- หลายวันต่อมา -“ทำไมวันนี้อารมณ์ดีจังเลยจ๊ะ” เสียงป้าอิ่มแซวไพลินที่ยืนล้างจานไปยิ้มไปท่าทางมีความสุขเหลือเกิน แล้วพักนี้ยังดูมีความสุขผิดปกติ จนน่าสงสัย แต่ป้าอิ่มก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไร เพราะวัยนี้เป็นวัยที่กำลังอยู่ในช่วงอินเลิฟ“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ลินก็แค่คิดอะไรเพลินๆ” ไพลินหันมายิ้มให้ป้าอิ่ม ก่อนจะหันไปล้างจานต่อตอนนี้ไพลินอยากจะหมุนเวลาให้มันไปถึงตอนสี่ทุ่มเร็วๆ เหลือเกิน เพราะจะได้ขึ้นไปหาคนที่หัวใจเรียกร้องสักทีLINE!!!!เสียงไลน์ดังขึ้นมา ทำให้ไพลินต้องล้างมือแล้วมาล้วงมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาดู เผื่อจะเป็นคนสำคัญส่งมา แต่ก็ไม่ใช่...Risa : ลินทำอะไรอยู่ คืนนี้แกว่างมั้ยพออ่านไลน์ที่ริสาส่งมา ไพลินขมวดคิ้วด้วยท่าทางสงสัย ก่อนจะตอบกลับไปPilin : ทำไมหรอ?ไพลินถามออกไป แล้วรอคำตอบ ปกติริสาไม่เคยส่งไลน์มาเวลานี้ แล้วที่สำคัญพักนี้ริสาก็ไม่ค่อยพูดกับเธอด้วยRisa : ฉันมีเรื่องกลุ้มใจนิดหน่อย อยากจะไปดื่ม แกออกไปเป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ยPilin : ได้สิ ไปตอนไหนหรอRisa : สองทุ่มPilin : โอเคหลังจากที่คุยไลน์เสร็จไพลินก็หันไปบอกป้าอิ่ม ป้าอิ่มก็บอกให้มาขออนุญาตคุณหญิงก่อนตา
หลังจากที่ศรันย์มาส่ง ไพลินก็รีบกลับเข้ามาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วแอบดูคนในบ้าน ว่านอนหลับหรือยัง ถ้านอนหลับแล้วเธอจะได้ขึ้นไปหาเจ้าของหัวใจเหมือนที่เคยทำLINE!!!!เมื่อเสียงไลน์ดังขึ้นมา ใบหน้าสวยก็ฉีกยิ้มออกมาทันทีVaranon : ต่อไปนี้ ไม่ต้องขึ้นมาอีกแต่พออ่านข้อความที่ส่งมา รอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าสวยทันที หัวใจดวงน้อยเจ็บหน่วงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็ไม่เข้าใจเลยว่าที่เขาส่งมาคืออะไร หรือว่าเธอทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่าไพลินเดินวนไปวนมารอบห้อง ด้วยท่าทางร้อนใจ ทั้งๆ ที่เขาก็บอกแล้วว่าไม่ต้องไปหา แต่เธอกลับอยากขึ้นไปจนใจจะขาด แต่ก็กลัวจะโดนไล่ออกมา...หลายวันต่อมา...“ทำไมวันนี้ไม่ยิ้มเลยล่ะ มีอะไรหรือเปล่า” ป้าอิ่มถามไพลินที่นั่งทานข้าวอยู่เงียบๆ จากที่เคยอารมณ์ดี ยิ้มแทบตลอดเวลา แต่พักนี้เธอกลับดูเศร้าๆ“ไม่มีอะไรหรอกค่ะป้า ลินแค่คิดเรื่องเรียน” ไพลินแกล้งตอบไป ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ คิดจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นเลยหลายวันมานี้วรานนท์เอาแต่หลบหน้าเธอ เวลาเจอกันก็มักจะเดินหนี แล้วยังทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน จนเธออึดอัดไปหมด อยากจะถามเรื่องข้อความนั้นให้รู้
