#หลายวันต่อมา
ไพลินมาทำงานตามปกติ วันนี้เป็นคืนวันศุกร์ ลูกค้าก็ค่อนข้างที่จะเยอะกว่าปกติ แต่มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนักร้องกลางคืนอย่างเธอ คืนนี้เจ๊สวยคนดูแลนักร้องในผับเลยจัดชุดพิเศษให้ไพลิน เพื่อให้เธอรีดเงินจากลูกค้าให้ได้เยอะที่สุด
เมื่อถึงเวลาขึ้นโชว์ ไพลินก็ก้าวขึ้นเวทีด้วยความเฉิดฉาย ทุกสายตาจับจ้องมาที่เธอเป็นสายตาเดียวกัน เช่นเดียวกับวนิดาที่กำลังเหยียดยิ้มมองกาฝากของบ้านด้วยสายตาชิงชัง
“พี่นนท์ดูสิคะ ยัยเด็กกาฝากเป็นอย่างที่คุณแม่พูดจริงๆ ด้วยค่ะ” วนิดาพูดพร้อมกับชี้ไปยังร่างสวยที่กำลังร้องเพลงอยู่บนเวที
วรานนท์มองไปตามที่น้องสาวบอก แต่ก็ไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไร เขามองคนที่อยู่บนเวทีด้วยสายตานิ่งๆ เหมือนไม่ได้สนใจอะไร แต่ข้างในกลับรู้สึกหงุดหงิดและคาดโทษหญิงสาวที่กำลังเต้นเย้ายวนโดยไม่แคร์สายตาใคร
“นั่นน้องสาวนายไม่ใช่หรอ” ชาญวิทย์หันไปถามวรานนท์สลับกับมองสาวสวยที่อยู่บนเวที ที่ชาญวิทย์รู้จักไพลินก็เพราะเคยเห็นตอนไปงานศพพ่อของวรานนท์
“อืม” วรานนท์ตอบเสียงเรียบ แต่สายตายังคงจ้องไปยังร่างสาวสวยที่อยู่บนเวที เพราะแบบนี้สินะเธอถึงออกจากบ้านแทบทุกคืน
“ทำไมไม่บอกกันเลยว่ะ ว่าเธอร้องเพลงอยู่ที่นี่ ถ้ารู้ว่าน้องลินคนสวยมาร้องเพลงอยู่นี่ ฉันจะมาทุกคืนเลย” ชาญวิทย์พูดขึ้นมาแล้วมองคนที่อยู่บนเวทีด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ความสวยของไพลินสะกดใจของเขาจนละสายตาไม่ได้
“พี่นนท์จะบอกได้ยังไงล่ะคะ พี่นนท์เองก็พึ่งรู้เหมือนกันค่ะ” วนิดาพูดแทนพี่ชาย
“จริงเหรอ อยู่บ้านเดียวกันทำไมถึงไม่รู้ล่ะ” ชาญวิทย์ขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย
“ก็นัง... ยัยลินชอบทำตัวแบบนี้ไงคะ คุณแม่ก็เลยไม่ชอบ แล้วยังสั่งห้ามไม่ให้ดากับพี่นนท์ไปยุ่งด้วย”
“ร้องเพลงมันไม่ดีตรงไหน?”
“พี่ชาญยังไม่รู้อะไร คุณแม่เล่าให้ดาฟังว่ายัยลินขายตัวด้วยนะคะ แค่ร้องเพลงบังหน้าเฉยๆ”
“จริงหรอว่ะนนท์” ได้ยินวนิดาพูดแบบนี้ ชาญวิทย์ถึงกับอยากรู้เข้าไปใหญ่
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงสวยๆ อย่างไพลินจะทำอะไรแบบนี้”
“ไม่รู้สิ อยากรู้ก็ไปถามเอง” วรานนท์พูดออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด เขาเองก็สงสัยจนอยากจะเดินไปลากคนที่อยู่บนเวทีลงมาถามให้รู้แล้วรู้รอด
เมื่อเห็นเพื่อนทำท่าทางไม่สบอารมณ์ ชาญวิทย์ก็ไม่เซ้าซี้เรื่องแค่นี้เขาจัดการเอาเองก็ได้ เพราะเขาก็รู้จักกับเจ้าของผับนี้อยู่แล้ว
…
หลังจากร้องเพลงเสร็จ ไพลินก็ลงมาพักที่ห้องพักแล้วก็รอรับเงินค่าตัวจากเจ๊สวย
“ลินจ้ะ วันนี้หนูรีบหรือเปล่า มีธุระที่ไหนมั้ย” เจ๊สวยถามด้วยท่าทางเกรงใจ
“ไม่มีค่ะ เจ๊มีอะไรหรือเปล่าคะ” ไพลินถามออกไปด้วยท่าทางอยากรู้ เพราะเจ๊สวยไม่เคยมีท่าทีแบบนี้สักครั้ง
“พอดีว่าวันนี้คุณกฤษพาลูกค้าคนสำคัญมาเที่ยวแล้วลูกค้าเกิดถูกใจหนู แล้วอยากให้หนูไปนั่งด้วย หนูสะดวกหรือเปล่า” เจ๊สวยพูดออกไปด้วยท่าทางเกรงใจ เพราะรู้ดีว่าไพลินไม่รับงานนอก แล้วยังเป็นเด็กดีมากๆ แต่ที่เจ๊สวยมาขอให้ไพลินไปนั่งกับแขกวันนี้เพราะเป็นลูกค้าคนสำคัญของเจ้านาย
“ก็ได้ค่ะ” ไพลินเห็นท่าทางของเจ๊สวยที่เหมือนจะลำบากใจ ก็เลยอยากจะช่วย ก็แค่ไปนั่งกับลูกค้าคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
“ขอบใจนะ เจ๊รับลองว่ามันคุ้มแน่นอน ลูกค้าแบบนี้กระเป๋าหนัก”
“ค่ะ”
“ถ้างั้นตามเจ๊มาเลย” เจ๊สวยเดินนำนักร้องสาวมายังโต๊ะวีไอพีที่มีนักธุรกิจหนุ่มนั่งอยู่สามคน หนึ่งในนั้นคือเจ้านายของเธอ
