โหลวฉางเยว่ลุกขึ้นยืนทันทีและปกป้องเลขาตัวน้อยไว้อยู่ข้างหลังเธอ“ประธานเฉินไม่รู้เหรอว่าการทำร้ายผู้อื่นนั้นเป็นความผิดทางกฎหมาย? คุณควรจะ ‘ดีใจ’ ที่เธอหันมาเข้าข้างเรา ไม่อย่างนั้นการแอบอ้างเป็นสายลับทางการค้าก็ถือเป็นความผิดเช่นกันนะ ไม่ว่าประธานเฉินจะมีเงินมากแค่ไหน จะมีประโยชน์อะไรอยู่ในคุกก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี!”“……”ในที่สุดประธานเฉินก็กัดฟันเซ็นสัญญา ก่อนจากไปเธอพูดกับเลขาตัวน้อยว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ” เห็นได้ชัดว่ามีความแค้นใจกับเธออยู่แล้วเลขาตัวน้อยปิดหน้าร้องห่มร้องไห้แล้วมาหาเหวินเหยียนโจว “ประธานเหวินคะ……”ที่ชนะนัดนี้ได้ ต้องยกความดีความชอบให้เธอจริง ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่เธอถูกตบหน้าในอีกแง่ การถูกตบหน้าครั้งนี้ถือเป็นการรับแทนเหวินเหยียนโจวโหลวฉางเยว่รู้สึกว่าเหวินเหยียนโจวต้องการ “ปลอบ” เธอในเวลานี้ เธอจึงส่งสัญญาณให้คนอื่น ๆ ออกจากห้องอาหารก่อนเพื่อให้พื้นที่เขาทั้งสองทุกคนรออยู่ด้านนอกร้านอาหาร เพื่อนร่วมงานที่เป็นเลขาด้วยกันส่งสายตาให้โหลวฉางเยว่ ถามเธอว่า เลขาตัวน้อยคนนั้นกับประธานเหวินเป็นอะไรกัน? โหลวฉางเยว่ทำเสียง “จุ๊ๆ”เพื่อนร่วมงานที่เป็นเลขาด้วยกัน
หลังจากนั้นไม่นาน โหลวฉางเยว่ก็เดินผ่านประตูและออกจากห้องทำงานของท่านประธานเพื่อนร่วมงานที่เป็นเลขานุการด้วยกันอีกสองคนเห็นสีหน้าเธอแปลกมากเลยอดไม่ได้ที่จะถาม “ฉางเยว่ เกิดอะไรขึ้น ประธานเหวินดุเธอหรือเปล่า?”“เปล่านะ”“แล้วทำไมสีหน้าเธอเป็นแบบนั้นล่ะ?”โหลวฉางเยว่บ่น “ฉันกำลังคิดว่าช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงรับปริญญา แล้วฉันจะหานักศึกษาได้ที่ไหน……”นักศึกษาหาไม่ยาก ปัญหาคือที่เหวินเหยียนโจวต้องการไม่ใช่นักศึกษา แต่เป็นผู้หญิงตัวเล็กตัวน้อยที่เหมือนนักศึกษาที่มีบุคลิกใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่ทันคนและแสดงการพึ่งพาเขาที่สำคัญที่สุดคือต้องเต็มใจที่จะพัฒนา “ความสัมพันธ์” กับเขา ซึ่งนี่ไม่ใช่ปัญหาที่สามารถแก้ได้ด้วยการรับสมัครงานโหลวฉางเยว่รู้สึกว่างานนี้ช่างน่าปวดหัว หลังจากที่คิดเรื่องนี้อยู่นานที่โต๊ะทำงาน ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจไปมหาวิทยาลัยเซินเฉิงเพื่อสำรวจดูสักหน่อยเป็นเรื่องบังเอิญเพราะตอนที่ไป เป็นวันเปิดทำการของมหาวิทยาลัยเซินเฉิงพอดี และเพียงแค่ใช้บัตรประชาชนลงทะเบียนก็สามารถเข้าได้แล้วเธอเดินไปรอบ ๆ อาคารเรียน แล้วรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคย ราวกับว่าเวลาผ่านไปหลายปีนับตั้งแต่สมัยเรียนมห
