บทที่ 99กู้อวิ๋นซีคิดว่า จวินเย่เสวียนจะต้องโกรธแน่กระทั่งว่า สามารถเอาชีวิตนางได้ตลอดเวลาแต่นางผิดไปจวินเย่เสวียนเพียงแค่มองนางด้วยสายตาเย็นชา ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นจากตัวนางเดินจากไปกู้อวิ๋นซีถูกกักบริเวณไว้แล้วเพียงแต่ครั้งนี้ คนที่เฝ้านางเปลี่ยนเป็นเยี่ยนสือเอ้อแทนนางก็ไม่ได้งอแงจะออกไปข้างนอกอีกเหนื่อยแล้วเหนื่อยล้าทั้งกายและใจสาวใช้ยกอาหารมาให้สามมื้อ นางก็ไม่ได้แตะต้องเอาแต่นอนอยู่บนเตียง สมองว่างเปล่าก็ไม่รู้ว่ากำลังพักผ่อน หรือกำลังคิดเรื่องชีวิตอยู่กันแน่จนกระทั่งเวลาพลบค่ำ จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงดังขึ้น"ท่านอ๋อง" เยี่ยนสือเอ้อคารวะอย่างนอบน้อมกู้อวิ๋นซีกำผ้าห่มเอาไว้ หันหน้าหนีไป ขนาดมองยังไม่มองคนที่เดินเข้าประตูมาเขานั่งลงที่ข้างเตียงในใจกู้อวิ๋นซีรู้สึกรำคาญมาก จึงได้ลุกขึ้นนั่งทันควัน จ้องมองเขา "ท่านอย่าได้รังแก..."ทันใดนั้น นางก็อึ้งไปจ้องเขม็งมองไปยังไฝเสน่ห์ที่หางตาเม็ดนั้นของเขาทีแรก ก็ไม่อยากจะเชื่อ ต่อมา ก็แสดงสีหน้าเย้ยหยันออกมา"องค์ชายสี่ ท่านคิดว่าท่านวาดไฝเสน่ห์ขึ้นมาเม็ดหนึ่ง สวมใส่เสื้อผ้าของฉู่หล
ปลายนิ้วของกู้อวิ๋นซีกำลังสั่นเทารอยยิ้มตรงมุมปากของจวินฉู่หลีเริ่มจางหายไปเล็กน้อยเขามองไปที่กู้อวิ๋นซีด้วยสีหน้าจริงจัง "ต้นกกเขียวขจีริมแม่น้ำ น้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงแข็งเป็นเกล็ด"กู้อวิ๋นซีรู้สึกสั่นคลอนในใจอย่างแรงนี่คือคืนที่นางกับฉู่หลีตกลงเรื่องความสัมพันธ์กัน พวกเขานั่งอยู่ในทุ่งดอกไม้ด้วยกันทั้งคืนเป็นกลอนที่เขาพูดขึ้นเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในวันถัดไป!ความคลางแคลงสงสัยเล็กๆ ในใจของกู้อวิ๋นซี ในที่สุดก็หมดไป!"ฉู่หลี ต่อไป อย่าไปจากข้าอีกได้ไหม" นางจับฝ่ามือใหญ่ของเขาไว้แน่นจวินฉู่หลีไม่ได้ตอบคำถามนี้ เพียงแค่มองนางนิ่งๆ พูดด้วยเสียงอ่อนโยน "อย่าโกรธท่านพี่สี่เลย เขาไม่ได้มีเจตนาร้าย"กู้อวิ๋นซีส่ายหน้า "ข้าจะโกรธหรือไม่ ก็คงไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขาหรอก""ไม่ สำหรับเขา มันมีความหมายมาก" จวินฉู่หลีพูดอย่างหนักแน่นกู้อวิ๋นซีขยับริมฝีปาก อยากจะพูดอะไรมากมาย แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดีสุดท้าย นางก็ปล่อยจวินฉู่หลี แล้วพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า "ข้ากับองค์ชายสี่...""ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเชื่อเจ้า""ฉู่หลี...""พรุ่งนี้แม่ทัพกู้จะไปออกรบที่เมืองชิง เจ้าอยากไปหรือไม่?
