เดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการถามเสี่ยวหลิ่ว แต่ผู้คุมไล่เธอออกไป “หมดเวลาเยี่ยมแล้ว สมาชิกในครอบครัวควรออกไปได้แล้ว” โหลวฉางเยว่ไม่มีทางเลือกนอกจากกลืนคำพูดของเธอ ลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับคุณพ่อโหลว “หนูจะปรึกษากับทนายว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดี พ่อควรจะหายดีก่อน ไม่ต้องกังวล ที่บ้านไม่มีอะไรผิดปกติ เราทุกคนกำลังรอให้พ่อกลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ”พ่อโหลวได้แต่พยักหน้า แล้วพึมพำอีกครั้ง “ทุกคนไม่เป็นไรก็ดี ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว......”โหลวฉางเยว่ออกจากวอร์ด และหลี่ซิงรั่วก็กำลังรอเธออยู่ที่ประตู เธอมีบุคลิกที่ตรงไปตรงมา เธอพูดออกไปว่า “ฉันเพิ่งจะไปพบเจ้าหน้าที่เรือนจำมา เพื่อทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้ต้องขังคนอื่นให้การเป็นพยานว่าจริงๆแล้วเป็นเสี่ยวหลิ่วที่ยั่วยุพ่อของเธอก่อน แต่ยังไงทั้งสองคนก็มีเรื่องกันจริงๆ ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจะถูกลงโทษ” “จะมีบทลงโทษยังไงบ้าง?” “จะถูกกักขัง” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ระยะเวลาในคุกของพ่อโหลว จะขยายออกไปอีกสองสามวัน แต่นี่ก็เป็นข้อสรุปที่ดีที่สุดแล้ว หากสถานการณ์ร้ายแรง ก็จะถูกดำเนินคดี และถูกส่งตัวขึ้นศาลเพื่อพิพากษาลงโทษ ซึ่งอาจไม่เกินจำนวนวัน
หลี่ซิงรั่วรับสาย หลังจากได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เธอก็พูดว่า “รู้แล้ว พาไปที่ห้องรับแขกก่อน ฉันจะกลับเดี๋ยวนี้แหละ” โหลวฉางเยว่เห็นว่าเธอยุ่งจึงไม่คิดที่จะรบกวนเธอ “ฉันกลับไปเองได้ แต่ว่ามือถือฉันแบตหมด ที่โรงพยาบาลน่าจะมีตู้ยืมพาวเวอร์แบงค์นะ ช่วยสแกนอันหนึ่งให้ฉันหน่อย” หลี่ซิงรั่วก็ตอบตกลงทันที “ตู้พาวเวอร์แบงค์น่าจะอยู่ที่แผนกต้อนรับ ไปที่แผนกต้อนรับกันเถอะ” โหลวฉางเยว่กินซาลาเปานมถั่วเหลืองจนหมด แล้วเดินไปที่แผนกต้อนรับด้วยกัน ขณะที่เธอเดิน เธอพูดขึ้นว่า “ฉันยังต้องคิดหาเหตุผลที่ต้องโกหกแม่ว่าทำไมพ่อถึงต้องชะลอการปล่อยตัวออกจากคุกไปอีกหนึ่งสัปดาห์ เรื่องที่พ่อมีเรื่องทะเลาะวิวาท จะต้องไม่ให้แม่ของฉันรู้ เพราะแม่ยังรักษาในโรงพยาบาล” หลี่ซิงรั่วเห็นด้วย “เรื่องนั่นไม่ควรพูดความจริงออกไป” อากาศวันนี้ไม่ค่อยดีนัก มีเมฆมาก เมฆบนท้องฟ้าเป็นสีเทา ในอากาศยังมีความรู้สึกหนาวจัดอีกด้วยโหลวฉางเยว่มองดูท้องฟ้าจากระยะไกล ตัวสั่นไปทั่วทั้งตัว และพูดเบาๆว่า “ไม่เช่นนั้น เธออาจจะรับไม่ไหวแน่นอน” …… ที่โรงพยาบาลใจกลางเมืองตอนเก้าโมงเช้า หมอยังไม่มาตรวจที่วอร์ด พยาบาลหยิบอ่างน้ำ