หลังจากเรียนเสร็จไพลินก็รีบเก็บกระเป๋า เพราะอยากจะเคลียร์กับริสา แต่พอก้มเก็บของใส่กระเป๋าแค่แปปเดียว ริสาก็ออกไปซะแล้ว ไพลินรีบเดินตามออกมาก็เห็นแต่หลังเท่านั้น“ออกมาไม่รอเลยนะ” ศรันย์เดินตามไพลินออกมาติดๆ“ริสาเป็นอะไร นายรู้มั้ย?” ไพลินมองหน้าศรันย์ด้วยความไม่เข้าใจ ปกติริสาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ไม่รู้ว่าโกรธอะไรเธอหรือเปล่า“ไม่รู้สิ ไม่ต้องไปสนใจหรอก เดี๋ยวฉันไปคุยให้” ศรันย์ตอบไปด้วยท่าทางปกติ แล้วช่วยถือกระเป๋าให้ไพลินเหมือนทุกครั้ง ทั้งสองคนเดินคุยกันมาที่รถ โดยไม่รู้ว่ามีสายตาของหลายคนแอบมองอยู่..ไพลินกลับมาบ้านด้วยความอึดอัดใจ นึกถึงแต่เรื่องของริสาวนไปวนมา ไพลินคิดว่าริสาต้องโกรธเธอแน่ๆ แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าริสาโกรธเธอเรื่องอะไร“ลินจ๊ะ” เสียงป้าอิ่มมาเคาะประตูห้องเรียก ไพลินเลิกคิดมากแล้วรีบเดินออกไปเปิดทันที“มีอะไรหรอคะป้า”“คุณนนท์สั่งไว้ว่า ถ้าลินกลับมา ให้ลินไปทำความสะอาดห้องทำงานให้ ลินว่างหรือเปล่า” ป้าอิ่มพูดด้วยท่าทางใจดี แต่พอได้ยินชื่อของคนที่อยู่ในใจ ไพลินก็รู้สึกหน่วงขึ้นมาที่ใจทันที“เอ่อ... แล้วคุณนนท์กลับมาหรือยังคะ” ไพลินถามออกไปเสียงเบาเพราะไม่
“ลินไม่มีแฟนหรอกค่ะ คุณนนท์จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ”คำพูดและท่าทางแง่งอนของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มให้วรานนท์ได้เป็นอย่างดี ความหงุดหงิดก่อนหน้านี้หายไปเป็นจนหมด เขาไม่รู้ว่าตอนนี้… เขาต้องเป็นฝ่ายง้อเธอหรือให้เธอง้อเขากันแน่ เพราะดูท่าทางเธอจะงอนเรื่องที่ได้ยินวันนั้น…“มานี่ซิ!!” วรานนท์สั่งออกไปเสียงเข้ม มือหนาตบที่นั่งข้างๆ แล้วเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าสบาย สายตาคมหลี่มองร่างสวยด้วยท่าทางดุดัน จนเธอยอมเดินมา“มีอะไรหรอคะ?” ไพลินเดินมาหยุดตรงหน้าของวรานนท์ ด้วยท่าทางนิ่งๆ สายตาหยุดต่ำไม่กล้าสบตาเขา เพราะกลัวจะห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้หมับ!!ร่างบางถูกฉุดลงมานั่งที่ตักแกร่งอย่างรวดเร็ว สองแขนแกร่งกอดรัดเอวบางไว้ไม่ให้ลุกขึ้น“คุณนนท์จะทำอะไรคะ?” ไพลินถามออกไปด้วยท่าทางตื่นกลัว แล้วมองใบหน้าหล่อด้วยสายตาสงสัยตึกตัก!! ตึกตัก!!พอได้อยู่ใกล้กันอีกครั้ง หัวใจดวงน้อยก็เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาจนต้องก้มหน้าหลบความเขิน“ทำเหมือนที่เราเคยทำไง” เขากระซิบข้างหูของเธอด้วยน้ำเสียงแหบพล่า ใบหน้าหล่อซุกไซ้ดมกลิ่นหอมจากซอกคอขาว จนร่างบางขนลุกชัน“ไม่ได้นะคะ” ไพลินรีบดึงสติกลับมา ก่อนที่อะไ
