เมื่อเห็นว่าราชสำนักยังไม่ได้ดำเนินการรื้อกำแพง ตลาดกลางคืนยังเป็นข้อห้าม แบ่งสันปันส่วนที่ดินให้เกษตรกรที่ไม่มีที่ดิน ยกเลิกสิทธิพิเศษภาษีของเจ้าของที่ และขุนนางบังคับให้ต้องจ่ายภาษีเฉกเช่นผู้อื่นด้วย จ้าวเว่ยหมินจึงเขียนจดหมายถึงเขาอีกฉบับแสดงรายละเอียดข้อมูล เขียนถึงกฎเมื่อสามร้อยกว่าปีของราชสำนัก และบอกเป็นนัยอย่างคลุมเครือว่าบัณฑิตหนุ่มผู้นี้เข้าใจความลับแห่งสวรรค์อย่างถ่องแท้ซือเหยากานเจ้ากรมกรมโยธาธิการลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า "อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย อย่าได้ใจให้มันมากนัก ฝ่าบาททรงตกลงให้แม่ทัพหนุ่มเป็นแม่ทัพใหญ่นำทัพแล้ว แต่เจ้ายังจะยัดเด็กเข้าไปในนั้นอีก หากฝ่าบาททรงรับข้อเสนอแนะของเจ้าจริง ๆ พระองค์จะไม่ถูกบัณฑิตทั้งโลกวิพากษ์วิจารณ์รึ”จักรพรรดิซิงหลงโบกแขนเสื้อแล้วเดินจากไป "อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก เด็กน้อยมีความสามารถมากแค่ไหน? เขาเป็นแค่หุ่นเชิดของคนอื่นเท่านั้น"ข้อมูลที่ได้จากองค์รักษ์เงา จึงได้รู้ว่าพ่อหนุ่มคนนี้มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับวังไห่เทียน จากเมืองจวินเฉิงมากไอสุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้น หลังจากลาออกแล้ว ยังคงดิ้นรนจะสนับสนุนเด็กค
เสวี่ยผานแค่นหัวเราะ "การเก็บเงินนับว่าเป็นอะไรได้ เมื่อเทียบกับกำแพงด่านหลงโถวที่แตกไปแล้ว มณทลจิ่วซานมันจะไปเหลืออะไรได้ ตอนนี้ข้าแค่อยากหาเงิน ในเมื่อมณทลจิ่วซานกำลังจะถูกทำลาย ข้าจะเอาเงินกลับไปให้เมืองหลวง เมื่อถึงเวลาเจ้ามีเงินเพียงพอ ก็หาคนรับผิดแทนเจ้า เรื่องนี้ก็เป็นอันผ่านไปแล้ว”ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยนั้น มีเสียงเร่งด่วนดังขึ้น "แม่ทัพหนุ่ม เจ้าเข้าไปไม่ได้ ผู้บังคับบัญชากำลังปฏิบัติหน้าที่ยุ่งอยู่ เจ้าจะบุกรุกเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้!"ในขณะที่พูด หวังหยวนและอู๋หลิงก็เดินเข้าไปในลานบ้านแล้ว เมื่อเห็นกล่องเงิน ทั้งสองก็ขมวดคิ้วมองด้วยสายตาที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ!“อู๋หลิง เจ้าบังอาจมาก เจ้ากล้าบุกเข้าไปในบ้านของผู้บังคับบัญชางั้นรึ!”แววตาของเสวี่ยผานเคร่งเครียด "อยากจะลองไหมว่าข้าจะสั่งคนจับเจ้าไปลงโทษด้วยกฎทหารได้ไหม!"อู๋หลิงไม่ได้พูดอะไร สายตาของเขากวาดสายตาไปที่กล่องทองคำและเงิน แล้วมองไปที่เสวี่ยผานด้วยความเจ็บปวด ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เหมือนเขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เขาทำแบบนี้ได้อย่างไร ในตอนที่ชาติบ้านเมืองประสบวิกฤตเช่นนี้!เมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ก็รู้สึกอึด
