เหวินเหยียนโจวตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ "คุณช่วยผมเพื่อสิ่งนี้เหรอ?" ใช่ ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ? โหลวฉางเยว่กลัวว่าเขาจะเบี้ยว "ประธานเหวินคงไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณใช่ไหม?" เหวินเหยียนโจวถอนหายใจ สีหน้าที่เย็นชาลง เขาหันหน้ากลับไปและไม่อยากที่จะคุยกับเธออีก เขาเอามือกุมแผลที่ท้องพูดว่า "ไว้ผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมจะลบมันให้" แม้ว่าจะนอนแอดมิทแค่สองวัน แต่เมื่อนึกถึงต้องอยู่กับเขาทั้งวันทั้งคืน 48 ชม. โหลวฉางเยว่ก็รู้สึกอึดอัดมาก อีกทั้งเธอยังคิดอีกว่า หรือว่าจะแจ้งคุณพยาบาลว่าเธอจะออกจากโรงพยาบาลในวันนี้ได้ไหม? เหวินเหยียนโจวมองออกว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่ และพูดอย่างเย็นชาว่า " 80% ของคนในทีมได้รับบาดเจ็บและต้องนอนโรงพยาบาล คุณออกจากโรงพยาบาลไปคนเดียว อยากจะเป็นเป้าให้กับพวกโจววั่งเหรอ? " "......" จากนั้นโหลวฉางเยว่ก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป และเม้มริมฝีปากอย่างรําคาญเล็กน้อย แต่พอพูดถึงโจววั่ง ใจเธอก็เต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง "มือข้างนั้น....จะหาไม่เจออีกแล้วใช่ไหม" เหวินเหยียนโจวพยักหน้า "อืม" โหลวฉางเยว่หน้าซีดเซียว "ก่อนหน้านั้นสุนัขตํารวจได้ค้นหา
สีหน้าของเหวินเหยียนโจวที่ดูไม่ค่อยดี โหลวฉางเยว่ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว แขนของเธอเจ็บมาก เลยกดกริ่งเรียกพยาบาล เมื่อพยาบาลมาถึง เธอบอกว่าเธอเจ็บมือมาก พยาบาลดูแผลแล้วพูดว่า "แผลที่เย็บต้องเจ็บอยู่แล้ว ถ้าคุณทนไม่ไหวฉันจะไปเอายาแก้ปวดให้คุณหนึ่งเม็ด" โหลวฉางเยว่พยักหน้า "รบกวนหน่อยนะคะ" ถ้าเป็นความเจ็บปวดทางจิตใจ ไม่ว่าจะกดดันแค่ไหนหรือยากลำบากแค่ไหน เธอก็สามารถทนได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ความเจ็บปวดทางร่างกาย เธอกลับทนไม่ไหว อาจเป็นเพราะว่าความเจ็บปวดทางจิตใจมักจะเป็นสิ่งที่ต้องแบกรับให้ได้ แต่ความเจ็บปวดทางร่างกายสามารถพึ่งพาการกินยาได้ เพราะฉะนั้นเธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทน หากไม่สามารถประคับประคองได้ ก็คงแบกรับไม่ไหวในไม่ช้า พยาบาลนำยาแก้ปวดมาให้ โหลวฉางเยว่หลังกินยาแล้วก็อยากนอนพัก พยาบาลสังเกตเห็นเหวินเหยียนโจวที่นอนอยู่เตียงข้าง ๆ และถามว่า "คนไข้เจ็บแผลไหมคะ ต้องการกินยาแก้ปวดไหมคะ?" เหวินเหยียนโจวตอบอย่างเย็นชา "ไม่ต้อง" พยาบาลกลัวน้ำเสียงของเขาเลยไม่กล้าพูดมาก จากนั้นก็ออกจากห้องไป สีหน้าของเหวินเหยียนโจวสุขุมดุจน้ำลึก นั่งนิ่งๆคนคนเดียวสักพัก จา
