เมื่อเห็นว่าราชสำนักยังไม่ได้ดำเนินการรื้อกำแพง ตลาดกลางคืนยังเป็นข้อห้าม แบ่งสันปันส่วนที่ดินให้เกษตรกรที่ไม่มีที่ดิน ยกเลิกสิทธิพิเศษภาษีของเจ้าของที่ และขุนนางบังคับให้ต้องจ่ายภาษีเฉกเช่นผู้อื่นด้วย จ้าวเว่ยหมินจึงเขียนจดหมายถึงเขาอีกฉบับแสดงรายละเอียดข้อมูล เขียนถึงกฎเมื่อสามร้อยกว่าปีของราชสำนัก และบอกเป็นนัยอย่างคลุมเครือว่าบัณฑิตหนุ่มผู้นี้เข้าใจความลับแห่งสวรรค์อย่างถ่องแท้ซือเหยากานเจ้ากรมกรมโยธาธิการลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า "อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย อย่าได้ใจให้มันมากนัก ฝ่าบาททรงตกลงให้แม่ทัพหนุ่มเป็นแม่ทัพใหญ่นำทัพแล้ว แต่เจ้ายังจะยัดเด็กเข้าไปในนั้นอีก หากฝ่าบาททรงรับข้อเสนอแนะของเจ้าจริง ๆ พระองค์จะไม่ถูกบัณฑิตทั้งโลกวิพากษ์วิจารณ์รึ”จักรพรรดิซิงหลงโบกแขนเสื้อแล้วเดินจากไป "อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก เด็กน้อยมีความสามารถมากแค่ไหน? เขาเป็นแค่หุ่นเชิดของคนอื่นเท่านั้น"ข้อมูลที่ได้จากองค์รักษ์เงา จึงได้รู้ว่าพ่อหนุ่มคนนี้มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับวังไห่เทียน จากเมืองจวินเฉิงมากไอสุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้น หลังจากลาออกแล้ว ยังคงดิ้นรนจะสนับสนุนเด็กค
เสวี่ยผานแค่นหัวเราะ "การเก็บเงินนับว่าเป็นอะไรได้ เมื่อเทียบกับกำแพงด่านหลงโถวที่แตกไปแล้ว มณทลจิ่วซานมันจะไปเหลืออะไรได้ ตอนนี้ข้าแค่อยากหาเงิน ในเมื่อมณทลจิ่วซานกำลังจะถูกทำลาย ข้าจะเอาเงินกลับไปให้เมืองหลวง เมื่อถึงเวลาเจ้ามีเงินเพียงพอ ก็หาคนรับผิดแทนเจ้า เรื่องนี้ก็เป็นอันผ่านไปแล้ว”ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยนั้น มีเสียงเร่งด่วนดังขึ้น "แม่ทัพหนุ่ม เจ้าเข้าไปไม่ได้ ผู้บังคับบัญชากำลังปฏิบัติหน้าที่ยุ่งอยู่ เจ้าจะบุกรุกเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้!"ในขณะที่พูด หวังหยวนและอู๋หลิงก็เดินเข้าไปในลานบ้านแล้ว เมื่อเห็นกล่องเงิน ทั้งสองก็ขมวดคิ้วมองด้วยสายตาที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ!“อู๋หลิง เจ้าบังอาจมาก เจ้ากล้าบุกเข้าไปในบ้านของผู้บังคับบัญชางั้นรึ!”แววตาของเสวี่ยผานเคร่งเครียด "อยากจะลองไหมว่าข้าจะสั่งคนจับเจ้าไปลงโทษด้วยกฎทหารได้ไหม!"อู๋หลิงไม่ได้พูดอะไร สายตาของเขากวาดสายตาไปที่กล่องทองคำและเงิน แล้วมองไปที่เสวี่ยผานด้วยความเจ็บปวด ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เหมือนเขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เขาทำแบบนี้ได้อย่างไร ในตอนที่ชาติบ้านเมืองประสบวิกฤตเช่นนี้!เมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ก็รู้สึกอึด