สามหนุ่มมองมาที่นักร้องสาวเป็นตาเดียว สายตาบ่งบอกความต้องการอย่างเห็นได้ชัด แต่คนที่ถูกมองกลับไร้เดียงสาเกินที่จะดูออก
“สวัสดีค่ะท่าน” เจ๊สวยกล่าวทักทายแขกคนสำคัญของเจ้านายอย่างสุภาพ แต่พวกเขากลับไม่สนใจที่จะมองเจ๊สวยแม้แต่น้อย สายตายังคงอยู่ที่ร่างสวย ที่อยู่ในชุดเดรสสั้นสีแดงช้ำ
“ชื่ออะไรครับ?” ชายคนแรกถามขึ้นมา
“ไพลินค่ะ” หญิงสาวตอบไปตามมารยาท
“ดูแลลูกค้าคนสำคัญของท่านให้ดีนะ” เจ๊สวยบอกไพลินก่อนจะขอตัวเดินออกมา
ส่วนไพลินก็นั่งอยู่เงียบๆ ไม่รู้จะทำอะไร เพราะเธอไม่เคยเป็นเด็กนั่งดริ้งมาก่อน
“ไม่ต้องเกร็ง ทำตัวตามสบายเลย” กฤษณะเจ้านายหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่สายตาก็แสดงออกว่าต้องการในตัวหญิงสาวอยู่ไม่น้อย
ไพลินยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น แต่ก็มีพูดคุยบ้างเวลาโดนถาม แต่ที่เธอไม่ชอบคือสายตาของเพื่อนเจ้านายที่กำลังลวนลามเธอผ่านสายตา
“มานั่งตรงนี้สิ ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
กฤษณะพูดขึ้นพร้อมตบลงที่ข้างๆ แล้วมองหญิงสาวเชิงออกคำสั่ง เห็นอย่างนั้นไพลินก็ยอมลุกไปอย่างขัดไม่ได้ เพราะเธอต้องอาศัยอาชีพนี้ไปอีกสักพัก จนกว่าเธอจะตั้งตัวได้ และไม่คิดว่าวนิดากับพี่ชายจะเห็น
“หน้าไม่อายจริงๆ เห็นทีต้องถ่ายรูปไปให้คุณแม่ดูซะแล้ว คุณแม่จะได้ไล่มันออกจากบ้านสักที”
วนิดาพูดขึ้นมาพร้อมล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋า
“เธอจะทำอะไรมันก็เรื่องของเธอ จะไปสนใจทำไม”
วรานนท์พูดขึ้นมาพร้อมกระดกเหล้าเข้าปาก แต่สายตายังคงจับจ้องไปยังร่างสวยที่นั่งให้ผู้ชายแทะโลมอย่างไม่วางตา
#เวลา 00:30 น.นักร้องสาววัยละอ่อนนั่งตัวเกร็งอยู่ท่ามกลางชายหนุ่มที่เมาได้ที่ เธอไม่กล้าที่จะหนีไปไหนแม้ว่าจะโดนลวนลามอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้วยคือเจ้านายของเธอ“คืนนี้ไปต่อกับเฮียมั้ยคนสวย”“ขอโทษนะคะ พอดีลินมีงานต่อ” ไพลินพยายามใช้คำพูดที่สุภาพและถอยห่างจากคนเมา กลิ่นแอลกอฮอล์ที่รุนแรงทำให้เธอรู้สึกเวียนหัวไปด้วย“เฮียรอได้ ปกติหนูลินเสร็จงานตอนไหน แล้วคิดราคาเป็นคืนหรือชั่วโมงบอกได้เลย เฮียพร้อมจ่าย”ไพลินถึงกับหมดความอดทนกับคำถามสองแง่สองง่ามของเพื่อนเจ้านาย พูดแบบนี้มันไม่ให้เกียรติกันชัดๆ“ลินต้องกลับแล้วค่ะ ขอตัวนะคะ”ร่างสวยลุกขึ้นทันทีที่พูดจบ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความโกรธ ทำไมผู้ชายถึงชอบทำตัวแบบนี้นะ คิดว่าคนทำงานกลางคืนจะขายตัวทุกคนเลยหรือไง ไพลินได้แต่บ่นในใจก่อนที่เธอจะถูกฉุดกระชากเข้าไปยังมุมมืด“อือ…”มือหนาที่ปิดปากไว้ทำให้ไพลินได้แต่ส่งเสียงร้องอู้อี้ออกมา และพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดตลอดทางที่ชายร่างโตพาก้าวเดินไป กลิ่นแอลกอฮอล์ที่รุนแรงเพิ่มความหวาดกลัวให้ไพลินเป็นอย่างมาก“ไปสนุกกันนะคนสวย อ๊ะ! โอ๊ย!”คนเลวเอ่ยออกมาและพยายามลวนลามหญิงสาวอย่างคนหื่
