หลี่ถิงรีบตอบ “ไม่จริงนะ ฉันแทบไม่มีเวลาเลย ตอนที่ฉันออกไปฉันบังเอิญไปเจอประธานเย่กำลังเข้ามาพอดี พี่เวินหนี่ฉันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าประธานเย่จะมาที่นี่ แต่เท่าที่เห็นเขาดูเป็นห่วงพี่มากนะ”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้หลี่ถิงเองก็คิดว่ามันแปลกแล้วพูดต่อ “พี่เวินหนี่รู้ไหมว่าตอนนั้นประธานเย่ดูน่ากลัวแค่ไหน เขาแตกต่างไปอย่างกับคนละคนเลยล่ะ เขาทำให้ประธานหลี่เกือบพิการแล้วยังจัดการอย่างเด็ดขาดอีกรวมถึงคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องบางคนด้วย ประธานเย่โกรธมากแล้วเอาแต่กอดพี่เวินเหนี่ไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง”คำพูดของหลี่ถิงทำให้คนฟังต้องหยุดชะงัก อดไม่ได้ที่จะหยิบแก้วน้ำด้านข้างขึ้นมาดื่ม“พี่เวินหนี่ปกติแล้วประธานเย่เป็นคนที่ใส่ใจลูกน้องมากเลยใช่ไหม? ทำไมฉันไม่เคยรู้เลยล่ะ ถ้าฉันได้รับบาดเจ็บหรือตกอยู่ในอันตรายบ้างเขาจะสนใจขนาดนั้นเลยไหมนะ?” หลี่ถิงผู้ซึ่งไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวถามออกมา ก่อนจะพูดต่อ “แม้แต่ลูกน้องที่อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปียังไม่เคยเห็นเขากังวลด้วยขนาดนี้ พี่เวินหนี่คิดว่าประธานเย่ชอบพี่หรือเปล่า?”“แค่ก แค่ก แค่ก”น้ำที่กำลังไหลเข้าปากทำให้เวินหนี่สำลักออกมาอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินหลี่ถิงถามอ
“เธอคงไม่คิดใช่ไหม? เวินหนี่น่ะต้องการไต่เต้าขึ้นไปให้สูง เธอเป็นเลขาของประธานเย่ก็จริงแต่เธอไม่ใช่ภรรยาที่แท้จริงของเขาหรอกนะ หลังจากที่ทำงานผ่านไปหลายปีก็ต้องมีความคิดที่จะต้องหาทางให้กับตัวเอง ด้วยความสวยที่มีก็เลยคิดอยากจะลองไปเป็นคนรักของประธานหลี่ดูบ้าง เธออาจจะไม่ใช่คนรักของประธานเย่แต่อย่างน้อยก็เป็นคนรักประธานหลี่ สุดท้ายเธอก็เลยจงใจกล่าวหาว่าประธานหลี่ข่มขืนตัวเอง น่าสมเพชจริง ๆ ที่ประธานหลี่จะต้องเข้าคุกด้วยเรื่องแบบนั้น!”“ปกติเวินหนี่เป็นคนใจดีนะ แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะใช้อุบายทำให้ประธานหลี่ต้องมีชีวิตที่ตกต่ำอย่างนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมเธอถึงได้อยู่เคียงข้างประธานเย่ได้อยู่เสมอ ผู้หญิงคนนี้จะต้องมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรซ่อนไว้มากมายแน่นอน!”“ฮึ เพิ่งรู้เหรอว่าคนอย่างยัยเวินหนี่น่ะร้ายแค่ไหน? มองแวบเดียวฉันก็รู้แล้ว พวกเธอก็ลองมองดูสิว่าคนเก่าคนแก่ในบริษัทนี้มีใครเทียบเธอได้บ้าง คนมีความสามารถอย่างพี่หลินของเรา มีทั้งคุณสมบัติและประสบการณ์มากมายแบบนั้นยังสู้เล่ห์กลของยัยคนนี้ไม่ได้ มันก็เกินไปแล้วล่ะ! ถูกข่มขืน....”ปัง!เสียงประตูกระแทกกับผนังอย่างแรง เวินหนี่ปรากฎตัวอยู่ด้าน