ฟึบตุ้บ!เสวี่ยผานทรุดตัวลงบนพื้นด้วยความหวาดกลัวป้ายทองอาญาสิทธิ์เทียบเท่าได้กับจักรพรรดิมาที่นี่ด้วยพระองค์เอง ขุนนางที่ยศต่ำกว่าอันดับสามแรกสามารถสังหารก่อนแล้วค่อยรายงานได้ตอนนี้เขาไม่มีอำนาจ และอู๋หลิงจะฆ่าเขา!ตอนนี้เขามีป้ายทองอาญาสิทธิ์ การฆ่าเขาก็นับว่าสมเหตุสมผล เขาจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร!"..."เมื่อนึกถึงญาติของเขาที่ถูกคุมขังในเมืองหลวง อู๋หลิงก็ระงับจิตสังหารที่ก่อในใจ และรับป้ายทองอาญาสิทธิ์ขึ้นเพื่อรับสนองราชโองการ "ทหาร เสวี่ยผานกระทำตัวขี้ขลาดไม่รับผิดชอบ ดื่มสุราสังสรรค์เคล้านารี โลภมากฉ้อโกงเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ให้ปลดเขาออกจากตำแหน่งเป็นการชั่วคราว และกักบริเวณในนี้ซะ!”สูด!เสวี่ยผานถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตราบใดที่เขาไม่ถูกฆ่า ทุกอย่างยังแก้ไขได้ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลเสวี่ยทหารในจวนต่างตกใจ จากนั้นก้าวไปข้างหน้า ดึงเครื่องแบบขุนนางของเสวี่ยผานออก ยึดตราประทับของเขา ลากตัวออกไปขังไว้เสวี่ยผานให้ความร่วมมือตั้งแต่ต้นจนจบ!ในสถานการณ์เช่นนี้ อู๋หลิงเข้ารับตำแหน่งแทน เป็นการพักผ่อนสำหรับเขาหากชาวหวงพิชิตเมืองจิ่วซานได้ล่ะก็ อู๋หลิงก็ต้องเป็นคนรับผิ
ข่าวที่อู๋หลิงเข้ามาเป็นผู้บัญชาการ ได้รับป้ายทองอาญาสิทธิ์ เขี่ยเสวี่ยผานออกจากตำแหน่งได้แพร่ไปทั่วค่ายทหารตอนนี้ในกลุ่มขุนพล ครึ่งหนึ่งดูตื่นเต้นดีใจ และอีกครึ่งหนึ่งสีหน้าดูไม่น่ามองยิ่งนักคนเหล่านี้ล้วนได้รับการส่งเสริมจากตระกูลเสวี่ย และถือได้ว่าเป็นเชื้อสายสูงส่ง ล้วนลูกท่านหลานเธอทั้งนั้น“ทุกคนไม่ต้องมากพิธี!”อู๋หลิงโบกมือและชี้ไปที่หวังหยวนแล้วพูดว่า "นี่คือท่านบัณฑิตหมิงถันที่ข้าเชิญมาเป็นที่ปรึกษาทางทหาร จากนี้ไปในกองทัพ คำพูดของเขาก็เหมือนคำพูดของข้า!"“ที่ปรึกษาทางทหาร?”หลายคนมองหวังหยวนด้วยความสงสัยสามารถถูกเชิญจากแม่ทัพหนุ่มให้เป็นที่ปรึกษาทางทหารได้ บัณฑิตหนุ่มคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน“แม่ทัพหนุ่ม เท่าที่ข้ารู้มา ท่านบัณฑิตหมิงถันเป็นบัณฑิตและไม่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อน เขาจะมาสั่งการเราได้ยังไง! ถ้าเราฟังเขา หากรบแพ้ขึ้นมาใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ!”ทันใดนั้นขุนพลหวางห่าวก็ยืนขึ้นด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรขุนพลหลายคนขมวดคิ้วหวางห่าวเป็นญาติสนิทของตระกูลเสวี่ย มาที่เมืองจิ่วซานเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันให้กับเสวี่ยผาน“ข้าเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด หากเจ้าเชื่
หวังหยวนชี้ไปที่นายทหารสองคนทั้งสองคนอดสะใจไม่ได้ เมื่อได้เห็นหวางห่าวคุกเข่าลง และจะได้บุกค้นจวนของเสวี่ยผานด้วย"รับทราบ!"นายทหารสองคนประสานมือ เดินประกบหวางห่าวไว้ และไปค้นคฤหาสน์ของเสวี่ยผานเมื่อมาถึงจุดนี้ พวกขุนพลทุกคนก็มองไปที่หวังหยวนด้วยสายตาหวาดกลัวอู๋หลิงหัวเราะเบา ๆ ขุนพลในกองทัพกลัวอำนาจ แต่ไม่กลัวคุณธรรม พวกเขาต้องถูกเขย่าขวัญก่อนจึงจะเชื่อฟังได้หวังหยวนกล่าวว่า "เอาล่ะ ใครมีคำถามอะไรอีกไหม?"