แม้ว่าหวังหยวนจะพูดแบบนี้ แต่วังฉงโหลวก็ยังโทษตัวเองอยู่“มันคงจะดีกว่าถ้าเมื่อคืน... ข้า... ข้าไม่ได้พูดคำพวกนั้นออกมา”เมื่อหวังหยวนเห็นวังฉงโหลวเป็นเช่นนี้ เขาก็ส่ายหน้าทันที "ฉงโหลว ที่เจ้าพูดมันผิดนะ!"“ที่พูดมาไม่ผิด ทำไมต้องยอมรับผิด ที่ผิดคือราชสำนัก ที่ผิดคือยุคสมัยนี้ต่างหาก”“อาหยวนจะบอกเจ้าวันนี้ว่าอย่าฝืนใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา ลุงรองของเจ้าเป็นเปิดเผยไม่มีเล่ห์เหลี่ยม แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่เคยพูดออกมาจากจิตสำนึกเลย”“ในโลกนี้ เป็นเพราะมีการโกหกมากมายเกินไป จึงทำให้ผู้คนตกอยู่ในความเสื่อมทราม”หลังจากที่หวังหยวนพูดจบ วังฉงโหลวก็รู้สึกราวกับว่าเขาถูกฟ้าผ่าเดิมทีเขาคิดว่าหวังหยวนจะโกรธเขา เพราะคำพูดเมามายเมื่อคืนนี้จึงทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายแต่ไม่คิดว่าอาหยวนจะใจดีขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แต่ยังให้กำลังใจตัวเองด้วยไม่น่าแปลกใจที่ลุงรองจะให้ความเคารพอาหยวนมาก ตอนนี้เขายิ่งชื่นชมเขามากยิ่งขึ้นไปอีก!“ข้าทราบแล้วขอรับ อาหยวน”วังฉงโหลวพยักหน้าอย่างแรงในตอนนี้ หวังหยวนถามออกมาอย่างสงสัย "เรื่องการหมั้น เป็นมาอย่างไรกันแน่?"“ข้าไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงเรื่องนี้
เฉิงเหลียววางหนังสือในมือลง แล้วมองเฉิงอู๋จี้ลูกชายของเขา“ลูกเอ๋ย แม้ว่าข้าจะไม่รู้จักหวังหยวนมากนัก แต่ข้าก็ยังรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา”“ไม่ต้องพูดถึงเสนาธิการฝ่ายขวา หากว่ากันแล้ว หวังหยวนก็มีความสามารถมาก ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่กลัวเขาได้อย่างไร”เฉิงอู๋จี้สูดหายใจเข้าลึก และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ท่านพ่อ เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า สิ่งที่อู๋หลิงพูดเกี่ยวกับข้าศึกชาวหวงที่ถูกตีแตก หวังหยวนคือผู้ที่คิดแผนการนี้อยู่เบื้องหลังจริง ๆ งั้นหรือ"เฉิงเหลียวพยักหน้า “เรื่องนี้น่าเป็นเรื่องจริง บุคคลที่มีความสามารถยอดเยี่ยม เสนาธิการฝ่ายขวาเองก็อยากจะรับเขาไปเป็นลูกน้องด้วย”“แต่คนคนนี้...ดูเหมือนจะเป็นคนคนละแบบกับเสนาธิการฝ่ายขวา และคนอื่น ๆ จึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ดังนั้น... คนแบบนี้เป็นมิตรไม่ได้ อย่าได้ทำให้เป็นศัตรูกันเด็ดขาด”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉิงอู๋จี้ก็รีบพูดว่า "ท่านพ่อ เราควรทำอย่างไรดี? ฆ่าเขาเลยดีไหม?"“ฆ่า? เจ้าคิดว่าเขาฆ่าง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? ทั้งเทือกเขาชิงหลง ค่ายต้าเฟิง ไอหมอนี้เหมือนเดินในที่ราบไม่มีผิด”“แล้วเจ้าลืมเรื่องเผยเซียนเจิ้งไปแล้วหรือไง? เขาตกในสภาพนั้นได้ยังไง