ฟึบตุ้บ!เสวี่ยผานทรุดตัวลงบนพื้นด้วยความหวาดกลัวป้ายทองอาญาสิทธิ์เทียบเท่าได้กับจักรพรรดิมาที่นี่ด้วยพระองค์เอง ขุนนางที่ยศต่ำกว่าอันดับสามแรกสามารถสังหารก่อนแล้วค่อยรายงานได้ตอนนี้เขาไม่มีอำนาจ และอู๋หลิงจะฆ่าเขา!ตอนนี้เขามีป้ายทองอาญาสิทธิ์ การฆ่าเขาก็นับว่าสมเหตุสมผล เขาจะปล่อยเขาไปได้อย่างไร!"..."เมื่อนึกถึงญาติของเขาที่ถูกคุมขังในเมืองหลวง อู๋หลิงก็ระงับจิตสังหารที่ก่อในใจ และรับป้ายทองอาญาสิทธิ์ขึ้นเพื่อรับสนองราชโองการ "ทหาร เสวี่ยผานกระทำตัวขี้ขลาดไม่รับผิดชอบ ดื่มสุราสังสรรค์เคล้านารี โลภมากฉ้อโกงเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ให้ปลดเขาออกจากตำแหน่งเป็นการชั่วคราว และกักบริเวณในนี้ซะ!”สูด!เสวี่ยผานถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตราบใดที่เขาไม่ถูกฆ่า ทุกอย่างยังแก้ไขได้ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลเสวี่ยทหารในจวนต่างตกใจ จากนั้นก้าวไปข้างหน้า ดึงเครื่องแบบขุนนางของเสวี่ยผานออก ยึดตราประทับของเขา ลากตัวออกไปขังไว้เสวี่ยผานให้ความร่วมมือตั้งแต่ต้นจนจบ!ในสถานการณ์เช่นนี้ อู๋หลิงเข้ารับตำแหน่งแทน เป็นการพักผ่อนสำหรับเขาหากชาวหวงพิชิตเมืองจิ่วซานได้ล่ะก็ อู๋หลิงก็ต้องเป็นคนรับผิ
ข่าวที่อู๋หลิงเข้ามาเป็นผู้บัญชาการ ได้รับป้ายทองอาญาสิทธิ์ เขี่ยเสวี่ยผานออกจากตำแหน่งได้แพร่ไปทั่วค่ายทหารตอนนี้ในกลุ่มขุนพล ครึ่งหนึ่งดูตื่นเต้นดีใจ และอีกครึ่งหนึ่งสีหน้าดูไม่น่ามองยิ่งนักคนเหล่านี้ล้วนได้รับการส่งเสริมจากตระกูลเสวี่ย และถือได้ว่าเป็นเชื้อสายสูงส่ง ล้วนลูกท่านหลานเธอทั้งนั้น“ทุกคนไม่ต้องมากพิธี!”อู๋หลิงโบกมือและชี้ไปที่หวังหยวนแล้วพูดว่า "นี่คือท่านบัณฑิตหมิงถันที่ข้าเชิญมาเป็นที่ปรึกษาทางทหาร จากนี้ไปในกองทัพ คำพูดของเขาก็เหมือนคำพูดของข้า!"“ที่ปรึกษาทางทหาร?”หลายคนมองหวังหยวนด้วยความสงสัยสามารถถูกเชิญจากแม่ทัพหนุ่มให้เป็นที่ปรึกษาทางทหารได้ บัณฑิตหนุ่มคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน“แม่ทัพหนุ่ม เท่าที่ข้ารู้มา ท่านบัณฑิตหมิงถันเป็นบัณฑิตและไม่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อน เขาจะมาสั่งการเราได้ยังไง! ถ้าเราฟังเขา หากรบแพ้ขึ้นมาใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ!”ทันใดนั้นขุนพลหวางห่าวก็ยืนขึ้นด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรขุนพลหลายคนขมวดคิ้วหวางห่าวเป็นญาติสนิทของตระกูลเสวี่ย มาที่เมืองจิ่วซานเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันให้กับเสวี่ยผาน“ข้าเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด หากเจ้าเชื่