แม่ทัพเว่ยชิงซานยกหมัดคารวะขึ้นมาและกล่าวว่า "ท่านที่ปรึกษา ตอนนี้ขวัญกำลังใจของพวกทหารกำลังตกต่ำ ทุกคนคิดว่าการศึกครั้งนี้จะต้องพ่ายแพ้ แม้ว่าจะได้รับเบี้ยหวัดแล้ว ทหารก็ยังไม่มีใจจะสู้ เราจะชนะศึกเราต้องเพิ่มขวัญกำลังใจ ไม่ทราบว่าที่ปรึกษาจะทำอย่างไร เพื่อนำพวกเราไปสู่ชัยชนะ!"ท่านแม่ทัพมองไปที่เว่ยชิงซานแล้วขมวดคิ้วทหารม้าหนึ่งแสนคนของกองทัพชาวหวงเป็นทั้งทหารม้า กองหน้าไม้ กำลังรบแข็งแรงกว่ามากในเมืองนี้มีทหารสองหมื่นนาย ทหารม้าสามพันนาย กองหน้าไม้ห้าพันนาย กองขวานห้าพันนายและกองหอกอย่างละห้าพันนาย และกองกำลังเสริมที่เหลือสองพันนาย!หากเราเปิดศึกกับชาวหวงจริง ๆ ก
“ ฮ่าฮ่า ไอน้องคนนี้มันล้ำหน้าจนผู้คนคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ!”จวนตระกูลวัง วังไห่เทียนที่ได้ยินข่าวจากค่ายทหารอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา!วังฉงโหลวถามอย่างไม่เข้าใจ "ลุงรอง ทำไมลุงหยวนไม่สั่งให้ใครตะโกนอะไรสักอย่างล่ะ มันน่าประหลาดใจตรงไหน!"วังไห่เทียนถอนหายใจเบา ๆ "ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนโง่เขลา คนอื่นพูดอะไรพวกเขาก็เชื่อเช่นนั้น สิ่งที่ลุงหยวนของเจ้าทำคือการทำให้คนตะโกนบอกเล่าออกไป ไม่ว่าคำพูดนั้นจริงหรือเท็จ และไม่สนด้วยคำพูดนั้นจะจริงหรือเท็จ หากพูดย้ำออกไปซ้ำ ๆ เหล่าทหารและประชาชนในเมืองก็จะเชื่อไปตามนั้น เมื่อพวกเขาเชื่อแล้ว พวกเขาก็มีใจที่จะสู้ และการปกป้องเมืองก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป”วังฉงโหลวกังวลและพูดว่า "ลุงรอง ท่านคิดว่าลุงหยวนสามารถช่วยอู๋หลิงชนะศึกในครั้งนี้ได้หรือไม่"วังไห่เทียนยิ้มเล็กน้อย "เดิมทีข้าเองรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่หลังจากเห็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลของเขาแล้ว รู้สึกว่าเขาต้องมีกลอุบายบางอย่างอยู่แน่!"ปังปังปัง!รถม้าของตระกูลไป๋กำลังวิ่งอยู่ในเมือง ไป๋เฟยเฟยมองไปที่เหล่าผู้ส่งสารที่รีบเร่งแพร่ข่าวออกไป ท่าทีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คนในเม
การจัดหาเสบียงยุทโธปกรณ์ทางทหารที่ขาดแคลนมาแต่เดิมก็ดีมากขึ้นทันที!แท่งเงินทองที่แลกเปลี่ยนเป็นเหรียญเงิน และเหรียญทองแดงก็มาถึงแล้ว!หวังหยวนและอู๋หลิงมาที่ค่ายทหารทหารถูกจัดเรียงตามระดับตำแหน่งสูง ระดับกลาง และระดับล่าง ทั้งสองคนแบ่งกันรับหน้าที่รับผิดชอบในการจ่ายเบี้ยหวัดทหารทีละคนเบี้ยหวัดทหารนั้นต่ำมาก โดยระดับสูงได้รับเงินแค่เดือนละหนึ่งกว้าน ทหารระดับกลางได้รับเงินเดือนละเจ็ดร้อยเหรียญ และระดับล่างลงได้รับเงินเดือนละห้าร้อยเหรียญขั้นตอนนี้ยุ่งยากมาก อู๋หลิงกำลังจะยกหน้าที่ให้กับพลาธิการ แต่หวังหยวนห้ามเขาไว้จ่ายเบี้ยหวัดทหาร เรียกชื่อ และให้กำลังใจพวกเขา!แม้ว่าจะมีสองคนทำด้วยกัน แต่กระบวนการนี้กินเวลานานสี่ชั่วยามจนฟ้ามืดทหารที่ได้รับเบี้ยหวัดต่างก็มีน้ำตาคลอเบ้า และตื้นตันในกับเหตุการณ์นี้ยิ่งนักพวกทหารอยู่ในกองทัพมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้รับเบี้ยหวัดเต็มจำนวนเลย และยังหักหัวคิวกันมาเป็นทอด ๆ อีกท่านที่ปรึกษาและแม่ทัพหนุ่มนั้นแตกต่างกัน พวกเขาไม่หักอะไรเลย และยังมอบให้พวกเขาด้วยตัวเองอีก“ขอบคุณท่านที่ปรึกษาที่จ่ายเบี้ยหวัดให้ข้า!”"ขอบคุณแม่ทัพหนุ่มที่จ่ายเบี