“ขายครั้งละเท่าไหร่ ลองเสนอราคามาสิ ฉันจะช่วยซื้อให้เผื่อเธอจะมีเงิน แล้วออกไปจากที่นี่เร็วขึ้น”คำถามของวรานนท์ยังคงก้องอยู่ในหัวของไพลินจนเธอจุกหน่วงไปทั้งใจ เธอได้แต่มองผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาผิดหวัง ไม่คิดเลยว่าคนที่เธอเคารพและรักตั้งแต่แรกเจอจะพูดกับเธอแบบนี้ แล้วยิ่งสายตาที่เขามองมา ก็ยิ่งตอกย้ำว่าเขาก็รังเกียจเธอเหมือนแม่และน้องสาวของเขา หัวใจดวงน้อยบีบรัดจนปวดหนึบ“ว่าไง!! ปกติเธอขายครั้งละเท่าไหร่”วรานนท์ตะคอกออกไปด้วยน้ำเสียงโกรธจัด แทบความคุมสติไม่อยู่ เมื่อเห็นหญิงสาวเอาแต่จ้องหน้าของเขา แทนที่จะอธิบายความจริงให้เขาเข้าใจ“คุณนนท์จะถามทำไมคะ สนใจใช้บริการผู้หญิงอย่างลินด้วยเหรอ”ไพลินกลั้นใจถามออกไปอย่างเหลืออด ไม่ว่าจะทำยังไงเธอไม่เคยดีในสายตาของเขาอยู่แล้วหนิ“ฉันรู้... ว่าเธอรู้ความหมายในสิ่งที่ฉันพูด อย่าแกล้งทำตัวใสซื่อไปหน่อยเลย”วรานนท์พูดออกไปอย่างโกรธจัดแล้วบีบแขนของเธออย่างแรง ความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อหญิงสาวตอนนี้มันหายไปเกือบหมด ไม่คิดเลยว่าสาวน้อยในวันนั้นจะกลายมาเป็นสาวกร้านโลกแบบนี้“ถ้าคุณนนท์คิดแบบนั้น ลินก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัว แล้วไม่ต้องห่วงว่าลินจะอยู่ที่นี่น
‘ทำไมเธอถึง…?’วรานนท์ได้แต่นิ่งไม่กล้าขยับร่างกาย ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาสู่หัวใจแกร่งจนปวดหนึบไปหมด เขากล่าวหาว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างว่า แต่กลับเป็นเขาเองที่พรากความบริสุทธิ์ของเธอไปเพราะความเข้าใจผิดสายตาคมจับจ้องไปที่ใบหน้าสวยสลับกับเลือดบริสุทธิ์ที่เปื้อนที่นอนด้วยความสับสน ในเมื่อเธอไม่ได้ทำงานแบบนั้น ทำไมเธอถึงกลับบ้านดึกทุกวัน โดยเฉพาะวันนี้เธอกลับมาสภาพอิดโรยอย่างกับคนที่ผ่านศึกหนักมา ใบหน้าหล่อขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความสงสัย“คุณนนท์!! หยุดเถอะนะคะ ลินเจ็บ!!” เสียงหวานอ้อนวอนด้วยความเจ็บปวด เพราะเธอไม่อาจทนความเจ็บปวดนี้ได้จริงๆ มันเหมือนร่างกายกำลังจะฉีกขาดออกเป็นชิ้นๆ“ฉันหยุดไม่ได้” วรานนท์พูดเสียงอ่อนลงต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง“แต่ลินเจ็บ ลินไม่ไหวแล้ว” ไพลินยังคงอ้อนเสียงสั่น สิ่งที่เขากำลังทำกับเธอมันไม่เหมือนกับสิ่งที่เธอคิดไว้เลย“หยุดเถอะนะคะ ลินสัญญาว่าจะออกไปจากบ้านคุณนนท์พรุ่งนี้เลยค่ะ”ไพลินพูดในสิ่งที่เขาต้องการ เผื่อเขาจะหยุดความเจ็บปวดนี้สักที แต่คำพูดของเธอกลับทำให้เจ้าของบ้านไม่พอใจขึ้นมา เธอคิดจะไปจากที่นี่ทั้งๆ ที่เป็นของเขาแล้วงั้นเหรอ หรือว่าเธอมีคนที
“ทำไมเธอต้องทำขนาดนี้ด้วยลิน”ศรันย์ถามออกไปด้วยท่าทางไม่พอใจ นี่ขนาดพึ่งกลับมายังไม่เข้าบ้านเลยนะยังโดนใช้แล้ว ไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนอยู่ในบ้านเธอจะโดนใช้งานหนักขนาดไหน แค่คิดก็หงุดหงิดขึ้นมาแล้ว หากเป็นไปได้เขาอยากจะพาเธอไปอยู่ด้วยตอนนี้เลย“ก็แค่เปิดประตูเอง ไม่เห็นเป็นอะไรเลย นายก็กลับไปได้แล้ว”ไพลินยิ้มให้ศรันย์ก่อนจะหันหน้าเข้าบ้าน ทั้งที่ปกติต้องรอให้รถของศรันย์ออกไปก่อน แต่วันนี้เธอกลับดูรีบผิดปกติ เพราะอยากจะรีบเข้าไปอธิบายให้ทั้งสองคนที่พึ่งขับรถเข้าไปในบ้านได้เข้าใจว่าเธอกับศรันย์ไม่ได้เป็นอะไรกันไพลินกลับเข้ามาในห้องพักแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรีบร้อน พอเปลี่ยนเสร็จก็รีบเข้ามาที่บ้านใหญ่ทันที สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือไปอธิบายให้วนิดาเข้าใจก่อนว่าเธอไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับศรันย์“คุณหนูคะ” ไพลินรีบร้องเรียกวนิดาทันที ที่เธอเดินลงมาจากบนห้องพอดี“ยังกล้าเสนอหน้ามาให้ฉันเห็นอีกหรอ” วนิดาพูดออกมาด้วยท่าทางชิงชัง เพราะปกติเธอก็ไม่ชอบขี้หน้าไพลินอยู่แล้ว แล้วยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่ที่ไพลินไปสนิทกับศรันย์“ฉันกับศรันย์เราไม่ได้มีอะไรมากกว่าเพื่อนจริงๆ นะคะ ที่คุณหนูเห็นวันนี้ มันก็แ