หวังหยวนชี้ไปที่นายทหารสองคนทั้งสองคนอดสะใจไม่ได้ เมื่อได้เห็นหวางห่าวคุกเข่าลง และจะได้บุกค้นจวนของเสวี่ยผานด้วย"รับทราบ!"นายทหารสองคนประสานมือ เดินประกบหวางห่าวไว้ และไปค้นคฤหาสน์ของเสวี่ยผานเมื่อมาถึงจุดนี้ พวกขุนพลทุกคนก็มองไปที่หวังหยวนด้วยสายตาหวาดกลัวอู๋หลิงหัวเราะเบา ๆ ขุนพลในกองทัพกลัวอำนาจ แต่ไม่กลัวคุณธรรม พวกเขาต้องถูกเขย่าขวัญก่อนจึงจะเชื่อฟังได้หวังหยวนกล่าวว่า "เอาล่ะ ใครมีคำถามอะไรอีกไหม?"แม่ทัพเว่ยชิงซานยกหมัดคารวะขึ้นมาและกล่าวว่า "ท่านที่ปรึกษา ตอนนี้ขวัญกำลังใจของพวกทหารกำลังตกต่ำ ทุกคนคิดว่าการศึกครั้งนี้จะต้องพ่ายแพ้ แม้ว่าจะได้รับเบี้ยหวัดแล้ว ทหารก็ยังไม่มีใจจะสู้ เราจะชนะศึกเราต้องเพิ่มขวัญกำลังใจ ไม่ทราบว่าที่ปรึกษาจะทำอย่างไร เพื่อนำพวกเราไปสู่ชัยชนะ!"ท่านแม่ทัพมองไปที่เว่ยชิงซานแล้วขมวดคิ้วทหารม้าหนึ่งแสนคนของกองทัพชาวหวงเป็นทั้งทหารม้า กองหน้าไม้ กำลังรบแข็งแรงกว่ามากในเมืองนี้มีทหารสองหมื่นนาย ทหารม้าสามพันนาย กองหน้าไม้ห้าพันนาย กองขวานห้าพันนายและกองหอกอย่างละห้าพันนาย และกองกำลังเสริมที่เหลือสองพันนาย!หากเราเปิดศึกกับชาวหวงจริง ๆ ก
“ ฮ่าฮ่า ไอน้องคนนี้มันล้ำหน้าจนผู้คนคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ!”จวนตระกูลวัง วังไห่เทียนที่ได้ยินข่าวจากค่ายทหารอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา!วังฉงโหลวถามอย่างไม่เข้าใจ "ลุงรอง ทำไมลุงหยวนไม่สั่งให้ใครตะโกนอะไรสักอย่างล่ะ มันน่าประหลาดใจตรงไหน!"วังไห่เทียนถอนหายใจเบา ๆ "ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนโง่เขลา คนอื่นพูดอะไรพวกเขาก็เชื่อเช่นนั้น สิ่งที่ลุงหยวนของเจ้าทำคือการทำให้คนตะโกนบอกเล่าออกไป ไม่ว่าคำพูดนั้นจริงหรือเท็จ และไม่สนด้วยคำพูดนั้นจะจริงหรือเท็จ หากพูดย้ำออกไปซ้ำ ๆ เหล่าทหารและประชาชนในเมืองก็จะเชื่อไปตามนั้น เมื่อพวกเขาเชื่อแล้ว พวกเขาก็มีใจที่จะสู้ และการปกป้องเมืองก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป”วังฉงโหลวกังวลและพูดว่า "ลุงรอง ท่านคิดว่าลุงหยวนสามารถช่วยอู๋หลิงชนะศึกในครั้งนี้ได้หรือไม่"วังไห่เทียนยิ้มเล็กน้อย "เดิมทีข้าเองรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่หลังจากเห็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลของเขาแล้ว รู้สึกว่าเขาต้องมีกลอุบายบางอย่างอยู่แน่!"ปังปังปัง!รถม้าของตระกูลไป๋กำลังวิ่งอยู่ในเมือง ไป๋เฟยเฟยมองไปที่เหล่าผู้ส่งสารที่รีบเร่งแพร่ข่าวออกไป ท่าทีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คนในเม
การจัดหาเสบียงยุทโธปกรณ์ทางทหารที่ขาดแคลนมาแต่เดิมก็ดีมากขึ้นทันที!แท่งเงินทองที่แลกเปลี่ยนเป็นเหรียญเงิน และเหรียญทองแดงก็มาถึงแล้ว!หวังหยวนและอู๋หลิงมาที่ค่ายทหารทหารถูกจัดเรียงตามระดับตำแหน่งสูง ระดับกลาง และระดับล่าง ทั้งสองคนแบ่งกันรับหน้าที่รับผิดชอบในการจ่ายเบี้ยหวัดทหารทีละคนเบี้ยหวัดทหารนั้นต่ำมาก โดยระดับสูงได้รับเงินแค่เดือนละหนึ่งกว้าน ทหารระดับกลางได้รับเงินเดือนละเจ็ดร้อยเหรียญ และระดับล่างลงได้รับเงินเดือนละห้าร้อยเหรียญขั้นตอนนี้ยุ่งยากมาก อู๋หลิงกำลังจะยกหน้าที่ให้กับพลาธิการ แต่หวังหยวนห้ามเขาไว้จ่ายเบี้ยหวัดทหาร เรียกชื่อ และให้กำลังใจพวกเขา!