“กองทัพเกราะทมิฬได้รับการฝึกฝนจากของพ่อข้า ทหารทุกคนล้วนมีทักษะวรยุทธ์การต่อสู้สูงส่ง นอกจากนี้ พวกเขามีชุดเกราะทมิฬและดาบดำ ขวัญกำลังใจของเรานั้นช่างหึกเหิมไม่เกรงกลัวสิ่งใด เราสามารถควบคุมสั่งการได้ดั่งแขนขา เราไม่หวาดเกรงกองทหารม้าของพวกชาวหวงเลย”อู๋หลิงยิ้มอย่างขมขื่น "ทหารในจิ่วซานถือได้ว่าเป็นรองเท่านั้น แม้ว่าขวัญกำลังใจของพวกเขาจะถูกท่านกระตุ้นให้หึกเหิมแล้ว นำพวกเขามาปกป้องเมืองก็พอได้อยู่ แต่ถ้าพวกเขาได้ออกจากกำแพงเมือง และเห็นกองทัพชาวหวง ใจฮึดสู้ของพวกเขาจะต้องหายไปหมดแน่”หวังหยวนเอ่ยอย่างคาดหวัง "เป็นไปได้ไหมที่จะรวบรวมกองทัพเกราะทมิฬอีกครั้ง?"“พ่อข้าทำงานหนักมาสิบปี ฝึกทหารกองทัพเกราะทมิฬทั้งหมดหนึ่งหมื่นนาย ในช่วงสิบปีของการสู้รบทางเหนือและใต้ส่วนใหญ่เสียชีวิต ในเหตุการณ์เมื่อห้าปีที่แล้วอีกสองพันคนถูกราชสำนักสังหาร”ดวงตาของอู๋หลิงเต็มไปด้วยน้ำตาเจือไปด้วยความเจ็บปวด "ตอนนี้เหลืออีกสองพันคนที่กระจัดกระจายไปทั่วต้าเย่ ไม่ยอมรับใช้ราชสำนัก ต่อให้ข้าจะเรียกตัวกลับมา ก็คงเรียกได้เฉพาะจากบริเวณจิ่วซานเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะมาได้สักกี่คน”หวังหยวนพูดอย่างเค
“ต่อให้คนธรรมดาทำงานหนักทั้งชีวิตก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ของเหมือนที่อยู่ในห้องข้าได้!”แม่นางหรูเยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแฝงไปด้วยความรำคาญทว่าตั้งแต่เข้ามาในห้อง หวังหยวนก็จ้องมองแม่นางหรูเยียนตลอดเวลา พิจารณาแม้แต่ท่าทางการพูดของนางแม้ว่าแม่นางหรูเยียนจะแสร้งทำเป็นหยิ่งผยองและทำท่าทางเย็นชา แต่หวังหยวนรู้สึกได้ว่านางไม่ใช่คนเช่นนี้แน่นอน นางกำลังจงใจเล่นละครเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง!แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้หวังหยวนยังไม่สามารถค้นพบความลับของนางได้โชคดีที่เขายังมีเวลาอีกมากพอที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป ค่อย ๆ ขุดคุ้ยความลับเบื้องหลังของแม่นางหรูเยียน!เวลาผ่านไปทีละวินาทีแม่นางหรูเยียนก็แอบมองหวังหยวนเป็นระยะ นางคาดเดาความคิดของชายผู้นี้อยู่ในใจพลางครุ่นคิด“เขาคงไม่เฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดหรอกใช่หรือไม่?”“เขาต้องการอะไรกันแน่?”“ข้ากับเขาไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้เลยว่าเคยพบเขามาก่อน?”ส่วนหวังหยวนก็นั่งจิบชาเงียบ ๆ ด้วยท่าทางสบายใจทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างเร่งรีบ ตามมาด้วยเสียงสนทนาของชายหญิงดังเข้ามาในห้อง“คุณชายเฉิน! ท่านเข้าไปไม่ได้นะเจ้าคะ!”