เหวินเหยียนโจวกดวางสาย พิมพ์ส่งข้อความไปในไลน์ว่า "มีอะไร?" ซิ่วอวี้ไม่ได้รับบาดเจ็บ ทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์ ซึ่งเพิ่งออกมาจากโรงพัก "โจววั่งบอกว่าเขากับเสี่ยอ้วนและเจ้าผอมสูงเป็นแค่เพื่อนธรรมดา ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งสองทําเรื่องแบบนี้ได้ยังไง" เหวินเหยียนโจวได้ยินแล้วหัวเราะ "ปริ้นปร้อนสิ้นดี" "ใคร ๆ ก็รู้ว่าเขาโกหก แต่ปัญหาคือตอนนี้ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าโจววั่งบงการพวกเขา ตํารวจทําได้แค่ปล่อยเขาไปก่อน ส่วนโจวเอ๋อ ผมรู้สึกว่าคนคนนี้ถึงแม้จะไม่มีประวัติอะไร แต่ก็ยากกว่าที่พวกเราคิด" เหวินเหยียนโจว "เขาฝึกสุนัขให้เชื่องได้ ตํารวจนอกเครื่องแบบก็เห็นแล้ว" ซิ่วอวี้ "เขาบอกว่าเขาแค่เป่านกหวีดมั่ว ๆ ไม่ใช่การฝึกสุนัข และเขาก็ไม่ใช่คนในหมู่บ้านซิงฮวา พวกมันเป็นสุนัขของหมู่บ้านซิงฮวา เป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อฟังเขา สรุปแล้วก็คือเขาพยายามแก้ต่างให้กับตัวเอง ตอนนี้พวกเราทําอะไรเขาไม่ได้จริงๆ" ทําอะไรเขาไม่ได้? งั้นไม่ต้อง เหวินเหยียนโจวลูบมุมปาก "เรื่องนี้ คุณบอกอาลู่หรือยัง?" ซิ่วอวี้ยักคิ้ว "ยังไม่ได้บอก" ถ้าเรื่องแบบนี้ลู่ไจ
โหลวฉางเยว่ไม่รู้ว่าพวกเขากําลังพูดถึงอะไร และจู่ๆทั้งคู่ก็หยุดสนทนาพร้อมกัน เธอมองไปที่เหวินเหยียนโจว และก็มองไปที่เสิ่นซู่ชินที่นั่งเก้าอี้อยู่ข้างเตียง เธอต้องการที่จะลุกขึ้นนั่ง เนื่องจากเธอได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้าย ไม่สามารถใช้มือเท้าที่นอนได้ เสิ่นซู่ชินเห็นก็ลุกขึ้นมาประคองไหล่ของเธอและหนุนหมอนไว้หลังเอวของเธอเพื่อให้เธอนอนสบายขึ้น สีหน้าอ่อนโยนของเขาถามด้วยความเป็นห่วงว่า "เป็นอย่างไรบ้าง? เจ็บไหม?" โหลวฉางเยว่ส่ายหัว "กินยาแก้ปวดแล้ว ไม่เจ็บค่ะ คุณมาได้ยังไงคะ? คุณหนูเสิ่นได้รับบาดเจ็บสาหัสไหม?" เสิ่นซู่ชินตอบว่า "การผ่าตัดราบรื่นดี ตอนนี้ฤทธิ์ยาชายังไม่หมด เธอยังไม่ฟื้นเลย ผมให้พยาบาลเฝ้าอยู่ในวอร์ด ถ้าเธอตื่นแล้วเขาจะแจ้งผมทันที" โหลวฉางเยว่ขมวดคิ้ว เสิ่นซู่ชินเดาว่าเธออยากจะให้เขากลับไปเฝ้าเสิ่นเมี่ยวเมี่ยว และไม่ต้องสนใจเธอ ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูด เขาได้พูดว่า "วอร์ดที่เมี่ยวเมี่ยวอยู่ก็อยู่ชั้นนี้เหมือนกัน ผมเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ผมไม่มาหาคุณ ผมก็ไม่วางใจเหมือนกัน" พูดแบบนี้แล้ว โหลวฉางเยว่ได้เพียงแต่กลืนน้ำลายและเปลี่ยนเป็น "ฉันดูเหมือนยังไม่ได้ถามคุณเล