- หลายวันต่อมา -“ทำไมวันนี้อารมณ์ดีจังเลยจ๊ะ” เสียงป้าอิ่มแซวไพลินที่ยืนล้างจานไปยิ้มไปท่าทางมีความสุขเหลือเกิน แล้วพักนี้ยังดูมีความสุขผิดปกติ จนน่าสงสัย แต่ป้าอิ่มก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไร เพราะวัยนี้เป็นวัยที่กำลังอยู่ในช่วงอินเลิฟ“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ลินก็แค่คิดอะไรเพลินๆ” ไพลินหันมายิ้มให้ป้าอิ่ม ก่อนจะหันไปล้างจานต่อตอนนี้ไพลินอยากจะหมุนเวลาให้มันไปถึงตอนสี่ทุ่มเร็วๆ เหลือเกิน เพราะจะได้ขึ้นไปหาคนที่หัวใจเรียกร้องสักทีLINE!!!!เสียงไลน์ดังขึ้นมา ทำให้ไพลินต้องล้างมือแล้วมาล้วงมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาดู เผื่อจะเป็นคนสำคัญส่งมา แต่ก็ไม่ใช่...Risa : ลินทำอะไรอยู่ คืนนี้แกว่างมั้ยพออ่านไลน์ที่ริสาส่งมา ไพลินขมวดคิ้วด้วยท่าทางสงสัย ก่อนจะตอบกลับไปPilin : ทำไมหรอ?ไพลินถามออกไป แล้วรอคำตอบ ปกติริสาไม่เคยส่งไลน์มาเวลานี้ แล้วที่สำคัญพักนี้ริสาก็ไม่ค่อยพูดกับเธอด้วยRisa : ฉันมีเรื่องกลุ้มใจนิดหน่อย อยากจะไปดื่ม แกออกไปเป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ยPilin : ได้สิ ไปตอนไหนหรอRisa : สองทุ่มPilin : โอเคหลังจากที่คุยไลน์เสร็จไพลินก็หันไปบอกป้าอิ่ม ป้าอิ่มก็บอกให้มาขออนุญาตคุณหญิงก่อนตา
หลังจากที่ศรันย์มาส่ง ไพลินก็รีบกลับเข้ามาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วแอบดูคนในบ้าน ว่านอนหลับหรือยัง ถ้านอนหลับแล้วเธอจะได้ขึ้นไปหาเจ้าของหัวใจเหมือนที่เคยทำLINE!!!!เมื่อเสียงไลน์ดังขึ้นมา ใบหน้าสวยก็ฉีกยิ้มออกมาทันทีVaranon : ต่อไปนี้ ไม่ต้องขึ้นมาอีกแต่พออ่านข้อความที่ส่งมา รอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าสวยทันที หัวใจดวงน้อยเจ็บหน่วงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็ไม่เข้าใจเลยว่าที่เขาส่งมาคืออะไร หรือว่าเธอทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่าไพลินเดินวนไปวนมารอบห้อง ด้วยท่าทางร้อนใจ ทั้งๆ ที่เขาก็บอกแล้วว่าไม่ต้องไปหา แต่เธอกลับอยากขึ้นไปจนใจจะขาด แต่ก็กลัวจะโดนไล่ออกมา...หลายวันต่อมา...“ทำไมวันนี้ไม่ยิ้มเลยล่ะ มีอะไรหรือเปล่า” ป้าอิ่มถามไพลินที่นั่งทานข้าวอยู่เงียบๆ จากที่เคยอารมณ์ดี ยิ้มแทบตลอดเวลา แต่พักนี้เธอกลับดูเศร้าๆ“ไม่มีอะไรหรอกค่ะป้า ลินแค่คิดเรื่องเรียน” ไพลินแกล้งตอบไป ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ คิดจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นเลยหลายวันมานี้วรานนท์เอาแต่หลบหน้าเธอ เวลาเจอกันก็มักจะเดินหนี แล้วยังทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน จนเธออึดอัดไปหมด อยากจะถามเรื่องข้อความนั้นให้รู้
หลังจากเรียนเสร็จไพลินก็รีบเก็บกระเป๋า เพราะอยากจะเคลียร์กับริสา แต่พอก้มเก็บของใส่กระเป๋าแค่แปปเดียว ริสาก็ออกไปซะแล้ว ไพลินรีบเดินตามออกมาก็เห็นแต่หลังเท่านั้น“ออกมาไม่รอเลยนะ” ศรันย์เดินตามไพลินออกมาติดๆ“ริสาเป็นอะไร นายรู้มั้ย?” ไพลินมองหน้าศรันย์ด้วยความไม่เข้าใจ ปกติริสาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ไม่รู้ว่าโกรธอะไรเธอหรือเปล่า“ไม่รู้สิ ไม่ต้องไปสนใจหรอก เดี๋ยวฉันไปคุยให้” ศรันย์ตอบไปด้วยท่าทางปกติ แล้วช่วยถือกระเป๋าให้ไพลินเหมือนทุกครั้ง ทั้งสองคนเดินคุยกันมาที่รถ โดยไม่รู้ว่ามีสายตาของหลายคนแอบมองอยู่..ไพลินกลับมาบ้านด้วยความอึดอัดใจ นึกถึงแต่เรื่องของริสาวนไปวนมา ไพลินคิดว่าริสาต้องโกรธเธอแน่ๆ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าริสาโกรธเธอเรื่องอะไร“ลินจ๊ะ” เสียงป้าอิ่มมาเคาะประตูห้องเรียก ไพลินเลิกคิดมากแล้วรีบเดินออกไปเปิดทันที“มีอะไรหรอคะป้า”“คุณนนท์สั่งไว้ว่า ถ้าลินกลับมา ให้ลินไปทำความสะอาดห้องทำงานให้ ลินว่างหรือเปล่า” ป้าอิ่มพูดด้วยท่าทางใจดี แต่พอได้ยินชื่อของคนที่อยู่ในใจ ไพลินก็รู้สึกหน่วงขึ้นมาที่ใจทันที“เอ่อ... แล้วคุณนนท์กลับมาหรือยังคะ” ไพลินถามออกไปเสียงเบาเพราะไม่