“คน ๆ นั้นจากตระกูลหลี่เป็นตาแก่เจ้าเล่ห์ สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเกือบทำให้ตระกูลหลี่ล่มสลาย ตอนนี้เขายังกล้าเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องวุ่นวายในราชสำนักอยู่อีกหรือ?”“เสนาธิการฝ่ายขวาเคยบอกข้ามานานแล้วว่าตระกูลหลี่... เขาใช้มันไม่ได้ จึงไม่จำเป็นต้องใช้มัน”หลังจากที่เฉิงเหลียวพูดจบ ในที่สุดเฉิงอู๋จี้ก็เข้าใจ“ท่านพ่อ บอกข้าทีเถอะว่าเราต้องจัดการกับหวังหยวนหรือไม่?”“ถ้าเราจัดการเขา เสนาธิการฝ่ายขวาคงจะต้องดีใจมากแน่”เฉิงเหลียวพยักหน้า “ว่ากันแล้ว เรื่องนี้กันเรายังต้องพิจารณากันอีกนาน หากอยากจะกำจัดหวังหยวน เจ้าต้องลงมือในครั้งเดียว ไม่ให้เขาลุกขึ้นมาตั้งตัวได้อีก อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น!”“แม้... การที่เราไม่ลงมือเองเป็นการดีที่สุด ยืมมือคนอื่นจัดการกับเขานั้นแหละคือหนทางที่ดีที่สุด!”เฉิงอู๋จี้เริ่มสับสนและถามว่า "ท่านพ่อ แล้ว...เราจะยืมมือใครได้บ้าง?"เฉิงเหลียวยิ้มเล็กน้อย “เขาอยู่นอกราชสำนัก ดังนั้นเราจึงต้องยืมมืออำนาจนอกราชสำนักเป็นธรรมดา อีกทั้ง... มีหลายคนกำลังจับตาดูเขาอยู่ ในยุคนี้ ถ้าเจ้ารวยและมีความสามารถ นั่นแหละน่ากลัวที่สุด!"“ธุรกิจในมือของเขาเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย
หลังจากที่หวังหยวนพูดจบแล้ว ต้าหู่จึงได้เข้าใจในตอนนี้ ในห้องหรูหราอันมืดสลัวในหอไป๋เฟิง ไป๋เฟยเฟยและผู้หญิงชุดม่วงกำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่นี่“แม้ว่าข้าจะมาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งที่มา ข้ารู้สึกว่าที่นี่ไม่เลวเลย นี่คือสถานที่ที่ผู้ชายควรมาจริง ๆ”ไป๋เฟยเฟยโบกพัดขำเล็กน้อย นางดูเหมือนนายน้อยที่มาสนุกกับที่นี่จริง ๆ“ในฐานะผู้หญิง มาอยู่ในสถานที่แบบนี้ เจ้านั้นช่างไร้ยางอายจริง ๆ ”ผู้หญิงชุดสีม่วงพูดอย่างโกรธเคือง ไป๋เฟยเฟยหัวเราะทันทีที่ได้ยิน "เจ้าก็ไม่มาที่นี่เหมือนกันเหรอ อันที่จริงเจ้าน่าจะเรียนรู้ไว้ว่าผู้หญิงที่นี่ทำให้ผู้ชายพอใจได้อย่างไร นับว่าเป็นทักษะแขนงหนึ่งด้วยนะ"โดยปกติแล้ว ผู้หญิงชุดสีม่วงจะต้องโกรธมาก แต่ตอนนี้นางยิ้มแล้วพูดว่า "ที่จริงแล้ว เจ้าควรเรียนรู้มันไว้ต่างหาก ว่าไปแล้วบางทีอาจจัดการหวังหยวนได้จริง ๆ นะ?"ไป๋เฟยเฟยพูดอย่างขุ่นเคือง "เจ้าไม่เห็นหรือว่าหวังหยวนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ยึดมั่นแค่ไหน ขนาดหวงเจียวเจียวสวยมากขนาดนั้น แม้ว่านางจะเป็นนักร้องอันดับหนึ่งในเฉิงโจวก็ตาม นางยังเอาชนะเขาไม่ได้เลย"ผู้หญิงชุดสีม่วงทำตามอย่างที่นางทำและส่ายหน้า "ไ