ไพลินเดินออกจากห้องทำงานของวรานนท์พร้อมรอยยิ้ม เธอเดินเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดไปเก็บแล้วเข้ามาช่วยงานป้าอิ่มในครัวต่อ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มจนออกนอกหน้าของเธอ จึงโดนป้าอิ่มกับพวกพี่ๆ แม่บ้านแซวอีกตามเคยหลังจากช่วยทำกับข้าวเสร็จ ไพลินก็กลับเข้ามาในห้องของตัวเอง ร่างบางทิ้งตัวลงนอนที่นอนของตัวเองก่อนจะเอามือปิดปากแล้วกรี๊ดร้องออกมาด้วยความดีใจ ความรู้สึกเหมือนคนที่ได้คืนดีกับแฟนยังไงก็ไม่รู้ครืด~~เสียงการสั่นสะเทือนของมือถือ ทำให้ไพลินหยุดความคิดแล้วลุกขึ้นไปหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ เวลาไปบ้านใหญ่เธอจะไม่เอามือถือติดตัวไปด้วยเพราะคุณหญิงไม่ชอบให้เธอเล่นมือถือเวลาทำงาน ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยเล่นเลยสักครั้ง>> ริสา ไพลินมองรายชื่อที่โชว์บนหน้าจอแล้วรีบรับสายทันที“ว่าไงริสา” ไพลินถามออกไปด้วยน้ำเสียงดีใจ ที่เห็นริสาโทรมา(ทำอะไรอยู่… ฉันโทรไปหาเธอร้อยสายได้แล้วมั้ง) ปลายสายพูดออกมาเสียงเรียบ“ฉันไปทำความสะอาดห้องทำงานคุณนนท์มา แล้วก็ช่วยแม่บ้านทำกับข้าว พึ่งจะได้กลับมาห้อง เธอมีอะไรหรอ แล้ววันนี้เป็นอะไรถึงไม่คุยกับฉันทั้งวันเลย ฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือเปล่า” ไพลินยิงคำถามรัวๆ จนคนฟั
- หนึ่งอาทิตย์ต่อมา -@มหาวิทยาลัยวันนี้ไพลินมาถึงมหาลัยสายกว่าทุกวัน เพราะก่อนออกมาคุณหญิงใช้ไปทำความสะอาดห้องรับแขก เพราะคืนนี้จะมีแขกคนสำคัญมาค้าง แต่ไพลินก็ไม่ได้สนใจอะไร เธอสนใจแค่ว่าต้องไปเรียนให้ทันเวลาก็พอ แต่แล้วก็สายจริงๆ“ทำไมมาสายหล่ะ ถ้าไม่มีรถมาทำไมไม่โทรมาบอกฉัน” ศรันย์หันไปถามด้วยท่าทางใส่ใจ จนคนข้างๆ แอบหมั่นไส้ในความโอเวอร์ของศรันย์ ไม่รู้ว่าจะห่วงอะไรนักหนา ทีกับเธอไม่เคยเป็นห่วงขนาดนี้เลย“ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็มาแล้วนี่ไง ตั้งใจดูอาจารย์สอนสิ” ไพลินบอกเสียงเบาเพราะตอนนี้อาจารย์กำลังสอนอยู่…- เลิกเรียน -ไพลินกับกลุ่มเพื่อนเดินออกมาจากห้องเรียน หลังจากเรียนเสร็จ เธอเดินพูดคุยกับศรันย์อย่างอารมณ์ดี ส่วนริสาเดินตามหลังมาโดยไม่พูดอะไร“วันนี้ฉันกับริสาว่าจะไปดูหนังกันต่อ เธอไปด้วยกันนะ” ศรันย์ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ้อน โดยไม่ดูสายตาของคนข้างหลังเลยพอได้ยินเช่นนั้น ไพลินจึงหันกลับไปมองหน้าริสาด้วยสายตานิ่งๆ อยากจะรู้ว่าริสาจะมีอาการยังไง หลายวันมานี้ริสาชอบมีอาการแปลกๆ เวลาที่เธอกับศรันย์คุยกัน ริสาจะชอบนิ่งแล้วก็เงียบ บางครั้งก็เดินหนี“นายเลี้ยงเหรอ?” ไพลินแกล้งหันไป
“น้องลิน!!”ขณะที่ไพลินกำลังเดินออกมาจากห้างก็มีเสียงเรียกดังขึ้นมาจากด้านหลัง ใบหน้าสวยหันไปมองตามเสียงเรียกทันที“คุณชาญ” ไพลินกล่าวทักทายเพื่อนของวรานนท์พร้อมรอยยิ้ม“เรียกพี่ว่าคุณอีกแล้วนะ” ชาญวิทย์แกล้งทำหน้าไม่พอใจที่หญิงสาวเรียกห่างเหินทั้งๆ ที่เคยบอกไปแล้ว“ก็ลินไม่ชินหนิคะ” ไพลินยิ้มอายไม่กล้าใช้สรรพนามเรียกตามที่ชายหนุ่มบอก เพราะมันดูสนิทเกินไป“ก็เพราะไม่ชินนั่นแหละ พี่ถึงอยากให้เรียกบ่อยๆ จะได้ชิน” ชาญวิทย์พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม แต่สายตาจับจ้องที่ใบหน้าสวยราวกับตุ๊กตาของหญิงสาวอยู่ตลอดเวลาชาญวิทย์ยอมรับว่าเขาชอบเธอตั้งแต่แรกพบ เท่าที่รู้จักไพลินมา เธอเป็นคนค่อนข้างขี้อายและไม่พูดคุยกับคนอื่นง่าย จึงยากที่จะได้พูดคุยกับเธอ“ค่ะ” ไพลินตอบด้วยท่าทางเขินอาย“ลองเรียกดูสิครับ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดี”“เอ่อ... พี่ชาญมาทำอะไรเหรอคะ?” ไพลินพูดออกไปด้วยท่าทางเขินอาย แต่ไม่ใช่เขินอายเหมือนที่รู้สึกกับวรานนท์“พี่มาทานข้าวกับลูกค้าครับ” ชาญวิทย์ตอบไปแล้วมองหน้าหญิงสาวด้วยสายตาเอ็นดู ที่เธอยอมเรียกตามที่เขาบอก หัวใจชายหนุ่มเต้นแรงราวกับวัยรุ่น ที่พึ่งจะมีความรัก ทั้งๆ ท
“มาส่งน้องลิน ก็เลยแวะมาหา”“เป็นอะไรว่ะ ทำไมมองฉันแบบนั้น” ชาญวิทย์ขมวดคิ้วถามออกไป เมื่อเห็นสายตาของวรานนท์ที่มองเขาเหมือนไม่พอใจ“ว่างนักหรือไง ถึงได้ทำตัวเป็นรถรับส่ง” วรานนท์พูดออกไปเสียงแข็ง และหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เมื่อได้รู้ว่าชาญวิทย์มาส่งผู้หญิงของตัวเอง“ถ้าเป็นน้องลิน ฉันยอมเป็นรถรับส่งให้ตลอดชีวิต” ชาญวิทย์ตอบไปด้วยท่าทางจริงจังเวลาพูดถึงไพลิน ต่างจากเวลาพูดถึงคนอื่นโดยสิ้นเชิง เมื่อเห็นอย่างนั้นวรานนท์ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เพราะเขารู้นิสัยของเพื่อนรักดี ถ้าลองได้สนใจแล้ว เขาต้องหาวิธีเอาเธอมาครอบครองจนได้“พูดแบบนี้ ถามผู้หญิงของนายหรือยัง”“ทำไมต้องถาม นายก็รู้ว่าฉันโสดและไม่เคยจริงจังกับใคร แต่ถ้าเป็นน้องลิน ฉันยอมสละโสด” ชาญวิทย์พูดอย่างอารมณ์ดีปึก!!วรานนท์วางเอกสารลงที่โต๊ะอย่างแรงแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน เพราะตอนนี้เขาไม่มีสมาธิทำงานแล้ว“อารมณ์เสียอะไรว่ะ หรือว่าหวงน้อง” ชาญวิทย์ก็ถามซะตรงจุด แต่คนที่หงุดหงิดกับยิ่งหงุดหงิดเพราะเขาไม่เคยคิดว่าเธอเป็นน้องเลยสักนิด“นายมาหาฉันเพื่อมาคุยเรื่องนี้หรอ?” วรานนท์ถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์แล้วเดินนำไปนั่งที่โซฟาก
- สองวันต่อมา -@บ้านกิตติคุณเวลา 10.00 น.หลังจากที่วรานนท์ได้ออกจากโรงพยาบาลก็กลับมาพักฟื้นที่บ้าน คุณหญิงวรมลต่างให้แม่บ้านจัดเตรียมอาหารต้อนรับลูกชายกลับบ้าน มีทั้งอาหารคาวหวานต่างๆ มากมายหลายเมนู พร้อมกับจัดเตรียมห้องไว้สำหรับไพลินกับวรานนท์หลังจากที่เรื่องไม่ดีต่างๆ ผ่านไปก็ย่อมมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น อย่างที่เขาว่ากันว่า... ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ... ชีวิตของไพลินก็เช่นกันบนโต๊ะอาหารที่มีอาหารต่างๆ หลากหลายเมนูให้เลือกทานที่ถูกจัดแต่งไว้บนโต๊ะอย่างสวยงาม ที่โต๊ะอาหารกลับมีคนนั่งอยู่แค่เพียงสี่คน แต่กลับทำอาหารเยอะแยะมากมายราวกับทำเอาไว้เลี้ยงคนทั้งซอยไพลินนั่งมองอาหารด้วยท่าทางตื่นเต้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้มานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับคุณหญิงวรมลและวนิดา ครั้งก่อนเธอยังได้ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ของบ้านหลังนี้อยู่เลย แต่ทำไมครั้งนี้ถึงได้...ไพลินยังคงตื่นเต้นอยู่ภายในใจไม่หาย“ทานเยอะๆ นะตานนท์... ไพลินก็ด้วยนะ” คุณหญิงบอกลูกชายอย่างห่วงใย ก่อนที่จะหันไปบอกไพลินด้วยความเป็นห่วงหลานที่อยู่ในท้องของเธอ“ค่ะ... คุณหญิง” ไพลินพูดออกมาอย่างอ่อนน้อม“คุณหญิงอะไรหล่ะ เรียกคุณแม่แบบตา
- สองเดือนต่อมา -ไพลินนั่งมองวรานนท์อย่างอ่อนใจ วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธออยู่ดูแลวรานนท์แทบจะตลอดเวลา ใช้ชีวิตทุกอย่างอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ว่าจะกินข้าว จะนอน จะอาบน้ำ เธอแทบจะไม่ได้ออกไปไหน เรียกได้ว่าโรงพยาบาลจนแทบจะเป็นบ้านของเธอกับวรานนท์อีกหลังเลยก็ว่าได้ไพลินไม่อยากออกไปไหนเพราะกลัวว่าวรานนท์จะตื่นมาไม่เจอเธอ ในทุกๆ วันจะมีคุณหมอและพยาบาลเข้ามาตรวจและดูแลวรานนท์อยู่ตลอด ไพลินก็จะจัดดอกไม้ภายในห้องให้ดูสดใสและสวยงามอยู่ตลอดเช่นกัน เพราะเธอเชื่อว่าดอกไม้จะทำให้วรานนท์สดชื่นและจะได้รีบฟื้นขึ้นมาหาเธอกับลูกในเร็วๆส่วนคุณหญิงวรมลกับวนิดาก็วิ่งวุ่นอยู่กับเรื่องงาน เพราะตั้งแต่ที่วรานนท์เกิดอุบัติเหตุ หุ้นในบริษัทก็ลดลง จนคุณหญิงกับวนิดาต้องเข้าไปช่วยกันบริหารต่อจากวรานนท์ ส่วนเรื่องที่โรงพยาบาลไพลินอาสาที่จะดูแลวรานนท์ให้ ในตอนแรกคุณหญิงไม่ยอมเพราะเป็นห่วงหลานคนแรกทีี่อยู่ในท้องของไพลิน แต่ไพลินก็ดื้อไม่ยอม ยังคงยืนยันที่จะเป็นคนดูแลวรานนท์ คุณหญิงวรมลจึงจำยอมอย่างขัดไม่ได้ แต่คุณหญิงกับวนิดาก็เข้ามาหาไพลินกับวรานนท์ที่โรงพยาบาลทุกวัน“ลินอยากให้พี่นนท์ตื่นขึ้นมาเร็วๆ จัง อีกไม่กี
“สวัสดี... ไพลิน” อยู่ๆ ก็มีเสียงแหบของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยทักทายไพลินขึ้นมา“อะ เอ่อ... สวัสดีค่ะ”ไพลินตกใจเมื่อได้ยินเสียงและเห็นบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน จนเธอรู้สึกกลัวขึ้นมาเพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนั้นคือคุณหญิงวรมลกับวนิดานั่นเอง“ทำไมเธอถึง...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ต้องหยุดพูดเสียก่อน“ลินไม่ได้เป็นคนบอกเรื่องนี้ให้คุณชาญรู้นะคะ... ลินจะไม่กลับไปหาคุณนนท์อีก ลินสัญญาค่ะ แต่...” ไพลินรีบพูดสวนขึ้นมาทันที เพราะกลัวคุณหญิงวรมลจะเข้าใจผิด ก่อนที่เธอจะเว้นระยะของคำพูดไว้“ลินอยากรู้แค่ว่า... ตอนนี้คุณนนท์เป็นยังไงบ้างคะ” ไพลินก้มหน้าก้มตาพูดออกมาด้วยความกลัวคุณหญิง“ตานนท์จะเป็นหนักกว่านี้ก็เพราะเธอนั้นแหละ!!” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเรียบ พร้อมกับมองหน้าของไพลินด้วยสีหน้าและท่าทางเคร่งเครียด“คุณแม่คะ...” วนิดารีบพูดขึ้นเพื่อเตือนให้คนเป็นแม่ใจเย็นๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามแผนที่เธอวางไว้ แต่คุณหญิงก็ทำหูทวนลมไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูดเลยแม้แต่น้อย“ลินขอโทษนะคะ” ไพลินพูดออกมาเสียงเบา ด้วยท่าทางที่รู้สึกผิด“ขอโทษเหรอ... ขอโทษแล้ว
หลังจากที่ชาญวิทย์นั่งคุยเรื่องแผนการที่จะทำให้ไพลินกลับมา กับวนิดาและคุณหญิงวรมลอย่างเข้าใจกันในทุกฝ่ายแล้ว ชาญวิทย์จึงขอตัวกลับก่อน ถึงแม้คุณหญิงวรมลกับวนิดาจะยังไม่อยากให้กลับและขอร้องให้เขาอยู่จนไพลินโทรกลับมาก็ตาม ชาญวิทย์จึงจำเป็นต้องโกหกว่าต้องเข้าไปทำงานที่บริษัท คุณหญิงวรมลจึงให้เขากลับก่อน ได้เรื่องยังไงให้รีบโทรมาบอกวนิดากับคุณหญิงวรมลทันที...ชาญวิทย์ขับรถออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นานเสียงโทรศัพท์ของชาญวิทย์ก็ดังขึ้น...สายตาคมมองทางข้างหน้าอย่างตั้งใจ มือหนารีบควานหาโทรศัพท์เพื่อจะได้ดูว่าใครที่โทรมา และชาญวิทย์ก็รีบกดรับสายทันทีที่เห็นว่าเป็นไพลินโทรมา“ครับน้องลิน” ชาญวิทย์ไม่รอช้ารีบพูดทักทายขึ้นมาทันที(พี่นนท์เป็นยังไงบ้างคะ?) ไพลินเองก็รีบถามออกมาทันทีด้วยความเป็นห่วงคนรัก“เอ่อ... คือว่า...” ชาญวิทย์พูดออกมาตะกุกตะกัก เพราะยังไม่ได้เตรียมคำพูดที่จะพูดกับไพลิน(คืออะไรคะ... พี่นนท์เป็นอะไร?) ไพลินคิดไปไกลกับท่าทางและคำพูดที่ฟังดูไม่ค่อยสู้ดีนักของชาญวิทย์ จึงรีบถามขึ้นมาทันที“น้องลินว่างมั้ยครับ... ออกมาเจอพี่ที่ร้านกาแฟxxxหน่อยได้มั้ย พี่จะบอกอาการของไอ้นนท์ให้น้องลินฟ
@โรงพยาบาลxxx“คิดอะไรอยู่เหรอยัยดา?” คุณหญิงวรมลเอ่ยถามวนิดาออกมาด้วยความสงสัย เพราะเห็นวนิดาเอาแต่นั่งเหม่อ ไม่สนใจอะไรอยู่สักพักแล้ว“คะคุณแม่...” วนิดาถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงของคุณหญิงวรมลพูดขึ้น แต่ด้วยใจที่เหม่อลอยจึงทำให้เธอไม่ได้ยินในสิ่งที่คุณหญิงวรมลพูดออกมาสักเท่าไหร่ เธอจึงถามออกไปทันทีที่มีสติขึ้นมา“แม่ถามว่าเป็นอะไร... คิดอะไรอยู่ถึงได้นั่งเหม่อขนาดนี้” คุณหญิงวรมลจึงถามออกมาด้วยความสงสัยอีกครั้ง“คือ... ดากำลังคิดอยู่ค่ะว่าจะไปตามหาไพลินที่ไหนได้บ้าง” วนิดาพูดออกมาด้วยท่าทางที่คิดหนัก เพราะเธอไม่รู้ว่าไพลินจะไปอยู่ที่ไหนหรือว่าจะไปอยู่กับใคร นอกจากบ้านของเธอกับคอนโดของวรานนท์แล้วไพลินก็ไม่เคยไปอยู่ที่ไหนกับใครเลยสักครั้ง“จริงด้วยสิ...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเบา ก่อนที่จะเดินไปหาวรานนท์ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง“แม่จะทำยังไงดีตานนท์...” คุณหญิงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เตียง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับมือของวรานนท์เอาไว้ด้วยความหนักใจ ไม่รู้ว่าจะไปตามหาไพลินที่ไหน..ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!“สวัสดีครับ...”ทันทีที่เสียงเคาะประตูเงียบลง ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของชาญวิทย์ดังขึ้