โหลวฉางเยว่จู่ๆก็หัวเราะขึ้นมา "ฉันไม่ชอบกินไข่ขาวต้ม รสชาติมันเหมือนกับไข่ต้มใบชาไหม?" เหวินเหยียนโจวหัวเราะ เหอะ เสิ่นซู่ชินอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วตะโกนว่า "ฉางเยว่" "ฉันบอกหลายครั้งแล้วว่าฉันไม่เป็นไรแล้ว ทําไมศาสตราจารย์เสิ่นถึงไม่เชื่อล่ะ? ทำเหมือนฉันเป็นอะไรไปได้" โหลวฉางเยว่คิดอยู่ครู่หนึ่ง "หรือจะให้ฉันเขียนจดหมายรับประกัน? รับประกันว่าตัวฉันไม่ได้เป็นอะไร" เธอก็แค่ไม่ยอมพูดออกมา เสิ่นซู่ชินจะทําอะไรได้? โหลวฉางเยว่ไล่เขาไปดูแลเสิ่นเมี่ยวเมี่ยว เสิ่นซู่ชินยืนกรานไม่ไปเป็นเวลาหลายนาที สุดท้ายก็ถอนหายใจและลุกขึ้น "ตอนกลางคืนผมจะนำอาหารมาให้คุณ เอาไข่ต้มใบชาใช่ไหม ได้ ผมเข้าใจแล้ว" "ขอบคุณค่ะ" วินาทีที่เสิ่นซู่ชินเดินออกจากวอร์ดไป สีหน้าก็ผ่อนคลายดูเย็นลงอย่างรวดเร็ว ราวกับเหมือนตอนที่ตัวเองอารมณ์ดีซะอย่างงั้นเหวินเหยียนโจวพิงที่หัวเตียงอย่างสงบ ท่าทางดูอารมณ์ดี มองไปที่โหลวฉางเยว่ "ทําไมไม่ขอความช่วยเหลือจากศาสตราจารย์เสิ่นของคุณล่ะ? คุณคิดว่าเขาช่วยคุณไม่ได้? หรือคุณกลัวเขาจะรู้ว่าคุณเคยมีอะไรกับผม?" "ไม่ใช่ทั้งนั้น" โหลวฉางเยว่เอนตัวลงนอนอย่างช้า น้ำเสียงที่เบา
ในที่สุดเหวินเหยียนโจวก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดและเย็บแผลใหม่ ซิ่วอวี้รีบมาหา ถามเหอชิงว่าเกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่บาดแผลภายนอกเหรอ? ทำไมถึงมีการผ่าตัดรอบสอง? เหอชิงรู้สึกแย่มาก "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ประธานเหวินมักจะบอกฉันว่าไม่ต้องเข้าไปเฝ้าอยู่ในห้องผู้ป่วย ตอนนั้นฉันเฝ้าอยู่ข้างนอก" "หมายความว่า อาการของเขาคือนอนอยู่บนเตียงดี ๆ ปากแผลก็ดันฉีกออกงั้นหรอ?" ซิ่วอวี้ถามอีกว่า "เขาอยู่ห้องผู้ป่วยคนเดียวไม่ใช่เหรอ? ในห้องผู้ป่วยมีอะไร?" เหอชิง "มีประธานเหวินกับเลขาโหลว ซึ่งเป็นห้องเตียงคู่......" ซิ่วอวี้คิดว่าก็ไม่น่าจะใช่เหตุผลนี้ เท่าที่เขารู้โหลวฉางเยว่มักถูกเหวินเหยียนโจวขืนใจมาตลอด ก็เหมือนกับเสือที่ออกจากป่าเพื่อไล่ล่าสุนัขจิ้งจอกที่กำลังหนีแต่หนีไม่พ้นยังไงอย่างงั้น จะเป็นไปได้ยังไง อะไรที่สามารถทําให้ปากแผลฉีกออกได้? ซิ่วอวี้ครุ่นคิด จากนั้นก็ไปที่ห้องผู้ป่วย เมื่อมองจากหน้าต่างของประตูเข้าไป เห็นโหลวฉางเยว่กําลังนั่งผิงหัวเตียงดูโทรศัพท์อยู่ คิ้วขมวดเล็กน้อยและดูเป็นเป็นกังวลอยู่บ้าง กังวลเรื่องโจวเอ๋อร์? ซิ่วอวี้รู้สึกปลื้มใจเล็กน้อย เกือบคิดว่าโหลวฉางเยว่นั้นไร้คว