แม้ว่าจะมีสองคนทำด้วยกัน แต่กระบวนการนี้กินเวลานานสี่ชั่วยามจนฟ้ามืดทหารที่ได้รับเบี้ยหวัดต่างก็มีน้ำตาคลอเบ้า และตื้นตันในกับเหตุการณ์นี้ยิ่งนักพวกทหารอยู่ในกองทัพมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้รับเบี้ยหวัดเต็มจำนวนเลย และยังหักหัวคิวกันมาเป็นทอด ๆ อีกท่านที่ปรึกษาและแม่ทัพหนุ่มนั้นแตกต่างกัน พวกเขาไม่หักอะไรเลย และยังมอบให้พวกเขาด้วยตัวเองอีก“ขอบคุณท่านที่ปรึกษาที่จ่ายเบี้ยหวัดให้ข้า!”"ขอบคุณแม่ทัพหนุ่มที่จ่ายเบี
“กองทัพเกราะทมิฬได้รับการฝึกฝนจากของพ่อข้า ทหารทุกคนล้วนมีทักษะวรยุทธ์การต่อสู้สูงส่ง นอกจากนี้ พวกเขามีชุดเกราะทมิฬและดาบดำ ขวัญกำลังใจของเรานั้นช่างหึกเหิมไม่เกรงกลัวสิ่งใด เราสามารถควบคุมสั่งการได้ดั่งแขนขา เราไม่หวาดเกรงกองทหารม้าของพวกชาวหวงเลย”อู๋หลิงยิ้มอย่างขมขื่น "ทหารในจิ่วซานถือได้ว่าเป็นรองเท่านั้น แม้ว่าขวัญกำลังใจของพวกเขาจะถูกท่านกระตุ้นให้หึกเหิมแล้ว นำพวกเขามาปกป้องเมืองก็พอได้อยู่ แต่ถ้าพวกเขาได้ออกจากกำแพงเมือง และเห็นกองทัพชาวหวง ใจฮึดสู้ของพวกเขาจะต้องหายไปหมดแน่”หวังหยวนเอ่ยอย่างคาดหวัง "เป็นไปได้ไหมที่จะรวบรวมกองทัพเกราะทมิฬอีกครั้ง?"“พ่อข้าทำงานหนักมาสิบปี ฝึกทหารกองทัพเกราะทมิฬทั้งหมดหนึ่งหมื่นนาย ในช่วงสิบปีของการสู้รบทางเหนือและใต้ส่วนใหญ่เสียชีวิต ในเหตุการณ์เมื่อห้าปีที่แล้วอีกสองพันคนถูกราชสำนักสังหาร”ดวงตาของอู๋หลิงเต็มไปด้วยน้ำตาเจือไปด้วยความเจ็บปวด "ตอนนี้เหลืออีกสองพันคนที่กระจัดกระจายไปทั่วต้าเย่ ไม่ยอมรับใช้ราชสำนัก ต่อให้ข้าจะเรียกตัวกลับมา ก็คงเรียกได้เฉพาะจากบริเวณจิ่วซานเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะมาได้สักกี่คน”หวังหยวนพูดอย่างเค
“พวกเจ้าออกไปก่อน”เมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นหน้าดำคร่ำเครียด ซือหม่าอันจึงโบกมือให้พวกเขาออกไปในชั่วพริบตา คนเหล่านั้นก็จากไปด้วยความโล่งอกพวกเขาถึงกับกังวลว่าหานเทาจะสังหารพวกเขาเพราะความโกรธด้วยซ้ำ...“ท่านขุนพลหานไม่ต้องโมโห”“อันที่จริง เรื่องเหล่านี้ล้วนสมเหตุสมผล”“แม้ว่าจะไม่มีตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าแล้ว แต่ชื่อเสียงของพวกเราก็ไม่ค่อยดีนัก พวกเขาจะเดินทางมาได้อย่างไร?”“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็สร้างหอไร้เทียมทานขึ้นมาเอง ท่านคิดเห็นเช่นไร?”ซือหม่าอันหรี่ตาลง ตอนนี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาจับจ้องไปที่หานเทาหานเทากลืนน้ำลาย เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านมีความคิดดี ๆ แล้วหรือ?”ซือหม่าอันกล่าวว่า “หลายปีมานี้ ผู้คนต่างก็เกลียดชังอาณาจักรต้าเป่ย ถึงกับคิดว่าต้นตอของสงครามในดินแดนทั้งเก้าก็คืออาณาจักรต้าเป่ยของพวกเรา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากเข้าร่วมกับพวกเรา”“เช่นนั้นพวกเราก็นำยอดฝีมือจำนวนมากจากภายนอกเข้ามาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเองสิ!”“ตามที่ข้ารู้ หวังหยวนมีน้องชายคนหนึ่งชื่อว่าไฉจวิ้น ทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ว่ากันว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบาน”“ไฉ