งานเลี้ยงบริษัทปี้หยุนเมื่อปีก่อน เธอบังเอิญชนเข้ากับชายคนหนึ่งระหว่างที่เธอหมุนตัว ถึงเธอจะตอบสนองไว แต่แขนเสื้ออีกฝ่ายก็เปียกไปแล้ว เขาอารมณ์ดีและไม่ได้ตามเอาผิดเธอโทษฐานที่ชนเขาเธอจ่ายเงินชดเชยเป็นค่าแขนเสื้อให้เขา และอีกฝ่ายก็ปฎิเสธแต่เธอก็ยังคะยั้นคะยอ สุดท้ายเขาจึงยอมรับไปเพราะว่ารับไปแล้ว โหลวฉางเยว่ก็เลยรู้สึกว่าไม่มีอะไรติดค้างกัน เธอจึงลืมเรื่องนี้ไป แต่พอเขาพูดแล้วเธอก็นึกขึ้นได้โหลวฉางเยว่ถึงได้ตั้งใจมองดูศาตราจารย์เสิ่นคนนี้อีกครั้งแต่เขาดูเด็กมากแล้วก็หล่อมาก ผิวค่อนข้างขาว แต่ไม่ได้ขาวเหมือนคนป่วยเขาใส่แว่นตากรอบสีทอง ภายใต้แว่นตาของเขามีคิ้วยาวเรียวดำขลับ ดวงตาทอประกายแวววาวราวกับยามยื่นมือไปสัมผัสน้ำใส เป็นความรู้สึกเย็นสบายรื่นรมย์ด้านล่างลงมาเป็นจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางและคางมนได้รูป ทำให้เขาแลดูอบอุ่นไร้พิษภัยโหลวฉางเยว่ยังสังเกตเห็นบางสิ่งสะท้อนแสงวิบวับบนหูของเขา หลังจากมองดู เธอก็ตระหนักว่ามันคือโซ่คล้องแว่นตาโซ่คล้องแว่นตานั่นช่าง “น่าดึงดูด” จริง ๆเขาดูทั้งอ่อนโยนและแพรวพราวในคราวเดียวกัน หรือคำอธิบายที่ชัดเจนกว่านั้นคงจะเป็น “ฮอตเนิร์ด”โ
เสิ่นซู่ชินน่าจะเป็นคนผิวขาวโทนเย็น รวมกับอวัยวะทุกส่วนบนใบหน้า ทันทีที่เขายิ้มจนตาเป็นเส้นโค้ง เขาก็เหมือนกับรุ่นพี่ป๊อปปี้เลิฟคนที่มีความสามารถทุกด้านทั้งสติปัญญา การกีฬาแถมยังรูปหล่อ ที่ไม่ว่าเพื่อนร่วมชั้นคนไหนมีปัญหาการเรียนเขาก็จะยอมตอบปัญหานั้นด้วยความอดทนทุกช้อไม่มีผิดอ่อ เสิ่นซู่ชินน่าจะเป็นคนแบบนี้สมัยตอนเป็นนักเรียน เพราะอย่างนั้นตอนนี้เขาถึงได้มาเป็นครู“...ศาสตราจารย์เสิ่นมองว่าชื่อไลน์ของฉันตลกหรือเปล่า?” ไม่อย่างนั้นทำไมจู่ ๆ เขาถึงหัวเราะแบบนี้ล่ะ?เพียงแต่ชื่อไลน์ของโหลวฉางเยว่นั้นค่อนข้างปกติ “Re” ก็คือคำว่า re เป็นคำนำหน้าภาษาอังกฤษที่ใช้กันบ่อยที่สุด ซึ่งหมายถึง “ใหม่” และ “อีกครั้ง” เธอเปลี่ยนมันหลังจากที่เธอและเหวินเหยียนโจวแยกทางกัน ซึ่งหมายถึงการเริ่มต้นใหม่ ออกเดินทางอีกครั้งเสิ่นซู่ชินกำหมัดพร้อมกับมุมริมฝีปากที่โค้งลง จากนั้นเขาก็ไอเล็กน้อยแล้วส่ายหัว “ไม่หรอกครับ ผมแค่เพิ่งนึกได้ว่ามีคนพูดอย่างชัดเจนว่าไม่ได้พกโทรศัพท์มือถือมาก็เลยแอดไลน์ไม่ได้น่ะ”“...” โหลวฉางเยว่ทำอะไรไม่ถูก “ศาสตราจารย์เสิ่นไม่เข้าใจหรือคะ ที่ฉันพูดแบบนั้นเพราะอยากจะปฏิเสธเด็ก
