ซิ่วหยูรู้สึกว่าหากไม่ใช่เพราะเขาเป็นศาสตราจารย์ เป็นสุภาพบุรุษ และมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าสูทห่อกล่องยาทันทีแล้วยัดให้เสิ่นซู่ชิน เพื่อส่งสัญญาณให้เหวินเหยียนโจวออกไปอย่างรวดเร็วสองคนนี้อาจตีกันหน้าโรงแรมหลังจากขึ้นรถแล้ว ซิ่วอวี้ก็บีบจมูกของเขาว่า: "ทำไมคุณถึงยั่วยวนเขาล่ะ"“ผมยั่วยุเหรอ?” เหวินเหยียนโจวบิดกระดุมข้อมือสีน้ำเงินแซฟไฟร์ของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาอารมณ์ดี“คุณไม่รู้เหรอ คุณรู้ว่านั่นเป็นแฟนสาวของเขา แต่คุณยังขอให้เขาส่งมันให้เลขาโหลว…” ซิ่วอวี้พูดสามคำนี้ไม่ออก คนอย่างคุณแบบนี้จะมีเจตนาไม่ดีขนาดนี้ได้ยังไงกัน?เขาสงสัยว่า “คุณเกลียดเธอมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”นอกจากนี้ยังมีที่วางแขนระหว่างเบาะหลังของรถธุรกิจ เหวินเหยียนโจววางข้อศอกบนที่วางแขนสีหน้าของเขาสั่นไหวเมื่อไฟถนนผ่านไปนอกหน้าต่าง“เกลียดใคร?”“เลขาโหลว”เหวินเหยียนโจวขมวดคิ้วและมองเขาอย่างอธิบายไม่ได้ซิ่วอวี้กล่าวว่า:"ไม่ต้องพูดถึงเสิ่นซู่ชินเป็นแฟนของเธอ แม้ว่าเขาจะเป็นแค่เพื่อนธรรมดาหรือคู่รักก็ตาม ถ้าคุณทำเช่นนี้ มันจะทำให้เลขาโหลวรู้สึกอับอาย ถ้าคุณรังแกคนอื่นแบ
โหลวฉางเยว่เงยหน้าขึ้นมองเบา ๆ แล้วพูดอย่างใจเย็น: "คุณโจวยอมรับผิดคนแล้ว ฉันไม่ใช่เสี่ยวเหม่ยอย่างที่คุณพูด"“โอ้ ผมจำผิด” โจววั่งแสร้งทำเป็นรู้ตัวในทันทีและยกนิ้วให้ “คุณโหลวไม่ใช่เสี่ยวเหม่ย คุณโหลวเป็นพลเมืองดีที่คอยให้เบาะแสกับตำรวจอย่างแข็งขัน คุณเพียงพูดได้ประโยคเดียว บาร์ของผมยังคงปิดปรับปรุงอยู่เลย”โหลวฉางเยว่ไม่มีสีหน้าอะไรเลยโจววั่งไม่สามารถทำให้เธอกลัวได้ ดังนั้นเขาจึงยิ้มเยาะและหันไปมองเหวินเหยียนโจว: "ประธานเหวินอยู่ที่นี่ ให้ผมเป็นไกด์นำเที่ยวของคุณเถอะ ผมคุ้นเคยกับสถานที่นี้มากที่สุด"เหวินเหยียนโจว: "ได้ครับ"โจววั่งเห็นว่าไม่มีความประหลาดใจหรือความตื่นตระหนกบนใบหน้าของเหวินเหยียนโจวและเขารู้สึกว่าเขาถูกดูหมิ่นอีกครั้งหลังจากได้เจอการขัดขวางสองครั้งอย่างต่อเนื่อง เขาก็หันกลับมาและตะโกน: "ไอ้สารเลว! ยังไม่ไป! ทำให้แขกตกใจแล้ว"กลุ่มสุนัขที่พร้อมจะโจมตีก็ก้มหูลงทันที เห่าสองครั้ง และเก็บเขี้ยวและกรงเล็บออกไป แต่ไม่ได้ออกไปและวนเวียนอยู่รอบตัวพวกเขาโจววั่งพาพวกเขาไปรอบๆ หมู่บ้านด้วยท่าทีที่เหมาะสมและแนะนำให้พวกเขาโหลวฉางเยว่และเสิ่นซู่ชินเดินด้วยกัน และจู่ๆ ค
เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? เสี่ยอ้วนเป็นลูกน้องของโจววั่ง และก็เป็นนักโทษหลบหนี แต่เมื่อกี้กลับไม่ได้อยู่กับโจววั่งในมือของเสี่ยอ้วนได้ถือมีดและพุ่งตรงแทงไปที่พวกเขา ปลายมีดที่แหลมคมอยู่ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ สิ่งที่ โหลวฉางเยว่ คิดได้คือผลัก เหวินเหยียนโจว ออกไป แล้วตัวเองค่อยถอยกลับ แต่ดูเหมือนกับว่า เหวินเหยียนโจว รู้ทันความคิดของเธอ เลยคว้ามือของเธอ และดึงมาไว้ที่หลังตัวเอง จากนั้นใช้เท้าเตะที่มีดของเสี่ยอ้วน แต่แล้วเหตุการณ์มันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิด ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ระยะห่างที่กระชั้นชิดทำให้เขาเตะมีดกระเด็นออกไปไม่ได้ เพียงแต่พลาดไปแค่นิดเดียวเสี่ยอ้วนเอามีดไล่แทงมั่วซั่วอย่างบ้าคลั่ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนเสียสติ ไม่ว่า "ทักษะการต่อสู้จะดีแค่ไหน ก็ต้องแพ้ให้กับของมีคม" ภายในไม่กี่วินาที โหลวฉางเยว่เห็นมีดได้แทงเข้าไปที่ท้องของเหวินเหยียนโจว รูม่านตาของเธอได้แคบลง ดูเหมือนว่าเสี่ยอ้วนจะไม่พอแค่นี้ เขาพยายามจะดึงมีดออกมาเพื่อแทงซ้ำ แต่เหวินเหยียนโจวได้เอามือกุมมีดเอาไว้ ในช่วงเวลาอันรวดเร็วนี้โหลวฉางเยว่เห็นเลือดที่ไหลนองอยู่บนพื้น เธอใช้โซ่ที
โหลวฉางเยว่มองไปที่แผลบนท้องเขาแต่เลือดที่แผลทำให้เห็นอะไรไม่ค่อยชัดสีหน้าของเขาดูซีดลงเพราะเสียเลือด และผิวที่ขาว ทำให้คิ้วเขาดูเด่นชัดขึ้นมาโหลวฉางเยว่กล่าวว่า "คุณหนูเสิ่นได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก ศาสตราจารย์เสิ่นไปดูแลเธอก่อนเลย" สายตาของเหวินเหยียนโจวมองไปที่ใบหน้าของเธอ พูดอย่างเย็นชา "คุณกลับปกป้องเขา" เมื่อคุณหมอเตรียมพร้อมแล้ว จากนั้นก็ถือเข็มยาชาเดินไปที่เตียงโหลวฉางเยว่ "คนไข้อย่าเพิ่งพูด ตอนนี้จะเริ่มเย็บแผลแล้ว" โหลวฉางเยว่ เม้มริมฝีปากและพยักหน้า พร้อมกลั้นหายใจ ส่วนคุณหมอฝั่งเหวินเหยียนโจวก็พูดว่า "ไม่ได้ เลือดยังไม่หยุดไหล ไม่รู้ว่าบาดเจ็บลึกถึงอวัยวะภายในหรือเปล่า แจ้งห้องผ่าตัดให้เตรียมตัว" เมื่อมีคนได้เข้ามาหาเหวินเหยียนโจว ทำให้คุณหมอรู้ถึงตัวตนและสถานะของเขาจนไม่กล้าล่วงเกิน "คุณเหวิน คุณต้องได้รับการผ่าตัดเดี๋ยวนี้" เหอชิงเดินตามไปข้าง ๆ เหวินเหยียนโจว และพูดด้วยความร้อนใจเป็นกังวลว่า "คุณหมอ ท่านต้องรักษาประธานเหวินของเราให้ได้นะ" เหวินเหยียนโจวยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้พวกเขาว่าอย่าเพิ่งพูด พยาบาลที่กำลังจะนำตัวเขาส่งเข้าห้องผ่าตัด แต่เขาบอกว่ารอสักครู่
เหวินเหยียนโจวตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ "คุณช่วยผมเพื่อสิ่งนี้เหรอ?" ใช่ ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ? โหลวฉางเยว่กลัวว่าเขาจะเบี้ยว "ประธานเหวินคงไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณใช่ไหม?" เหวินเหยียนโจวถอนหายใจ สีหน้าที่เย็นชาลง เขาหันหน้ากลับไปและไม่อยากที่จะคุยกับเธออีก เขาเอามือกุมแผลที่ท้องพูดว่า "ไว้ผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมจะลบมันให้" แม้ว่าจะนอนแอดมิทแค่สองวัน แต่เมื่อนึกถึงต้องอยู่กับเขาทั้งวันทั้งคืน 48 ชม. โหลวฉางเยว่ก็รู้สึกอึดอัดมาก อีกทั้งเธอยังคิดอีกว่า หรือว่าจะแจ้งคุณพยาบาลว่าเธอจะออกจากโรงพยาบาลในวันนี้ได้ไหม? เหวินเหยียนโจวมองออกว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่ และพูดอย่างเย็นชาว่า " 80% ของคนในทีมได้รับบาดเจ็บและต้องนอนโรงพยาบาล คุณออกจากโรงพยาบาลไปคนเดียว อยากจะเป็นเป้าให้กับพวกโจววั่งเหรอ? " "......" จากนั้นโหลวฉางเยว่ก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป และเม้มริมฝีปากอย่างรําคาญเล็กน้อย แต่พอพูดถึงโจววั่ง ใจเธอก็เต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง "มือข้างนั้น....จะหาไม่เจออีกแล้วใช่ไหม" เหวินเหยียนโจวพยักหน้า "อืม" โหลวฉางเยว่หน้าซีดเซียว "ก่อนหน้านั้นสุนัขตํารวจได้ค้นหา
สีหน้าของเหวินเหยียนโจวที่ดูไม่ค่อยดี โหลวฉางเยว่ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว แขนของเธอเจ็บมาก เลยกดกริ่งเรียกพยาบาล เมื่อพยาบาลมาถึง เธอบอกว่าเธอเจ็บมือมาก พยาบาลดูแผลแล้วพูดว่า "แผลที่เย็บต้องเจ็บอยู่แล้ว ถ้าคุณทนไม่ไหวฉันจะไปเอายาแก้ปวดให้คุณหนึ่งเม็ด" โหลวฉางเยว่พยักหน้า "รบกวนหน่อยนะคะ" ถ้าเป็นความเจ็บปวดทางจิตใจ ไม่ว่าจะกดดันแค่ไหนหรือยากลำบากแค่ไหน เธอก็สามารถทนได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ความเจ็บปวดทางร่างกาย เธอกลับทนไม่ไหว อาจเป็นเพราะว่าความเจ็บปวดทางจิตใจมักจะเป็นสิ่งที่ต้องแบกรับให้ได้ แต่ความเจ็บปวดทางร่างกายสามารถพึ่งพาการกินยาได้ เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทน หากไม่สามารถประคับประคองได้ ก็คงแบกรับไม่ไหวในไม่ช้า พยาบาลนำยาแก้ปวดมาให้ โหลวฉางเยว่หลังกินยาแล้วก็อยากนอนพัก พยาบาลสังเกตเห็นเหวินเหยียนโจวที่นอนอยู่เตียงข้าง ๆ และถามว่า "คนไข้เจ็บแผลไหมคะ ต้องการกินยาแก้ปวดไหมคะ?" เหวินเหยียนโจวตอบอย่างเย็นชา "ไม่ต้อง" พยาบาลกลัวน้ำเสียงของเขาเลยไม่กล้าพูดมาก จากนั้นก็ออกจากห้องไป สีหน้าของเหวินเหยียนโจวสุขุมดุจน้ำลึก นั่งนิ่งๆคนคนเดียวสักพัก จา
