หลังจากเรียนจบ เธอก็ยุ่งอยู่แต่กับงานและมีครอบครัวเป็นของตัวเองพ่อแม่ไม่อยากรบกวนเธอ พวกท่านจึงไม่ค่อยได้โทรหาเธอมากนัก ส่วนเธอก็ยุ่งอยู่กับเรื่องอื่นจนทำให้ละเลยพวกท่านไป เมื่อกลับมาถึงบ้าน คนที่เปิดประตูให้เธอคือเวินจ้าว เขาถือหนังสือพิมพ์อยู่ในมือและสวมแว่นตา เมื่อเห็นเวินหนี่ ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาก็ยิ้มร่าขึ้นมาทันที “หนีหนี่กลับมาแล้วเหรอ รีบเข้ามาเร็วเข้า”เวินหนี่เดินเข้าไป เวินจ้าวหยิบรองเท้ามาให้เธอเปลี่ยน “แม่เค้าพอรู้ว่าลูกจะกลับมาก็กำลังเตรียมอาหารให้ลูกอยู่ มีแต่ของโปรดของลูกทั้งนั้น เป็นลาภปากของลูกเลยนะ“ดีเลยค่ะ หนูอยากกินซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานที่แม่ทำ” เวินหนี่กอดแขนเวินจ้าว “และหนูก็อยากกินปลาที่พ่อตกมาด้วยค่ะ”เวินจ้าวยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเด็กที่ตะกละตะกลามจริง ๆ”เวินหนี่ถอดเสื้อคลุมออก พับแขนเสื้อขึ้นแล้วพูดว่า “หนูจะไปช่วยแม่ในครัว…”“โอ้ย ไม่ต้องหรอก” เวินจ้าวคิดจะห้ามเธอ แต่ก่อนที่เธอจะก้าวเข้าไปในครัว ก็เห็นว่าในครัวไม่ได้มีเพียงเติ้งจวนเท่านั้น แต่ยังเห็นร่างสูงที่ถอดสูทราคาแพงออกและยืนล้างผักราคาถูกอยู่ข้าง ๆ ด้วย เมื่อรู้ว่าเธอมา เขาจึงหันศีรษะ
เติ้งจวนกระตุ้นพวกเขา เปิดโอกาสให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันตามลำพังเวินหนี่ถูกเธอผลักเข้าไปในห้องครัวเวลานี้เย่หนานโจวก็ยังไม่หยุดงานในมือ เขาจัดเตรียมส่วนผสมทั้งหมดอย่างเป็นระเบียบในความทรงจำของเธอ เย่หนานโจวไม่มีทางทำสิ่งเหล่านี้“คุณมาได้ยังไงคะ?”เย่หนานโจวตอบ “ก็เธอไม่รับสายฉัน ฉันเลยต้องมาถามคุณแม่ว่าเธอไปอยู่ที่ไหนน่ะสิ”เวินหนี่ช่วยเขาล้างผัก “ฉันจำได้ว่าคุณไม่เคยทำอะไรแบบนี้”เย่หนานโจวหันมาพลางทำหน้าทะเล้น “เอาใจพ่อตาแม่ยาย”“อย่าล้อเล่นน่ะ”“ทำไมถึงไม่รับสายฉัน?” เย่หนานโจวถามขึ้นอีกครั้งเวินหนี่ชะงักไปครู่หนึ่ง “ฉันกลัวว่าจะไปรบกวนเวลาของคุณกับลู่ม่านเซิง”เย่หนานโจวหัวเราะเสียงดังเวินหนี่ถาม “คุณหัวเราะอะไร?”“หึงเหรอ?”เวินหนี่ปฏิเสธทันที “เปล่าค่ะ นี่ไม่ใช่แค่ครั้งแรกหรือสองครั้งสักหน่อย ถ้าให้หึงทุกครั้ง ฉันคงเจ็บปวดใจตายไปนานแล้ว”เย่หนานโจวไม่ได้พูดอะไร แต่เห็นน้ำกระเซ็นใส่ใบหน้าของเธอ เดิมทีเวินหนี่คิดจะเช็ดมันด้วยแขนเสื้อตัวเอง แต่เย่หนานโจวห้ามเธอเอาไว้ เขาเช็ดมือตัวเองจนสะอาด ก่อนจะหยิบเอาทิชชู่มาเช็ดใบหน้าให้เธอเวินหนี่สัมผัสได้ถึงการดูแลอย่างใส
