รองประธานเกาจับเกาเหม่ยไว้ไม่ต้องการให้ผู้เป็นหลานสาวสร้างปัญหาอีกต่อไป กลัวว่าถ้าพูดมากไปกว่านี้จะถูกขับไล่ออกไปจากตระกูลเย่ทันที ว่าแล้วรองประธานเย่จึงค่อย ๆ พูด “ประธานเย่ เป็นผมเองที่ไม่มองสถานการณ์ให้ชัดเจนและไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น คราวนี้เป็นเลขาเวินที่เป็นผู้ถูกกระทำก่อน”เย่หนานโจวล้วงมือข้างหนึ่งเข้าไปในกระเป๋า สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ทว่าน้ำเสียงของเขากลับเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก “คุณเข้าใจ แล้วหลานสาวของคุณล่ะเธอเข้าใจไหม?”รองประธานเการีบดึงตัวเกาเหม่ยขึ้นมา “เพราะหลานทำผิดต่อเลขาเวิน ดังนั้นขอโทษเธอซะแล้วหลังจากนี้ก็อย่าไปพูดจาลับหลังกันอีก”เกาเหม่ยไม่คิดว่าหลังจากที่ถูกตบถึงสองครั้ง คนที่ต้องขอโทษกลับเป็นเธอเสียเอง “ลุงคะ ทำไมหนูต้องขอโทษด้วยล่ะ หนูไม่ขอโทษ!”เกาเหม่ยเอะอะแล้วยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นรองประธานเกาหันไปมองเย่หนานโจวอีกครั้งแล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วแน่น แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มไม่มีความอดทนอีกต่อไปในตระกูลเย่ เขารู้ดีว่าเย่หนานโจวนั้นเป็นคนที่รักษาคำพูดมากแค่ไหน หากเขาไม่ต้องการให้มีปัญหา ทุกคนก็ไม่ควรที่จะเข้าไปทำตัวล้ำเส้นจนเกินเหตุว่าแล้วผู้เป็นลุง
สิ่งที่เวินหนี่พูดไม่ใช่สิ่งที่ใกล้หรือไกลประเด็นเกินไป แต่ตรงประเด็นพอดีหลังจากที่หย่ากันแล้วก็จะยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้คนนำไปนินทาทว่าเย่หนานโจวกลับคิดว่าหญิงสาวทำตัวห่างเหินมากเกินพอดี เขาเข้าไปช่วยเธอเพื่อไม่ให้คนอื่นกล้ามาวิจารณ์เธออีกแต่เวินหนี่ก็ยังกลัวว่าจะมีคนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอและเขาทันใดนั้นใบหน้าของเย่หนานโจวก็เย็นเยียบลง เหลือเพียงความเย็นชาและความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากตอนแรก“กลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”เวินหนี่สังเกตเห็นสีหน้าที่ไร้อารมณ์ของอีกฝ่ายก็เริ่มอธิบายต่ออย่างมีไหวพริบ “ฉันกลัวว่าจะมีผลกระทบกับคุณด้วย ในอนาคตที่เราจะต้องหย่ากัน ผู้คนก็จะยังดึงฉันเข้ามาเกี่ยวข้องอีกและฉันไม่คิดว่าคุณจะอยากได้ยินเรื่องราวพวกนั้น อีกอย่างตอนนี้ชื่อเสียงของฉันก็ไม่ค่อยดีนักมันอาจจะส่งผลร้ายต่อคุณในอนาคต”คนฟังขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเล็กน้อย “เลขาเวินก็จัดการเรื่องนี้กับผมให้ชัดเจน แล้วจะมีชื่อเสียงที่ไม่ดีได้ยังไง?” เวินหนี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของเขามันจะไม่แย่ไปกว่าเดิมหรือไง?บางคนบอกว่าเธอคือคนรักลับ ๆ ของเขาซึ่งเป็น