“ว่ามาสิว่าเจ้าเป็นใครกันแน่?” สตรีผู้นี้มีวิทยายุทธไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ นางจะซ่อนเร้นให้รอดพ้นสายตาของหวังหยวนไปได้อย่างไร?ที่นี่คือเมืองอู่เจียง ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของเขา ไม่อาจปล่อยให้คนเช่นนี้ปรากฏตัวได้! แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นสตรี หวังหยวนก็จำต้องระมัดระวัง เพราะเกรงว่าจะเกิดความผิดพลาด!แม่นางหรูเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้นดึงปิ่นปักผมของตนเองออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วจ่อไปที่ลำคอของตนเอง ทำท่าทางเหมือนพร้อมจะสละชีพ!“ได้!”“ถือว่าข้าโชคร้ายเองที่ได้พบเจ้า!”“หากเจ้ายังคงบีบบังคับข้าต่อไป ข้าจะตายตรงหน้าเจ้าบัดเดี๋ยวนี้!”หลังจากพูดจบ แม่นางหรูเยียนก็พร้อมที่จะใช้ปิ่นปักผมแทงเข้าที่คอของตนเอง!โชคดีที่หวังหยวนตาไว คว้าปิ่นปักผมออกจากมือของนางได้ทัน แล้วเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “อย่ามาเล่นละครตบตากับข้า!”แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ในใจก็ยังหวาดกลัวอยู่บ้าง!สตรีผู้นี้ช่างบ้าคลั่งนัก กล้าลงมือกับตนเองเช่นนี้!ช่างโหดเหี้ยมนัก แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เว้น!“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?” ใบหน้าของแม่นางหรูเยียนบึ้งตึง วิทยายุทธของหวังหยวนนั้นสูงส่งแล
ก่อนที่แม่นางหรูเยียนจะทันได้ตั้งตัว มือของหวังหยวนก็สัมผัสผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว!เห็นได้ชัดว่าต้องการจะดึงผ้าคลุมหน้าออก!แต่ที่หวังหยวนไม่คาดคิดก็คือแม่นางหรูเยียนมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วมาก เห็นได้ชัดว่านางมีวรยุทธ!นางรีบยกมือขึ้นมาสกัดกั้นมือของหวังหยวน แล้วถอยหลังอย่างรวดเร็วไปยังเตียงนอนนางคว้ามีดสั้นออกมา ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาหวังหยวนด้วยท่าทางน่าเกรงขาม!“มีวรยุทธด้วยหรือ?”หวังหยวนหรี่ตาแล้วยกยิ้ม เรื่องราวยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆไม่น่าแปลกใจเลยที่แม่นางหรูเยียนช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจ นางมีความลึกลับซ่อนอยู่มากมาย!เพียงชั่วพริบตาเดียว หวังหยวนก็เข้าต่อสู้กับแม่นางหรูเยียน!แม้ว่าหวังหยวนจะระวัง แต่กระบวนท่าโจมตีอันทรงพลังของแม่นางหรูเยียนนั้นรุนแรงมาก เห็นได้ชัดว่านางต้องการสังหารหวังหยวนให้ได้!โชคดีที่หวังหยวนหลบหลีกได้ทัน สามารถเลี่ยงการโจมตีของนางได้ครั้งแล้วครั้งเล่า!“เจ้าเป็นสตรี เหตุใดถึงได้โหดร้ายเช่นนี้?”หวังหยวนส่ายหน้าขณะพูดแม่นางหรูเยียนขมวดคิ้ว “นั่นก็เพราะท่านชั่วร้ายเกินไปไม่ใช่หรือ?”“ท่านรู้เรื่องที่ควรจะรู้แล้ว แต่ท่านยังคงหยาบคาย เห็นได้ชัด