เกาเหม่ยไม่ทันที่จะได้ตอบโต้ ใบหน้าเธอแดงเถือกเพราะแรงตบ หญิงสาวกรีดร้องออกมาอย่างไม่พอใจเธอไม่เคยรู้สึกแพ้ขนาดนี้มาก่อนจึงทำให้รู้สึกโกรธมากเวินหนี่จึงเอ่ยอย่างเย็นชา “ถ้าไม่ตบ เธอก็จะไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าการใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลเย่น่ะเป็นยังไง!”“เวินหนี่เธอกล้าดียังไงมาทำร้ายคนของฉัน!”เกิดความกลลาหลมากมาย ทุกคนจึงมามรวมตัวกันตรงนี้ด้วยความโกลาหลเมื่อเฉินเพ่ยหลินรู้เรื่องก็รีบตามเข้ามาแล้วได้เห็นฉากที่เวินหนี่กำลังตบคนของตัวเองพอดี หญิงสาวเบิกตากว้างแล้วรีบดึงทั้งสองคนแยกจากกันเวินหนี่ทำร้ายคนของเธอก็เหมือนทำร้ายตัวเธอด้วยเมื่อเกาเหม่ยเห็นว่ามีกำลังเสริมมา เธอก็ร้องโอดครวญเสียงดัง “พี่หลิน!”หญิงสาวปิดหน้าแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาเฉินเพ่ยหลินทันที “เธอตบฉัน นี่มันมากเกินไปแล้ว!”เฉินเพ่ยหลินดึงเกาเหม่ยมาอยู่ข้างหลังตัวเองด้วยความโกรธสุดขีด “เธอบ้าไปแล้วเหรอ เย่อหยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ คิดว่าเพราะมีตระกูลเย่หนุนหลังก็เลยคิดว่าพวกเขาคือครอบครัวตัวเองจริง ๆ สินะ เราจำเป็นต้องฟังเธอด้วยงั้นเหรอ ทำไมถึงได้มาทำร้ายคนอื่นแบบนี้โดยไม่เห็นแก่หน้าฉันเลย!”เมื่อรู้สึกเจ็บที่มือข้างที่ใช้
คนอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้างกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้นทว่าก็เริ่มเห็นใจเวินหนี่ด้วยเช่นกันเธอเป็นเพียงเลขา ไม่ได้มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่เหนือไปกว่ารองประธานบริษัทอย่างแน่นอน นี่คงจะเป็นหายนะสำหรับเธอแน่!ไม่นานรองประธานเกาก็วิ่งเข้ามาหาเกาเหม่ย รู้สึกเสียใจและไม่พอใจที่หลานสาวของเขาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ จึงรีบเข้ามาเพื่อยุติเรื่องราวที่เกิดขึ้น “ใครรังแกหลานของฉัน!”เกาเหม่ยชี้ไปที่เวินหนี่ที่ยังยืนนิ่งอยู่ในห้องน้ำ “เธอค่ะ เธอเป็นคนตบฉัน ขนาดลุงเห็นฉันมาตั้งแต่เด็กยังไม่ตีฉันเลย!”เฉินเพ่ยหลินยืนมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่าเพลิดเพลินในขณะที่แสร้งทำตัวเป็นคนดีอย่างน่าสมเพช “รองประธานเกา ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะที่ไม่สามารถดูแลเกาเหมยได้เป็นอย่างดี แต่อำนาจในบริษัทนี้ของฉันก็น้อยเกินกว่าที่จะสู้ได้จริง ๆ ”คำพูดนี้ทำให้รองประธานเกาเข้าใจว่าแม้ตำแหน่งของเฉินเพ่ยหลิงและเวินหนี่จะเท่าเทียมแต่เฉินเพ่ยหลิงก็อาจจะถูกเวินหนี่ทำร้ายได้ด้วยอีกคนผู้หญิงที่ชื่อเวินหนี่คนนี้ดูท่าทางหยิ่งผยองเหลือเกินรองประธานเกาเองก็พอจะได้รับรู้เรื่องราวอื้อฉาวของเวินหนี่มาบ้าง เพราะเธอเป็นคนใกล้ชิดของประธานเย่เขา