“ลินไม่มีแฟนหรอกค่ะ คุณนนท์จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ”คำพูดและท่าทางแง่งอนของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มให้วรานนท์ได้เป็นอย่างดี ความหงุดหงิดก่อนหน้านี้หายไปเป็นจนหมด เขาไม่รู้ว่าตอนนี้… เขาต้องเป็นฝ่ายง้อเธอหรือให้เธอง้อเขากันแน่ เพราะดูท่าทางเธอจะงอนเรื่องที่ได้ยินวันนั้น…“มานี่ซิ!!” วรานนท์สั่งออกไปเสียงเข้ม มือหนาตบที่นั่งข้างๆ แล้วเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าสบาย สายตาคมหลี่มองร่างสวยด้วยท่าทางดุดัน จนเธอยอมเดินมา“มีอะไรหรอคะ?” ไพลินเดินมาหยุดตรงหน้าของวรานนท์ ด้วยท่าทางนิ่งๆ สายตาหยุดต่ำไม่กล้าสบตาเขา เพราะกลัวจะห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้หมับ!!ร่างบางถูกฉุดลงมานั่งที่ตักแกร่งอย่างรวดเร็ว สองแขนแกร่งกอดรัดเอวบางไว้ไม่ให้ลุกขึ้น“คุณนนท์จะทำอะไรคะ?” ไพลินถามออกไปด้วยท่าทางตื่นกลัว แล้วมองใบหน้าหล่อด้วยสายตาสงสัยตึกตัก!! ตึกตัก!!พอได้อยู่ใกล้กันอีกครั้ง หัวใจดวงน้อยก็เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาจนต้องก้มหน้าหลบความเขิน“ทำเหมือนที่เราเคยทำไง” เขากระซิบข้างหูของเธอด้วยน้ำเสียงแหบพล่า ใบหน้าหล่อซุกไซ้ดมกลิ่นหอมจากซอกคอขาว จนร่างบางขนลุกชัน“ไม่ได้นะคะ” ไพลินรีบดึงสติกลับมา ก่อนที่อะไ
- สองวันต่อมา -@บ้านกิตติคุณเวลา 10.00 น.หลังจากที่วรานนท์ได้ออกจากโรงพยาบาลก็กลับมาพักฟื้นที่บ้าน คุณหญิงวรมลต่างให้แม่บ้านจัดเตรียมอาหารต้อนรับลูกชายกลับบ้าน มีทั้งอาหารคาวหวานต่างๆ มากมายหลายเมนู พร้อมกับจัดเตรียมห้องไว้สำหรับไพลินกับวรานนท์หลังจากที่เรื่องไม่ดีต่างๆ ผ่านไปก็ย่อมมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น อย่างที่เขาว่ากันว่า... ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ... ชีวิตของไพลินก็เช่นกันบนโต๊ะอาหารที่มีอาหารต่างๆ หลากหลายเมนูให้เลือกทานที่ถูกจัดแต่งไว้บนโต๊ะอย่างสวยงาม ที่โต๊ะอาหารกลับมีคนนั่งอยู่แค่เพียงสี่คน แต่กลับทำอาหารเยอะแยะมากมายราวกับทำเอาไว้เลี้ยงคนทั้งซอยไพลินนั่งมองอาหารด้วยท่าทางตื่นเต้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้มานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับคุณหญิงวรมลและวนิดา ครั้งก่อนเธอยังได้ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ของบ้านหลังนี้อยู่เลย แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้...ไพลินยังคงตื่นเต้นอยู่ภายในใจไม่หาย“ทานเยอะๆ นะตานนท์... ไพลินก็ด้วยนะ” คุณหญิงบอกลูกชายอย่างห่วงใย ก่อนที่จะหันไปบอกไพลินด้วยความเป็นห่วงหลานที่อยู่ในท้องของเธอ“ค่ะ... คุณหญิง” ไพลินพูดออกมาอย่างอ่อนน้อม“คุณหญิงอะไรหล่ะ เรียกคุณแม่แบบตา