- วันต่อมา -“เป็นยังไงบ้างยัยดา?”คุณหญิงวรมลเอ่ยถามลูกสาวออกมาเสียงเรียบ ทันทีที่เดินเข้ามายังห้องที่วรานนท์พักฟื้นอยู่“อาการก็ยังเหมือนเดิมค่ะคุณแม่” วนิดาพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ไม่อยากให้คุณหญิงวรมลต้องเป็นห่วง“ถ้าตานนท์ตื่นขึ้นมาเร็วๆ ก็คงจะดี...” คุณหญิงวรมลพูดออกมาเสียงเศร้า“คุณแม่คะ... ดามีเรื่องจะคุยกับคุณแม่ค่ะ” วนิดาพูดออกมาด้วยท่าทางที่จริงจัง“เรื่องอะไร?” คุณหญิงวรมลถามออกมาด้วยความสงสัยเมื่อได้เห็นท่าทางของลูกสาว“เรื่อง... ลินค่ะ” วนิดาพูดออกมาเสียงเรียบ“ดา... แม่ว่าเราอย่า...” คุณหญิงวรมลที่กำลังจะห้ามลูกสาวไม่ให้พูดถึงไพลิน แต่คุณหญิงพูดยังไม่ทันจบ วนิดาก็พูดสวนขึ้นมาทันที“คุณแม่ไม่อยากช่วยให้พี่นนท์ฟื้นเหรอคะ” วนิดาพูดออกมาด้วยความอยากรู้คุณหญิงวรมลนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา เพราะรู้ดีว่าวนิดากำลังคิดจะทำอะไร“คุณแม่ลองคิดดูดีๆ นะคะ ที่พี่นนท์ต้องเป็นแบบนี้เพราะใคร” วนิดาพูดออกมาพร้อมกับมองหน้าผู้เป็นแม่อย่างรอคำตอบ“ก็เพราะนังลินไง!! ตานนท์ถึงต้องเป็นแบบนี้!!” คุณหญิงวรมลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจงเกลียดจงชัง“คุณแม่คะ…” วนิดามองหน้าคุณแม่อย่างไม่เข้าใจคุณหญิง
บรึ้มมมมโคร่มมมมม!!!!!!!!!!ภายในเวลาไม่นานก็มีเสียงอุบัติเหตุดังขึ้นมาเสียงดัง ผู้คนมากมายที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็รีบเข้าไปดูและรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยเหลือยังจุดเกิดเหตุทันทีอุบัติเหตุในครั้งนี้พบเป็นรถเก๋งคันหรูขับมาด้วยความเร็วพุ่งชนกับรถสิบล้อขนส่งสินค้าของบริษัทแห่งหนึ่ง จนทำให้มีผู้บาดเจ็บสาหัสหนึ่งคน นั่นก็คือวรานนท์...เสียงโทรศัพท์มือถือของคุณวรมลดังขึ้นมาเสียงดัง“สวัสดีค่ะ” เสียงปลายสายพูดขึ้นมาเสียงเรียบทันทีที่รู้ว่าคุณหญิงวรมลนั้นกดรับสาย“ค่ะ” คุณหญิงวรมลพูดออกมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก“ญาติของคุณวรานนท์ใช่มั้ยคะ?” เสียงหญิงสาวที่อยู่ปลายสายก็เอ่ยถามออกมาด้วยท่าทางเร่งรีบ“ค่ะ... ใช่ค่ะ ฉันเป็นแม่ของตานนท์ มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” คุณหญิงวรมลได้ยินเสียงหญิงสาวที่อยู่ปลายสายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงรีบถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงวรานนท์“ตอนนี้คุณวรานนท์เกิดอุบัติเหตุที่xxxและตอนนี้อยู่ที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลxxxค่ะ อาการของคนไข้ตอนนี้ห้าสิบห้าสิบ หน่วยแพทย์ฉุกเฉินกำลังช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ฉันจึงติดต่อเพื่อที่จะแจ้งให้ญาติทราบและมาดูอาการค่ะ” เสียงปล