อู๋หลิงรู้ถึงความสามารถของตัวเขาเองเป็นอย่างดี แล้วฝ่ายเสนาธิการฝ่ายซ้ายก็ย่อมรู้ดีเช่นกันนอกจากกลยุทธ์ของตนเองในการรักษาเสถียรภาพของประเทศแล้ว พวกเขาทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ และไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้ส่วนเสนาธิการฝ่ายขวานั้น การสามารถดำรงตำแหน่งในราชสำนักได้นานหลายปี โดยไม่สูญเสียอำนาจนั้น ถือเป็นความสามารถพิเศษส่วนตัวเป็นอย่างยิ่งนอกจากนี้พวกเขากลัวมาก จนพวกเขาอยากยืมมือฝ่าบาทจัดการเขาจนตาย ซึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาแสร้งทำเป็นเลอะเลือน ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเข้าใจอยู่แล้ว!วันนี้หากมีคนหนึ่งที่ไม่รู้จักความสามารถ และความรู้ที่แท้จริงของหวังหยวน ก็จะคิดว่าเป็นเพียงคนที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเองเป็นอย่างมากเท่านั้น“น้องไป๋เป็นคนดีมาก” หวังหยวนดึงสติของเขาและพูดด้วยรอยยิ้มไป๋เฟยเฟยกล่าวต่อ "สถานการณ์ปัจจุบันของพี่หวังไม่จำเป็นต้องพูดเพิ่มเติม เดิมทีด้วยฝ่ายเสนาธิการฝ่ายซ้ายและคนอื่น ๆ ไม่กล้าแตะต้องท่าน แต่ตอนนี้คำสั่งของฝ่าบาททำให้สถานการณ์ของท่านแย่ลง ฝ่ายเสนาธิการฝ่ายซ้ายเองก็ยากที่จะปกป้องท่านได้”“ประกอบกับทางฝั่งเสนาธิการฝ่ายขวาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องจ
หวังหยวนไม่คาดคิดว่าไป๋เฟยเฟยจะย้อนกลับมาถามตัวเขาแทนอันที่จริง ความทะเยอทะยานของหวังหยวนไม่ได้รุนแรงเท่าพวกเขาเขาแค่อยากมีชีวิตที่สุขสบาย ส่วนเรื่องเงินนั้น หวังหยวนคิดว่ายิ่งมากก็ยิ่งดี เพราะในโลกนี้ไม่มีเงินอยู่ไม่ได้หรอกแต่เมื่อเทียบกับตระกูลไป๋แล้ว ความทะเยอทะยานของเขาดูน้อยกว่ามากตระกูลไป๋เป็นตระกูลขุนนางที่มีเงินมากมาย และพวกเขายังเป็นพ่อค้าเหล็กรายใหญ่ที่สุด!รู้ไหมว่าเมื่อสงครามเกิดขึ้น สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดคือเงินและอาวุธ!โดยพื้นฐานแล้วตระกูลไป๋ก็เป็นเจ้าของของทั้งหมดนั้น ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ การมีความทะเยอทะยานจึงไม่ใช่เรื่องเกินจริง“ข้าแค่พูดไปงั้น เจ้าก็พูดต่อสิ” หวังหยวนยิ้มและพูดจากนั้นไป๋เฟยเฟยก็พูดต่อว่า "นอกเหนือจากราชสำนักต้าเย่แล้ว พ่อค้าเกลือและพ่อค้าผ้าไหมล้วนถูกตระกูลใหญ่ควบคุมไว้ และท่านก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขายเกลือ ในฐานะพ่อค้าเกลือรายใหญ่ที่สุดของต้าเย่ ตระกูลจีแห่งเมืองกู่โจวจะไม่นั่งอยู่เฉย ๆ แน่ ฉะนั้น... พวกเขาจะเป็นคนแรกที่จะลงมือจัดการท่าน!”“นอกจากนี้ ธนาคารและสถานรับแลกเงินทั้งหมดในโลกมีตระกูลใหญ่พวกนี้ควบคุมด้วยกัน ตระกูลไป๋เอง
หวังหยวนที่ได้ฟัง เขาก็ได้เลยรู้ว่าตระกูลจีได้ลงมือแล้ว“ข้าหวังว่าพวกเขาจะแค่ใช้วิธีการทางธุรกิจ หากพวกเขามีเจตนาอื่นก็อย่าหาว่าข้าหยาบคาย”หวังหยวนก็มีขีดจำกัดเช่นกัน หากเป็นเพียงวิธีทางธุรกิจก็ไม่เป็นไร ในท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็เป็นนักธุรกิจแต่หวังหยวนทนต่อการใช้วิธีที่ไร้ยางอายแบบนี้ไม่ได้อย่างน้อย เขายังรับได้สำหรับการกระทำของตระกูลจีในตอนนี้ โดยพื้นฐานคงไม่ยอมให้ตัวเองเปิดประมูลได้การเคลื่อนไหวนี้มีผลกระทบบ้างแต่ไม่มาก“งานชุมนุมกวีนิพนธ์หนานซานจะจัดขึ้นในอีกสองวัน ตอนนั้นเราค่อยขายกันเถอะ”หวังหยวนวางแผนที่จะทำตามวิธีการเดียวกันกับการขายดาบยาวมีคนมากมายมาที่งานชุมนุมกวีนิพนธ์หนานซาน เขาไม่เชื่อว่าคนเหล่านี้ไม่กล้าซื้อของของตัวเอง!