- สองเดือนต่อมา -ไพลินนั่งมองวรานนท์อย่างอ่อนใจ วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธออยู่ดูแลวรานนท์แทบจะตลอดเวลา ใช้ชีวิตทุกอย่างอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ว่าจะกินข้าว จะนอน จะอาบน้ำ เธอแทบจะไม่ได้ออกไปไหน เรียกได้ว่าโรงพยาบาลจนแทบจะเป็นบ้านของเธอกับวรานนท์อีกหลังเลยก็ว่าได้ไพลินไม่อยากออกไปไหนเพราะกลัวว่าวรานนท์จะตื่นมาไม่เจอเธอ ในทุกๆ วันจะมีคุณหมอและพยาบาลเข้ามาตรวจและดูแลวรานนท์อยู่ตลอด ไพลินก็จะจัดดอกไม้ภายในห้องให้ดูสดใสและสวยงามอยู่ตลอดเช่นกัน เพราะเธอเชื่อว่าดอกไม้จะทำให้วรานนท์สดชื่นและจะได้รีบฟื้นขึ้นมาหาเธอกับลูกในเร็วๆส่วนคุณหญิงวรมลกับวนิดาก็วิ่งวุ่นอยู่กับเรื่องงาน เพราะตั้งแต่ที่วรานนท์เกิดอุบัติเหตุ หุ้นในบริษัทก็ลดลง จนคุณหญิงกับวนิดาต้องเข้าไปช่วยกันบริหารต่อจากวรานนท์ ส่วนเรื่องที่โรงพยาบาลไพลินอาสาที่จะดูแลวรานนท์ให้ ในตอนแรกคุณหญิงไม่ยอมเพราะเป็นห่วงหลานคนแรกทีี่อยู่ในท้องของไพลิน แต่ไพลินก็ดื้อไม่ยอม ยังคงยืนยันที่จะเป็นคนดูแลวรานนท์ คุณหญิงวรมลจึงจำยอมอย่างขัดไม่ได้ แต่คุณหญิงกับวนิดาก็เข้ามาหาไพลินกับวรานนท์ที่โรงพยาบาลทุกวัน“ลินอยากให้พี่นนท์ตื่นขึ้นมาเร็วๆ จัง อีกไม่กี
“สวัสดี... ไพลิน” อยู่ๆ ก็มีเสียงแหบของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยทักทายไพลินขึ้นมา“อะ เอ่อ... สวัสดีค่ะ”ไพลินตกใจเมื่อได้ยินเสียงและเห็นบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน จนเธอรู้สึกกลัวขึ้นมาเพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้นคือคุณหญิงวรมลกับวนิดานั่นเอง“ทำไมเธอถึง...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ต้องหยุดพูดเสียก่อน“ลินไม่ได้เป็นคนบอกเรื่องนี้ให้คุณชาญรู้นะคะ... ลินจะไม่กลับไปหาคุณนนท์อีก ลินสัญญาค่ะ แต่...” ไพลินรีบพูดสวนขึ้นมาทันที เพราะกลัวคุณหญิงวรมลจะเข้าใจผิด ก่อนที่เธอจะเว้นระยะของคำพูดไว้“ลินอยากรู้แค่ว่า... ตอนนี้คุณนนท์เป็นยังไงบ้างคะ” ไพลินก้มหน้าก้มตาพูดออกมาด้วยความกลัวคุณหญิง“ตานนท์จะเป็นหนักกว่านี้ก็เพราะเธอนั้นแหละ!!” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเรียบ พร้อมกับมองหน้าของไพลินด้วยสีหน้าและท่าทางเคร่งเครียด“คุณแม่คะ...” วนิดารีบพูดขึ้นเพื่อเตือนให้คนเป็นแม่ใจเย็นๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามแผนที่เธอวางไว้ แต่คุณหญิงก็ทำหูทวนลมไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูดเลยแม้แต่น้อย“ลินขอโทษนะคะ” ไพลินพูดออกมาเสียงเบา ด้วยท่าทางที่รู้สึกผิด“ขอโทษเหรอ... ขอโทษแล้ว
หลังจากที่ชาญวิทย์นั่งคุยเรื่องแผนการที่จะทำให้ไพลินกลับมา กับวนิดาและคุณหญิงวรมลอย่างเข้าใจกันในทุกฝ่ายแล้ว ชาญวิทย์จึงขอตัวกลับก่อน ถึงแม้คุณหญิงวรมลกับวนิดาจะยังไม่อยากให้กลับและขอร้องให้เขาอยู่จนไพลินโทรกลับมาก็ตาม ชาญวิทย์จึงจำเป็นต้องโกหกว่าต้องเข้าไปทำงานที่บริษัท คุณหญิงวรมลจึงให้เขากลับก่อน ได้เรื่องยังไงให้รีบโทรมาบอกวนิดากับคุณหญิงวรมลทันที...ชาญวิทย์ขับรถออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นานเสียงโทรศัพท์ของชาญวิทย์ก็ดังขึ้น...สายตาคมมองทางข้างหน้าอย่างตั้งใจ มือหนารีบควานหาโทรศัพท์เพื่อจะได้ดูว่าใครที่โทรมา และชาญวิทย์ก็รีบกดรับสายทันทีที่เห็นว่าเป็นไพลินโทรมา“ครับน้องลิน” ชาญวิทย์ไม่รอช้ารีบพูดทักทายขึ้นมาทันที(พี่นนท์เป็นยังไงบ้างคะ?) ไพลินเองก็รีบถามออกมาทันทีด้วยความเป็นห่วงคนรัก“เอ่อ... คือว่า...” ชาญวิทย์พูดออกมาตะกุกตะกัก เพราะยังไม่ได้เตรียมคำพูดที่จะพูดกับไพลิน(คืออะไรคะ... พี่นนท์เป็นอะไร?) ไพลินคิดไปไกลกับท่าทางและคำพูดที่ฟังดูไม่ค่อยสู้ดีนักของชาญวิทย์ จึงรีบถามขึ้นมาทันที“น้องลินว่างมั้ยครับ... ออกมาเจอพี่ที่ร้านกาแฟxxxหน่อยได้มั้ย พี่จะบอกอาการของไอ้นนท์ให้น้องลินฟ