@คอนโดวรานนท์ตลอดทางที่กลับมาจากเกาะไม่ว่าจะเป็นตอนนั่งเรือหรือตอนที่นั่งรถกลับมาที่คอนโด ตลอดทางไพลินได้แต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรจนมาถึงคอนโดเมื่อมาถึงคอนโด วรานนท์ก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที เพราะต้องรีบเข้าไปเคลียร์งานที่บริษัท“พี่จะเข้าบริษัทนะ” วรานนท์พูดออกมาเสียงเรียบเมื่อเห็นไพลินนั่งอยู่ที่โซฟาไพลินที่นั่งอยู่ก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มให้วรานนท์ทันที เธอพยายามทำตัวให้ปกติ ให้เหมือนกับทุกๆ วันและทุกๆ ครั้งที่ได้อยู่ด้วยกันกับเขา ถึงแม้ว่าข้างในใจเธอจะแตกสลายไปจนไม่เป็นชิ้นดี แต่เธอก็ต้องทำตัวให้เป็นปกติให้ได้ถึงใบหน้าสวยจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่ความจริงแล้วมีเพียงน้ำตาที่ไหลอยู่ภายใน วันนี้แล้วที่จะต้องจากเขาไป และนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ ที่จะได้มีความสุขด้วยกัน และได้เห็นรอยยิ้มของกันและกันแบบนี้ ทุกสิ่ง ทุกความทรงจำที่เกี่ยวกับเขา เธอจะเก็บทุกอย่างไว้ในใจตลอดไป...“ค่ะ... แล้วพี่นนท์จะกลับตอนไหนคะ?” ไพลินพูดออกมาเสียงเบา เมื่อได้เห็นว่าวรานนท์อยู่ในชุดที่พร้อมจะออกไปทำงาน ไม่ได้อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเหมือนกับชุดตอนที่ใส่กลับจากเกาะ“ตอนเย็นนะหรือไม่ก็อาจจะค่ำ
“ไปเดินเล่นกันเถอะค่ะพี่นนท์” ไพลินพูดออกไปทันทีที่เห็นวรานนท์นั่งเล่นอยู่ในห้องนั่งเล่น“อารมณ์ไหนเนี่ย?” ร่างหนาที่กำลังนั่งเล่นอยู่ก็ถามออกมาเสียงเรียบด้วยความสงสัยและแปลกใจ“คือ... ลินอยากไปดูพระอาทิตย์ตกค่ะ ลินอยากรู้ว่าตอนเช้าที่พระอาทิตย์ขึ้นกับตอนเย็นที่พระอาทิตย์ตกแบบไหนจะสวยกว่ากันค่ะ” ไพลินพูดออกไปด้วยท่าทางตื่นเต้นถึงภายนอกไพลินจะดูมีความสุขกับการที่ได้อยู่กับวรานนท์ แต่ภายในใจเธอกลับเต็มไปด้วยความเศร้า พรุ่งนี้เธอก็ต้องจากเขาไป จะไม่มีวันที่จะได้กลับมาเจอกันอีก“พี่ว่า... แบบลินสวยกว่านะ” ร่างหนาลุกขึ้นเดินไปจับมือไพลิน แล้วเดินออกจากบ้าน ตรงไปที่หาดทรายขาว โดยที่ไม่รู้เลยว่าร่างบางที่เดินอยู่ข้างๆ ตอนนี้เขินอายจนใบหน้าแดงกร่ำ เพราะคำพูดของเขา“ลินเคยมาทะเลมั้ย?” เมื่อเดินมาถึงชายหาด วรานนท์จึงเอ่ยถามไพลินขึ้นมาทันที“นี่เป็น... ครั้งแรกค่ะ” ไพลินพูดออกไปพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ“จริงเหรอ?” วรานนท์ถามย้ำออกไป เพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน“จริงค่ะ... นี่เป็นครั้งแรกแล้วก็เป็นที่แรกด้วยค่ะ” ไพลินพูดออกไปตามความจริง“แปลกดีนะ” วรานนท์พูดออกไปด้วยท่าทางสงสัย“แปลก... แปลกอะ