณสิบคน ดังนั้นข้าจึงได้มีความคิดหนึ่ง หวังว่าพวกท่านจะเห็นด้วยกับความคิดนี้”คหบดีมากมายยืนนิ่งรอฟัง มีบ้างที่เกือบชักสีหน้าเมื่อรู้ว่าอาหารมีไม่เพียงพอ แต่เถ้าแก่หลินก็รีบกล่าวเสริมต่อ“ข้าจะเปิดประมูลอาหารสองจานนี้ ใครที่ให้ราคามากที่สุดจึงจะได้อาหารทั้งสองจานนี้ไปลิ้มลอง ค่าอาหารทั้งหมดที่ได้รับในวันนี้ ข้าหลินไห่ เจ้าของเหลาอาหารซิ่งฝูจะนำไปบริจาคและช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน โดยแจ้งแก่พวกชาวบ้านว่าเป็นสินน้ำใจจากพวกท่านทั้งหลาย ไม่ทราบว่าพวกท่านเห็นเป็นเช่นใดบ้าง”“…”ห
“นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ให้พวกนั้นตีกันแล้ว ยังได้เงินมาช่วยเหลือคนยากจนอีกด้วย เหล่าคหบดี ข้าราชสำนักพวกนั้นชอบให้คนยกยอตนเองอยู่แล้ว ถ้าพวกเขาอยากชิม ก็จ่ายเงินมา ถ้าไม่จ่าย ก็ไม่ได้ชิม เหลาซิ่งฝูก็ไม่ต้องมากังวลว่าพะโล้จะไม่พอให้ชิม ต้องมาทำอะไรวุ่นวายไปหมด ที่ข้าชอบที่สุดเห็นจะเป็นเหลาอาหารซิ่งฝูยังได้กระจายข่าวรายการอาหารใหม่อีกสอง รายการโดยที่ไม่ต้องทำอันใด ลูกค้าพวกนั้นจะเป็นคนกระจายข่าวให้เหลาอาหารของพวกเราเอง” หลินไห่พึมพำถึงข้อดีของการแก้ปัญหานี้กับตนเอง ก่อนที่จะหันไปถามหัวหน้าพ่อครัวถึงอาหารที่มีตอนนี้“ว่าแต่อู๋เจ๋อ เจ้าลองตักใส่จานดูสิ พะโล้ในหม้อมีจำนวนกี่จาน” “รอสักครู่ขอรับ”อู๋เจ๋อรีบเดินไปตักพะโล้แห้งใส่จาน เขามองดูแล้วว่าได้ทั้งหมดเพียงสองจานเท่านั้น เสร็จแล้วชายวัยกลางคนจึงถือจานมาวางไว้บนโต๊ะที่เถ้าแก่หลินนั่งอยู่“มีเพียงสองจานเท่านี้เองหรือ ไม่เป็นไร ยิ่งมีน้อยความต้องการยิ่งสูงราคายิ่งแพงตามไปด้วย อู๋เจ๋อ เจ้าให้พ่อครัวเตรียมวัตถุดิบทำสามสหายท่องหล้าขึ้นมาสักสิบจาน ข้าจะเอาไว้ปลอบใจให้กับคนที่ประมูลพะโล้แห้งไม่ได้” เถ้าแก่หลินเอ่ยสั่งงานหัวหน้าพ่อครัวด้วยอารมณ์ที
หลินไห่ จางอี้เทา จางอี้หมิง รวมทั้งซีฮันเข้ามายังห้องครัว เท้ายังไม่พ้นประตูดี อู๋เจ๋อที่รออยู่ข้างในครัวด้วยความกระวนกระวายถึงกับถลาเดินเข้ามาหาทั้งสองคนด้วยใบหน้าตื่นตูม“หมิงหมิงน้อย เจ้ากลับมาแล้ว เถ้าแก่เป็นเช่นไรบ้างขอรับ”ใครจะคิดว่าอาหารสูตรบ้านจางจะส่งอิทธิพลขนาดนั้น หลินไห่พยักหน้าตอบพ่อครัว