@โรงพยาบาลxxx“คิดอะไรอยู่เหรอยัยดา?” คุณหญิงวรมลเอ่ยถามวนิดาออกมาด้วยความสงสัย เพราะเห็นวนิดาเอาแต่นั่งเหม่อ ไม่สนใจอะไรอยู่สักพักแล้ว“คะคุณแม่...” วนิดาถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงของคุณหญิงวรมลพูดขึ้น แต่ด้วยใจที่เหม่อลอยจึงทำให้เธอไม่ได้ยินในสิ่งที่คุณหญิงวรมลพูดออกมาสักเท่าไหร่ เธอจึงถามออกไปทันทีที่มีสติขึ้นมา“แม่ถามว่าเป็นอะไร... คิดอะไรอยู่ถึงได้นั่งเหม่อขนาดนี้” คุณหญิงวรมลจึงถามออกมาด้วยความสงสัยอีกครั้ง“คือ... ดากำลังคิดอยู่ค่ะว่าจะไปตามหาไพลินที่ไหนได้บ้าง” วนิดาพูดออกมาด้วยท่าทางที่คิดหนัก เพราะเธอไม่รู้ว่าไพลินจะไปอยู่ที่ไหนหรือว่าจะไปอยู่กับใคร นอกจากบ้านของเธอกับคอนโดของวรานนท์แล้วไพลินก็ไม่เคยไปอยู่ที่ไหนกับใครเลยสักครั้ง“จริงด้วยสิ...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเบา ก่อนที่จะเดินไปหาวรานนท์ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง“แม่จะทำยังไงดีตานนท์...” คุณหญิงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เตียง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับมือของวรานนท์เอาไว้ด้วยความหนักใจ ไม่รู้ว่าจะไปตามหาไพลินที่ไหน..ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!“สวัสดีครับ...”ทันทีที่เสียงเคาะประตูเงียบลง ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของชาญวิทย์ดังขึ้
- วันต่อมา -“เป็นยังไงบ้างยัยดา?”คุณหญิงวรมลเอ่ยถามลูกสาวออกมาเสียงเรียบ ทันทีที่เดินเข้ามายังห้องที่วรานนท์พักฟื้นอยู่“อาการก็ยังเหมือนเดิมค่ะคุณแม่” วนิดาพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ไม่อยากให้คุณหญิงวรมลต้องเป็นห่วง“ถ้าตานนท์ตื่นขึ้นมาเร็วๆ ก็คงจะดี...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเศร้า“คุณแม่คะ... ดามีเรื่องจะคุยกับคุณแม่ค่ะ” วนิดาพูดออกมาด้วยท่าทางที่จริงจัง“เรื่องอะไร?” คุณหญิงวรมลถามออกมาด้วยความสงสัยเมื่อได้เห็นท่าทางของลูกสาว“เรื่อง... ลินค่ะ” วนิดาพูดออกมาเสียงเรียบ“ดา... แม่ว่าเราอย่า...” คุณหญิงวรมลที่กำลังจะห้ามลูกสาวไม่ให้พูดถึงไพลิน แต่คุณหญิงพูดยังไม่ทันจบ วนิดาก็พูดสวนขึ้นมาทันที“คุณแม่ไม่อยากช่วยให้พี่นนท์ฟื้นเหรอคะ” วนิดาพูดออกมาด้วยความอยากรู้คุณหญิงวรมลนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา เพราะรู้ดีว่าวนิดากำลังคิดจะทำอะไร“คุณแม่ลองคิดดูดีๆ นะคะ ที่พี่นนท์ต้องเป็นแบบนี้เพราะใคร” วนิดาพูดออกมาพร้อมกับมองหน้าผู้เป็นแม่อย่างรอคำตอบ“ก็เพราะนังลินไง!! ตานนท์ถึงต้องเป็นแบบนี้!!” คุณหญิงวรมลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจงเกลียดจงชัง“คุณแม่คะ…” วนิดามองหน้าคุณแม่อย่างไม่เข้าใจคุณหญิง
บรึ้มมมมโคร่มมมมม!!!!!!!!!!ภายในเวลาไม่นานก็มีเสียงอุบัติเหตุดังขึ้นมาเสียงดัง ผู้คนมากมายที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็รีบเข้าไปดูและรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยเหลือยังจุดเกิดเหตุทันทีอุบัติเหตุในครั้งนี้พบเป็นรถเก๋งคันหรูขับมาด้วยความเร็วพุ่งชนกับรถสิบล้อขนส่งสินค้าของบริษัทแห่งหนึ่ง จนทำให้มีผู้บาดเจ็บสาหัสหนึ่งคน นั่นก็คือวรานนท์...