เย่หนานโจวเดินเข้ามาพร้อมด้วยคนอีกกลุ่มหนึ่ง รัศมีอันน่าเกรงขามและเย็นชาของเขาทำให้ผู้คนรอบข้างต้องอยู่ห่างด้วยความยำเกรงเดิมเฉินเพ่ยหลินวางแผนที่จะทำให้เวินหนี่ต้องทุกข์ทรมานและไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทว่าเย่หนานโจวดันกลับมาเสียก่อนมือของเธอค้างเติ่งอยู่ในอากาศ กำลังคิดว่าจะลงโทษเวินหนี่อย่างไรดีทันทีที่เย่หนานโจวมาถึงเธอก็รู้สึกกลัวจนไม่สามารถตบอีกฝ่ายได้“ประธานเย่!”พนักงานที่กำลังมุงต่างก็พากันแยกย้ายออกไปเย่หนานโจวเดินเข้ามามองสถานการณ์ความวุ่นวายตรงหน้าแล้วขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความเย็นชาในขณะที่สายตาคมกริบกวาดมองไปรอบ ๆ “ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ก็คงไม่เชื่อว่านี่คือบริษัทของผมเองไม่ใช่อาณาเขตของรองประธานเกา!”ใบหน้าของประธานเกาซีดเผือดและเปลี่ยนไป ความเย่อหยิ่งที่เคยมีลดลงด้วยคำพูดจากชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมลง “ไม่ ไม่มีอะไรหรอกครับท่านประธาน ก็แค่เวินหนี่เข้ามาทำร้ายร่างกายหลานสาวของผม ที่ตระกูลเกาไม่มีใครแตะต้องเธอเลยสักนิด หากว่าเธอทำผิดจริง ในฐานะลุงผมก็จะไม่สนับสนุนเธออยู่แล้ว แต่คนอย่างเวินหนี่นั้นเย่อหยิ่งเกินไป คนแบบนี้สมคว
รองประธานเกาจับเกาเหม่ยไว้ไม่ต้องการให้ผู้เป็นหลานสาวสร้างปัญหาอีกต่อไป กลัวว่าถ้าพูดมากไปกว่านี้จะถูกขับไล่ออกไปจากตระกูลเย่ทันที ว่าแล้วรองประธานเย่จึงค่อย ๆ พูด “ประธานเย่ เป็นผมเองที่ไม่มองสถานการณ์ให้ชัดเจนและไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น คราวนี้เป็นเลขาเวินที่เป็นผู้ถูกกระทำก่อน”เย่หนานโจวล้วงมือข้างหนึ่งเข้าไปในกระเป๋า สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ทว่าน้ำเสียงของเขากลับเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก “คุณเข้าใจ แล้วหลานสาวของคุณล่ะเธอเข้าใจไหม?”รองประธานเการีบดึงตัวเกาเหม่ยขึ้นมา “เพราะหลานทำผิดต่อเลขาเวิน ดังนั้นขอโทษเธอซะแล้วหลังจากนี้ก็อย่าไปพูดจาลับหลังกันอีก”เกาเหม่ยไม่คิดว่าหลังจากที่ถูกตบถึงสองครั้ง คนที่ต้องขอโทษกลับเป็นเธอเสียเอง “ลุงคะ ทำไมหนูต้องขอโทษด้วยล่ะ หนูไม่ขอโทษ!”เกาเหม่ยเอะอะแล้วยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นรองประธานเกาหันไปมองเย่หนานโจวอีกครั้งแล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วแน่น แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มไม่มีความอดทนอีกต่อไปในตระกูลเย่ เขารู้ดีว่าเย่หนานโจวนั้นเป็นคนที่รักษาคำพูดมากแค่ไหน หากเขาไม่ต้องการให้มีปัญหา ทุกคนก็ไม่ควรที่จะเข้าไปทำตัวล้ำเส้นจนเกินเหตุว่าแล้วผู้เป็นลุง