กู้อวิ๋นซีมักรู้สึกว่า ประโยคนี้แปลกประหลาดนิดหน่อยแต่นางก็ไม่มีโอกาสจะได้คิดนานจวินฉู่หลีก้มศีรษะลง จูบไปบนริมฝีปากของนางมือที่ดันอยู่ตรงหน้าอกของเขา สำหรับเขามันไม่สามารถช่วยต้านทานอะไรไว้ได้เลยกู้อวิ๋นซีกลับยังอยากที่จะผลักเขาออกด้วยสัญชาตญาติอย่างหนึ่งนางรู้สึกว่าตัวเองงงไปหมดแล้ว ทำไมมักรู้สึกว่า จูบของฉู่หลี ถึงได้เหมือนกลิ่นอายขององค์ชายสี่ขนาดนั้นได้?จนนางไม่อาจแยกได้เลยราวกับว่า ขนาดจูบของฉู่หลีตอนแต่งงานเป็นความรู้สึกอย่างไร นางก็ลืมไปหมดแล้วในหัวสมองว่างเปล่าไปหมด"อยู่ใต้ร่างของข้า ยังกล้าเหล่อลอยอีกเหรอ?" จวินฉู่หลีหรี่ตาลง ฉับพลันก็จับตัวนางพลิกไปด้านหลังกู้อวิ๋นซีตื่นกลัวขึ้นฉันพลีน รีบพูดอย่างร้อนรนว่า "ฉู่หลี อย่าทำแบบนี้! ขะ ข้าอยากมองหน้าเจ้า!"ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร กู้อวิ๋นซีในคืนนี้ ถึงได้ต่อต้านท่านี้เป็นพิเศษการต้องหันหลังให้เขา ทำให้มองสีหน้าของเขาได้ไม่ชัดตอนที่มองไม่เห็นอะไร นางกลัวว่าตัวเองจะคิดฟุ้งซ่าน!หมู่นี้หัวใจของนางค่อนข้างอ่อนแอขนาดตัวนางเองยังไม่รู้เลยว่า เหตุใดตัวเองจึงกลายเป็นเช่นนี้!เมื่อก่อนนาง กระทำสิ่งใดล้วนมีสติมั
เมื่อเห็นจวินฉู่หลีที่สวมชุดเกราะทั้งชุด ในมือถือดาบเล่มใหญ่เดินออกมา หัวใจของกู้อวิ๋นซีก็ราวกับมีอะไรบางอย่างกระแทกเข้าอย่างจัง!นี่มัน องค์ชายสี่ชัดๆ!โดยเฉพาะ บนศีรษะเขาที่สวมเกราะหัว ทำให้แทบจะปกปิดใบหน้าไว้ได้อย่างมิดชิดมองไม่เห็นไฝเสน่ห์ที่หางตา ใบหน้าก็แทบจะมองไม่เห็นสวมชุดเกราะทั้งตัว แถมมีราศีเผด็จการ ดุดันที่รุนแรง หากไม่ใช่นางเห็นว่าจวินฉู่หลีสวมชุดเกราะเดินออกมาด้วยตัวเอง กู้อวิ๋นซีจะต้องเข้าใจว่า คนที่นางเห็นจะต้องเป็นจวินเย่เสวียนแน่นอนแต่งตัวเช่นนี้ หากบอกว่าเขาคือเสวียนอ๋อง ใครจะกล้าปฏิเสธบ้าง?จวินฉู่หลีโบกมือหนึ่งทีเยียนเป่ยก็ร้องตะโกนขึ้นเสียงดังทันควัน "เปลี่ยนธงแม่ทัพ!"ด้านหน้า ธงแม่ทัพที่มีอักษรกู้ ถูกเปลี่ยนเป็นอักษรคำว่า "เสวียน" ทันที!เสวียนอ๋องจะออกรบด้วยตัวเอง ยังมีอะไรที่เอากลับคืนมาไม่ได้อีก?กองทัพใหญ่ออกเดินทางจากเมืองฝาน เมื่อออกไป ทัพใหญ่ของอูฉงก็ถอนกำลังกลับไปนานแล้วความจริง ตั้งแต่วันที่กองทัพใหญ่ของเสวียนอ๋องมาถึง ก็มีร่องรอยว่ากองทัพใหญ่ของอูฉงค่อยๆ ถอนกำลังออกไปแล้วตอนหลัง เมื่อเสวียนอ๋องประกาศว่าจะยึดเมืองชิง กองทัพใหญ่ของอูฉง