เหวินเหยียนโจวกดวางสาย พิมพ์ส่งข้อความไปในไลน์ว่า "มีอะไร?" ซิ่วอวี้ไม่ได้รับบาดเจ็บ ทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์ ซึ่งเพิ่งออกมาจากโรงพัก "โจววั่งบอกว่าเขากับเสี่ยอ้วนและเจ้าผอมสูงเป็นแค่เพื่อนธรรมดา ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งสองทําเรื่องแบบนี้ได้ยังไง" เหวินเหยียนโจวได้ยินแล้วหัวเราะ "ปริ้นปร้อนสิ้นดี" "ใคร ๆ ก็รู้ว่าเขาโกหก แต่ปัญหาคือตอนนี้ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าโจววั่งบงการพวกเขา ตํารวจทําได้แค่ปล่อยเขาไปก่อน ส่วนโจวเอ๋อ ผมรู้สึกว่าคนคนนี้ถึงแม้จะไม่มีประวัติอะไร แต่ก็ยากกว่าที่พวกเราคิด" เหวินเหยียนโจว "เขาฝึกสุนัขให้เชื่องได้ ตํารวจนอกเครื่องแบบก็เห็นแล้ว" ซิ่วอวี้ "เขาบอกว่าเขาแค่เป่านกหวีดมั่ว ๆ ไม่ใช่การฝึกสุนัข และเขาก็ไม่ใช่คนในหมู่บ้านซิงฮวา พวกมันเป็นสุนัขของหมู่บ้านซิงฮวา เป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อฟังเขา สรุปแล้วก็คือเขาพยายามแก้ต่างให้กับตัวเอง ตอนนี้พวกเราทําอะไรเขาไม่ได้จริงๆ" ทําอะไรเขาไม่ได้? งั้นไม่ต้อง เหวินเหยียนโจวลูบมุมปาก "เรื่องนี้ คุณบอกอาลู่หรือยัง?" ซิ่วอวี้ยักคิ้ว "ยังไม่ได้บอก" ถ้าเรื่องแบบนี้ลู่ไจ
โหลวฉางเยว่ไม่รู้ว่าพวกเขากําลังพูดถึงอะไร และจู่ๆทั้งคู่ก็หยุดสนทนาพร้อมกัน เธอมองไปที่เหวินเหยียนโจว และก็มองไปที่เสิ่นซู่ชินที่นั่งเก้าอี้อยู่ข้างเตียง เธอต้องการที่จะลุกขึ้นนั่ง เนื่องจากเธอได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้าย ไม่สามารถใช้มือเท้าที่นอนได้ เสิ่นซู่ชินเห็นก็ลุกขึ้นมาประคองไหล่ของเธอและหนุนหมอนไว้หลังเอวของเธอเพื่อให้เธอนอนสบายขึ้น สีหน้าอ่อนโยนของเขาถามด้วยความเป็นห่วงว่า "เป็นอย่างไรบ้าง? เจ็บไหม?" โหลวฉางเยว่ส่ายหัว "กินยาแก้ปวดแล้ว ไม่เจ็บค่ะ คุณมาได้ยังไงคะ? คุณหนูเสิ่นได้รับบาดเจ็บสาหัสไหม?" เสิ่นซู่ชินตอบว่า "การผ่าตัดราบรื่นดี ตอนนี้ฤทธิ์ยาชายังไม่หมด เธอยังไม่ฟื้นเลย ผมให้พยาบาลเฝ้าอยู่ในวอร์ด ถ้าเธอตื่นแล้วเขาจะแจ้งผมทันที" โหลวฉางเยว่ขมวดคิ้ว เสิ่นซู่ชินเดาว่าเธออยากจะให้เขากลับไปเฝ้าเสิ่นเมี่ยวเมี่ยว และไม่ต้องสนใจเธอ ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูด เขาได้พูดว่า "วอร์ดที่เมี่ยวเมี่ยวอยู่ก็อยู่ชั้นนี้เหมือนกัน ผมเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ผมไม่มาหาคุณ ผมก็ไม่วางใจเหมือนกัน" พูดแบบนี้แล้ว โหลวฉางเยว่ได้เพียงแต่กลืนน้ำลายและเปลี่ยนเป็น "ฉันดูเหมือนยังไม่ได้ถามคุณเล
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