แต่เธอก็ไม่อายที่จะสวมมันอีกเป็นครั้งที่สองหากถูกถ่าย เธอคงถูกหัวเราะเยาะแน่ ๆ และไม่รู้ด้วยว่านักข่าวเหล่านั้นจะเขียนข่าวเกี่ยวกับเธอว่าอย่างไรบ้างแต่เธอก็ไม่ได้สนใจหลังจากผ่านเรื่องเหล่านี้ ลู่ม่านเซิงน้ำหนักลดลงและดูอ่อนแอขึ้นมาก แต่เธอก็ไม่กลัวในการอยู่ต่อหน้ากล้องและแสงแฟลซ เธอยังคงยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรเริ่มแรกนักข่าวถามเธอเกี่ยวกับประสบการณ์หลังผ่านความตายในครั้งนี้ ลู่ม่านเซิงทำตัวน่าสงสารต่อหน้านักข่าวพร้อมกับบอกเล่าประสบการณ์ของตน ก่อนจะตบท้ายด้วยความคิดเชิงบวกและความสดใสของเธอ โดยบอกว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกเธอเจอเรื่องหนักหนาในชีวิตและทุกคนต่างก็รู้สึกสงสารลู่ม่านเซิงต่างพากันบอกว่าหนทางของเธอนั้นไม่ง่ายเลยนักข่าวยังคงถามถึงเรื่องส่วนตัว โดยพูดถึงชุดนี้ว่าเธอสวมใส่มันเป็นครั้งที่สองแล้ว ลู่ม่านเซิงตอบอย่างไม่ปิดบัง “ฉันคิดว่าการได้กลับมายืนหน้ากล้องอีกครั้งคือการได้รับชีวิตใหม่ค่ะ ชุดนี้มีความหมายสำหรับฉันมาก เมื่อสวมใส่มันทำให้ฉันรู้สึกได้ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่และสามารถก้าวผ่านความยากลำบากทั้งหมดไปได้! ฉันให้คุณค่ากับทุกสิ่งค่ะ”นักข่าวถามขึ้นอีกครั้งว่า “ดูเหม
การที่หลี่ถิงเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเธอทำให้เวินหนี่อดยิ้มไม่ได้ “เธอทำราวกับว่าฉันกับประธานเย่คบกันอย่างนั้นแหละ”หลี่ถิงไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นดูคลุมเครือ“ประธานเย่เค้าสนใจพี่จริง ๆ นะคะ” หลี่ถิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “บางทีพี่อาจไม่รู้สึก แต่คนรอบข้างสัมผัสได้อย่างชัดเจน จะให้ลู่ม่านเซิงเข้ามาแทรกกลางทำลายความสัมพันธ์ของพวกพี่ไม่ได้นะคะ”ในความเห็นของเธอ เวินหนี่เหมาะสมกับเย่หนานโจวที่สุด“ยัยเด็กคนนี้ อย่าเลือกข้างสุ่มสี่สุ่มห้า” เวินหนี่ดีดหน้าผากหลี่ถิงเบา ๆ “ฉันกับประธานเย่ไม่ได้เป็นอะไรกัน เธอเองก็อย่าไปฟังเรื่องเหลวไหลจากคนอื่นเยอะ ประธานเย่จะคบกับใครก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน อย่าพูดอะไรแบบนี้อีก หากคนอื่นมาได้ยินเข้าเดี๋ยวก็พูดกันไปเรื่อย”หลี่ถิงลูบหน้าผากตัวเองไปมา “ฉันจะไม่บอกใครค่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้ไปฟังเรื่องเหลวไหลมาจากคนอื่นมาถึงได้มาพูดเรื่องนี้กับพี่ด้วยค่ะ”แม้ว่าทั้งบริษัทจะลือกันว่าเวินหนี่ใช้วิธีสกปรกเพื่อไต่เต้าขึ้นสู่ที่สูง แต่เธอก็ไม่เชื่อเลยสักนิดเดียวหลี่ถิงรู้จักเวินหนี่ดี เวินหนี่เป็นคนอ่อนโยน เที่ยงต
