เสียงของผู้ช่วยทำให้สองคนข้างในตกใจเย่หนานโจวมองมา เห็นเวินหนี่ยืนอยู่ที่ประตู เขาจึงรีบปล่อยลู่ม่านเซิงทันทีเมื่อเวินหนี่ถูกจับได้ก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก เธอก้มหน้าลงเพื่อหลีกเลี่ยง ก่อนจะเดินออกไปเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะจากไป เย่หนานโจวก็รีบไล่ตามเธอไปทันที “เวินหนี่!”เวินหนี่เดินเร็วมาก เธอไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเย่หนานโจวอย่างไรแต่เย่หนานโจวก็ตามมาทันและจับมือเธอไว้เวินหนี่หันกลับไป ดวงตาของเธอแดงก่ำ และมองเย่หนานโจวด้วยดวงตาว่างเปล่าเย่หนานโจวยื่นมือออกไปเพื่อเช็ดน้ำตาจากหางตาของเธอ แต่เวินหนี่ก็เบี่ยงหน้าหลบแล้วพูดว่า “คุณไปดูแลลู่ม่านเซิงเถอะ ไม่ต้องสนใจฉัน”“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่โรงพยาบาล?” เย่หนานโจวไม่ตอบเธอ แต่ถามกลับไปแทน “รู้สึกไม่สบายเหรอ?หรือว่าผื่นบนร่างกายมันกำเริบ”เขาเปิดแขนเสื้อของเธอเพื่อตรวจดูตอนนี้เวินหนี่รู้สึกเจ็บปวดใจมาก เธอดึงมือตัวเองกลับไม่ให้เขาดู“ฉันไม่เป็นไร” เวินหนี่มองไปที่วอร์ด “เรื่องสำคัญที่คุณพูดถึงเมื่อวานนี้ก็คือลู่ม่านเซิงสินะคะ”สำหรับเขาแล้วลู่ม่านเซิงคืออันดับหนึ่งเสมอหากเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เขาก็จะรีบมาโดยไม่ลังเลใจเลย“เส้นเส
เขาพูดคำแบบนี้ออกมาได้ยังไงลู่ม่านเซิงตกใจและหยุดร้องไห้ เธอจ้องไปที่เย่หนานโจวด้วยสายตาว่างเปล่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาแตกต่างจากคนที่เธอรู้จักอย่างสิ้นเชิงเมื่อก่อนเขาเป็นห่วงเธอที่สุด และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยอมให้เธอเสียใจแต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่สงสารเธอ และแม้แต่การปลอบใจเล็กน้อยเขาก็ไม่ทำเธอไม่เชื่อว่านี่คือเย่หนานโจวเขาจะต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่ ๆลู่ม่านเซิงปล่อยมือและพยายามฝืนยิ้ม แต่ก็ทำไม่ได้ “จบกันงั้นเหรอ พี่จะจบกับฉันยังไง?”เย่หนานโจวพูดขึ้น “รักษาหูของเธอให้หายซะ”“ไม่ ให้ฉันตายไปยังจะดีซะกว่า!” ลู่ม่านเซิงอารมณ์พุ่งขึ้นอีกครั้ง เธอคว้ามีดปอกผลไม้ข้าง ๆ และกำลังจะกรีดข้อมือตัวเองเมื่อผู้ช่วยเห็นดังนั้นจึงรีบห้ามเธอ “พี่ม่านเซิงอย่าทำแบบนี้…”ดวงตาของลู่ม่านเซิงเปลี่ยนเป็นสีแดง “พี่หนานโจว ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อพี่ ฉันรักพี่มากจนยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อพี่ด้วยซ้ำ พี่ติดหนี้ชีวิตฉัน ชดใช้ยังไงก็ไม่หมด เราสองคนไม่มีทางจบกันได้!”จากนั้นหมอก็เข้ามา เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของลู่ม่านเซิงไม่มั่นคง จึงพูดกับเย่หนานโจวว่า “คุณเย่ครับ ผู้ป่วยมีอารมณ์ไม่มั่นคง ห้ามกระ