หวังหยวนกล่าวอย่างนิ่ง ๆ รองานชุมนุมกวีนิพนธ์หนานซานในสองวัน งานชุมนุมกวีนิพนธ์หนานซานก็เริ่มขึ้นในที่สุดนี่ไม่ใช่งานเทศกาลติ้งหลงไถครั้งล่าสุด ที่จัดขึ้นโดยชาวเฉิงโจวที่เชี่ยวชาญด้านบทกวีแต่ถึงกระนั้น มันก็ยังมีคนให้ความสนใจเป็นอย่างมากในขณะนี้ที่ชานเมืองเฉิงโจว มีภูเขาชื่อดังชื่อว่าหนานซาน สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับบัณฑิตนักวิ
เดิมทีคิดว่าการแสดงออกของเฉิงอู๋จี้อาจแตกต่างเล็กน้อยตามสถานที่ หรืออย่างน้อยก็ควรจะแสดงอะไรบางอย่างออกมา แต่ที่จริงแล้วกลับไม่มีอารมณ์ร่วมเลยสักนิดนึกถึงท่าทีหยิ่งผยองครั้งล่าสุดของเขาที่ตระกูลซุน วันนี้กลับมาแสดงท่าทีเช่นนี้ หวังหยวนจึงได้เข้าใจ และเกรงว่าเฉิงอู๋จี้คนนี้อาจไม่ใช่คนธรรมดาเขาเกลียดตัวเองมากขนาดนี้ แต่เขายังทักทายได้อย่างร่าเริงเช่นนี้ได้ ผู้ตรวจการเมืองนี้ดูท่าคงไม่ธรรมดาเช่นกันวังฉงโหลวและหลี่จ้าวหลินก็ตามหวังหยวนมาด้วยครั้งนี้หวังหยวนไม่ได้พาคนมามากนัก นอกจากตัวเขาเองและภรรยาแล้ว มีเพียงต้าหู่และสองคนนี้ รวมกันห้าคนต้าหู่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถือดาบยาวอยู่ในมือ ระแวดระวังรอบ ๆ รัศมีที่แผ่ออกมาไม่ธรรมดาเลย"ไปกันเถอะ"หวังหยวนยิ้มแล้วเดินนำไปที่ริมทะเลสาบ บริเวณตีนเขาอัฒจันทร์ได้รับการจัดเตรียมไว้ก่อนแล้ว บริเวณนั้นรายล้อมไปด้วยผู้คน บางคนวางที่นั่ง และบางคนก็นั่งกับพื้น“พี่หวัง!”ในตอนนั้น ไป๋เฟยเฟยที่อยู่ไม่ไกลก็โบกมือเรียกหวังหยวนยิ้มแล้วเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ“น้องไป๋ มางานรวมบทกวีนี้ด้วย” หวังหยวนถามด้วยรอยยิ้ม"แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นท่านหมิงถันก็มาที่นี่
น่าเสียดาย หากต้องการเก็บเกสรดอกหน้าผาชันก็จำเป็นต้องมีทักษะอย่างแท้จริง!“ท่านรู้จักดอกหน้าผาชันด้วยหรือ?”หวังหยวนเอ่ยถามโดยไม่รู้ตัว“ย่อมต้องรู้จักสิ”“ท่านไม่อยากรู้หรือว่าข้ามาที่นี่เพื่ออะไร?”“ง่ายมาก! ข้าเองก็มาเพื่อดอกหน้าผาชันนี้เช่นกัน!”ชายคนนั้นกอดอกพูดคำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ“ท่านต้องการดอกหน้าผาชันไปทำอะไร?”หวังหยวนรีบถาม“แน่นอนว่าต้องนำไปแลกเงิน”“ดอกหน้าผาชันนับว่าเป็นสมุนไพรล้ำค่า ข้าต้องพึ่งพามันเพื่อหาทางอยู่รอด!”“ดอกหน้าผาชันหนึ่งดอกสามารถขายได้สิบตำลึงเงิน เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งเดือนของข้า!”หวังหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง เพียงแค่สิบตำลึงเงินเองหรือ?