“เปล่านะ ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น เธอยังไม่รู้จักฉันอีกเหรอ? ฉันจะโทษเธอได้ยังไง” เวินหนี่กำหมัดแน่นครั้งแล้วครั้งเล่า “เพียงแต่การแต่งงานครั้งนี้มันเป็นการแต่งงานตามสัญญามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”“อะไรนะ?” ถังเยาตาโตด้วยความตกใจก่อนจะลุกขึ้นยืน “เธอไม่เคยบอกฉันเรื่องนี้เลย แล้วทำไมเย่หนานโจวถึงต้องทำสัญญาแต่งงานกับเธอด้วย นี่มันไม่ถูกต้องเลยสักนิด!”เวินหนี่ตอบ “ฉันเคยบอกเธอแล้ว เพราะคุณปู่เย่ท่านเอ็นดูฉัน ถึงได้ให้ฉันแต่งงานกับเย่หนานโจว ส่วนฉันยอมแต่งงานกับเขาก็เพราะไม่มีทางเลือก”ในตอนนั้นถังเยายังไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้เธอรู้ว่าเวินหนี่ชอบเย่หนานโจวและแอบรักเขามาตั้งนานแต่ก็ไม่เคยคิดจะแต่งงานกับเขาเลยแล้วทำไมจู่ ๆ ถึงแต่งงานกับเขาที่แท้มันก็มีเหตุผลนี่เอง“ฉันขอพักหายใจก่อน” ถังเยายังไม่ฟื้นจากความตกใจ “เธอกับเย่หนานโจวแต่งงานกันตามสัญญา แถมเป็นความเห็นของคุณปู่ตระกูลเย่ เย่หนานโจวไม่ได้ชอบเธอ เขาแต่งงานกับเธอตามความต้องการของคุณปู่…”“แต่มันก็ไม่ถูกอยู่ดี เย่หนานโจวเป็นคนที่เชื่อฟังครอบครัวซะที่ไหน? อีกอย่างเขายังมีคนรักในใจอยู่แล้วด้วย เขาจะยอมเชื่อฟังแล้วแต่งงานกับเธอได้ย
“ถ้าพวกคุณมัวชักช้าล่ะก็จบไม่สวยแน่!”นี่เป็นเสียงของเสี่ยวหยวนผู้ช่วยของลู่ม่านเซิง เธอมองไปที่คนอื่นอย่างเหนือกว่า เมื่อพูดถึงขนาดนี้แล้วแน่นอนว่าไม่มีใครกล้าทำให้เธอขุ่นเคือง ดังนั้นผู้จัดการร้านจึงตอบกลับไปความเคารพ “ได้ค่ะ ทางเราจะตั้งใจแก้กระโปรงให้คุณลู่อย่างสุดฝีมือแน่นอนค่ะ”“พรุ่งนี้เป็นงานฉลองการประมูลเพื่อการกุศลที่เย่กรุ๊ปให้ความสำคัญมากที่สุด พี่เซิงต้องสวมเดรสชุดนี้ เพราะฉะนั้นแก้ให้ทันก่อนวันพรุ่งนี้ด้วย!” ผู้ช่วยกล่าวอีกครั้งผู้จัดการร้านรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เพราะแก้เดรสตัวนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้วแต่ก็ถูกส่งกลับมาอีกทุกครั้ง ตลอดระยะเวลาในการทำงานมาหลายปี เธอไม่เคยจริงจังและระมัดระวังเท่านี้มาก่อนเลยหลังจากแก้ไปแล้วหลายรอบและคิดว่ามันโอเคแล้ว เธอก็ไม่คิดเลยว่าจะถูกส่งกลับมาอีก ผู้จัดการร้านกล่าว “เราส่งชุดเดรสไปให้หลายวันแล้ว พวกคุณพึ่งจะเอามาส่งคืน เดรสตัวนี้เป็นงานทำมือ หากต้องการแก้ไขจะต้องปักด้วยมือเท่านั้น เกรงว่าคงจะแก้ไม่ทันค่ะ”เมื่อผู้ช่วยได้ยินแบบนั้นก็พูดกลับไปเสียงเย็น “ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็หยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ แล้วมาแก้เดรสให้พี่เซิงก่อน พว
เมื่อได้ยินแบบนั้น ถังเยาก็ตกตะลึงและมองไปที่เวินหนี่ “งั้นก็หมายความว่าการเปิดเผยความสัมพันธ์กับเย่หนานโจวในครั้งนี้ก็เพื่อปูทางให้ตัวเองสินะ เป็นความคิดที่ฉลาดจริง ๆ!”“หากเธอมีคนหนุนหลังที่ดีอย่างเย่หนานโจว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ราบรื่น เธอจะไม่พึ่งพาเขาหรือไง” เวินหนี่พูดตามความเป็นจริง ไม่ว่าใครก็ต้องฉวยโอกาสนี้เอาไว้หากพลาดไปก็จะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกถังเยาโกรธจนแทบบ้า “จะปล่อยให้ยัยนั่นลอยตัวอย่างราบรื่นได้ยังไงกัน!”