เสียงโทรศัพท์มือถือของคุณวรมลดังขึ้นมาเสียงดัง“สวัสดีค่ะ” เสียงปลายสายพูดขึ้นมาเสียงเรียบทันทีที่รู้ว่าคุณหญิงวรมลนั้นกดรับสาย“ค่ะ” คุณหญิงวรมลพูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก“ญาติของคุณวรานนท์ใช่มั้ยคะ?” เสียงหญิงสาวที่อยู่ปลายสายก็เอ่ยถามออกมาด้วยท่าทางเร่งรีบ“ค่ะ... ใช่ค่ะ ฉันเป็นแม่ของตานนท์ มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” คุณหญิงวรมลได้ยินเสียงหญิงสาวที่อยู่ปลายสายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงรีบถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงวรานนท์“ตอนนี้คุณวรานนท์เกิดอุบัติเหตุที่xxxและตอนนี้อยู่ที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลxxxค่ะ อาการของคนไข้ตอนนี้ห้าสิบห้าสิบ หน่วยแพทย์ฉุกเฉินกำลังช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ฉันจึงติดต่อเพื่อที่จะแจ้งให้ญาติทราบและมาดูอาการค่ะ” เสียงปล
@คอนโดวรานนท์ตลอดทางที่กลับมาจากเกาะไม่ว่าจะเป็นตอนนั่งเรือหรือตอนที่นั่งรถกลับมาที่คอนโด ตลอดทางไพลินได้แต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรจนมาถึงคอนโดเมื่อมาถึงคอนโด วรานนท์ก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที เพราะต้องรีบเข้าไปเคลียร์งานที่บริษัท“พี่จะเข้าบริษัทนะ” วรานนท์พูดออกมาเสียงเรียบเมื่อเห็นไพลินนั่งอยู่ที่โซฟาไพลินที่นั่งอยู่ก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มให้วรานนท์ทันที เธอพยายามทำตัวให้ปกติ ให้เหมือนกับทุกๆ วันและทุกๆ ครั้งที่ได้อยู่ด้วยกันกับเขา ถึงแม้ว่าข้างในใจเธอจะแตกสลายไปจนไม่เป็นชิ้นดี แต่เธอก็ต้องทำตัวให้เป็นปกติให้ได้ถึงใบหน้าสวยจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่ความจริงแล้วมีเพียงน้ำตาที่ไหลอยู่ภายใน วันนี้แล้วที่จะต้องจากเขาไป และนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ ที่จะได้มีความสุขด้วยกัน และได้เห็นรอยยิ้มของกันและกันแบบนี้ ทุกสิ่ง ทุกความทรงจำที่เกี่ยวกับเขา เธอจะเก็บทุกอย่างไว้ในใจตลอดไป...“ค่ะ... แล้วพี่นนท์จะกลับตอนไหนคะ?” ไพลินพูดออกมาเสียงเบา เมื่อได้เห็นว่าวรานนท์อยู่ในชุดที่พร้อมจะออกไปทำงาน ไม่ได้อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเหมือนกับชุดตอนที่ใส่กลับจากเกาะ“ตอนเย็นนะหรือไม่ก็อาจจะค่ำ
“ไปเดินเล่นกันเถอะค่ะพี่นนท์” ไพลินพูดออกไปทันทีที่เห็นวรานนท์นั่งเล่นอยู่ในห้องนั่งเล่น“อารมณ์ไหนเนี่ย?” ร่างหนาที่กำลังนั่งเล่นอยู่ก็ถามออกมาเสียงเรียบด้วยความสงสัยและแปลกใจ“คือ... ลินอยากไปดูพระอาทิตย์ตกค่ะ ลินอยากรู้ว่าตอนเช้าที่พระอาทิตย์ขึ้นกับตอนเย็นที่พระอาทิตย์ตกแบบไหนจะสวยกว่ากันค่ะ” ไพลินพูดออกไปด้วยท่าทางตื่นเต้นถึงภายนอกไพลินจะดูมีความสุขกับการที่ได้อยู่กับวรานนท์ แต่ภายในใจเธอกลับเต็มไปด้วยความเศร้า พรุ่งนี้เธอก็ต้องจากเขาไป จะไม่มีวันที่จะได้กลับมาเจอกันอีก“พี่ว่า... แบบลินสวยกว่านะ” ร่างหนาลุกขึ้นเดินไปจับมือไพลิน แล้วเดินออกจากบ้าน ตรงไปที่หาดทรายขาว โดยที่ไม่รู้เลยว่าร่างบางที่เดินอยู่ข้างๆ ตอนนี้เขินอายจนใบหน้าแดงกร่ำ เพราะคำพูดของเขา“ลินเคยมาทะเลมั้ย?” เมื่อเดินมาถึงชายหาด วรานนท์จึงเอ่ยถามไพลินขึ้นมาทันที“นี่เป็น... ครั้งแรกค่ะ” ไพลินพูดออกไปพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ“จริงเหรอ?” วรานนท์ถามย้ำออกไป เพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“จริงค่ะ... นี่เป็นครั้งแรกแล้วก็เป็นที่แรกด้วยค่ะ” ไพลินพูดออกไปตามความจริง“แปลกดีนะ” วรานนท์พูดออกไปด้วยท่าทางสงสัย“แปลก... แปลกอะ