เขากับจางอี้เทาเดินเลี่ยงไปนั่งตรงมุมพักผ่อนเช่นเดิม“ท่านลุงอู๋ พะโล้ได้ที่แล้วกระมังขอรับ รบกวนท่านลุงอู๋ชิมดูได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามหัวหน้าพ่อครัว “ลุงก็ไม่รู้ว่าพะโล้สุกได้ที่แล้วหรือไม่ เพราะหมิงหมิงน้อยเพียงแต่บอกให้ตุ๋นรอเจ้ากลับมา ลุงจะยกลงก็เกรงว่าจะผิดสูตร จึงได้แต่รอเจ้ากลับมานี่แหละ” อู๋เจ๋อเรียกสติของตนเองและตอบกลับ“ท่านลุงลองชิมพะโล้ดูก่อนขอรับ ถ้าเนื้อหมูนุ่ม ซอส เอ่อ น้ำแกงเหลือขลุกขลิก รสชาติใช้ได้แล้วก็ยกลงได้เลย ลองให้ท่านปู่หลินช่วยชิมดูอีกคนก็ได้ขอรับ” อู๋เจ๋อเดินไปที่เตาหม้อตุ๋นหมูพะโล้ เขาก้มลงดูอาหารด้านใน เมื่อเห็นว่าน้ำแกงแห้งขอด มีเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยตามที่เด็กชายได้เอ่ยบอกไว้ เขาจึงหยิบจานใบเล็กมาตักหมูพะโล้วางลงไป แล้วจึงปิดฝาหม้อไว้เช่นเดิม
หน้าเหลาอาหารซิ่งฝูในตอนนี้มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินวนเวียนไปมาอย่างร้อนใจ ซีฮันชะเง้อคอมองหาสองพ่อลูกเจ้าของสูตรอาหาร และเมื่อเห็นว่าทั้งคู่เดินกลับมาแล้วจึงรีบปรี่เข้าไปหาโดยไม่รอให้จางอี้เทาและจางอี้หมิงเดินมาถึงหน้าเหลาอาหารเสียด้วยซ้ำ บุรุษบ้านจางต่างวัยขมวดคิ้วพร้อมกันด้วยความสงสัยเกิดเหตุอันใดขึ้นระหว่างที่พวกเขาสองคนพ่อลูกไปขายผ้าปักเช่นนั้นหรือ“พี่อี้เทา หมิงหมิงน้อย พวกเจ้ากลับมาแล้ว รีบขึ้นไปหาเถ้าแก่และท่านลุงอู๋โดยเร็วเถอะ” ซีฮันไม่ปล่อยให้สองพ่อลูกเอ่ยถามอันใด เขารีบบอกออกไปทันที“อาฮัน เกิดอันใดขึ้นเช่นนั้นหรือ” อี้เทาถามออกไปด้วยความข้องใจ“เถ้าแก่น่ะสิ ร้อนใจอยากให้พวกเจ้ารีบกลับมาตั้งนานแล้ว เจ้าไม่รู้อันใดเสียแล้วว่าพะโล้มันส่งกลิ่นรบกวนทุกคน ลูกค้าที่มากินอาหารที่เหลาโวยวายเสียงดังยกใหญ่” ซีฮันบอกด้วยเสียงเครียดขรึม“พะโล้ส่งกลิ่นรบกวนลูกค้าเช่นนั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน” อี้หมิงพึมพำกับตนเองเบา ๆหรือว่ามีปัญหาในขั้นตอนการปรุง แต่เขาจำได้ว่าในการปรุงพะโล้ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการหมักไปจนถึงการตุ๋น ก่อนที่เขาจะออกจากร้านไป มันไม่มีขั้นตอนไหนผิดพลาดนี่นา“พวก