สิ่งที่เวินหนี่พูดไม่ใช่สิ่งที่ใกล้หรือไกลประเด็นเกินไป แต่ตรงประเด็นพอดีหลังจากที่หย่ากันแล้วก็จะยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้คนนำไปนินทาทว่าเย่หนานโจวกลับคิดว่าหญิงสาวทำตัวห่างเหินมากเกินพอดี เขาเข้าไปช่วยเธอเพื่อไม่ให้คนอื่นกล้ามาวิจารณ์เธออีกแต่เวินหนี่ก็ยังกลัวว่าจะมีคนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอและเขาทันใดนั้นใบหน้าของเย่หนานโจวก็เย็นเยียบลง เหลือเพียงความเย็นชาและความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากตอนแรก“กลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”เวินหนี่สังเกตเห็นสีหน้าที่ไร้อารมณ์ของอีกฝ่ายก็เริ่มอธิบายต่ออย่างมีไหวพริบ “ฉันกลัวว่าจะมีผลกระทบกับคุณด้วย ในอนาคตที่เราจะต้องหย่ากัน ผู้คนก็จะยังดึงฉันเข้ามาเกี่ยวข้องอีกและฉันไม่คิดว่าคุณจะอยากได้ยินเรื่องราวพวกนั้น อีกอย่างตอนนี้ชื่อเสียงของฉันก็ไม่ค่อยดีนักมันอาจจะส่งผลร้ายต่อคุณในอนาคต”คนฟังขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเล็กน้อย “เลขาเวินก็จัดการเรื่องนี้กับผมให้ชัดเจน แล้วจะมีชื่อเสียงที่ไม่ดีได้ยังไง?” เวินหนี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของเขามันจะไม่แย่ไปกว่าเดิมหรือไง?บางคนบอกว่าเธอคือคนรักลับ ๆ ของเขาซึ่งเป็น
แต่เธอก็ไม่อายที่จะสวมมันอีกเป็นครั้งที่สองหากถูกถ่าย เธอคงถูกหัวเราะเยาะแน่ ๆ และไม่รู้ด้วยว่านักข่าวเหล่านั้นจะเขียนข่าวเกี่ยวกับเธอว่าอย่างไรบ้างแต่เธอก็ไม่ได้สนใจหลังจากผ่านเรื่องเหล่านี้ ลู่ม่านเซิงน้ำหนักลดลงและดูอ่อนแอขึ้นมาก แต่เธอก็ไม่กลัวในการอยู่ต่อหน้ากล้องและแสงแฟลซ เธอยังคงยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรเริ่มแรกนักข่าวถามเธอเกี่ยวกับประสบการณ์หลังผ่านความตายในครั้งนี้ ลู่ม่านเซิงทำตัวน่าสงสารต่อหน้านักข่าวพร้อมกับบอกเล่าประสบการณ์ของตน ก่อนจะตบท้ายด้วยความคิดเชิงบวกและความสดใสของเธอ โดยบอกว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกเธอเจอเรื่องหนักหนาในชีวิตและทุกคนต่างก็รู้สึกสงสารลู่ม่านเซิงต่างพากันบอกว่าหนทางของเธอนั้นไม่ง่ายเลยนักข่าวยังคงถามถึงเรื่องส่วนตัว โดยพูดถึงชุดนี้ว่าเธอสวมใส่มันเป็นครั้งที่สองแล้ว ลู่ม่านเซิงตอบอย่างไม่ปิดบัง “ฉันคิดว่าการได้กลับมายืนหน้ากล้องอีกครั้งคือการได้รับชีวิตใหม่ค่ะ ชุดนี้มีความหมายสำหรับฉันมาก เมื่อสวมใส่มันทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่และสามารถก้าวผ่านความยากลำบากทั้งหมดไปได้! ฉันให้คุณค่ากับทุกสิ่งค่ะ”นักข่าวถามขึ้นอีกครั้งว่า “ดูเหม
ขณะที่เย่ซูเฟินกำลังปกป้องลู่ม่านเซิง เวินหนี่ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชาเมื่อเย่ซูเฟินเห็นเวินหนี่พูดแบบนั้น เธอจึงพูดขึ้นว่า “เวินหนี่ เซิงเซิงเป็นถึงขนาดนี้แล้ว อย่าอาศัยโอกาสนี้ซ้ำเติมเธออีก!”ปฏิกิริยาแรกของเธอคือปกป้องคนที่อ่อนแอไว้เวินหนี่เดินเข้าไป เห็นลู่ม่านเซิงร้องไห้หนักและดูอ่อนแอจนเกินบรรยาย “ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ พวกคุณมีใครกังวลเกี่ยวกับคุณอาบ้าง สิ่งที่คุณกังวลคือกลัวว่าลูกชายจะไม่เอา ส่วนลู่ม่านเซิงเธอกล้วว่าถูกกล่าวโทษเลยมาเสแสร้งทำเป็นน่าสงสารที่นี่ ฉันเห็นกับตาตัวเองว่าคุณผลักคุณอาลงมา และลู่ม่านเซิงก็น่าจะเป็นผู้ที่ยุยง!”คุณอาถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทำให้เวินหนี่ไม่ต้องการไว้หน้าพวกเธอ “อย่ามาพูดจาไร้สาระ!” เย่ซูเฟินตวาด “ฉันผลักเย่จื่อก็จริง แต่ฉันแค่ผลักเบา ๆ ทำไมเธอถึงไม่คิดบ้างล่ะว่าเย่จื่อจงใจล้มลงไปเอง”เวินหนี่มองไปที่เย่ซูเฟิน “แรงผลักของคุณมันไม่ได้เบา เราทุกคนต่างก็เห็น”เมื่อเย่ซูเฟินเห็นท่าทีของเวินหนี่ น้ำเสียงของเธอก็ดังมากยิ่งขึ้น “เวินหนี่ เธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้ ยังไงฉันก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโส เป็นแม่สามีขอ
“ไม่ใช่นะ…” เย่ซูเฟินกล่าว “ลูกยังเป็นลูกชายของแม่ แม่เสียใจมากและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดใช้ให้ลูก…”“ผมไม่ต้องการมันแล้ว” ดวงตาของเย่หนานโจวเย็นชา “การเรียกคุณว่าแม่มันคือความอดทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม และคุณก็ควรจะพอใจได้แล้ว!”เย่ซูเฟินอดไม่ได้ที่จะถอยกลับไปสองสามก้าวและพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ลูกจะทำกับแม่แบบนี้ไม่ได้นะ อย่าเป็นเหมือนพ่อของลูก ไม่อย่างนั้นแม่พาลูกกลับมามันจะมีความหมายอะไร!”เย่หนานโจวพูดอย่างเย็นชา “หากมีผม การเอาชนะใจสามีของคุณมันถึงจะมีความหมาย แต่น่าเสียดายที่ความพยายามทั้งหมดของคุณมันไร้ประโยชน์!”ทุกคำพูดเหมือนมีดที่ทิ่มแทงใจของเย่ซูเฟินในตอนนั้นการแต่งงานของเธอกับเย่เหว่ยถิงนั้นค่อนข้างน่าขัน เป็นเพียงเพราะเธอดื้อดึงที่จะแต่งงานกับเขาเย่เหว่ยถิงไม่ได้รักเธอเลย ตรงกันข้ามเขาเกลียดเธอเธอคิดว่าตราบใดที่เธอแต่งงานกับเขา เย่เหว่ยถิงก็จะเป็นของเธอเมื่อเรื่องราวมันเลยจุดที่จะเข้าไปแก้ไขได้ มีอะไรที่จะผ่านไปไม่ได้อีก?แต่เธอคิดง่ายเกินไป เย่เหว่ยถิงไม่กลับบ้านและปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในห้องที่อ้างว่างเธอใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเอาชนะใจสามีแม้กระทั่ง
“หนานโจว”ในระหว่างที่โต้เถียงกับเย่จื่ออยู่นั้นเย่ซูเฟินก็สังเกตเห็นเขา และเธอก็ตกใจเล็กน้อยเวินหนี่เองก็มองไปและเห็นเย่หนานโจวยืนอยู่ข้างหลัง ดวงตาของเขาเย็นชาและดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่พวกเธอพูดกลับกัน เขากลับยอมรับความจริงนี้อย่างสงบนิ่งเย่จื่อตกใจเมื่อเห็นดวงตาของเย่หนานโจวในขณะนี้ สิ่งที่เธอเสียใจคือการที่เธอหุนหันพลันแล่นพูดออกไปว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเย่ซูเฟิน เพราะมันถือเป็นการโจมตีเขาเธอมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเธอมองเพียงเย่หนานโจว “หนานโจว…”เย่หนานโจวไม่ได้พูดอะไรมากเขาเพียงแค่รู้ว่าพวกเธอมาที่สุสานและอาจจะเกิดเรื่องขึ้น เขาจึงเป็นกังวลและแวะเข้ามาดูหน่อยเท่านั้น เย่ซูเฟินโกรธมากขึ้น “เย่จื่อ เธอกำลังพูดอะไร เธอจะให้ฉันมีความสุขไม่ได้เลยใช่ไหม เธอมันสมควรตายจริง ๆ!”