“เมื่อคืนข้าไม่ได้บอกเจ้าแล้วหรือ ว่าอีกสองวันพวกเราจะกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวัง?”“ท่านถงและคนอื่น ๆ ล้วนอยู่ที่หมู่บ้านต้าหวัง พวกเราไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องราวที่นั่น”“เมื่อพวกเรากลับไปแล้ว ก็เพียงแค่ใช้ชีวิตให้มีความสุข”หวังหยวนไม่ใช่คนไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้มีความรักชาติอันยิ่งใหญ่และคำนึงถึงปวงประชาเป็นหลัก!เขาเพียงต้องการดูแลครอบครัวของตนเอง รวมถึงสหายและพี่น้องที่อยู่เคียงข้าง!หากสามารถช่วยเหลือปวงประชาได้ ย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากต้องเสียสละสิ่งใดจริง ๆ เกรงว่าเขาคงจะไม่ทำเช่นนั้น...แม้แต่การประชุมที่หอหลิวหลีในตอนนั้น ก็เป็นเพียงเพราะหวังหยวนต้องการความสงบสุข“ไม่ได้ ไม่ได้!”“ข้าไม่อยากกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวัง!”“ข้าอยากจะติดตามท่านไปยังสถานที่ที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน เมื่อข้าให้กำเนิดลูกแล้ว พวกเราค่อยกลับไปก็ได้ไม่ใช่หรือ?”หลิ่วหรูเยียนฉลาดยิ่งนักเมื่อกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวัง นางจะสามารถติดตามหวังหยวนได้ทุกวันได้อย่างไร?อย่าว่าแต่ต้องการจะมีลูกเป็นของตนเองเลย เกรงว่าแม้แต่พื้นที่ส่วนตัวของเขากับนางก็ยังแทบจะไม่มี!ในบ้านยังมีพี่สาวอีกหลายคน
หวังหยวนได้ตัดสินใจแล้ว เรื่องราวในเมืองอู่เจียงใกล้จะสิ้นสุด เขาเตรียมที่จะกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวังในอีกสองวันครั้งนี้เขาออกมานานกว่าครึ่งปี แม้ว่าพวกหลี่ซื่อหานจะไม่ได้เร่งรัดให้เขากลับบ้าน แต่ด้วยนิสัยของพวกนาง เกรงว่าคงจะอยากมาตามหาเขาแล้วกระมัง?มีปัญหาน้อยดีกว่ามีปัญหามาก รีบกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวังย่อมดีกว่าอีกอย่างคือเมื่อมีคนรักใหม่แล้วจะลืมคนรักเก่าได้อย่างไร!ฝนตกทั่วฟ้าถึงจะถูกต้อง!“ท่านผู้นำ มีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงานท่านขอรับ!”“ข้าเพิ่งได้รับข่าว หานเทาและซือหม่าอันได้ก่อตั้งสถานที่ที่คล้ายกับหอไร้เทียมทาน ตอนนี้กำลังรวบรวมยอดฝีมือทั่วหล้า!”“นี่มันจงใจเป็นศัตรูกับพวกเราชัด ๆ”“ข้าจึงอยากจะถามว่า ต่อไปพวกเราต้องทำการตอบโต้หรือไม่ขอรับ?”หากเป็นเมื่อก่อน เกาเล่อย่อมต้องการความมั่นคง ไม่เคยทำเรื่องหุนหันพลันแล่นในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่เลือกที่จะปะทะกับหานเทาโดยตรงแต่ยามนี้แตกต่างออกไป เมื่อก่อนหวังหยวนมีเพียงแคว้นเดียวเท่านั้น ตอนนี้แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่เผ่าทางเหนือทั้งหมดก็อยู่ภายใต้การบัญชาของหวังหยวนแล้ว และท่านไท่สื่อก็เป็นคนของพวกเขาด้วย!ประกอบก