“ข้าได้กล่าวไปแล้วว่าข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแต่ต้องการสนทนากับเจ้าเท่านั้น” ริมฝีปากของหวังหยวนเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ราวกับว่าได้กลับมาถึงบ้านของตนเองต่อจากนั้น หวังหยวนก็นั่งลงรินน้ำชาให้ตนเอง แล้วโบกมือให้อีกฝ่ายนั่งลง ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “หากเจ้าคิดจะเรียกคนมาช่วย ข้ารับรองว่าได้ว่าก่อนที่พวกเขาจะมาถึง ข้าสามารถทำให้เจ้าเสียโฉมได้แน่นอน”“หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองดูได้”หวังหยวนยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าฝาถ้วยชามาอยู่ในมือของเขาตั้งแต่เมื่อใด เป็นการเตือนแม่นางหรูเยียนอย่างชัดเจนแม่นางหรูเยียนสีหน้าซีดเผือด นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกข่มขู่ ในหอชิงสุ่ยนี้ ชายแทบทุกคนต่างปรารถนาจะได้ใกล้ชิดนาง แต่ก็ไม่มีใครได้โอกาสและไม่มีใครกล้าล่วงเกินนางแม้แต่ข่มขู่นางก็ไม่เคยมีมาก่อนหวังหยวนเป็นคนแรกที่ทำเช่นนี้หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แม่นางหรูเยียนจึงขมวดคิ้วพูดว่า “ท่านต้องการอะไร?”ขณะที่พูด แม่นางหรูเยียนก็รักษาระยะห่างจากหวังหยวน ไม่ได้เข้าใกล้เขาแม้แต่น้อยแต่สามารถเห็นได้ชัดจากแววตาของนางว่านางก็หวาดกลัวอยู่ไม่น้อยเพราะหวังหยวนเป็นคนแรกที่เข้ามาในห้องนี้!แต่ที่ไม่คาดคิดก
เกาเล่อไม่ได้สนใจ เพียงแค่ดื่มสุราต่อไปในสายตาของเขา สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงกลอุบายหลอกล่อลูกค้าเท่านั้นเพียงแค่เสนอราคาให้เหมาะสม เขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าหญิงสาวที่นี่จะรักนวลสงวนตัว!มันเป็นเพียงเรื่องน่าขัน!ทันใดนั้นชายหลายคนจากโต๊ะข้าง ๆ ก็หัวเราะเยาะขึ้นมา“เจ้าคิดว่ามีเงินแล้วจะยิ่งใหญ่นักหรือ?”“ที่อื่นอาจจะได้ แต่ที่นี่ไม่ได้หรอกนะ!”“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนอยากดื่มสุราร่วมกับแม่นางหรูเยียนกี่คน?”“มากมายจนถ้าต่อแถวแล้ว แถวคงยาวออกไปนอกเมือง!”“ในบรรดาคนเหล่านั้นมีคุณชายจากตระกูลชั้นสูง แต่แม่นางหรูเยียนก็ไม่ได้สนใจพวกเขา”“ส่วนเจ้าก็คงไม่ต่างกัน!”ทุกคนต่างหัวเราะกันครื้นเครงหวังหยวนไม่ได้สนใจคำพูดของพวกเขา หลังจากเก็บทองบนโต๊ะกลับคืนมาแล้ว เขาก็โบกมือให้เสี่ยวเอ้อออกไปเสี่ยวเอ้อสบถ เดิมทีคิดว่าหวังหยวนจะให้เงินทอง แต่สุดท้ายกลับไม่ได้อะไรเลย…ช่างน่าโมโหนักหวังหยวนมองไปที่เกาเล่อ แล้วกระซิบว่า “เจ้าส่งคนไปสืบเรื่องราวของแม่นางหรูเยียนที ข้าค่อนข้างสนใจนาง”“ท่านผู้นำ ท่านไม่ได้ล้อเล่นใช่หรือไม่ขอรับ?”“ท่านเชื่อคำพูดไร้สาระของพวกเขาหรือ?”“ข้าสงสัยว่านางคนนั้น