เธอผลักเย่จื่ออย่างแรงความสนใจของเย่จื่อมุ่งไปที่เย่หนานโจว ความโกรธของเธอลดลงมากและลดความเกรี้ยวกราดลง ในใจคิดแต่ว่ามันจะสร้างบาดแผลให้เขาหรือไม่เธอไม่ทันได้สังเกตเห็นการกระทำของเย่ซูเฟินและเธอก็ถูกผลักลงบันไดไปทันทีสติของเวินหนี่ยังไม่ทันกลับมาจากการที่เย่หนานโจวไม่ใช่ลูกแท้
“ดังนั้นเธอจึงทำทุกอย่างเพื่อทำลายครอบครัวทีละครอบครัว! เธอไม่เคยคิดถึงความผิดของตัวเองเลย!”“ฉันไม่ผิด!” เย่ซูเฟินพูดอย่างเดือดดาล “ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเธอบีบบังคับฉันเอง!”เมื่อเห็นว่าทุกคนอารมณ์ร้อน ลู่ม่านเซิงจึงเกลี้ยกล่อมจากด้านข้าง “คุณอา อย่าเถียงกับคุณป้าเลยค่ะ เธอแค่หุนหันพลันแล่นไปเท่านั้น ฉันไม่เป็นไรค่ะ และฉันก็ไม่ได้โทษคุณอาเลย คุณป้าพวกคุณต่างก็ถอยคนละก้าวเถอะนะคะ”“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!” เย่จื่อมองไปที่ลู่ม่านเซิง และพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ถ้าเธอไม่ได้โทษฉัน แล้วจะเล่าให้เย่ซูเฟินฟังทำไม เธออยากให้เย่ซูเฟินออกหน้าให้ไม่ใช่เหรอ? เสแสร้งแกล้งทำ ภายนอกดูใสซื่อ แต่ภายในคิดไม่ซื่อ ฉันล่ะเกลียดคนแบบเธอที่สุด!”เมื่อเห็นแบบนั้นเย่ซูเฟินก็ผลักเธอทันที “เธอกำลังดุใคร รู้ว่าเซิงเซิงสูญเสียการได้ยิน แต่ยังแอบพูดไม่ดีลับหลังเธอ เธอมันชั่วร้ายแค่ไหนกัน?!”“ถึงฉันจะชั่วร้ายแต่ก็ไม่ได้ขาดคุณธรรมเหมือนเธอ!” เย่จื่อก็ผลักกลับคืนไปเช่นกัน“เธอลงมือกับฉันงั้นเหรอ?”เย่ซูเฟินจ้องเธอด้วยความโกรธ “วันนี้มีเธอก็ไม่มีฉัน!”“ลองดูสิว่าฉันจะฉีกเธอเป็นชิ้น ๆ ไหม!”เย่จื่อไม่พูดพล่ำทำเพลงเข้าไปต
เย่จื่อไม่คาดคิดว่าเย่ซูเฟินจะโทรมาหาเธอ ซึ่งทำให้เธออารมณ์เดือดขึ้นทันที "ทำไม? หรือว่าเป็นลู่ม่านเซิงที่บอกอะไรกับเธอ ฉันจัดการเธอแล้วยังไงล่ะ!""ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?" เย่ซูเฟินพูดด้วยความโกรธ เพราะอยากจะจัดการกับเย่จื่อให้ได้"ฉันต้องบอกด้วยเหรอ? คิดว่าเธอเป็นใคร!" เย่จื่อไม่สนใจที่จะเคี้ยวเมล็ดแตงโมแล้ว ปัดมันออกไปพร้อมกับกำลังมองหาที่ระบายความโกรธเย่ซูเฟินหัวเราะเยาะ "กลัวสินะ กลัวฉันจะหาตัวเจอ ฉันรู้แล้วว่าโรงงานเสริมความงามของเธอโดนพังเสียหายหมด ตอนนี้ถึงกับต้องหลบซ่อนตัวเหมือนเต่าหดหัวแล้ว!""ฉันเนี่ยนะกลัว? ฉันเคยกลัวเธอสักครั้งไหม! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแต่งงานกับเย่เว่ยถิง ฉันไม่เคยนับเธอเป็นคนของตระกูลเย่ด้วยซ้ำ!" เย่จื่อตอบกลับอย่างกระแทกกระทั้น"งั้นก็ออกมาสิ มาสู้กันต่อหน้า!" เย่ซูเฟินท้าทาย"ก็ได้ ออกมาก็ออกมา เย่ซูเฟิน ถ้าเธออยากจะตัดขาดกับฉันจริง ๆ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว!" พูดจบ เย่จื่อก็ตัดสายทิ้งและหยิบกระเป๋าขึ้น เตรียมออกไปข้างนอกทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น เวินหนี่รีบพูดขึ้น "คุณอาคะ คุณอาจะไปไหนคะ หนูจะไปด้วย"เย่จื่อหันมามองเวินหนี่ "เธอไม่ต้องไป เย่ซูเฟิ