ฟ้าร้องนอกหน้าต่างดึงความสนใจของพี่สาวคนโตไปครู่หนึ่ง จากนั้นแพทย์ก็ดุเรียกสติเธอกลับมา เธอพูดติดอ่าง “ไม่ใช่ว่าหัวใจเทียมอันตรายหรอกเหรอ......" แต่ในเมื่อตอนนี้คนไม่ไหวแล้ว ใครจะมัวมาสนใจอันตรายอยู่อีกล่ะ...... แต่ก่อนหน้านี้แม้แต่ฉางเยว่ก็ลังเลว่าควรทำหัวใจเทียมหรือไม่ เธอจะตัดสินใจได้จริงเหรอ...... ถ้าหากเปลี่ยนแล้ว แต่แม่ยังคงไม่ฟื้นล่ะ ค่าเครื่องบวกค่าผ่าตัด เงินจำนวนมหาศาลขนาดนั้น ฉางเยว่จะยังเต็มใจรับผิดชอบอยู่มั้ย...... ความคิดนับไม่ถ้วนไหลผ่านจิตใจของพี่สาวคนโต เกี่ยวพันกับเสียงไซเรนอันตรายในวอร์ด กระทบแก้วหูของเธอ เธอโทรหาโทรศัพท์มือถือของโหลวฉางเยว่อีกครั้ง แต่ยังคงปิดอยู่ แพทย์เร่งเร้า “ครอบครัวของคุณตัดสินใจแล้วหรือยังครับ? เราไม่สามารถยื้อได้อีกต่อไปแล้ว!" พี่สาวคนโตไม่รู้ เธอไม่รู้จริงๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย เธอไปโรงเรียน มีเพื่อน ตกหลุมรัก แต่งงานและมีลูก เธอมักจะฟังพ่อแม่ สามี และคนอื่นๆอยู่เสมอ และไม่เคยตัดสินใจด้วยตัวเองเลย ตอนนี้เธอถูกขอให้ตัดสินใจเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แต่เธอกลับทำไม่ได้ เธอคว้าตัวหมอแล้วพูดว่า “มีวิธีอื่นมั้ยคะ? มีวิธีอื่น
คุณผู้หญิงเหวินอธิบายว่า “เรื่องข้อพิพาทของพ่อหนู ตั้งแต่ต้นไม่ใช่ว่าเหล่าเหวินช่วยเหลือแล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะ? มีคนบอกว่าเขาใส่ใจเรื่องนี้มาก เพราะงั้นไม่ว่ามีเรื่องอะไร เขาก็จะมาบอกพวกเราตลอด ถือเป็นการสร้างมิตรภาพที่ดีเธอพูดและมองไปรอบๆ อีกครั้ง “ถ้าเรายืนคุยกันตรงนี้ เราอาจขวางทางคนอื่นได้ ไปที่ร้านกาแฟตรงข้ามโรงพยาบาลแล้วคุยกันเถอะ” โหลวฉางเยว่คิดอยู่พักหนึ่งแล้วพยักหน้า “ค่ะ” หลังจากเดินออกจากโรงพยาบาล โหลวฉางเยว่ก็เพิ่งเห็นว่าข้างนอกฝนกำลังตก คนขับรถของคุณผู้หญิงเหวินชูร่มไว้เพื่อปกป้องพวกเขาจากฝน โหลวฉางเยว่ยื่นมือไปรับร่มขึ้นด้วย แล้วพูดว่า “ให้ฉันถือเถอะค่ะ”เธอกลางร่ม กางให้คุณผู้หญิงเหวินและตัวเธอเอง แล้วเดินไปที่ร้านกาแฟด้วยกัน ฉากนี้ถูกเหวินเหยียนโจวที่เพิ่งมาถึงประตูโรงพยาบาลบังเอิญเห็นเข้าดวงตาของเขามืดมนและเย็นชา …… ตอนเช้าไม่มีใครอยู่ในร้านกาแฟ พวกเขานั่งริมหน้าต่าง พนักงานเสิร์ฟก็นำเมนูมา “สวัสดีครับ รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ?” คุณผู้หญิงเหวินยิ้ม “ฉางเยว่จ๊ะ สั่งเลย” โหลวฉางเยว่ “กาแฟขาวหนึ่งแก้วกับมอคค่าหนึ่งแก้วค่ะ" “ครับ” พนักงานเสิร์ฟถอน