“เหตุใดจึงมีราคาแต่ไม่มีคนขาย?”หากสามารถใช้เงินซื้อดอกหน้าผาชันในตอนนั้นได้ เขาจะลำบากเดินทางมาที่นี่เพื่ออะไร?บ่ายวันนี้ หวังหยวนได้แอบสอบถามมาแล้ว ปรากฏว่าในเผ่าไม่มีดอกหน้าผาชันแม้แต่ดอกเดียว!เขามีบารมีสูงส่งในเผ่า ผู้คนในเผ่าย่อมไม่หลอกลวงเขาหรือว่า...ชายตรงหน้าเขากำลังโกหก?“เหตุใดท่านมองข้าเช่นนี้?”“แน่นอนว่าดอกหน้าผาชันไม่ได้มีไว้ขายให้กับคนในเผ่า เพราะว่าพวกเขาไม่ต้องการสิ่งนี
ในขณะที่หวังหยวนกับเกาเล่อกำลังพูดคุยกัน พลันได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้น“เขาพูดถูก หากตกลงมาจากยอดเขานี้ ต่อให้เจ้ามีสามเศียรหกกรก็จะต้องแหลกเป็นชิ้นแน่นอน!”“ถึงตอนนั้น สภาพย่อมดูไม่จืด!”หวังหยวนกับเกาเล่ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกตึงเครียด รีบหันไปมองตามต้นเสียงเมื่อสักครู่นี้พวกเขาทั้งสองคนกลับไม่ทันสังเกตว่าในความมืดมิดนั้นยังมีผู้อื่นซ่อนอยู่ด้วย!“พวกท่านไม่ต้องเครียด! ข้าไม่มีเจตนาร้ายต่อพวกท่าน!”ชายคนนั้นค่อย ๆ เดินออกมาจากความมืด เขาแต่งกายด้วยชุดผ้าป่าน อายุใกล้เคียงกับหวังหยวน ใบหน้าใต้แสงจันทร์ ของเขาเปื้อนรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา“ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร?”“เหตุใดจึงมาที่นี่ในยามนี้?”ภูเขาทางเหนือตั้งอยู่ในที่ห่างไกล รอบด้านไม่มีบ้านเรือนผู้คน แม้แต่หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ยังอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้!ไม่เช่นนั้น หวังหยวนคงไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาหลายชั่วยาม!แต่ในสถานที่เช่นนี้กลับมีคนแปลกหน้าปรากฏตัว จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไร?ชายคนนั้นยิ้มพลางโบกมือเอ่ยว่า “ข้าก็เพียงแค่เดินทางผ่านมาที่นี่ เห็นพวกท่านทั้งสองกำลังเตรียมปีนหน้าผา จึงคิดจะดูความสนุกสักหน่อย”“แต่ข
ในใจนางก็รู้เรื่องราวเหล่านี้ดี และที่พูดเช่นนี้กับไฉจวิ้นก็เพราะว่านางมองว่าไฉจวิ้นเป็นน้องชายแท้ ๆ ของนางเองไม่ใช่หรือ?หากปฏิบัติต่อคนนอกย่อมไม่ใช่ท่าทีเช่นนี้หยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง หลิ่วหรูเยียนอาจจะรู้สึกเหนื่อยจึงหลับไปอย่างรวดเร็วในคืนนั้น หลังจากที่หวังหยวนกินอาหารเสร็จก็ได้ออกไปอย่างเงียบเชียบหลายชั่วยามต่อมาก็เป็นเวลาเที่ยงคืน หวังหยวนมายืนอยู่ตรงหน้าผาของภูเขาทางเหนือเมื่อมองออกไป อาจเป็นเพราะความมืดมิด จึงมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของหน้าผา ให้ความรู้สึกกดดันอย่างอธิบายไม่ถูก!หวังหยวนกอดอกยืนอยู่ด้านข้าง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มจางที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและสง่างาม“พายุใหญ่คลื่นยักษ์แบบไหนที่ไม่เคยพบเจอ?”“สถานการณ์แบบไหนที่ไม่เคยประสบ?”