หวังหยวนประหลาดใจ ที่นี่มีกฎเกณฑ์ด้วยงั้นหรือ? ขณะที่เกาเล่อกำลังจะแสดงความไม่พอใจ แต่หวังหยวนรีบส่งสัญญาณให้เขาด้วยสายตา เกาเล่อจึงไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ยังคงยืนแข็งทื่อราวกับรูปปั้นอยู่ด้านหลังของหวังหยวน แต่ดวงตาของเกาเล่อแสดงถึงความไม่สบอารมณ์“เหตุใด?”“หรือว่าเจ้าจะคิดทำร้ายคน?”หญิงสาวที่เพิ่งสนทนากับหวังหยวนเบ้ปากใส่เกาเล่อ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “หากไม่ได้มาเพื่อความสนุกสนานก็จงรีบออกไปจากที่นี่เสีย!”“อย่ามาขวางทาง อย่าทำให้พวกข้าเสียเวลา!”“พวกข้ายังต้องทำมาหากิน!”หญิงคนนั้นก็ชนไหล่ของหวังหยวนแล้วเดินผ่านไปที่หน้าประตู หญิงสาวคนอื่น ๆ ที่ตามมาก็ทำเช่นเดียวกัน“พวกนางช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง!”“หากพวกนางรู้ถึงตัวตนของท่าน คงต้องคุกเข่าขอความเมตตาจากท่าน”เกาเล่อบ่นพึมพำ“เช่นนั้นอย่าให้พวกนางรู้ถึงตัวตนของข้าดีกว่า”“ข้าไม่อยากมีเรื่องกับพวกนาง”หวังหยวนกล่าวติดตลกแล้วเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับเกาเล่อ เลือกที่นั่งแล้วมองไปยังเวทีกลางพลางพิจารณาหอชิงสุ่ยอย่างละเอียดต้องยอมรับว่าที่นี่ตกแต่งได้อย่างหรูหราอลังการอาคารหลังนี้มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นล่าง
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะสำเร็จได้ในวันเดียวหากต้องการให้เมืองอู่เจียงกลายเป็นเมืองสำคัญทางคมนาคมคงต้องใช้เวลาอีกสองสามปีจึงจะสมบูรณ์หวังหยวนเองก็ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า เขาพยายามค้นหาคนที่เหมาะจะเป็นผู้ว่าราชการคนใหม่ในเมืองอู่เจียง แต่ก็ยังหาไม่พบณ หอชิงสุ่ยเมื่อค่ำคืนนี้มาเยือน หวังหยวนกำลังไปเดินเล่นชมเมืองและบังเอิญมาถึงหอชิงสุ่ยที่นั่นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและผู้คนพลุกพล่าน“ที่นี่คือที่ใด?” หวังหยวนถามเกาเล่อผู้ติดตามอยู่ข้างกาย“ที่นี่คือสถานที่แห่งความสุขทางโลกขอรับ”“ท่านผู้นำสนใจจะเข้าไปดูหรือไม่ขอรับ?”เกาเล่อตอบด้วยรอยยิ้ม“ข้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้...”“อีกอย่างซื่อหานก็รอข้าอยู่ที่บ้าน หากข้ามมัวเมาสุราอยู่ที่นี่ แล้วพวกผู้หญิงในบ้านรู้เข้าคงต้องมีเรื่องวุ่นวายเป็นแน่”หวังหยวนส่ายหน้า หลี่ซื่อหานนั้นยังเข้าใจได้และจะไม่พูดอะไรมาก แต่สำหรับหวงเจียวเจียว...นั่นคือคนที่ยากจะรับมือเกาเล่อหัวเราะ แล้วกล่าวต่อ “ท่านผู้นำอาจเข้าใจผิด ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ธรรมดาอย่างที่ท่านคิดหรอกนะขอรับ”“ข้าเคยสืบเรื่องที่นี่มาแล้ว”“เท่าที่ข้าทราบ เจ้าของที่นี่มีเบื้