หลังจากเรียนจบ เธอก็ยุ่งอยู่แต่กับงานและมีครอบครัวเป็นของตัวเองพ่อแม่ไม่อยากรบกวนเธอ พวกท่านจึงไม่ค่อยได้โทรหาเธอมากนัก ส่วนเธอก็ยุ่งอยู่กับเรื่องอื่นจนทำให้ละเลยพวกท่านไป เมื่อกลับมาถึงบ้าน คนที่เปิดประตูให้เธอคือเวินจ้าว เขาถือหนังสือพิมพ์อยู่ในมือและสวมแว่นตา เมื่อเห็นเวินหนี่ ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาก็ยิ้มร่าขึ้นมาทันที “หนีหนี่กลับมาแล้วเหรอ รีบเข้ามาเร็วเข้า”เวินหนี่เดินเข้าไป เวินจ้าวหยิบรองเท้ามาให้เธอเปลี่ยน “แม่เค้าพอรู้ว่าลูกจะกลับมาก็กำลังเตรียมอาหารให้ลูกอยู่ มีแต่ของโปรดของลูกทั้งนั้น เป็นลาภปากของลูกเลยนะ“ดีเลยค่ะ หนูอยากกินซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานที่แม่ทำ” เวินหนี่กอดแขนเวินจ้าว “และหนูก็อยากกินปลาที่พ่อตกมาด้วยค่ะ”เวินจ้าวยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเด็กที่ตะกละตะกลามจริง ๆ”เวินหนี่ถอดเสื้อคลุมออก พับแขนเสื้อขึ้นแล้วพูดว่า “หนูจะไปช่วยแม่ในครัว…”“โอ้ย ไม่ต้องหรอก” เวินจ้าวคิดจะห้ามเธอ แต่ก่อนที่เธอจะก้าวเข้าไปในครัว ก็เห็นว่าในครัวไม่ได้มีเพียงเติ้งจวนเท่านั้น แต่ยังเห็นร่างสูงที่ถอดสูทราคาแพงออกและยืนล้างผักราคาถูกอยู่ข้าง ๆ ด้วย เมื่อรู้ว่าเธอมา เขาจึงหันศีรษะ
เติ้งจวนกระตุ้นพวกเขา เปิดโอกาสให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันตามลำพังเวินหนี่ถูกเธอผลักเข้าไปในห้องครัวเวลานี้เย่หนานโจวก็ยังไม่หยุดงานในมือ เขาจัดเตรียมส่วนผสมทั้งหมดอย่างเป็นระเบียบในความทรงจำของเธอ เย่หนานโจวไม่มีทางทำสิ่งเหล่านี้“คุณมาได้ยังไงคะ?”เย่หนานโจวตอบ “ก็เธอไม่รับสายฉัน ฉันเลยต้องมาถามคุณแม่ว่าเธอไปอยู่ที่ไหนน่ะสิ”เวินหนี่ช่วยเขาล้างผัก “ฉันจำได้ว่าคุณไม่เคยทำอะไรแบบนี้”เย่หนานโจวหันมาพลางทำหน้าทะเล้น “เอาใจพ่อตาแม่ยาย”“อย่าล้อเล่นน่ะ”“ทำไมถึงไม่รับสายฉัน?” เย่หนานโจวถามขึ้นอีกครั้งเวินหนี่ชะงักไปครู่หนึ่ง “ฉันกลัวว่าจะไปรบกวนเวลาของคุณกับลู่ม่านเซิง”เย่หนานโจวหัวเราะเสียงดังเวินหนี่ถาม “คุณหัวเราะอะไร?”“หึงเหรอ?”เวินหนี่ปฏิเสธทันที “เปล่าค่ะ นี่ไม่ใช่แค่ครั้งแรกหรือสองครั้งสักหน่อย ถ้าให้หึงทุกครั้ง ฉันคงเจ็บปวดใจตายไปนานแล้ว”เย่หนานโจวไม่ได้พูดอะไร แต่เห็นน้ำกระเซ็นใส่ใบหน้าของเธอ เดิมทีเวินหนี่คิดจะเช็ดมันด้วยแขนเสื้อตัวเอง แต่เย่หนานโจวห้ามเธอเอาไว้ เขาเช็ดมือตัวเองจนสะอาด ก่อนจะหยิบเอาทิชชู่มาเช็ดใบหน้าให้เธอเวินหนี่สัมผัสได้ถึงการดูแลอย่างใส