พอโจววั่งกำลังจะลุกขึ้น ฉือหนานก็เหยียบหน้าอกของเขาอย่างโหดเหี้ยม โจววั่งเจ็บจนกัดฟันกราม รู้สึกเหมือนกระดูกซี่โครงกําลังจะหัก โจววั่ง "พวกนาย......พวกคุณรนหาที่!" "นายคิดว่าการที่ตัวเองอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ แบบนี้จะสามารถทำอะไรตามอำเภอใจอย่างไม่เกรงกลัวใครได้อย่างงั้นเหรอ? " เสิ่นซู่ชินพูดอย่างใจเย็น และหยิบท่อเหล็กมาปักไว้ที่ใต้ก้อนหิน "กบในกะลาดี ๆ นี่เอง นึกว่าตัวเองใหญ่ที่สุด กล้าทำไปซะทุกเรื่อง กล้าหาเรื่องไปซะทุกคน ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว" โจววั่งรู้สึกว่า เมื่อเทียบกับผู้ชายที่เหยียบตัวเองคนนี้แล้ว ผู้ชายที่พูดช้า ๆ นุ่มนวลคนนี้น่ากลัวกว่าอีก เขาหน้าซีดและเสียงสั่น "นาย......ถ้านายกล้าแตะต้องฉัน! ฉันสัญญาว่าจะทําให้นายเสียดายที่เกิดมาบนโลกนี้ คุณ! คุณ! คุณ! " นาย! นาย! นาย! "อ๊ะ......" ฉือหนานเตะขาข้างหนึ่งของเขาไปที่ท่อเหล็กและก้อนหินนั้นที่ปักอยู่ในลักษณะเอนเอียง จากนั้นเสิ่นซู่ชินไม่ลังเลที่จะเหยียบท่อเหล็กและใช้แรงกดอย่างเต็มกำลัง กระดูกน่องขาของโจววั่งถูกหนีบจนหัก เสียงกรีดร้องครวญคราญดังไปทั่วซอย ! เสิ่นซู่ชินมองด้วยสายตาเย็นชา ตั้งแต่เขารู้ว่าโจววั่งลักพาตั
ลู่ไจ่เย่ออกจากบ้านของโจววั่ง แล้วก็ไปโรงพยาบาล ระหว่างทางเดินบังเอิญเจอเหวินเหยียนโจวที่เพิ่งเย็บแผลใหม่เสร็จ และถูกพยาบาลเข็นไปที่ห้องผู้ป่วย ซิ่วอวี้เดินประกบอยู่ข้างเตียงและกำลังพูดคุยกับเหวินเหยียนโจว ลู่ไจ่เย่ก็รีบทักทาย "พี่โจว พี่อวี้" เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ เห็นสีหน้าของเหวินเหยียนโจวถึงกับขมวดคิ้วและถอนหายใจ "แผลของพี่โจวสาหัสขนาดนี้เลยหรอ? งั้นแสดงว่าผมลงมือเบาไปอย่างงั้นเหรอ?" "ลงมืออะไร?" ซิ่วอวี้ถามเสร็จก็เดาออกว่า "นายไปหาโจววั่งแล้วเหรอ?" "ใช่แล้ว เรื่องที่หมู่บ้านซิงฮวาผมจัดการให้แล้ว" ลู่ไจ่เย่ยื่นสัญญาในมือให้เหอชิงและคว่ำมุมปากเบา ๆ "พวกเขาจะย้ายออกไปคืนนี้" แต่ซิ่วอวี้กลับอยากรู้อยากเห็น "นายทําได้ยังไง?" "ไม่ได้ทําอะไร ก็แค่ให้เขายอมคุกเข่าให้ผม" พอพวกเขามาถึงหน้าประตูวอร์ดแล้ว เสียงพูดของพวกเขาก็ดังไปถึงโหลวฉางเยว่จนเธอได้ยิน ลู่ไจ่เย่ "ผมถือว่าผมมาช้าไปหนึ่งก้าว ขาข้างหนึ่งของโจววั่งเพิ่งถูกคนอื่นหักไป แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร" นายกำลังจะบอกว่า ในขณะที่โจววั่งขาหักอยู่ นายให้เขาคุกเข่าให้นาย ลู่ไจ่เย่โหดเหี่ยมขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่โจววั่
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