ลู่เซินประหลาดใจและถามขึ้นว่า “ประธานเย่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอครับ?”ทุกสายตามองไปที่เย่หนานโจวโดยไม่รู้ว่าควรตอบคำถามนี้อย่างไรเวินหนี่พูดขึ้นทันที “วันนี้ประธานเย่มาเยี่ยมบ้านของเราน่ะค่ะ ลู่เซิน คุณรีบนั่งลงก่อนสิคะ”เติ้งจวนก็พูดต่อว่า “ลู่เซิน ป้ากำลังทำอาหาร เธอก็อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ อย่าพึ่งกลับล่ะ”“ครับ ขอบคุณครับคุณป้า” ลู่เซินตอบอย่างอย่างสุภาพโชคดีที่โซฟาใหญ่มากพอสำหรับพวกเขา ลู่เซินนั่งอยู่เยื้อง ๆ ตรงข้ามกับเย่หนานโจวเวินจ้าวและลู่เซินกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องในอดีตตอนนี้เองเวินหนี่พึ่งจะได้รู้ว่าสมัยเรียนลู่เซินอาศัยอยู่ไม่ไกลจากพวกเธอ แถมเขายังสนิทสนมกับพ่อแม่ของเธอมากอีกด้วยทำไมเธอถึงไม่เคยรู้เลยความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดนี้เมื่อเย่หนานโจวได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเขาก็เย็นชาทันทีและดูไม่มีความสุขเอามาก ๆมานั่งฟังพวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องในอดีตที่นี่ ทำให้เขาดูเหมือนเป็นคนนอกบนโต๊ะอาหาร ลู่เซินใส่ใจเวินหนี่เป็นพิเศษ เขารินนมให้เธอหนึ่งแก้ว“นี่ครับ”เวินหนี่กล่าว “ขอบคุณค่ะ”เย่หนานโจวมองและถามขึ้นเสียงเย็น “คุณลู่ก็รู้ว่าเวินหนี่ชอบดื่มนมงั
คำพูดของเขาเด็ดขาด และแฝงไปด้วยการแสดงความเป็นเจ้าของทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าผู้ชายที่ชื่อลู่เซินคนนี้ชอบเวินหนี่ และก็มักจะมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอเช่นนั้นแล้วเย่หนานโจวก็ต้องทำให้เขาได้รู้ว่าตนไม่มีโอกาสลู่เซินมองตรงไปที่เย่หนานโจว สายตาของทั้งสองเคร่งขรึมจนเกิดกระแสไฟกลางอากาศ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ลู่เซินก็พูดขึ้นว่า “ประธานเย่พูดเร็วเกินไป”เขาวางตัวอย่างเหมาะสม ไม่ได้ดูโกรธเคืองอะไร เพียงแค่จิบน้ำแล้วพูดขึ้นอย่างแฝงความหมาย “ไม่มีใครสามารถคาดเดาอนาคตได้ หากโชคชะตามาถึง อะไรก็หยุดยั้งไม่ได้หรอกนะครับ”เมื่อได้ยินแบบนี้ เย่หนานโจวก็ยิ่งหงุดหงิด แต่เขาก็จับมือเวินหนี่อย่างมีสติเวินหนี่สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเขา นับตั้งแต่ลู่เซินมาถึง เขาก็ดูผิดปกติไปและเอาแต่มุ่งเป้าเข้าใส่อีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา แต่เวินหนี่เป็นคนมีเหตุผล เธอดึงมือออก และคลี่คลายสถานการณ์ “พวกคุณพูดถึงเรื่องอะไรกันคะ เมื่อกี้ยังดี ๆ อยู่เลยทำไมต้องโยงมาที่ฉันด้วย แม่คะ พาพ่อไปพักผ่อนเถอะค่ะ พ่อดื่มมากเกินไปแล้ว จะได้ไม่พูดเรื่องไร้สาระอีก”“ได้จ้ะ” เติ้งจวนก็กลัวความกระอักกระอ่วนเช่นกัน “ตาแก่ ไปพักก่อนเถอะ”เวินจ