พวกเธอเดินเข้าไปด้านใน“โอ้ คุณถัง คุณเวิน”ผู้จัดการร้านกังวลมากจนไม่รู้จะจัดการยังไงแล้ว หลังจากเห็นพวกเธอก็เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “ยินดีต้อนรับค่ะ”ผู้จัดการร้านรู้จักถังเยาผู้จัดการร้านคนนี้เป็นนักออกแบบที่มีชื่อเสียงและถือว่าเป็นเพื่อนร่วมสายงานของถังเยาด้วย เสื้อผ้าที่เธอออกแบบได้ปรากฏในแฟชั่นรายสัปดาห์อันทรงเกียรติมากมายเธอมีชื่อเสียงในวงการแฟชั่น และมีคนดังหลายคนใส่ชุดที่เธอออกแบบไปเดินพรมแดงถังเยาพูดขึ้น “เรามาดูเดรสน่ะ เวินหนี่ชุดหนึ่ง ของฉันชุดหนึ่ง ขอผ้าเนื้อดีสวย ๆ และต้องมีเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะชุดสำหรับเวินหนี่!”ผู้จัดการร้านยิ้มแล
เวินหนี่ชอบชุดนี้มากตั้งแต่แรกเห็นเธอไปที่ห้องลองชุดถังเยารออยู่ใกล้ ๆ และเลือกชุดของตัวเองไปพลาง ๆ เมื่อเวินหนี่เดินออกมา ถังเยาก็หันกลับไป ก่อนจะเห็นเวินหนี่ที่ดูสวยสง่า สีหน้าของเธอเรียบเฉยแต่ก็งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทำเอาถังเยาตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะปรบมือ “เวินหนี่ เธอทำให้ฉันได้เปิดโลก เธอสวยมากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!”ผมของเวินหนี่สยาย ผิวของเธอขาวมากและชุดสีแดงก็ช่วยขับผิวทำให้สว่างมากยิ่งขึ้น ตัวชุดท่อนบนโอบรับหน้าอกที่สมบูรณ์แบบของเธอ บวกกับเอวบาง ๆ นั้นกลายเป็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่สง่างาม ชายกระโปรงปักด้วยดอกกุหลาบเย็บมืออย่างปราณีต และสิ่งที่สมบูรณ์สำหรับชุดนี้ก็คือมันไม่แย่งความโดดเด่นของผู้ที่สวมใส่ แถมยังแสดงความอวบอิ่มและความอ่อนโยนของผู้หญิงได้อย่างเต็มที่เธอมองเวินหนี่ที่ดูเหมือนดอกกุหลาบที่งดงามท่ามกลางขวากหนามดอกไม้เติมเต็มคน ส่วนคนก็มีความสวยงามมากยิ่งกว่าดอกไม้ นิยามนี้มันเป็นแบบนี้นี่เองสินะเวินหนี่ยืนอยู่หน้ากระจกและรู้สึกว่าตัวเองดูแตกต่างออกไป เธอดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น “ฉันก็คิดว่าไม่เลวเหมือนกัน”ผู้จัดการเพิ่งจะเดินกลับมา เป็นเวลาเดียวกับที่เวิน
“ไม่ใช่ค่ะ” เวินหนี่ตอบสีหน้าของเย่หนานโจวเปลี่ยนไปและเขาก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ใกล้จะเป็นอดีตภรรยาแล้วครับ!”คุณหมอถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบ เขาจึงรีบตอบไปว่า “ผู้ป่วยมีอาการกระทบกระเทือนเล็กน้อยและกระดูกมือร้าว เธอจะหายดีหลังจากพักผ่อนสักระยะหนึ่ง พวกคุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป”นี่เป็นเรื่องที่ดี เวินหนี่ตอบไปทันที “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”“ด้วยความยินดีครับ”ทั้งสองตามเย่จื่อเข้าไปในวอร์ดเวินหนี่เห็นว่าริมฝีปากของเย่จื่อดูแห้งผาก ดังนั้นจึงรีบหาน้ำอุ่นมา และชุบด้วยสำลีก่อนจะเช็ดให้ชุ่มชื้นเย่หนานโจวเฝ้าดูจากด้านข้างในวอร์ดมีคนไม่มากนัก