ลู่เซินประหลาดใจและถามขึ้นว่า “ประธานเย่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอครับ?”ทุกสายตามองไปที่เย่หนานโจวโดยไม่รู้ว่าควรตอบคำถามนี้อย่างไรเวินหนี่พูดขึ้นทันที “วันนี้ประธานเย่มาเยี่ยมบ้านของเราน่ะค่ะ ลู่เซิน คุณรีบนั่งลงก่อนสิคะ”เติ้งจวนก็พูดต่อว่า “ลู่เซิน ป้ากำลังทำอาหาร เธอก็อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ อย่าพึ่งกลับล่ะ”“ครับ ขอบคุณครับคุณป้า” ลู่เซินตอบอย่างอย่างสุภาพโชคดีที่โซฟาใหญ่มากพอสำหรับพวกเขา ลู่เซินนั่งอยู่เยื้อง ๆ ตรงข้ามกับเย่หนานโจวเวินจ้าวและลู่เซินกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องในอดีตตอนนี้เองเวินหนี่พึ่งจะได้รู้ว่าสมัยเรียนลู่เซินอาศัยอยู่ไม่ไกลจากพวกเธอ แถมเขายังสนิทสนมกับพ่อแม่ของเธอมากอีกด้วยทำไมเธอถึงไม่เคยรู้เลยความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดนี้เมื่อเย่หนานโจวได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเขาก็เย็นชาทันทีและดูไม่มีความสุขเอามาก ๆมานั่งฟังพวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องในอดีตที่นี่ ทำให้เขาดูเหมือนเป็นคนนอกบนโต๊ะอาหาร ลู่เซินใส่ใจเวินหนี่เป็นพิเศษ เขารินนมให้เธอหนึ่งแก้ว“นี่ครับ”เวินหนี่กล่าว “ขอบคุณค่ะ”เย่หนานโจวมองและถามขึ้นเสียงเย็น “คุณลู่ก็รู้ว่าเวินหนี่ชอบดื่มนมงั
คำพูดของเขาเด็ดขาด และแฝงไปด้วยการแสดงความเป็นเจ้าของทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าผู้ชายที่ชื่อลู่เซินคนนี้ชอบเวินหนี่ และก็มักจะมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอเช่นนั้นแล้วเย่หนานโจวก็ต้องทำให้เขาได้รู้ว่าตนไม่มีโอกาสลู่เซินมองตรงไปที่เย่หนานโจว สายตาของทั้งสองเคร่งขรึมจนเกิดกระแสไฟกลางอากาศ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ลู่เซินก็พูดขึ้นว่า “ประธานเย่พูดเร็วเกินไป”เขาวางตัวอย่างเหมาะสม ไม่ได้ดูโกรธเคืองอะไร เพียงแค่จิบน้ำแล้วพูดขึ้นอย่างแฝงความหมาย “ไม่มีใครสามารถคาดเดาอนาคตได้ หากโชคชะตามาถึง อะไรก็หยุดยั้งไม่ได้หรอกนะครับ”เมื่อได้ยินแบบนี้ เย่หนานโจวก็ยิ่งหงุดหงิด แต่เขาก็จับมือเวินหนี่อย่างมีสติเวินหนี่สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเขา นับตั้งแต่ลู่เซินมาถึง เขาก็ดูผิดปกติไปและเอาแต่มุ่งเป้าเข้าใส่อีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา แต่เวินหนี่เป็นคนมีเหตุผล เธอดึงมือออก และคลี่คลายสถานการณ์ “พวกคุณพูดถึงเรื่องอะไรกันคะ เมื่อกี้ยังดี ๆ อยู่เลยทำไมต้องโยงมาที่ฉันด้วย แม่คะ พาพ่อไปพักผ่อนเถอะค่ะ พ่อดื่มมากเกินไปแล้ว จะได้ไม่พูดเรื่องไร้สาระอีก”“ได้จ้ะ” เติ้งจวนก็กลัวความกระอักกระอ่วนเช่นกัน “ตาแก่ ไปพักก่อนเถอะ”เวินจ