ดาบใหญ่ของเขา ไม่เคยอนุญาตให้ใครได้แตะต้อง ขนาดฉู่หลีก็ไม่ได้...คำพูดประโยคนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของกู้อวิ๋นซีตลอดทั้งวันแต่เขาคือฉู่หลีชัดๆแต่ตอนนี้ในมือของเขาถือดาบจันทร์เสี้ยวไว้จริงๆ...นี่นางดูเหมือนจะสับสนอีกแล้วในใจรู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูกอยากที่จะไปหาจวินฉู่หลีเพื่อถามให้รู้เรื่อง แต่ตลอดสามวันสามคืนต่อมา นางก็ไม่มีโอกาสได้พบเจอกับฉู่หลีเลยตลอดสามวันมานี้ เป็นมู่เฟยหย่าที่คอยอยู่เป็นเพื่อนนางตลอดจวินฉู่หลีกับกู้หนานฟงอยู่ในกองทหารส่วนหน้า เมื่อถึงช่วงเที่ยงของวันที่สาม ทัพหน้าก็ไปถึงพื้นที่ที่ห่างจากเมืองชิงเพียงแค่ห้าลี้แล้วจากนั้นก็ตั้งค่าย พักผ่อนกู้อวิ๋นซีก็ยังคงไม่มีโอกาสได้เจอกับจวินฉู่หลีเช่นเคยเมื่อถึงช่วงกลางดึกของคืนนั้น มู่เฟยหย่าออกไปดูลาดเลาด้านนอก จากนั้นก็วิ่งกลับเข้ามาในกระโจมอย่างรวดเร็ว "พวกเขาเริ่มแล้ว!""หมายความว่ายังไง?" กู้อวิ๋นซีกู้อวิ๋นซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยืนขึ้นฉันพลัน "เริ่มสู้กันแล้วเหรอ?""ทัพหน้าภายใต้การนำของเสวียนอ๋อง บุกเข้าไปในเมืองชิงแล้ว ส่วนพวกเรา อีกไม่นานก็คงต้องเคลื่อนกระโจมเพื่อออกเดินทางต่อ""แต่เจ้
เมืองชิงแตกแล้วทหารของอูฉงพ่ายแพ้ย่อยยับ บาดเจ็บสาหัสทหารตระกูลกู้อยู่ที่เมืองชิง กองทัพหลักเดินทางกลับเมืองฝานบนกำแพงเมืองของเมืองชิง ยังคงปักธงที่มีอักษรคำว่า "เสวียน" อยู่!เสวียนอ๋องไม่ได้อยู่ที่เมืองชิง แต่ตอนนี้เมืองชิงอยู่ในการคุ้มครองของเขาหากว่าต่อไปใครกล้ามารุกราน ธงผืนนี้ ก็จะไปปักอยู่บนกำแพงเมืองของคนผู้นั้น"ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าตีเมืองชิง จะใช้เวลาเพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น"กู้หนานฟงรับเอาผ้าขนหนูร้อนที่มู่เฟยหย่ายื่นให้มาเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของตัวเองมองไปที่กู้อวิ๋นซี คิดถึงทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในสนามรบ จนถึงตอนนี้ก็ยังตื่นเต้นไม่หาย"ดีที่ได้บารมีของเจ้านะซีเออร์ ถึงสามารถเชิญเสวียนอ๋องให้มาช่วยตีเมืองได้แบบนี้! ข้าเองก็ไม่เคยคิดเลย ว่าเมืองใหญ่เช่นนี้จะสามารถถูกตีแตกได้แค่เวลาภายในหนึ่งคืน!""ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือ เสวียนอ๋องใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ก็สามารถตีประตูเมืองจนแตกได้! เหลือเชื่อจริงๆ!"ตอนนี้ความรู้สึกนับถือที่กู้หนานฟงมีต่อเสวียนอ๋อง มากมายจนพลั่งพลูออกมาไม่หมด!สมแล้วที่เสวียนอ๋องเป็นเทพสงครามแห่งหนานหลิ่ง ตอนที่สู้ราวกับเป็นเทพที่ลงม