เพื่อป้องกันไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วยเวินหนี่ไม่วางใจ ดังนั้นเธอจึงนั่งลงตรงข้ามเขาอีกครั้ง โดยมุ่งเน้นไปที่การเฝ้าเย่จื่อหลังจากที่เฝ้าได้สักพัก เธอก็รู้สึกง่วงจนเปลือกตาสั่น จากนั้นเธอก็เผลอฟุบหลับไปเมื่อเวินหนี่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะความตกใจ เธอฝันว่ามันมืดสนิทและอยู่ในพื้นที่แคบ ๆกลัวอะไรก็ได้อย่างนั้น แม้แต่ในความฝันก็ยังไม่ปล่อยเธอไป เธอมักจะฝันแบบนี้ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลยเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีเสื้อคลุม
หรือว่าเขาจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว?เธอเคยได้ยินเย่จื่อพูดอยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ยังไม่ได้คิดถึงเหตุผลบางทีเย่หนานโจวอาจรู้มานานแล้ว จึงเข้าใจโดยปริยาย“เวินหนี่”ลู่เซินเข้ามาหาเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พักสักหน่อยไหม เดี๋ยวร่างกายจะทนไม่ไหวเอานะ”เวินหนี่ยืนนานแล้วและรู้สึกปวดหลัง แต่เธออยากรอให้เย่จื่อออกมา จึงนั่งลงข้าง ๆ “ฉันอยากรอจนกว่าคุณอาจะฟื้น”“ผมจะรอเป็นเพื่อนคุณเอง” ลู่เซินพูดขึ้นอีกครั้งเวินหนี่พยักหน้าไปทางเขาร่างสูงของเย่หนานโจวเอนตัวไปที่กรอบประตูและเหลือบมองความกังวลของลู่เซินที่มีต่อเวินหนี่ ดวงตานั้นแทบจะมีน้ำล้นออกมาได้ และเวินหนี่ก็ดูเหมือนพร้อมยอมรับน้ำใจของเขาคลื่นแห่งความกระสับกระส่ายโจมตีร่างกายของเย่หนานโจวอีกครั้งดวงตาของเขาเย็นขึ้นและจงใจเตะเก้าอี้ข้าง ๆ ให้มีเสียงนั่นคือเก้าอี้ที่ลู่เซินนั่งอยู่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เย่หนานโจวก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “โทษที บังเอิญเตะโดนเข้าน่ะ!”“ไม่เป็นไร” ลู่เซินไม่ได้ติดใจอะไรเย่หนานโจวกลับพูดขึ้นอีกว่า “ตรงนี้คือพื้นที่รอสำหรับญาติ ไม่ทราบว่าคุณลู่มาที่นี่ทำไมกัน ที่บริษัทของคุณไม่ยุ่งเหรอครับ?”
เขาไม่ได้โต้เถียงกับเธอ และเพิกเฉยต่อเสียงร้องไห้ของเธอสำหรับเขา น้ำตาของเย่ซูเฟินนั้นไร้ค่าเย่ซูเฟินในฐานะผู้หญิง เมื่อเห็นความเฉยชาของสามี มันก็ค่อย ๆ ทำลายแนวป้องกันในใจของเธอทีละน้อยและโวยวายขึ้นอย่างอารมณ์ร้อน “พูดมาสิ ทำไมถึงไม่พูดล่ะ ในสายตาของคุณ เย่จื่อสำคัญกว่าฉันใช่ไหม ฉันเป็นภรรยาของคุณนะ เย่เหว่ยถิง คุณจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้!”เธอร้องไห้จนตาแดง อยากให้สามีเอาใจใส่เธอบ้างแค่หันมามองเธอสักครั้งก็สามารถสงบความโกรธและความกังวลของเธอได้เย่เหว่ยถิงเงียบและทำเหมือนเย่ซูเฟินคือคนแปลกหน้าอย่างเย็นชาเย่หนานโจวมองการอยู่ร่วมกันของพวกเขา เขาเห็นสิ่งนี้จนชินจึงไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆสำหรับเขา พวกเขาคือพ่อแม่ของตนเพียงในนามเท่านั้นการเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทำให้เขาชินมานานแล้วถึงขั้นทำให้เขารู้สึกไม่แยแสเย่เหว่ยถิงทนเย่ซูเฟินไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงลุกขึ้นและพูดกับเย่หนานโจวว่า “ฉันจะลงไปแล้ว ถ้าเย่จื่อฟื้นค่อยบอกฉัน!”