ตามที่คาดไว้ คุณผู้หญิงเหวินกล่าวว่า “ซินหลานจะคลอดบุตรในอีกสามเดือน เราต้องการรอจนกว่าเด็กจะเกิด ก่อนที่จะเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังนั้นฉันหวังว่าฉางเยว่ หนูจะเก็บความลับนี้ไว้ให้ป้าด้วยนะจ๊ะ” โหลวฉางเยว่วางโทรศัพท์ลง หยิบมอคค่าขึ้นมาแล้วจิบ ความเปรี้ยวและความขมของกาแฟและกลิ่นหอมของครีมนั้น เข้ากันได้ไม่ดีนัก และรสชาติก็ค่อนข้างที่จะกระจัดกระจายเธอกลืนกาแฟ สูดลมหายใจ และมองกลับไปหาคุณผู้หญิงเหวินอีกครั้ง และพูดอย่างจริงใจว่า “คุณป้าคะ เพื่อนของหนูไม่ได้ตั้งใจที่จะสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้หญิงคนนั้นไปทุกที่ เธอแค่ชอบนินทา อยากรู้อยากเห็น จึงได้ถามไปแบบไม่คิดอะไร แต่เธอก็ไม่ได้แพร่ข่าวไปทั่ว เธอไม่ใช่คนที่แยกแยะอะไรไม่เป็นค่ะ” “ถ้าทำให้คุณป้าและหญิงสาวคนนั้นขุ่นเคือง ฉันก็ขอโทษเธออย่างจริงใจแทนเธอด้วยนะคะ ฉันหวังว่าคุณป้าจะไม่ทำให้เพื่อนของหนูลำบากใจ” คุณผู้หญิงเหวินหัวเราะ “ฉางเยว่ หนูกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่จ๊ะ ฉันจะทำให้เธอลำบากได้ยังไง เธอคือเพื่อนของหนู ฉางเยว่ แต่ป้ายังไม่ต้องการที่จะเปิดเผยการตั้งครรภ์ของซินหลานจริงๆ ......” โหลวฉางเยว่มีไหวพริบมาก “หนูไม่รู้อะไรเลย โดยป
เมื่อโหลวฉางเยว่เห็นเขาครั้งแรก ใบหน้าของเขายังคงไม่ได้ปรับอารมณ์ที่ซับซ้อนนั่นเสียงของเหวินเหยียนโจวเย็นชา “คุณก็รู้ว่าการพบเธอลับหลังผมทำให้คุณรู้สึกผิด” โหลวฉางเยว่หยุดชะงักชั่วคราว ปรับสีหน้าของเธอใหม่ และถามอย่างใจเย็น “ทำไมฉันต้องรู้สึกผิดด้วย?” เหวินเหยียนโจวปัดกาแฟที่คุณผู้หญิงเหวินดื่มทิ้งไป “คุณกำลังคุยอะไรกับเธออยู่" “ฉันต้องรายงานประธานเหวินด้วยเหรอคะ?” โหลวฉางเยว่เบื่อหน่ายที่จะมองเขา เธอก้มหน้าลงและกดโทรศัพท์ค้างไว้เพื่อเปิดเครื่อง เธอคิดที่จะลองอีกสองสามครั้ง หากยังเปิดไม่ติด ก็จะส่งไปให้ร้านซ่อมมือถือ เหวินเหยียนโจวเดาได้ว่าทำไมเธอถึงได้พบกับคุณผู้หญิงเหวินในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ “เรื่องทะเลาะวิวาทของพ่อเธอ ต้องมีการเพิ่มโทษ คุณกำลังขอให้เธอช่วยพ่อคุณออกจากคุกเหรอ?” เธอยังคงไม่สามารถเปิดโทรศัพท์ได้ แม้ว่าจะเสียบพาวเวอร์แบงก์และชาร์จอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่ก็ยังเปิดไม่ติด ฝนข้างนอกเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ โหลวฉางเยว่ก็รู้สึกว่าโลกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย และเธอก็รู้สึกเหมือนพลาดอะไรบางอย่างในความสับสนวุ่นวายนี้ และจู่ๆ อารมณ์ของเธอก็เกิดอาการหดหู่