กองทัพทั่วหล้าตกอยู่ในมือของเขาแล้ว!หากเกิดสงครามกับหวังหยวน เขาก็ต้องเป็นแนวหน้า!ซือหม่าอันหรี่ตา จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เรื่องที่ท่านขุนพลหานกังวล มีหรือที่ข้าจะไม่กังวล?”“ข้าได้กราบทูลเรื่องนี้กับฝ่าบาทแล้ว แต่ฝ่าบาทกลับไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้ท่านโปรดปรานการใช้ดินปืน ซ้ำยังให้คนไปคิดค้นอาวุธร้อนเพิ่มด้วย!”“เพียงแต่ว่าการจะพัฒนาอาวุธร้อนให้สมบูรณ์ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในชั่วข้ามคืน!”หานเทาถอนหายใจยาว มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจหลักการนี้?น่าเสียดายที่ไม่สามารถพูดคุยกับฝ่าบาทให้เข้าใจได้!“เช่นนั้นตามความคิดเห็นของท่านซือหม่า ต่อไปพวกเราต้องทำอย่างไร?”หานเทาเอ่ยถามเขาเป็นเพียงขุนศึก ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมต้องการความช่วยเหลือจากซือหม่าอันเมื่อทั้งสองปรึกษาหารือกัน อาจจะสามารถหาผลลัพธ์ที่ดีได้!ซือหม่าอันหรี่ตาลง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ จากนั้นกล่าวว่า “หรือว่าพวกเราจะก่อตั้งสถานที่ที่คล้ายกับหอไร้เทียมทาน จากนั้นก็ป่าวประกาศเรื่องนี้ให้ทั่ว ให้ผู้คนทั่วหล้าเดินทางมา เช่นนี้แล้ว ต่อให้พวกเราไม่สามารถรวบรวมยอดฝีมือได้มากมาย อย่างน้อยก็ไม่ปล่อยให้
“เจ้านี่นะ! ถึงกับหึงหวงเพราะผู้ชายเลยหรือ? หากกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวัง เช่นนั้นข้าจะมีความสุขได้อย่างไร?”หวังหยวนส่ายหน้าอย่างจนใจ ที่บ้านเขายังมีภรรยาสาวสวยอีกหลายคน ท่าทางของหลิ่วหรูเยียนเช่นนี้ ช่างทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นที่สำคัญที่สุดก็คือ ภรรยาในบ้านแต่ละคนล้วนไม่ใช่คนธรรมดา!โดยเฉพาะหวงเจียวเจียว นิสัยของนางร้อนแรงยิ่งกว่าไฟ นอกจากหลี่ซื่อหานและคนอื่น ๆ แล้ว ก็เกรงว่าจะไม่ยอมรับใครอีกหากสตรีทั้งสองนี้มาพบกัน ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ในเมื่อรับพวกนางมาเป็นภรรยาแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เขาก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมดเวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงสามวันนี้ หวังหยวนอยู่ในหอไร้เทียมทานต้องยอมรับว่าการก่อตั้งหอไร้เทียมทานได้ดึงดูดผู้มีความสามารถมากมายมาให้หวังหยวนที่สำคัญที่สุดก็คือหวังหยวนเป็นเพียงผู้ดูแล เรื่องราวทั้งหมดมอบให้เกาเล่อจัดการ โดยเพียงแค่ใช้ชื่อเสียงของหวังหยวนเท่านั้น!ต้องรู้ว่าหวังหยวนมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งดินแดนทั้งเก้า เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด แม้แต่ปวงประชาแห่งดินแดนทั้งเก้าก็เคารพหวังหยวน แล้วใครเล่าจะไม่อยากมาอยู่ใต้บัญชาของหวังหยวน?ยิ่งไป