[ตอนนี้เลย! ตอนนี้ได้เลยจ้ะ!]ลู่ม่านเซิงยิ้มมุมปาก เธอรู้ว่าเย่ซูเฟินต้องอยากมาเจอเธอแน่นอน เธอแค่ต้องนั่งรอที่นี่ก็พอเธอเดินวนไปรอบ ๆ แต่ก็ยังรู้สึกสนใจห้องนอนใหญ่ จึงเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีใครพักอยู่ที่นี่มาสักระยะหนึ่งแล้วเธอเปิดตู้เสื้อผ้าทันที ข้างในมีชุดนอนของผู้หญิงอยู่หลายชุดมีบางตัวที่เอาป้ายออกแล้ว บางตัวก็ยังไม่ได้เอาป้ายออกยังมีชุดนอนแบบสายเดี่ยวเซ็กซี่อยู่หลายชุดด้วยเธอหยิบมันออกมาลองทาบบนตัวเอง แล้วหมุนตัวไปมาหน้ากระจกถ้าเธอสวมมันแล้วหมุนตัวต่อหน้าเย่หนานโจว เขาต้องคิดว่าเธอดูดีแน่ ๆเธอไม่ได้อยู่ในห้องนานนัก เพราะโอกาสบางอย่างรอได้เธอมองไปที่เตียงใหญ่ คิดภาพตัวเองกับเย่หนานโจวอยู่บนเตียงนั้น ในฉากอันเร่าร้อนยี่สิบนาทีผ่านไปเย่ซูเฟินก็มาถึงว่างเจียงหยวนเธอส่งเสียงเรียกมาตั้งแต่หน้าประตู “เซิงเซิง! เซิงเซิง!”แต่ลู่ม่านเซิงไม่ได้ออกมาเมื่อเย่ซูเฟินไม่เห็นลู่ม่านเซิงในห้องนั่งเล่น เธอจึงถามว่า “เซิงเซิงอยู่ไหน? ไม่ใช่ว่าเธออยู่ที่ว่างเจียงหยวนหรือไง?”“คุณลู่อยู่ข้างบนค่ะ” คนรับใช้ตอบ ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วบอกว่า “คุณลู่หูหนวกอ
ไม่เป็นไรวันเวลายังอีกยาวไกล สักวันหนึ่งเธอจะได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แน่นอนลู่ม่านเซิงรู้สึกว่าเธอได้ก้าวเข้าใกล้เป้าหมายนั้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว เธอจึงมองไปที่เผยชิง ซึ่งมากับเธอในวันนี้เพราะเขาเป็นคนใกล้ชิดของเย่หนานโจว และเพราะเธอรู้ว่า ‘ต้องเกรงใจคนที่ให้ความช่วยเหลือ’ ลู่ม่านเซิงจึงต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา เธอถามอย่างเป็นมิตรว่า “คุณเผย ช่วงนี้พี่หนานโจวมาอยู่ที่นี่บ่อยไหม?”เผยชิงตอบเธอโดยใช้โทรศัพท์พิมพ์ว่า “ช่วงนี้เขาอยู่ที่นี่บ่อยขึ้น แต่หลายวันแล้วที่ประธานเย่ไม่ได้มาที่นี่ครับ”“เขาไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์ของตระกูลเหรอ?” ลู่ม่านเซิงไม่ได้ติดต่อกับเย่ซูเฟินมานานแล้ว ช่วงนี้เธอมัวแต่ยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาเลยมีหลายครั้งที่เย่ซูเฟินส่งข้อความมาหา แต่เธอยุ่งจนลืมตอบไป“ประธานเย่จะกลับไปเป็นบางครั้งครับ” เผยชิงตอบอย่างจงใจ “แต่คุณผู้หญิงไม่ค่อยชอบกลับไปที่นั่น ประธานเย่ก็เลยไม่ชอบกลับไปมากนัก”ลู่ม่านเซิงเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว แต่ยังคงแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วถามต่อว่า “แล้วช่วงนี้เขาจะมาที่นี่ไหม?”“เรื่องนั้นผมไม่ทราบครับ” เผยชิงตอบ “ช่วงนี้ประธานเย่ยุ่งกับงานม