โหลวฉางเยว่ตกตะลึงเล็กน้อยเสิ่นซู่ชินจับมือหญิงสาวแล้วดึงเธอไปข้างหน้าเขาก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “เลิกเล่นได้แล้ว เธอไม่เห็นเหรอว่าพี่มีเพื่อนอยู่ด้วยน่ะ เธอจะทำให้คนอื่นหัวเราะเอานะ”หญิงสาวทำหน้าบูดบึ้งและบ่นว่า “หนูตามหาพี่ตั้งนานนะคะ!”ดูจากความสนิทสนมแล้วเหมือนไม่ใช่เพื่อนธรรมดา งั้นก็เป็น...แฟนเหรอ?ทันทีที่โหลวฉางเยว่คาดเดาในใจ เสิ่นซู่ชินก็พูดว่า “เรื่องของเราไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ต้องรู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่นะ ทักทายคุณโหลวก่อนสิ คุณโหลวครับ นี่คือน้องสาวคนที่ห้าของตระกูลเรา ชื่อเสิ่นเมี่ยวเมี่ยวครับ”ที่แท้ก็เป็นน้องสาวโหลวฉางเยว่มองไปที่หญิงสาว และหญิงสาวก็มองมาที่เธอ เมื่อพวกเธอสบตากัน ทั้งคู่ก็ตกตะลึง จากนั้นเสิ่นเมี่ยวเมี่ยวชี้ไปที่เธอ “เป็นคุณเองเหรอ!”“...” โหลวฉางเยว่รู้จักเธอสาวน้อยคนนี้ชอบเหวินหยานโจว และเคยตามจียเขาอย่างกระตือรือร้น ทั้งส่งดอกไม้และกาแฟ แถมยังไปที่บริษัทเพื่อดักเจอเขา ในเวลานั้นเหวินเหยียนโจวเพิ่งพบเธอ เขาก็เลยไม่สนใจที่จะพัฒนาความสัมพันธ์อื่น เพราะงั้นเขาจึงปฏิเสธเธอทันทีบังเอิญมีโครงการสำคัญในต่างประเทศ และเหวินเหยียนโจวก็พาเธอไปทำงา
เสิ่นซู่ชินขับรถตรงไปอีกสักพักก่อนจะส่งเธอลงที่บริษัทปี้หยุน โหลวฉางเยว่ลงจากรถพร้อมกับเกี๊ยวทอด และโค้งตัวลงโบกมือลาเขาที่อีกด้าน ซิ่วอวี้ที่มาถึงมาถึงปี้หยุนเพื่อตามหาเหวินเหยียนโจวบังเอิญเห็นฉากนี้เข้าพอดี เขาเลิกคิ้วแล้วเข้าไปในบริษัทก่อนเป็นเรื่องปกติที่เขาจะมาหาเหวินเหยียนโจว เขาเดินตรงขึ้นไปชั้นบนทันทีโดยไม่ต้องทำการแจ้งใด ๆเขาเคาะประตูสองสามทีเหวินเหยียนโจวตอบกลับ “เข้ามา”ซิ่วอวี้ลักประตูเปิดแล้วเข้าไปข้างในเหวินเหยียนโจวเงยหน้าขึ้นแล้วมองดูเขา “นั่งลงสิ” เขายังอนุมัติเอกสารอยู่ซิ่วอวี้ใช้เครื่องชงกาแฟชงกาแฟให้ตัวเองอย่างเป็นกันเอง หลังจากจิบกาแฟแล้วเขาก็พูดแบบสบายๆ “เลขาโหลวดวงรักดีจริง ๆ นายซูหยุนเพิ่งไป ก็มีคุณเสิ่นซู่ชินเข้ามา ผมเพิ่งเห็นตอนเสิ่นซู่ชินมาส่งเธอข้างล่าง พวกนั้นไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไร?”เหวินเหยียนโจวเงยหน้าขึ้น คิ้วอันหล่อเหลาของเขาขมวดเล็กน้อยซิ่วอวี้พูดอย่างมีความหมายแฝง “แต่เลขาโหลวก็เป็นสไตล์แบบที่เสิ่นซู่ชินชอบจริง ๆ นั่นล่ะ”เสิ่นซู่ชินดูเหมือนสุภาพบุรุษที่อ่อนโยน แต่อันที่จริงสุนทรียภาพของเขา “สกปรก” มาก เขาชอบคนเอวบาง และ