เย่หนานโจวลดสายตาลงด้วยสายตาเย็นชาและไม่ตอบอะไรเย่เหว่ยถิงเองก็ไม่ได้รอคำตอบจากเขา เขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับเย่หนานโจว เขารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง
เมื่อเห็นความเฉยเมยของเขา เย่ซูเฟินจึงพูดขึ้นว่า “หนานโจว!”เย่หนานโจวไม่ต้องการฟังเธออีกและเดินจากไปด้วยใบหน้าที่เย็นชาเย่ซูเฟินต้องการพูดอะไรบางอย่างกับเย่หนานโจว แต่ลู่ม่านเซิงร้องไห้และถูกรังแก เธอจึงไปไหนไม่ได้ และทำได้เพียงเดินไปพยุงลู่ม่านเซิง “เซิงเซิงลุกขึ้นเถอะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว”ลู่ม่านเซิงถูกพยุงขึ้น เธอซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเย่ซูเฟิน “คุณป้า หนูมันน่ารำคาญมากจนทุกคนไม่ชอบใช่ไหมคะ!”“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ฉันชอบเธอ ทุกคนต่างก็ชอบเธอ”เย่ซูเฟินตบหลังลู่ม่านเซิงเพื่อปลอบเธอลู่ม่านเซิงยังคงร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเย่ซูเฟินเห็นแบบนี้ แม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายผิด แต่ก็ดูเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ใครจะกล้าไปว่าอะไรเธอได้ ถ้าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลและมีคนอยู่มากมาย เวินหนี่คงอยากจะฉีกหน้ากากของลู่ม่านเซิงออกเพื่อดูว่าเธอจะเสแสร้งได้สักแค่ไหน แน่นอน เธอรู้ดีว่าไม่ว่าลู่ม่านเซิงจะจริงหรือเท็จแค่ไหน เย่ซูเฟินก็จะยังคงปกป้องเธอความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอดูเหมือนไม่ชัดเจนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น “เย่จื่อเป็นยังไงบ้าง?”เวินหนี่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นเย่เหว่ยถิงเดินเข้ามาเขาสวมชุดสูทแ
ขณะที่เย่ซูเฟินกำลังปกป้องลู่ม่านเซิง เวินหนี่ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชาเมื่อเย่ซูเฟินเห็นเวินหนี่พูดแบบนั้น เธอจึงพูดขึ้นว่า “เวินหนี่ เซิงเซิงเป็นถึงขนาดนี้แล้ว อย่าอาศัยโอกาสนี้ซ้ำเติมเธออีก!”ปฏิกิริยาแรกของเธอคือปกป้องคนที่อ่อนแอไว้เวินหนี่เดินเข้าไป เห็นลู่ม่านเซิงร้องไห้หนักและดูอ่อนแอจนเกินบรรยาย “ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ พวกคุณมีใครกังวลเกี่ยวกับคุณอาบ้าง สิ่งที่คุณกังวลคือกลัวว่าลูกชายจะไม่เอา ส่วนลู่ม่านเซิงเธอกล้วว่าถูกกล่าวโทษเลยมาเสแสร้งทำเป็นน่าสงสารที่นี่ ฉันเห็นกับตาตัวเองว่าคุณผลักคุณอาลงมา และลู่ม่านเซิงก็น่าจะเป็นผู้ที่ยุยง!”คุณอาถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทำให้เวินหนี่ไม่ต้องการไว้หน้าพวกเธอ “อย่ามาพูดจาไร้สาระ!” เย่ซูเฟินตวาด “ฉันผลักเย่จื่อก็จริง แต่ฉันแค่ผลักเบา ๆ ทำไมเธอถึงไม่คิดบ้างล่ะว่าเย่จื่อจงใจล้มลงไปเอง”เวินหนี่มองไปที่เย่ซูเฟิน “แรงผลักของคุณมันไม่ได้เบา เราทุกคนต่างก็เห็น”เมื่อเย่ซูเฟินเห็นท่าทีของเวินหนี่ น้ำเสียงของเธอก็ดังมากยิ่งขึ้น “เวินหนี่ เธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้ ยังไงฉันก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโส เป็นแม่สามีขอ
“ไม่ใช่นะ…” เย่ซูเฟินกล่าว “ลูกยังเป็นลูกชายของแม่ แม่เสียใจมากและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดใช้ให้ลูก…”“ผมไม่ต้องการมันแล้ว” ดวงตาของเย่หนานโจวเย็นชา “การเรียกคุณว่าแม่มันคือความอดทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม และคุณก็ควรจะพอใจได้แล้ว!”เย่ซูเฟินอดไม่ได้ที่จะถอยกลับไปสองสามก้าวและพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ลูกจะทำกับแม่แบบนี้ไม่ได้นะ อย่าเป็นเหมือนพ่อของลูก ไม่อย่างนั้นแม่พาลูกกลับมามันจะมีความหมายอะไร!”เย่หนานโจวพูดอย่างเย็นชา “หากมีผม การเอาชนะใจสามีของคุณมันถึงจะมีความหมาย แต่น่าเสียดายที่ความพยายามทั้งหมดของคุณมันไร้ประโยชน์!”ทุกคำพูดเหมือนมีดที่ทิ่มแทงใจของเย่ซูเฟินในตอนนั้นการแต่งงานของเธอกับเย่เหว่ยถิงนั้นค่อนข้างน่าขัน เป็นเพียงเพราะเธอดื้อดึงที่จะแต่งงานกับเขาเย่เหว่ยถิงไม่ได้รักเธอเลย ตรงกันข้ามเขาเกลียดเธอเธอคิดว่าตราบใดที่เธอแต่งงานกับเขา เย่เหว่ยถิงก็จะเป็นของเธอเมื่อเรื่องราวมันเลยจุดที่จะเข้าไปแก้ไขได้ มีอะไรที่จะผ่านไปไม่ได้อีก?แต่เธอคิดง่ายเกินไป เย่เหว่ยถิงไม่กลับบ้านและปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในห้องที่อ้างว่างเธอใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเอาชนะใจสามีแม้กระทั่ง
“หนานโจว”ในระหว่างที่โต้เถียงกับเย่จื่ออยู่นั้นเย่ซูเฟินก็สังเกตเห็นเขา และเธอก็ตกใจเล็กน้อยเวินหนี่เองก็มองไปและเห็นเย่หนานโจวยืนอยู่ข้างหลัง ดวงตาของเขาเย็นชาและดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่พวกเธอพูดกลับกัน เขากลับยอมรับความจริงนี้อย่างสงบนิ่งเย่จื่อตกใจเมื่อเห็นดวงตาของเย่หนานโจวในขณะนี้ สิ่งที่เธอเสียใจคือการที่เธอหุนหันพลันแล่นพูดออกไปว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเย่ซูเฟิน เพราะมันถือเป็นการโจมตีเขาเธอมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเธอมองเพียงเย่หนานโจว “หนานโจว…”เย่หนานโจวไม่ได้พูดอะไรมากเขาเพียงแค่รู้ว่าพวกเธอมาที่สุสานและอาจจะเกิดเรื่องขึ้น เขาจึงเป็นกังวลและแวะเข้ามาดูหน่อยเท่านั้น เย่ซูเฟินโกรธมากขึ้น “เย่จื่อ เธอกำลังพูดอะไร เธอจะให้ฉันมีความสุขไม่ได้เลยใช่ไหม เธอมันสมควรตายจริง ๆ!”เธอผลักเย่จื่ออย่างแรงความสนใจของเย่จื่อมุ่งไปที่เย่หนานโจว ความโกรธของเธอลดลงมากและลดความเกรี้ยวกราดลง ในใจคิดแต่ว่ามันจะสร้างบาดแผลให้เขาหรือไม่เธอไม่ทันได้สังเกตเห็นการกระทำของเย่ซูเฟินและเธอก็ถูกผลักลงบันไดไปทันทีสติของเวินหนี่ยังไม่ทันกลับมาจากการที่เย่หนานโจวไม่ใช่ลูกแท้