ในไม่ช้าหวังหยวนพร้อมคณะก็กลับมายังที่ว่าการเมืองอู่เจียงฉุนอวี๋อันเฝ้ารอมาพักใหญ่แล้ว“ท่านผู้นำ ข้าสั่งให้เหล่าแรงงานเตรียมพร้อมแล้ว พวกเขาพร้อมจะเริ่มงานได้ทุกเมื่อขอรับ!”“ข้าได้แจกจ่ายแบบแปลนให้แก่พวกเขาแล้ว แต่ว่าตอนนี้ยังมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง...”ฉุนอวี๋อันพูดเพียงเท่านี้ก็เงียบไป สีหน้าบ่งบอกถึงความลำบากใจ“ต้องการเงินเท่าใด?”หวังหยวนทราบความคิดของเขาในทันทีจึงเอ่ยถามออกไป“ท่านผู้นำฉลาดหลักแหลมยิ่งนักขอรับ!”“ใช่แล้วขอรับ เพียงแค่ต้องการเงินจำนวนหนึ่ง!”“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมืองอู่เจียงไม่ได้มีเงินทองมากมาย จึงไม่เพียงพอที่จะใช้ในการก่อสร้างครั้งนี้”“ข้าจึงจำต้องมาแจ้งเรื่องนี้กับท่านผู้นำขอรับ...”ฉุนอวี๋อันรีบกล่าว“เจ้าไม่ต้องอ้อมค้อมแล้ว ต้องการเงินเท่าใดก็บอกมาเถิด เรื่องนี้ข้าจะจัดการให้”หวังหยวนไม่ได้ขาดแคลนเงินทองนั่นคือเรื่องเดียวที่เขาได้เปรียบในบรรดาอาณาจักรทั้งสี่ฉุนอวี๋อันรีบนำบัญชีรายรับรายจ่ายที่รวบรวมไว้มาให้หวังหยวน “ข้าได้รวบรวมรายละเอียดทั้งหมดไว้แล้ว ท่านผู้นำโปรดพิจารณา หากไม่มีปัญหาอะไรก็โปรดอนุมัติตามจำนวนนี้ด้วยขอรับ”หวังหยวนรับม
ถ้อยคำของตงฟางฮั่นมีความหมายแฝงอยู่ แต่หวังหยวนก็เข้าใจในทันที“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านหมายถึงพรรคทมิฬใช่หรือไม่?”ตงฟางฮั่นยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วพยักหน้า“ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนที่ข้าคิด สามารถสังเกตเห็นพรรคทมิฬได้เร็วถึงเพียงนี้!”เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ สีหน้าของเกาเล่อก็เปลี่ยนไปเช่นกันหลังจากจับกุมสาวกของพรรคทมิฬได้หลายคน เกาเล่อและหวังหยวนก็รู้เรื่องของพรรคทมิฬมากขึ้น และในช่วงนี้เกาเล่อก็ได้ส่งคนจำนวนมากไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพรรคทมิฬแต่ก็ยังไม่มีประโยชน์มากนักแสดงให้เห็นว่าคนของพรรคทมิฬนั้นเหมือนพวกหนูที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด!การขุดคุ้ยเรื่องคนเหล่านี้ต้องใช้เวลา!“แล้วเหตุใดคนของพรรคทมิฬถึงได้ทำร้ายท่านเล่า?” “หรือว่าพวกท่านเคยมีเรื่องขัดแย้งกัน?”หวังหยวนเคาะโต๊ะเบา ๆ สายตาจ้องมองไปที่ตงฟางฮั่นอีกครั้งตงฟางฮั่นส่ายหน้าแล้วยิ้มเยาะ “ข้าจะไปเข้าร่วมกับคนพวกนั้นได้อย่างไร?” “ไม่รู้ว่าพวกเขาได้ยินชื่อของข้ามาจากไหน จึงได้มาติดต่อข้า หวังว่าข้าจะเข้าร่วมพรรคทมิฬ!” “แต่ข้าได้ปฏิเสธพวกเขามาหลายครั้งแล้ว” “แต่พวกเขาก็ยังคงตามติดไม่เลิก ก่อนหน้านี้พวกเขาย