ผู้หญิงเป็นเพียงหัวข้อสนทนาในเวลาว่างของพวกเขาเท่านั้น และสามารถใช้เป็นหัวข้อเพื่อคลายความเหนื่อยล้าได้ แต่พวกเขายังคงมุ่งเน้นไปที่เรื่องการทำงานมากกว่าซิ่วอวี้วางกาแฟลง ก่อนจะเอ่ยเรื่องที่จะมาพบเขาในวันนี้ขึ้นทันที แล้วทั้งสองคนก็พูดคุยกันตลอดทั้งวันเมื่อถึงเวลาเลิกงาน ทั้งสองกำลังจะออกไปทานอาหารเย็น ทันทีที่เดินออกจากออฟฟิศ พวกเขาก็เห็นเลขาตัวน้อยเทน้ำครึ่งแก้วใส่โหลวฉางเยว่!เหตุเกิดขึ้นกะทันหันมาก จนโหลวฉางเยว่ไม่ทันหลบ น้ำกระเซ็นบนใบหน้าของเธอและจากนั้นก็มีหยดน้ำหยดลงบนเสื้อผ้าของเธอไหลไปตามคางเล็กของเธอเลขาตัวน้อยทิ้งแก้วแล้วปิดปากแล้วหันหลังวิ่งหนีไปทำหน้าเหมือนกำลังร้องไห้“...”โหลวฉางเยว่ดูเฉยเมยและไม่ได้มองสายตาของคนอื่นในออฟฟิศ เธอหยิบทิชชู่สองสามแผ่นออกมาเช็ดหน้าเหวินเหยียนโจวได้มีผู้สมัครใหม่เป็นเลขานุการที่เหมาะสม ดังนั้น แน่นอนว่าไม่สามารถเก็บเลขาตัวน้อยคนนี้ไว้ได้อีกต่อไป ดังนั้น เธอจึงขอให้ฝ่ายทรัพยากรบุคคลแจ้งให้ทราบว่าวันพรุ่งนี้ไม่ต้องมาแล้วเลขาตัวน้อยเข้าใจทันที ว่าเธอถูกพวกเขาหลอก พูดให้ถูกคือเธอโดนโหลวฉางเยว่ทิ้งเธอทำให้ประธานเฉินขุ่นเคือ
เหวินเหยียนโจวหยุดลงกะทันหัน ก่อนปลดกระดุมเสื้อสูทของเขาแล้วถอดมันออกด้วยใบหน้าที่เย็นชา จากนั้นก็คลุมมันให้เธอ “ไปซื้อตัวใหม่เองแล้วเปลี่ยนซะ”โหลวฉางเยว่ไม่ได้รับไว้และเสื้อคลุมของเขาก็ตกลงกับพื้นสีหน้าของเหวินเหยียนโจวแย่ลงแบบเห็นได้อย่างชัดเจน “คุณกำลังโกรธผมอยู่เหรอ?”ซิ่วอวี้อดไม่ได้ที่จะบีบดั้งจมูกของเขา พระเจ้า...โหลวฉางเยว่พูดอย่างใจเย็น “ฉันเอาเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนไว้ที่เลานจ์ค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะประธานเหวิน ฉันก็คงไม่ต้องเสียเงินซื้อเสื้อใหม่อีกตัวหรอกค่ะ”“คุณไม่มีเงินแม้แต่เงินจะซื้อเสื้อเชิ้ตแล้วเหรอ?” เหวินเหยียนโจวหยิบบัตรออกมาจากกระเป๋าเงินของเขาแล้วโยนมันลงบนตัวของเธอ ก่อนที่มันจะตกลงบนพื้นเช่นกันดูเหมือนพวกเขาจะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันและกันเลยนะในที่สุดซิ่วอวี้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาหยิบเสื้อคลุมบนพื้นแล้วปัดฝุ่นออก จากนั้นก็ใส่บัตรลงในกระเป๋า แล้วสวมให้โหลวฉางเยว่ “อะแฮ่ม ตรงข้ามมีห้างสรรพสินค้า ที่นั่นน่าจะเป็นเสื้อผ้าผู้หญิงขายนะ เลขาโหลวจะไปเลือกสักตัวแล้วเปลี่ยนเถอะ ตอนนี้อากาศเริ่มหนาวแล้วสิ่งสำคัญคืออย่าเป็นหวัด”“บัตรนี่รูดตามใจชอบเ
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