การผ่าตัดของแม่โหลวเสร็จสิ้น และเธออยู่ในห้องไอซียู โหลวฉางเยว่เดินตรงไปที่ชั้นซึ่งเป็นที่ตั้งของหอผู้ป่วยอาการโคม่า สมาชิกในครอบครัว ไม่สามารถเข้าห้องไอซียูได้ พี่สาวคนโตและพี่เขยทำได้แค่นั่งบนเก้าอี้ด้านนอกเท่านั้น โหลวฉางเยว่เห็นพวกเขาอย่างรวดเร็วและวิ่งเข้าไปหา “พี่คะ!” พี่สาวคนโตร้องไห้เมื่อเห็นเธอ เธอรีบวิ่งไปหาเธอแล้วตบที่ไหล่ “ทำไมไม่รับโทรศัพท์! ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์!” โหลวฉางเยว่ถูกเธอผลักถอยหลังไปสองก้าว และลำคอของเธอก็สำลักเล็กน้อย “ฉันไม่ได้ตั้งใจ...แม่เป็นยังไงบ้างคะ?” พี่สาวคนโตเอาแต่ร้องไห้ซึ่งทำให้โหลวฉางเยว่เริ่มหายใจลำบาก เมื่อคืนเธอนอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงพ่อโหลว และตอนนี้เธอก็รู้สึกเจ็บศีรษะ พี่เขยไม่สามารถปลอบภรรยาได้ เขาจึงพาโหลวฉางเยว่ไปที่ประตูวอร์ด ผ่านกระจกเข้าไป โหลวฉางเยว่เห็นว่าร่างกายของแม่ของเธอถูกปกคลุมไปด้วยท่อและมีเครื่องมือที่มีความแม่นยำหลายชิ้นทำงานอยู่ข้างเตียงในโรงพยาบาล เธอสวมหน้ากากออกซิเจนและมีหมอกบาง ๆ บนหน้ากากซึ่งหมายความว่า เธอยังมีชีวิตอยู่ หลักฐานเล็กๆ น้อยๆ ของการมีชีวิตอยู่ “……” โหลวฉางเยว่ส่ายหัว ไม่สามารถยอมรับ
ไม่ เดิมทีพวกเขามีผู้บริจาคอยู่ แม่โหลวควรได้รับการปลูกถ่ายจากผู้บริจาคเมื่อสามเดือนก่อน และสามารถฟื้นตัวจนหายดีได้ ในเวลานี้เป็นเรื่องยากมากสำหรับโหลวฉางเยว่ที่จะไม่คิดถึงเรื่องนั้น ถ้าหากว่าสามเดือนก่อน แม่ได้ ใช้หัวใจของผู้บริจาคดวงนั้น ตอนนี้เธอก็คงไม่ต้องนอนอาการโคม่าที่ห้องไอซียู แต่ตอนที่อยู่บ้านในเมืองเล็กๆ ขณะที่กำลังต้มเฉาก๊วยกันอยู่ก็ได้ถามเธอว่า ต้องการเติมน้ำผึ้งหรือน้ำตาลทรายแดง?เธอหายใจเข้าลึกๆครั้งหนึ่ง อากาศก็เข้าสู่ปอดของเธอ ปล่อยกลิ่นสนิมของเลือดออกมาโหลวฉางเยว่หันหลังกลับลงไปชั้นล่าง เธอกำลังจะไปหาเหวินเหยียนโจว …… ในลานจอดรถของโรงพยาบาล ที่ที่โหลวจางเยว่เพิ่งลงจากรถเมื่อสักครู่ เธอเห็นทันทีว่ารถของเหวินเหยียนโจวยังอยู่ที่นั่น และเหอชิงกำลังยืนอยู่ข้างประตูรถโดยถือร่มไว้ด้วย พวกเขาหยุดอยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่ากำลังรอเธออยู่ โหลวจางเยว่รู้สึกว่า ไม่ว่าจะทำยังไงเธอก็ไม่สามารถหนีผู้ชายคนนี้ได้ ตั้งแต่วินาทีที่เขาเสนอหมอสิบเปอร์เซ็นต์ เธอก็ถูกกำหนดให้ตกไปอยู่ในมือของเขาแล้ว ฉากที่พ่อโหลวถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำพาตัวไป และฉากที่แม่โหลวนอนอยู่
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