เมื่อนานไปก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เขาก็รู้จักเธอดี เขารักษาท่าทางสุภาพและไม่ได้อธิบายอะไรมากเกินไป “ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณกินต่อเถอะ”เวินหนี่รู้สึกละอายใจเล็กน้อย สำหรับเธอ ลู่เซินเป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้นสมัยเด็กที่ไม่ได้สนิทกันด้วยซ้ำ แต่เขากลับใส่ใจรายละเอียดของเธอมากขนาดนี้เวินหนี่หยิบตะเกียบขึ้นมาและคีบเนื้อในชามไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอได้กลิ่นคาวและรู้สึกคลื่นไส้จนทำให้เธอหมดความอยากอาหาร“เป็นอะไรไป? กินไม่ลงแล้วเหรอ?” ลู่เซินถามเวินหนี่วางตะเกียบลง มันยากที่จะบอกว่าเธอกินลง ได้แต่ตอบไปว่า “ฉันเป็นคนกระเพาะเล็กน่ะค่ะ กินนิดหน่อยก็อิ่มแล้ว”เย่หนานโจวยืนขึ้น “ถ้าอิ่มแล้วก็หยุดกินเถอะ”เวินหนี่สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจในคำพูดของเขา เธอเงยหน้าขึ้นมองเย่หนานโจว เห็นเพียงใบหน้าที่เย็นชาของเขา เติ้งจวนกำลังดูแลเวินจ้าวเวินหนี่จึงต้องเดินไปส่งลู่เซิน ลู่เซินเห็นว่าสีหน้าของเวินหนี่ไม่ค่อยดีนัก เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ถ้ารู้สึกไม่สบายก็ไม่ต้องไปส่งผมก็ได้ คุณกลับเข้าไปพักผ่อนเถอะ ไว้ผมจะมาเยี่ยมใหม่”เวินหนี่มีความสงสัยในใจมากมาย แต่เย่หนานโจวอยู่ด้วย เธอจึงไม่ได้ถามอะไรมาก เลย
เธอเอามือค้ำผนัง รู้สึกไม่สบายตัวมาก ๆ ใบหน้าของเธอซีดเผือด และอาเจียนไม่หยุดแต่ไม่มีอะไรออกมาเลยเมื่อเห็นแบบนั้นเย่หนานโจวก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างประหม่าและพยุงเธอไว้ “เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหน?”เวินหนี่ผลักมือของเขาออก ดวงตาของเธอเปียกโชกไปด้วยน้ำตา “เมื่อกี้ยังบอกว่าจะหย่าอยู่เลยไม่ใช่เหรอคะ แล้วคุณจะถามเรื่องพวกนี้ไปทำไม?”เย่หนานโจวเห็นว่าใบหน้าของเธอซีดเซียว ดูไม่สบายเอามาก ๆ ดังนั้นเขาจึงลดน้ำเสียงลงแล้วพูดขึ้นว่า “กลับบ้านกัน อย่าพึ่งพูดถึงเรื่องนี้”เขาประคองเธอแล้วพาออกไปเวินหนี่ไม่ได้ต่อต้าน เธอไม่อยากทะเลาะกับเย่หนานโจวตรงประตู เพราะหากพ่อกับแม่เธอมาเห็นเข้าพวกท่านจะเป็นห่วงเอาได้ ชีวิตแต่งงานของเธอไม่ได้มีความสุข แต่จะปล่อยให้พ่อแม่กังวลมากเกินไปไม่ได้เมื่อเดินไปถึงรถ เย่หนานโจวก็จ้องมองสีหน้าที่ไม่ค่อยดีของเวินหนี่พลางถอนหายใจ ก่อนจะกอดเธอเอาไว้ “เวินหนี่ ฉันจะทำยังไงกับเธอดี?”เวินหนี่พิงไหล่ของเขา จมูกของเธอแสบ ไม่รู้เลยว่าตัวเองเปราะบางขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันบางทีอาจเป็นเพราะตั้งแต่ที่เธอได้รับการตอบรับจากเย่หนานโจว ทำให้เธอมีความต้องการมากขึ้น เป็น
“เธอมาก็ดี ฉันต้มยาบำรุงไว้ให้เธอด้วยเหมือนกัน” เย่ซูเฟินหันไปพูดกับคนรับใช้ “ไปเอายาบำรุงที่ต้มไว้มาให้เวินหนี่”เวินหนี่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย หล่อนมุ่งความสนใจไปที่ลู่ม่านเซิง แล้วยังต้มยาบำรุงให้เธอด้วยอย่างนั้นเหรอ?