“เพียงแค่หน้าผา คิดจะขวางทางข้าได้หรือ?”“ช่างน่าขันนัก!”ขณะที่พูด หวังหยวนก็ลุกขึ้นเตรียมที่จะปีนขึ้นหน้าผาด้วยมือเปล่า ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวมาจากด้านหลังเขาหันกลับไปโดยสัญชาตญาณ สายตาจับจ้องไปที่ผู้มาเยือน ผู้ที่มานั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเกาเล่อ!ท่ามกลางความมืดมิด ชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังหวัง
“เช่นนั้นก็ได้ขอรับ...”เมื่อเห็นท่าทีที่แข็งกร้าวของหวังหยวน ไท่สื่อลี่ก็ไม่ได้กล่าวต่ออีก สุดท้ายก็จำต้องจากไปส่วนหวังหยวนนั่งลงศึกษาแผนที่อย่างละเอียดภายในห้องเมื่อไฉจวิ้นกลับมา หลิ่วหรูเยียนก็รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหาไฉจวิ้นอย่างรวดเร็ว พลิกดูห่อผ้าในมือเขาอย่างตื่นเต้น“ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก!”“ซื้อของดี ๆ มาฝากข้ามากมายเพียงนี้เลยหรือ?”“ต่อไปต้องมอบเรื่องเช่นนี้ให้เจ้าจัดการแล้ว!”หลิ่วหรูเยียนลูบศีรษะของไฉจวิ้น พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มไฉจวิ้นรู้สึกอึดอัด นี่นางเห็นเขาเป็นเด็กน้อยชัด ๆ แต่เขาก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้ว อายุอานามก็ไม่น้อย กลับถูกปฏิบัติเหมือนเด็กงั้นหรือ?ช่างน่าเจ็บใจนัก!แต่พี่สะใภ้ผู้นี้ก็เป็นคนที่เขาไม่อาจล่วงเกิน จึงทำได้เพียงอดทนหากเป็นผู้อื่นที่กล้าลูบศีรษะของเขา นี่ถือว่าเป็นการหาเรื่องตายชัดๆ!“จริงสิ พี่ใหญ่ของเจ้าอยู่ไหน?”“เมื่อครู่เขาออกไปกับไท่สื่อลี่ นี่ก็ผ่านมานานแล้ว ยังไม่กลับมาอีก หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”หลิ่วหรูเยียนกินขนมพลางเอ่ยถามไฉจวิ้นชี้ไปที่นอกประตู แล้วตอบว่า “พี่ใหญ่อยู่ในลานบ้านขอรับ เมื่อครู่ตอนที่ข้าเข้ามา เขากำลั
ครึ่งชั่วยามต่อมา ไท่สื่อลี่นำแผนที่มาให้ด้วยตนเอง ทางด้านหวังหยวนเฝ้ารออยู่ที่ลานบ้านเมื่อรับแผนที่มาก็ตรวจดูอย่างละเอียด คิ้วของหวังหยวนขมวดแน่นช่างอันตรายยิ่งนัก!แม้ว่าภูเขาทางเหนือจะเป็นภูเขาโดดเดี่ยว แต่ด้านข้างเป็นหน้าผาทั้งสิ้น หากต้องการเก็บเกสรของดอกหน้าผาชันก็ต้องปีนขึ้นไปบนหน้าผา ไม่มีเส้นทางอื่นให้เลือกเดินนี่ช่างเป็นเรื่องที่ยุ่งยากยิ่งนัก!หากไม่มีวิชาตัวเบา การปีนขึ้นหน้าผาด้วยมือเปล่านั้นยากราวกับปีนขึ้นสวรรค์!หวังหยวนตกอยู่ในห้วงความคิด ครุ่นคิดหาวิธีเก็บเกสรดอกหน้าผาชันส่วนไท่สื่อลี่ไม่ได้เอ่ยคำใด ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเวลาผ่านไปทีละน้อย ไม่นานไฉจวิ้นก็กลับมาพร้อมกับห่อผ้าห่อใหญ่ ในมือไม่เพียงแต่มีของกิน ยังมีของเล่นน่าสนใจอีกมากมายด้วยทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอาใจหลิ่วหรูเยียนเป็นเพราะเขาเอง หลิ่วหรูเยียนจึงไม่อาจออกไปเที่ยวเล่นได้ สตรีนั้นอารมณ์แปรปรวน เขากลัวว่าหลิ่วหรูเยียนจะเก็บเรื่องนี้มาคิดเล็กคิดน้อย“กลับมาแล้ว”หวังหยวนเอ่ยอย่างเรียบเฉยไฉจวิ้นพยักหน้า เขามองหวังหยวนก่อนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ใหญ่อารมณ์ไม่ดี หรือว่าเมื่อครู่นี้ทะเลาะกับพี่