“ดังนั้นเธอจึงทำทุกอย่างเพื่อทำลายครอบครัวทีละครอบครัว! เธอไม่เคยคิดถึงความผิดของตัวเองเลย!”“ฉันไม่ผิด!” เย่ซูเฟินพูดอย่างเดือดดาล “ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเธอบีบบังคับฉันเอง!”เมื่อเห็นว่าทุกคนอารมณ์ร้อน ลู่ม่านเซิงจึงเกลี้ยกล่อมจากด้านข้าง “คุณอา อย่าเถียงกับคุณป้าเลยค่ะ เธอแค่หุนหันพลันแล่นไปเท่านั้น ฉันไม่เป็นไรค่ะ และฉันก็ไม่ได้โทษคุณอาเลย คุณป้าพวกคุณต่างก็ถอยคนละก้าวเถอะนะคะ”“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!” เย่จื่อมองไปที่ลู่ม่านเซิง และพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ถ้าเธอไม่ได้โทษฉัน แล้วจะเล่าให้เย่ซูเฟินฟังทำไม เธออยากให้เย่ซูเฟินออกหน้าให้ไม่ใช่เหรอ? เสแสร้งแกล้งทำ ภายนอกดูใสซื่อ แต่ภายในคิดไม่ซื่อ ฉันล่ะเกลียดคนแบบเธอที่สุด!”เมื่อเห็นแบบนั้นเย่ซูเฟินก็ผลักเธอทันที “เธอกำลังดุใคร รู้ว่าเซิงเซิงสูญเสียการได้ยิน แต่ยังแอบพูดไม่ดีลับหลังเธอ เธอมันชั่วร้ายแค่ไหนกัน?!”“ถึงฉันจะชั่วร้ายแต่ก็ไม่ได้ขาดคุณธรรมเหมือนเธอ!” เย่จื่อก็ผลักกลับคืนไปเช่นกัน“เธอลงมือกับฉันงั้นเหรอ?”เย่ซูเฟินจ้องเธอด้วยความโกรธ “วันนี้มีเธอก็ไม่มีฉัน!”“ลองดูสิว่าฉันจะฉีกเธอเป็นชิ้น ๆ ไหม!”เย่จื่อไม่พูดพล่ำทำเพลงเข้าไปต
เย่จื่อไม่คาดคิดว่าเย่ซูเฟินจะโทรมาหาเธอ ซึ่งทำให้เธออารมณ์เดือดขึ้นทันที "ทำไม? หรือว่าเป็นลู่ม่านเซิงที่บอกอะไรกับเธอ ฉันจัดการเธอแล้วยังไงล่ะ!""ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?" เย่ซูเฟินพูดด้วยความโกรธ เพราะอยากจะจัดการกับเย่จื่อให้ได้"ฉันต้องบอกด้วยเหรอ? คิดว่าเธอเป็นใคร!" เย่จื่อไม่สนใจที่จะเคี้ยวเมล็ดแตงโมแล้ว ปัดมันออกไปพร้อมกับกำลังมองหาที่ระบายความโกรธเย่ซูเฟินหัวเราะเยาะ "กลัวสินะ กลัวฉันจะหาตัวเจอ ฉันรู้แล้วว่าโรงงานเสริมความงามของเธอโดนพังเสียหายหมด ตอนนี้ถึงกับต้องหลบซ่อนตัวเหมือนเต่าหดหัวแล้ว!""ฉันเนี่ยนะกลัว? ฉันเคยกลัวเธอสักครั้งไหม! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแต่งงานกับเย่เว่ยถิง ฉันไม่เคยนับเธอเป็นคนของตระกูลเย่ด้วยซ้ำ!" เย่จื่อตอบกลับอย่างกระแทกกระทั้น"งั้นก็ออกมาสิ มาสู้กันต่อหน้า!" เย่ซูเฟินท้าทาย"ก็ได้ ออกมาก็ออกมา เย่ซูเฟิน ถ้าเธออยากจะตัดขาดกับฉันจริง ๆ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว!" พูดจบ เย่จื่อก็ตัดสายทิ้งและหยิบกระเป๋าขึ้น เตรียมออกไปข้างนอกทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น เวินหนี่รีบพูดขึ้น "คุณอาคะ คุณอาจะไปไหนคะ หนูจะไปด้วย"เย่จื่อหันมามองเวินหนี่ "เธอไม่ต้องไป เย่ซูเฟิ