เมื่อนานไปก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เขาก็รู้จักเธอดี เขารักษาท่าทางสุภาพและไม่ได้อธิบายอะไรมากเกินไป “ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณกินต่อเถอะ”เวินหนี่รู้สึกละอายใจเล็กน้อย สำหรับเธอ ลู่เซินเป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้นสมัยเด็กที่ไม่ได้สนิทกันด้วยซ้ำ แต่เขากลับใส่ใจรายละเอียดของเธอมากขนาดนี้เวินหนี่หยิบตะเกียบขึ้นมาและคีบเนื้อในชามไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอได้กลิ่นคาวและรู้สึกคลื่นไส้จนทำให้เธอหมดความอยากอาหาร“เป็นอะไรไป? กินไม่ลงแล้วเหรอ?” ลู่เซินถามเวินหนี่วางตะเกียบลง มันยากที่จะบอกว่าเธอกินลง ได้แต่ตอบไปว่า “ฉันเป็นคนกระเพาะเล็กน่ะค่ะ กินนิดหน่อยก็อิ่มแล้ว”เย่หนานโจวยืนขึ้น “ถ้าอิ่มแล้วก็หยุดกินเถอะ”เวินหนี่สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจในคำพูดของเขา เธอเงยหน้าขึ้นมองเย่หนานโจว เห็นเพียงใบหน้าที่เย็นชาของเขา เติ้งจวนกำลังดูแลเวินจ้าวเวินหนี่จึงต้องเดินไปส่งลู่เซิน ลู่เซินเห็นว่าสีหน้าของเวินหนี่ไม่ค่อยดีนัก เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ถ้ารู้สึกไม่สบายก็ไม่ต้องไปส่งผมก็ได้ คุณกลับเข้าไปพักผ่อนเถอะ ไว้ผมจะมาเยี่ยมใหม่”เวินหนี่มีความสงสัยในใจมากมาย แต่เย่หนานโจวอยู่ด้วย เธอจึงไม่ได้ถามอะไรมาก เลย
เธอเอามือค้ำผนัง รู้สึกไม่สบายตัวมาก ๆ ใบหน้าของเธอซีดเผือด และอาเจียนไม่หยุดแต่ไม่มีอะไรออกมาเลยเมื่อเห็นแบบนั้นเย่หนานโจวก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างประหม่าและพยุงเธอไว้ “เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหน?”เวินหนี่ผลักมือของเขาออก ดวงตาของเธอเปียกโชกไปด้วยน้ำตา “เมื่อกี้ยังบอกว่าจะหย่าอยู่เลยไม่ใช่เหรอคะ แล้วคุณจะถามเรื่องพวกนี้ไปทำไม?”เย่หนานโจวเห็นว่าใบหน้าของเธอซีดเซียว ดูไม่สบายเอามาก ๆ ดังนั้นเขาจึงลดน้ำเสียงลงแล้วพูดขึ้นว่า “กลับบ้านกัน อย่าพึ่งพูดถึงเรื่องนี้”เขาประคองเธอแล้วพาออกไปเวินหนี่ไม่ได้ต่อต้าน เธอไม่อยากทะเลาะกับเย่หนานโจวตรงประตู เพราะหากพ่อกับแม่เธอมาเห็นเข้าพวกท่านจะเป็นห่วงเอาได้ ชีวิตแต่งงานของเธอไม่ได้มีความสุข แต่จะปล่อยให้พ่อแม่กังวลมากเกินไปไม่ได้เมื่อเดินไปถึงรถ เย่หนานโจวก็จ้องมองสีหน้าที่ไม่ค่อยดีของเวินหนี่พลางถอนหายใจ ก่อนจะกอดเธอเอาไว้ “เวินหนี่ ฉันจะทำยังไงกับเธอดี?”เวินหนี่พิงไหล่ของเขา จมูกของเธอแสบ ไม่รู้เลยว่าตัวเองเปราะบางขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันบางทีอาจเป็นเพราะตั้งแต่ที่เธอได้รับการตอบรับจากเย่หนานโจว ทำให้เธอมีความต้องการมากขึ้น เป็น