“ช่างสมกับเป็นท่านหวัง ไม่มีสิ่งใดปิดบังท่านได้จริง ๆ”ไท่สื่อลี่ยิ้มพลางส่ายหน้า เมื่อเห็นว่าหลิ่วหรูเยียนไม่ได้แอบหนีออกมาจากห้อง เขาจึงกระซิบว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้พูดคุยกับท่านหมอเทวดาอันแล้ว เขาได้บอกอาการของฮูหยินกับข้าทั้งหมดแล้วขอรับ”“อีกทั้งยังบอกวิธีที่จะทำให้อาการของฮูหยินดีขึ้นด้วย”หวังหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาพลันเป็นประกาย“ท่านหมายถึง...”หวังหยวนไม่ได้เอ่ยประโยคหลังออกมา แต่ชี้ไปที่ท้องของตนไท่สื่อลี่เข้าใจความหมายในทันที จากนั้นก็พยักหน้า“เป็นเช่นนั้นจริง ๆ!”“เช่นนั้นรีบบอกข้ามา วิธีแก้ต้องทำอย่างไร?”“อีกอย่างคือก่อนหน้านี้ข้าได้ถามท่านหมอเทวดาแล้วว่ามีวิธีใดที่จะทำให้อาการของภรรยาข้าดีขึ้นหรือไม่ ท่านหมอเทวดาไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน ข้านึกว่าไม่อาจรักษาภรรยาของข้าให้หายได้...”“ดูท่าแล้ว ท่านหมอเทวดาจงใจปิดบังข้า!”หวังหยวนเข้าใจดีว่าอันจูหมิงคงมีเหตุผลที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่บอกเรื่องนี้กับไท่สื่อลี่ไท่สื่อลี่รีบโบกมือกล่าวว่า “ท่านหวังอย่าได้เข้าใจผิด ไม่ใช่ว่าท่านหมอเทวดาอันไม่อยากบอกท่าน แต่เป็นเพราะว่าตัวยาที่ใช้รักษาฮูหยินนั้นหายา
เมื่อกลับถึงห้อง ด้วยการดูแลของหวังหยวน หลิ่วหรูเยียนจึงจำต้องนอนลงบนเตียงเมื่อเห็นนางพลิกตัวไปมาไม่หยุด หวังหยวนก็เข้าใจได้ในทันที นี่เป็นเพราะนางไม่อยากนอนหลับ“เจ้านี่นะ เหตุใดจึงได้ดื้อรั้นเพียงนี้?”“ในตอนนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าเห็นอะไรในตัวเจ้า!”“หากรู้ล่วงหน้าว่าการเดินทางครั้งนี้จะพบเจอกับเรื่องราวมากมายเพียงนี้ ก็ควรจะให้เจ้าอยู่ที่หมู่บ้านต้าหวังแต่แรก เจ้าจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากมาย”“สุดท้ายแล้วก็เป็นความผิดของข้า...”หวังหยวนจิบชาพลางพึมพำกับตนเอง เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า ภาพในความคิดย้อนกลับไปถึงคำพูดของอันจูหมิงก่อนหน้านี้ยามนี้เขาก็ยังคงคิดหาวิธีที่จะบอกกล่าวเรื่องนี้กับหลิ่วหรูเยียนไม่ได้สำหรับหวังหยวนแล้ว การไม่อาจตั้งครรภ์ได้นั้นสำคัญตรงไหนกัน?ครอบครัวของเขามีเหล่าภรรยาที่เพียบพร้อม ย่อมไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้แต่สำหรับหลิ่วหรูเยียนแล้ว สตรีที่ไม่มีบุตรก็ไม่นับว่าเป็นสตรีเมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ หวังหยวนจะไม่รู้สึกอึดอัดใจได้อย่างไร?ดูท่าแล้วคงต้องหาจังหวะที่เหมาะสม จากนั้นค่อยบอกความจริงกับหลิ่วหรูเยียน นางจะได้ไม่เจ็บปวดมากนัก“นี่ท่านกำลังคิดอ