ลู่เซินยังไม่เข้าใจทั้งหมดเมื่อก่อนเขาสนใจเวินหนี่มากจนละเลยข้อมูลสำคัญ เป็นไปได้ว่าเขาอาจมองผิดไป แล้วเวินหนี่ที่ผ่านเรื่องราวนั้นมาล่ะ? หรือว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่เขียนผิด?เวินหนี่เห็นลู่เซินคิดหนักตั้งแต่เมื่อครู่จึงถามว่า “ลู่เซิน กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?”ลู่เซินดึงสติกลับมา “ไม่มีอะไร สั่งอาหารเถอะ”“ฉันสั่งเรียบร้อยแล้ว” เวินหนี่บอก “คุณอาจะดื่มเบียร์หน่อย นายก็ดื่มด้วยนะ”“โอเค”ทั้งสองออกจากห้องทำงานเย่จื่อนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาอย่างสงบ สำหรับเธอ ตอนนี้การดูทีวีก็เป็นการฆ่าเวลาในทีวีกำลังออกข่าวฉาวของเธอเวินหนี่เดินเข้าไปนั่งดูทีวีด้วย เธอเห็นว่าในจอมีภาพเจียงเมิ่งเหยาในห้องพักฟื้น “ดูตามกล้องมานะคะ นี่คือเหยื่อของเรา ลู่ม่านเซิง คุณลู่คะ คุณยังได้ยินอยู่ไหมคะ?”ลู่ม่านเซิงดูไม่ค่อยพอใจกับกล้อง “ไม่ต้องถ่ายแล้ว ฉันไม่ให้สัมภาษณ์”“คุณลู่คะ” เจียงเมิ่งเหยาเรียกอีกครั้ง“ฉันไม่ได้ยิน ไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร ไม่ต้องถ่ายแล้ว ฉันไม่อยากเจอใครทั้งนั้นตอนนี้!” ลู่ม่านเซิงดูซีดเซียว อ่อนแอมาก เหมือนนางเอกในเรื่องเศร้าเจียงเมิ่งเหยาฉวยโอกาสนี้ ชี้ไปที่กล้องแล้วพูดว่า “คุณลู่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของลู่เซินก็แสดงความตกใจออกมา "เป็นไปได้ยังไง ต้องเป็นเวินหนี่สิ"ตอนนั้น เขาชอบเวินหนี่มาก เขาห่วงใยเธอจนต้องรีบกลับประเทศในคืนนั้นผู้ช่วยที่ถือหนังสือพิมพ์อยู่ก็ยังคิดว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ และคิดว่าตัวเองอาจเข้าใจผิด "ผมจำได้ว่าคุณเคยบอกว่า คุณกับเวินหนี่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน แต่คนนี้อายุน้อยกว่าคุณหนึ่งปี"เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของลู่เซินก็ยิ่งตกใจ เขารีบเดินเข้ามาหยิบหนังสือพิมพ์ไปพิจารณาอย่างละเอียดแม้ว่าหนังสือพิมพ์จะเก่าแล้ว แต่ก็ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี หัวข้อข่าวยังคงชัดเจน ข่าวระบุว่าโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งเกิดคดีฆาตกรรม มีคนตายจำนวนมาก และผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวคือ…สายตาของลู่เซินนิ่งงัน เขาตกใจจนต้องกะพริบตาสองสามครั้ง ราวกับว่าเขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์ที่ต่างจากที่เคยเห็นมาก่อนผู้รอดชีวิตในหนังสือพิมพ์ก็ชื่อเวินหนี่เหมือนกัน แต่เป็นนักเรียนที่อายุน้อยกว่าหนึ่งปี นั่นหมายความว่าไม่ใช่เวินหนี่ที่เขารู้จักมันเกิดอะไรขึ้น?สีหน้าของลู่เซินเริ่มเปลี่ยนไป เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผิดคือหนังสือพิมพ์หรืออะไรบางอย่างในกระบวนการนี้เวินหนี่เค