ครั้งนี้กู้อวิ๋นซีไม่มีอาการตกใจหรือละอายใจนางหันกลับไปมองผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง"ได้ยินว่าดาบจันทร์เสี้ยวของเสวียนอ๋อง หนักตั้งห้าสิบกว่ากิโล มีเพียงท่านคนเดียวที่สามารถใช้ได้อย่างลื่นไหล"นางมีสีหน้าไร้อารมณ์ จนแทบจะพูดได้ว่า เย็นเยียบเลยทีเดียว"แต่เหตุใดข้าถึงเห็นฉู่หลีใช้ดาบจันทร์เสี้ยวของท่านในสนามรบได้อย่างสบายราวกับใช้อาวุธของของตัวเองมานานหลายปีกัน?""เจ้าเห็นเมื่อไรว่าฉู่หลีไปออกรบ?"จวินเย่เสวียนพูดอย่างเย็นชา "หรือว่า นี่เจ้าจำแม้กระทั่งผู้ชายของตัวเองไม่ได้เลยหรือยังไง?""ท่านหมายความว่ายังไง?" กู้อวิ๋นซีตกใจจนตัวแข็ง"คนที่ช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าตีเมืองเมื่อสิบวันก่อน เป็นข้าเอง ยัยผู้หญิงโง่!"จวินเย่เสวียนพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ "เจ้าคิดว่า สภาพร่างกายที่เพิ่งควบคุมพิษได้ของฉู่หลี ข้าจะยอมให้เขาไปออกรบหรือยังไง?""นี่ท่านพูด...จริงเหรอ?" กู้อวิ๋นซีรู้สึกตกตะลึง ในแววตาปรากฎร่อยรอยแห่งความดีใจแต่ไม่นาน ความดีใจนั้นก็ค่อยๆ มลายหายไป ในใจ ยังคงรู้สึกสงสัยไม่หายนางไม่กล้าที่จะคิดมากอีกแล้ว!จวินเย่เสวียนคร้านที่จะอธิบายกับนางอีก "ตอนนี้ ตามข้าเข้าว
จวินเย่เสวียนพานางไปยังตำหนักของพระสนมหรงเขาบอกว่า ตอนนี้ฉู่หลีอยู่ในตำหนักของพระสนมหรงนี่แหละดูก็รู้ว่าในใจของเขารู้สึกอึดอัดคับข้องใจถึงแม้ใบหน้าจะไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์ แต่กู้อวิ๋นซีก็รู้ได้ว่าเขากำลังโมโหอยู่เขาไม่รู้สึกละอายใจสักนิดเลยหรือไงหรือว่า นางจะเป็นคนผิดจริงๆ?เรื่องมันง่ายแบบที่เขาบอกจริงๆ เหรอ?เขาไม่อยากให้ฉู่หลีไปออกรบ ดังนั้น เขาก็เลยไปออกรบแทนเป็นแบบนี้เหรอ?ในขณะที่ทั้งสองคนเดินผ่านภูเขาจำลองลูกหนึ่ง ไม่ไกลนักก็มีเสียงพูดคุยเบาๆ ของคนสองคนดังมากู้อวิ๋นซีตกใจในวังหลังส่วนลึกมี...มีคนกล้านัดพบกันด้วยเหรอ?นี่เป็นโทษหนักถึงขึ้นประหารชีวิตเชียวนะ!ไม่รู้ว่าเป็นทหารองครักษ์กับนางกำนัลน้อยคนไหน ใจกล้าถึงเพียงนี้เมื่อมองไปที่จวินเย่เสวียนอีกครั้ง เขาเองก็ได้ยินแล้วเช่นกัน แต่ก็ยังเดินเข้าไปอย่างมั่นคง ราวกับไม่คิดสนใจหรือว่าเรื่องแบบนี้ เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในวังหลวงกันนะ?กู้อวิ๋นซีกำลังจะเดินต่อ คิดไม่ถึงว่าสองคนที่อยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง กลับพูดขึ้นว่า"เป็นอย่างไร? พระสนมอวี้ ข้าเก่งกว่าตาแก่นั่นเป็นไหนๆ เลยใช่หรือไม่?""นะ นั่นมันแน่