“เอาล่ะ!”“ตอนนี้เจ้าเชื่อฟังพี่ใหญ่ของเจ้าใช่หรือไม่?”“พี่ใหญ่ของเจ้าไม่อยู่ไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นคำพูดของพี่สะใภ้ก็ไม่มีค่าแล้วใช่หรือไม่?”“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ภายภาคหน้าเจ้าก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าพี่สะใภ้ ข้าจะออกไปเดินเล่นเอง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับข้า พี่ใหญ่ของเจ้าจะต้องมาเอาเรื่องกับเจ้า ถึงตอนนั้นก็คอยดูเถิดว่าจะเป็นอย่างไร!”หลิ่วหรูเยียนเฉลียวฉลาด ไฉจวิ้นผู้ไม่ประสีประสาจะต่อกรกับนางได้อย่างไร?เพียงชั่วครู่ ไฉจวิ้นถึงกับพูดไม่ออก เมื่อเห็นว่าหลิ่วหรูเยียนกำลังจะเดินจากไป เขาก็รีบวิ่งตาม พลางประจบประแจงว่า “พี่สะใภ้! ท่านอย่าได้ทำให้ช้าต้องลำบากใจเลยขอรับ ตกลงหรือไม่?”“ท่านเพิ่งจะหายป่วย สภาพร่างกายก็ยังฟื้นตัวไม่ดี อีกทั้งท่านหมอเทวดาก็บอกแล้วว่าอย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกหลายวัน ท่านถึงจะหายดี ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพักผ่อนนะขอรับ!”“แต่ในเมื่อท่านยืนกรานจะออกไป เช่นนั้นพวกเราเดินเล่นเพียงครู่เดียว จากนั้นก็รีบกลับมาก็ได้ ตกลงหรือไม่ขอรับ?”ในที่สุดไฉจวิ้นก็ยอมอ่อนข้อให้ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นผู้ที่เขาไม่อาจล่วงเกิน!ล่วงเกินหวังหยวนก็ไม่เป็นอะไร เพราะว่าพวกเขาล้วนเ
“นี่คือคำสั่ง!”เกาเล่อถอนหายใจอย่างจนใจ ไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อ แต่หันหลังเดินไปยังทิศทางหนึ่งในไม่ช้า หวังหยวนก็กลับเข้าไปในห้องทันทีที่เข้าประตูไป เขาเห็นหลิ่วหรูเยียนลืมตาตื่นและกำลังจะลุกขึ้นหวังหยวนรีบวิ่งไปหาหลิ่วหรูเยียน แล้วกล่าวว่า “ฝีมือของท่านหมอเทวดาอันช่างล้ำเลิศยิ่งนัก เพียงเวลาสั้น ๆ เจ้าก็ฟื้นคืนสติแล้วหรือ?”“อีกทั้งดูเหมือนว่า เจ้าจะดูมีเรี่ยวแรงขึ้นมาก”หลิ่วหรูเยียนรู้สึกว่าสภาพร่างกายของตนดีขึ้น แม้ว่าบริเวณหน้าท้องจะยังเจ็บอยู่บ้าง อีกทั้งร่างกายก็ยังอ่อนแรง แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้มากยามนี้ก็ไม่ต้องแสร้งทำเป็นว่าอาการดีขึ้น ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามธรรมชาติหวังหยวนประคองนางนั่งลงที่โต๊ะ จากนั้นนางก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นเป็นเพราะว่าร่างกายของข้าแข็งแรง ท่านไม่เห็นสตรีด้านนอกเหล่านั้นหรือไร แต่ละคนล้วนดูอ่อนแอ จะนำมาเปรียบเทียบกับข้าได้อย่างไร?”“ร่างกายของข้าแข็งแรงดั่งวัว ประกอบกับฝีมืออันล้ำเลิศของท่านหมอเทวดาอัน การรักษาให้หายดีก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา”“น่าเสียดาย ร่างกายอันงดงามของข้ากลับมีรอยแผลเป็น นี่ช่างดูไม่น่ามองเอาเสียเลย”“ไม่ได้! เมื่อข้าหาย