ดวงตาของเย่ซูเฟินจับจ้องไปที่ท้องของเวินหนี่ “ฉันได้ยานี้มาจากแพทย์แผนจีนโบราณ ว่ากันว่าถ้าดื่มแล้วจะทำให้ตั้งครรภ์ได้ง่าย”คนรับใช้นำยาเข้ามา เวินหนี่สูดดมก่อนจะรู้สึกคลื่นไส้อีกครั้งร่างกายของเธอปฏิเสธไปทั้งตัว และขอให้คนรับใช้เอามันออกไป “เอาออกไป ฉันดื่มไม่ได้”เมื่อเห็นว่าเธอปฏิเสธ เย่ซูเฟินก็ไม่พอใจ “เวินหนี่ เธอเป็นอะไรไป นี่เป็นยาที่ฉันลำบากหามาให้เธอแต่กลับไม่ดื่ม ในเมื่อท้องเธอมันไม่ได้เรื่องก็ต้องดื่มยาบำรุง รีบดื่มลงไปเดี๋ยวนี้”คนรับใช้นำยาไปให้เวินหนี่อีกครั้งกลิ่นมันเหม็นมากจนทำให้เวินหนี่ทนไม่ไหว “ฉันไม่ไหวแล้ว…”เธอวิ่งตรงไปที่ห้องน้ำ“เวินหนี่ นี่เธอ…” เย่ซูเฟินเห็นเธอกำลังวิ่งไปทางห้องน้ำ จึงพูดขึ้นด้วยความโกรธ “ไม่ได้เรื่อง มันดื่มยากตรงไหนกัน? เธอเสแสร้งแกล้งทำเป็นดื่มไม่ได้มากกว่า!”เวินหนี่รู้สึกไม่สบายท้องเป็นอย่างมาก และเธอก็อาเจียนอย
คำพูดของเธอทำให้เวินหนี่หยุดฝีเท้าหลอกใช้เธออย่างงั้นเหรอ?เธอมีใช้ประโยชน์อะไรให้ต้องหลอกใช้กัน?คนที่ฉลาดอย่างเย่หนานโจว ต่อให้ต้องหลอกใช้ใคร คน ๆ นั้นก็ไม่มีทางเป็นเธอเมื่อลู่ม่านเซิงเห็นว่าเธอดูลังเล ราวกับอยากรู้ เธอจึงเชิดคางขึ้นแล้วพูดอย่างเหนือกว่า “เธอไม่อยากรู้ว่าเหรอว่าเขาหลอกใช้เธอเรื่องอะไร?”หลอกใช้ มันฟังดูไม่สมจริงเอาซะเลยแต่เธอแน่ใจว่าลู่ม่านเซิงจะต้องคิดหาวิธีคำพูดต่าง ๆ มายุแหย่เธอ เวินหนี่หันกลับไป ลู่ม่านเฉิงยังคงมีรอยยิ้มบนริมฝีปากโดยคาดหวังว่าเธอจะต้องถามมันแน่เธอไม่ต้องการให้ลู่ม่านเซิงได้ใจ งั้นก็ทำตามที่เธอต้องการก็แล้วกัน“ดูเหมือนว่าเธอจะอยากให้ฉันรู้มากซะเหลือเกินนะ”ใบหน้าของลู่ม่านเซิงแข็งทื่อเธอรำคาญคนอย่างเวินหนี่ที่ไม่เดินไปตามเกมเวินหนี่มองเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “จุดประสงค์ของเธอคือการทำให้ฉันหย่ากับเย่หนานโจว เพื่อที่เธอจะได้แต่งงานเข้าตระกูลเย่อย่างราบรื่นไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เธอคงรู้สึกถึงวิกฤติสินะ?”ลู่ม่านเซิงกำหมัดโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ยังคงทำท่าทางอวดดี “ยังไงสักวันหนึ่งพวกเธอก็ต้องหย่ากัน ทำไมฉันจะต้องรู้สึกถึงวิกฤตด้วย
ขณะที่เย่ซูเฟินกำลังปกป้องลู่ม่านเซิง เวินหนี่ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชาเมื่อเย่ซูเฟินเห็นเวินหนี่พูดแบบนั้น เธอจึงพูดขึ้นว่า “เวินหนี่ เซิงเซิงเป็นถึงขนาดนี้แล้ว อย่าอาศัยโอกาสนี้ซ้ำเติมเธออีก!”ปฏิกิริยาแรกของเธอคือปกป้องคนที่อ่อนแอไว้เวินหนี่เดินเข้าไป เห็นลู่ม่านเซิงร้องไห้หนักและดูอ่อนแอจนเกินบรรยาย “ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ พวกคุณมีใครกังวลเกี่ยวกับคุณอาบ้าง สิ่งที่คุณกังวลคือกลัวว่าลูกชายจะไม่เอา ส่วนลู่ม่านเซิงเธอกล้วว่าถูกกล่าวโทษเลยมาเสแสร้งทำเป็นน่าสงสารที่นี่ ฉันเห็นกับตาตัวเองว่าคุณผลักคุณอาลงมา และลู่ม่านเซิงก็น่าจะเป็นผู้ที่ยุยง!”คุณอาถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทำให้เวินหนี่ไม่ต้องการไว้หน้าพวกเธอ “อย่ามาพูดจาไร้สาระ!” เย่ซูเฟินตวาด “ฉันผลักเย่จื่อก็จริง แต่ฉันแค่ผลักเบา ๆ ทำไมเธอถึงไม่คิดบ้างล่ะว่าเย่จื่อจงใจล้มลงไปเอง”เวินหนี่มองไปที่เย่ซูเฟิน “แรงผลักของคุณมันไม่ได้เบา เราทุกคนต่างก็เห็น”เมื่อเย่ซูเฟินเห็นท่าทีของเวินหนี่ น้ำเสียงของเธอก็ดังมากยิ่งขึ้น “เวินหนี่ เธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้ ยังไงฉันก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโส เป็นแม่สามีขอ
“ไม่ใช่นะ…” เย่ซูเฟินกล่าว “ลูกยังเป็นลูกชายของแม่ แม่เสียใจมากและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดใช้ให้ลูก…”“ผมไม่ต้องการมันแล้ว” ดวงตาของเย่หนานโจวเย็นชา “การเรียกคุณว่าแม่มันคือความอดทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม และคุณก็ควรจะพอใจได้แล้ว!”เย่ซูเฟินอดไม่ได้ที่จะถอยกลับไปสองสามก้าวและพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ลูกจะทำกับแม่แบบนี้ไม่ได้นะ อย่าเป็นเหมือนพ่อของลูก ไม่อย่างนั้นแม่พาลูกกลับมามันจะมีความหมายอะไร!”เย่หนานโจวพูดอย่างเย็นชา “หากมีผม การเอาชนะใจสามีของคุณมันถึงจะมีความหมาย แต่น่าเสียดายที่ความพยายามทั้งหมดของคุณมันไร้ประโยชน์!”ทุกคำพูดเหมือนมีดที่ทิ่มแทงใจของเย่ซูเฟินในตอนนั้นการแต่งงานของเธอกับเย่เหว่ยถิงนั้นค่อนข้างน่าขัน เป็นเพียงเพราะเธอดื้อดึงที่จะแต่งงานกับเขาเย่เหว่ยถิงไม่ได้รักเธอเลย ตรงกันข้ามเขาเกลียดเธอเธอคิดว่าตราบใดที่เธอแต่งงานกับเขา เย่เหว่ยถิงก็จะเป็นของเธอเมื่อเรื่องราวมันเลยจุดที่จะเข้าไปแก้ไขได้ มีอะไรที่จะผ่านไปไม่ได้อีก?แต่เธอคิดง่ายเกินไป เย่เหว่ยถิงไม่กลับบ้านและปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในห้องที่อ้างว่างเธอใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเอาชนะใจสามีแม้กระทั่ง
“หนานโจว”ในระหว่างที่โต้เถียงกับเย่จื่ออยู่นั้นเย่ซูเฟินก็สังเกตเห็นเขา และเธอก็ตกใจเล็กน้อยเวินหนี่เองก็มองไปและเห็นเย่หนานโจวยืนอยู่ข้างหลัง ดวงตาของเขาเย็นชาและดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่พวกเธอพูดกลับกัน เขากลับยอมรับความจริงนี้อย่างสงบนิ่งเย่จื่อตกใจเมื่อเห็นดวงตาของเย่หนานโจวในขณะนี้ สิ่งที่เธอเสียใจคือการที่เธอหุนหันพลันแล่นพูดออกไปว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเย่ซูเฟิน เพราะมันถือเป็นการโจมตีเขาเธอมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเธอมองเพียงเย่หนานโจว “หนานโจว…”เย่หนานโจวไม่ได้พูดอะไรมากเขาเพียงแค่รู้ว่าพวกเธอมาที่สุสานและอาจจะเกิดเรื่องขึ้น เขาจึงเป็นกังวลและแวะเข้ามาดูหน่อยเท่านั้น เย่ซูเฟินโกรธมากขึ้น “เย่จื่อ เธอกำลังพูดอะไร เธอจะให้ฉันมีความสุขไม่ได้เลยใช่ไหม เธอมันสมควรตายจริง ๆ!”เธอผลักเย่จื่ออย่างแรงความสนใจของเย่จื่อมุ่งไปที่เย่หนานโจว ความโกรธของเธอลดลงมากและลดความเกรี้ยวกราดลง ในใจคิดแต่ว่ามันจะสร้างบาดแผลให้เขาหรือไม่เธอไม่ทันได้สังเกตเห็นการกระทำของเย่ซูเฟินและเธอก็ถูกผลักลงบันไดไปทันทีสติของเวินหนี่ยังไม่ทันกลับมาจากการที่เย่หนานโจวไม่ใช่ลูกแท้