การประลองย่อมต้องดำเนินต่อไปเพียงแต่ว่าตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้านั้นมีมากมาย หวังหยวนจึงไม่ได้อยู่ดูการแข่งขันต่อคาดว่าในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า หอไร้เทียมทานคงจะคึกคักเป็นอย่างมากในไม่ช้า หวังหยวน ไฉจวิ้น และหลิ่วหรูเยียนทั้งสามก็กลับมาถึงห้อง ส่วนเรื่องภายนอกมอบให้เกาเล่อจัดการทันทีที่เดินเข้าห้อง หวังหยวนจึงรีบจับมือไฉจวิ้นมาตรวจดูอย่างละเอียด“พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอกขอรับ ข้าสบายดี!”“ต่อให้ต้องประลองต่อ ข้าก็ยังไหว!”“เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้านั่นจะยอมแพ้...”“เช่นนี้ก็ดี ทำให้ข้าไม่ต้องเปลืองแรง!”“อีกอย่าง หากต้องประลองกันต่อ เกรงว่าแม้แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่...”นี่เป็นความจริงทุกคนรู้ว่าไฉจวิ้นมีพละกำลังมหาศาล ตัวเขาเองก็รู้ดีแก่ใจ แต่ขีดจำกัดของตนอยู่ที่ใด เกรงว่าแม้แต่เขาเองก็คงจะไม่รู้“เห็นว่าเจ้าไม่เป็นอะไร ข้าก็โล่งใจ”“แต่ต่อไปเมื่อทำสิ่งใด ต้องใช้ความคิดให้มาก”“แม้ว่าเจ้าจะมีพละกำลังมหาศาล แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน เจ้าไม่มีทางรู้ได้ว่าคู่ต่อสู้ของเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด”“ดังนั้นเมื่อทำสิ่งใด อย่าได้อวดดี เข้าใจหรือไม่?”
“ช่างมีพละกำลังมหาศาลจริง ๆ!”ขณะที่หวังหยวนกับพวกกำลังสนทนากัน สายตาของพวกเขาก็จับจ้องไปที่ดาร์เนล ซึ่งในตอนนี้ได้ยกติ่งหนักถึงเจ็ดร้อยชั่งขึ้นเหนือศีรษะบนเวทีเหลือเพียงไฉจวิ้นและดาร์เนลเมื่อดาร์เนลยกติ่งขึ้นได้ สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ไฉจวิ้น ตอนนี้เขาคือความหวังของปวงประชาแห่งดินแดนทั้งเก้า ตำแหน่งจอมพลังอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าจะไปตกอยู่ในมือของชาวต่างชาติได้อย่างไร?เช่นนี้แล้ว ภายภาคหน้าปวงประชาแห่งดินแดนทั้งเก้าจะเชิดหน้าชูตาได้อย่างไร?ทางด้านสายตาของหวังหยวนนั้นจับจ้องไปที่ดาร์เนล ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่“ดูท่าแล้วไฉจวิ้นยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ดาร์เนลมีความสามารถจริง ๆ ข้าเห็นว่าตอนที่เขายกติ่งขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้มีความลังเลแม้แต่น้อย ช่างมีพละกำลังมหาศาลนัก หากบอกว่าคนผู้นี้คือจอมพลังอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า นั่นไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่นชื่อเสียงอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า”หลิ่วหรูเยียนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างช้า ๆการกระทำทั้งหมดของดาร์เนลล้วนอยู่ในสายตาของพวกเขา นี่คือผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริงหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าจะไม่มีใครทำได้อย่างเข้าไม่ใช่หรือ?