“ดังนั้นเธอจึงทำทุกอย่างเพื่อทำลายครอบครัวทีละครอบครัว! เธอไม่เคยคิดถึงความผิดของตัวเองเลย!”“ฉันไม่ผิด!” เย่ซูเฟินพูดอย่างเดือดดาล “ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเธอบีบบังคับฉันเอง!”เมื่อเห็นว่าทุกคนอารมณ์ร้อน ลู่ม่านเซิงจึงเกลี้ยกล่อมจากด้านข้าง “คุณอา อย่าเถียงกับคุณป้าเลยค่ะ เธอแค่หุนหันพลันแล่นไปเท่านั้น ฉันไม่เป็นไรค่ะ และฉันก็ไม่ได้โทษคุณอาเลย คุณป้าพวกคุณต่างก็ถอยคนละก้าวเถอะนะคะ”“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!” เย่จื่อมองไปที่ลู่ม่านเซิง และพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ถ้าเธอไม่ได้โทษฉัน แล้วจะเล่าให้เย่ซูเฟินฟังทำไม เธออยากให้เย่ซูเฟินออกหน้าให้ไม่ใช่เหรอ? เสแสร้งแกล้งทำ ภายนอกดูใสซื่อ แต่ภายในคิดไม่ซื่อ ฉันล่ะเกลียดคนแบบเธอที่สุด!”เมื่อเห็นแบบนั้นเย่ซูเฟินก็ผลักเธอทันที “เธอกำลังดุใคร รู้ว่าเซิงเซิงสูญเสียการได้ยิน แต่ยังแอบพูดไม่ดีลับหลังเธอ เธอมันชั่วร้ายแค่ไหนกัน?!”“ถึงฉันจะชั่วร้ายแต่ก็ไม่ได้ขาดคุณธรรมเหมือนเธอ!” เย่จื่อก็ผลักกลับคืนไปเช่นกัน“เธอลงมือกับฉันงั้นเหรอ?”เย่ซูเฟินจ้องเธอด้วยความโกรธ “วันนี้มีเธอก็ไม่มีฉัน!”“ลองดูสิว่าฉันจะฉีกเธอเป็นชิ้น ๆ ไหม!”เย่จื่อไม่พูดพล่ำทำเพลงเข้าไปต
เย่จื่อไม่คาดคิดว่าเย่ซูเฟินจะโทรมาหาเธอ ซึ่งทำให้เธออารมณ์เดือดขึ้นทันที "ทำไม? หรือว่าเป็นลู่ม่านเซิงที่บอกอะไรกับเธอ ฉันจัดการเธอแล้วยังไงล่ะ!""ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?" เย่ซูเฟินพูดด้วยความโกรธ เพราะอยากจะจัดการกับเย่จื่อให้ได้"ฉันต้องบอกด้วยเหรอ? คิดว่าเธอเป็นใคร!" เย่จื่อไม่สนใจที่จะเคี้ยวเมล็ดแตงโมแล้ว ปัดมันออกไปพร้อมกับกำลังมองหาที่ระบายความโกรธเย่ซูเฟินหัวเราะเยาะ "กลัวสินะ กลัวฉันจะหาตัวเจอ ฉันรู้แล้วว่าโรงงานเสริมความงามของเธอโดนพังเสียหายหมด ตอนนี้ถึงกับต้องหลบซ่อนตัวเหมือนเต่าหดหัวแล้ว!""ฉันเนี่ยนะกลัว? ฉันเคยกลัวเธอสักครั้งไหม! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแต่งงานกับเย่เว่ยถิง ฉันไม่เคยนับเธอเป็นคนของตระกูลเย่ด้วยซ้ำ!" เย่จื่อตอบกลับอย่างกระแทกกระทั้น"งั้นก็ออกมาสิ มาสู้กันต่อหน้า!" เย่ซูเฟินท้าทาย"ก็ได้ ออกมาก็ออกมา เย่ซูเฟิน ถ้าเธออยากจะตัดขาดกับฉันจริง ๆ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว!" พูดจบ เย่จื่อก็ตัดสายทิ้งและหยิบกระเป๋าขึ้น เตรียมออกไปข้างนอกทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น เวินหนี่รีบพูดขึ้น "คุณอาคะ คุณอาจะไปไหนคะ หนูจะไปด้วย"เย่จื่อหันมามองเวินหนี่ "เธอไม่ต้องไป เย่ซูเฟิ
[ตอนนี้เลย! ตอนนี้ได้เลยจ้ะ!]ลู่ม่านเซิงยิ้มมุมปาก เธอรู้ว่าเย่ซูเฟินต้องอยากมาเจอเธอแน่นอน เธอแค่ต้องนั่งรอที่นี่ก็พอเธอเดินวนไปรอบ ๆ แต่ก็ยังรู้สึกสนใจห้องนอนใหญ่ จึงเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีใครพักอยู่ที่นี่มาสักระยะหนึ่งแล้วเธอเปิดตู้เสื้อผ้าทันที ข้างในมีชุดนอนของผู้หญิงอยู่หลายชุดมีบางตัวที่เอาป้ายออกแล้ว บางตัวก็ยังไม่ได้เอาป้ายออกยังมีชุดนอนแบบสายเดี่ยวเซ็กซี่อยู่หลายชุดด้วยเธอหยิบมันออกมาลองทาบบนตัวเอง แล้วหมุนตัวไปมาหน้ากระจกถ้าเธอสวมมันแล้วหมุนตัวต่อหน้าเย่หนานโจว เขาต้องคิดว่าเธอดูดีแน่ ๆเธอไม่ได้อยู่ในห้องนานนัก เพราะโอกาสบางอย่างรอได้เธอมองไปที่เตียงใหญ่ คิดภาพตัวเองกับเย่หนานโจวอยู่บนเตียงนั้น ในฉากอันเร่าร้อนยี่สิบนาทีผ่านไปเย่ซูเฟินก็มาถึงว่างเจียงหยวนเธอส่งเสียงเรียกมาตั้งแต่หน้าประตู “เซิงเซิง! เซิงเซิง!”แต่ลู่ม่านเซิงไม่ได้ออกมาเมื่อเย่ซูเฟินไม่เห็นลู่ม่านเซิงในห้องนั่งเล่น เธอจึงถามว่า “เซิงเซิงอยู่ไหน? ไม่ใช่ว่าเธออยู่ที่ว่างเจียงหยวนหรือไง?”“คุณลู่อยู่ข้างบนค่ะ” คนรับใช้ตอบ ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วบอกว่า “คุณลู่หูหนวกอ
ไม่เป็นไรวันเวลายังอีกยาวไกล สักวันหนึ่งเธอจะได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แน่นอนลู่ม่านเซิงรู้สึกว่าเธอได้ก้าวเข้าใกล้เป้าหมายนั้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว เธอจึงมองไปที่เผยชิง ซึ่งมากับเธอในวันนี้เพราะเขาเป็นคนใกล้ชิดของเย่หนานโจว และเพราะเธอรู้ว่า ‘ต้องเกรงใจคนที่ให้ความช่วยเหลือ’ ลู่ม่านเซิงจึงต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา เธอถามอย่างเป็นมิตรว่า “คุณเผย ช่วงนี้พี่หนานโจวมาอยู่ที่นี่บ่อยไหม?”เผยชิงตอบเธอโดยใช้โทรศัพท์พิมพ์ว่า “ช่วงนี้เขาอยู่ที่นี่บ่อยขึ้น แต่หลายวันแล้วที่ประธานเย่ไม่ได้มาที่นี่ครับ”“เขาไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์ของตระกูลเหรอ?” ลู่ม่านเซิงไม่ได้ติดต่อกับเย่ซูเฟินมานานแล้ว ช่วงนี้เธอมัวแต่ยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาเลยมีหลายครั้งที่เย่ซูเฟินส่งข้อความมาหา แต่เธอยุ่งจนลืมตอบไป“ประธานเย่จะกลับไปเป็นบางครั้งครับ” เผยชิงตอบอย่างจงใจ “แต่คุณผู้หญิงไม่ค่อยชอบกลับไปที่นั่น ประธานเย่ก็เลยไม่ชอบกลับไปมากนัก”ลู่ม่านเซิงเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว แต่ยังคงแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วถามต่อว่า “แล้วช่วงนี้เขาจะมาที่นี่ไหม?”“เรื่องนั้นผมไม่ทราบครับ” เผยชิงตอบ “ช่วงนี้ประธานเย่ยุ่งกับงานม