แต่ทั้งหมดนี้นั้น นับว่าเป็นความดีความชอบของปู่ของไฉจวิ้นด้วย หากไม่ใช่เพราะมีปู่ช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ และใช้ชีวิตอยู่ในป่ามาหลายปี แล้วเขาจะมีพละกำลังแข็งแกร่งเพียงนี้ได้อย่างไร?เมื่อไฉจวิ้นยกติ่งใหญ่ขึ้น ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ก็ทยอยแสดงความสามารถของตนน่าเสียดาย ในท้ายที่สุดผู้ที่สามารถยกติ่งใหญ่ขึ้นได้ นอกจากไฉจวิ้นแล้วมีเพียงชาวต่างชาติที่มาจากต่างแดนเท่านั้นเสียงปรบมือดังกึกก้องจากข้างล่างเวที “คนผู้นี้มีความสามารถยิ่งนัก”หวังหยวนกอดอกมองชาวต่างชาติผู้นั้น พลางกวักมือเรียกเกาเล่อในชั่วพริบตา เกาเล่อก็มาอยู่ข้างกายหวังหยวน แต่สีหน้ากลับดูตึงเครียด“คนผู้นั้นคือชาวต่างชาติที่เจ้าเพิ่งพูดถึงหรือ?”หวังหยวนชี้ไปที่อีกคนบนเวที แล้วเอ่ยถามเกาเล่อพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คนผู้นี้มีที่มาไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้ข้าได้บอกข้อมูลของเขาให้ท่านทราบแล้ว คนผู้นี้มีชื่อว่าดาร์เนล ว่ากันว่ามีพละกำลังมหาศาลตั้งแต่เด็ก และเคยต่อยเสือร้ายตายด้วยหมัดเดียว!”“เดิมทีคิดว่าทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเล่า ตอนนี้ดูเหมือนว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องโกหก...”สามารถยกติ่งใหญ่หนักห้าร้อยชั่งได้ นั่นก็
เขามีความมั่นใจในตัวน้องชายคนนี้ก่อนหน้านี้ หวังหยวนเคยเห็นความสามารถของไฉจวิ้นมาก่อน อย่าว่าแต่จะหาผู้ที่เทียบเทียมเขาในบรรดาคนรุ่นเดียวกันได้ยากเลย แม้แต่คนที่อายุมากกว่าเขาก็ยังไม่มีใครมีพละกำลังเท่าเขา!ยิ่งไปกว่านั้น หวังหยวนเองก็ยังไม่รู้ขีดจำกัดของไฉจวิ้น!ดูท่าแล้ววันนี้คงมีเรื่องสนุกให้ชมกันเกาเล่อกลับเอ่ยว่า “ข้าเห็นว่าไม่เป็นเช่นนั้น คนที่อยู่ข้างกายไฉจวิ้นล้วนไม่ใช่คนธรรมดา! หนึ่งในนั้นมาจากต่างแดน คนผู้นี้มีชื่อเสียงมานาน ว่ากันว่าสามารถยกหินใหญ่หนักสองร้อยจินได้ด้วยมือเดียว!”“หากใช้สองมือ คาดว่าของหนักห้าร้อยจินก็คงไม่คณนามือขอรับ!”นี่...หวังหยวนกลืนน้ำลาย คนเหล่านี้กินหินเป็นอาหารกันหรืออย่างไร?ฝึกฝนร่างกายจนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลยหรือ?อย่าว่าแต่ยกของหนักห้าร้อยจินเลย แม้แต่สองร้อยห้าสิบจิน เขาก็ยังยกไม่ขึ้น!“รอดูไปก่อน ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าศักยภาพของไฉจวิ้นมีขีดจำกัดอยู่ที่ใด”“เจ้าจำไว้ว่าต้องไปเตือนเขาด้วยว่าอย่าได้มุทะลุดุดัน!”“เขายังเด็กนัก ภายภาคหน้ายังมีโอกาสอีกมากที่จะพิสูจน์ตนเอง หากได้รับบาดเจ็บเพราะเรื่องนี้แล้วนั้น ย่อมไม่คุ้มค่า”ห