ลู่เซินยังไม่เข้าใจทั้งหมดเมื่อก่อนเขาสนใจเวินหนี่มากจนละเลยข้อมูลสำคัญ เป็นไปได้ว่าเขาอาจมองผิดไป แล้วเวินหนี่ที่ผ่านเรื่องราวนั้นมาล่ะ? หรือว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่เขียนผิด?เวินหนี่เห็นลู่เซินคิดหนักตั้งแต่เมื่อครู่จึงถามว่า “ลู่เซิน กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?”ลู่เซินดึงสติกลับมา “ไม่มีอะไร สั่งอาหารเถอะ”“ฉันสั่งเรียบร้อยแล้ว” เวินหนี่บอก “คุณอาจะดื่มเบียร์หน่อย นายก็ดื่มด้วยนะ”“โอเค”ทั้งสองออกจากห้องทำงานเย่จื่อนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาอย่างสงบ สำหรับเธอ ตอนนี้การดูทีวีก็เป็นการฆ่าเวลาในทีวีกำลังออกข่าวฉาวของเธอเวินหนี่เดินเข้าไปนั่งดูทีวีด้วย เธอเห็นว่าในจอมีภาพเจียงเมิ่งเหยาในห้องพักฟื้น “ดูตามกล้องมานะคะ นี่คือเหยื่อของเรา ลู่ม่านเซิง คุณลู่คะ คุณยังได้ยินอยู่ไหมคะ?”ลู่ม่านเซิงดูไม่ค่อยพอใจกับกล้อง “ไม่ต้องถ่ายแล้ว ฉันไม่ให้สัมภาษณ์”“คุณลู่คะ” เจียงเมิ่งเหยาเรียกอีกครั้ง“ฉันไม่ได้ยิน ไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร ไม่ต้องถ่ายแล้ว ฉันไม่อยากเจอใครทั้งนั้นตอนนี้!” ลู่ม่านเซิงดูซีดเซียว อ่อนแอมาก เหมือนนางเอกในเรื่องเศร้าเจียงเมิ่งเหยาฉวยโอกาสนี้ ชี้ไปที่กล้องแล้วพูดว่า “คุณลู่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของลู่เซินก็แสดงความตกใจออกมา "เป็นไปได้ยังไง ต้องเป็นเวินหนี่สิ"ตอนนั้น เขาชอบเวินหนี่มาก เขาห่วงใยเธอจนต้องรีบกลับประเทศในคืนนั้นผู้ช่วยที่ถือหนังสือพิมพ์อยู่ก็ยังคิดว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ และคิดว่าตัวเองอาจเข้าใจผิด "ผมจำได้ว่าคุณเคยบอกว่า คุณกับเวินหนี่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน แต่คนนี้อายุน้อยกว่าคุณหนึ่งปี"เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของลู่เซินก็ยิ่งตกใจ เขารีบเดินเข้ามาหยิบหนังสือพิมพ์ไปพิจารณาอย่างละเอียดแม้ว่าหนังสือพิมพ์จะเก่าแล้ว แต่ก็ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี หัวข้อข่าวยังคงชัดเจน ข่าวระบุว่าโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งเกิดคดีฆาตกรรม มีคนตายจำนวนมาก และผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวคือ…สายตาของลู่เซินนิ่งงัน เขาตกใจจนต้องกะพริบตาสองสามครั้ง ราวกับว่าเขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์ที่ต่างจากที่เคยเห็นมาก่อนผู้รอดชีวิตในหนังสือพิมพ์ก็ชื่อเวินหนี่เหมือนกัน แต่เป็นนักเรียนที่อายุน้อยกว่าหนึ่งปี นั่นหมายความว่าไม่ใช่เวินหนี่ที่เขารู้จักมันเกิดอะไรขึ้น?สีหน้าของลู่เซินเริ่มเปลี่ยนไป เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผิดคือหนังสือพิมพ์หรืออะไรบางอย่างในกระบวนการนี้เวินหนี่เค