เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เวินหนี่ก็รู้สึกเข้าอกเข้าใจเจียงซิงถงมาก เธอเองก็ตกหลุมรักเขาเพราะเขาช่วยชีวิตเธอเอาไว้ แต่เธอไม่ได้มีอาการรุนแรงเท่ากับเจียงซิงถงหากเย่หนานโจวไม่ได้แต่งงานกับเธอ เธอก็อาจจะยอมแพ้ ใครจะอยากแขวนคอตายบนต้นไม้กันล่ะ?ตอนนี้เธอคิดขึ้นอีกว่า หากเขาไม่แต่งงานกับเธอ ก็คงไม่มีเกิดเรื่องขึ้นมากมายขนาดนี้“ก่อนหน้านี้การช่วยคนเป็นหน้าที่ของกองทัพ มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวฉัน ใครจะยอมเสี่ยงชีวิตกัน นั่นมันคือความเชื่อและความรับผิดชอบในตอนนั้น ถ้าหากเรื่องไม่เป็นอย่างนั้น ฉันก็คงไม่อยู่ในกองทัพ และคงไม่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายแบบนี้” เย่หนานโจวตั้งสมมติฐานให้กับตัวเอง หากเขาอยู่ในตระกูลเย่ เขาก็คงไม่ต้องเข้าร่วมกองทัพและเสี่ยงชีวิตตัวเองแบบนี้ สำหรับเขามันไม่ใช่ความรุ่งโรจน์ แต่คือจุดตกต่ำในอดีต“ฉันรู้” เวินหนี่มองเขาแล้วยิ้ม “เรื่องมันผ่านมาแล้ว ฉันเองก็จะไม่คิดถึงมันอีก”เธอรู้มานานแล้วว่าการที่เย่หนานโจวช่วยเธอไว้เป็นเพียงคำสั่งและความรับผิดชอบเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุที่เขาจำเธอไม่ได้เลยเย่หนานโจวจ้องเธอ แม้ว่าเธอจะยิ้มและดูสงบนิ่ง แต่เขาก็รู้สึกแปลก
ขณะที่เขากอดเธอ ร่างกายของเวินหนี่ก็แข็งทื่อ ภายในไม่กี่วินาทีต่อมา เธอก็วางหม้อที่กำลังปรุงอยู่ลงแล้วถามขึ้นว่า “เป็นอะไรไปคะ? ฉันใกล้ทำเสร็จแล้วล่ะค่ะ”แต่เย่หนานโจวก็กอดเธอแน่นขึ้นเรื่อย ๆ และซุกหน้าลงในเส้นผมของเธอ กลิ่นหอมที่คุ้นเคยทำให้เขาผ่อนคลายลงทันที “เปล่า ฉันแค่อยากอยู่กับเธอ แบบนี้ฉันถึงจะรู้สึกสบายใจขึ้น”ดวงตาของเวินหนี่เป็นประกาย และเธอยังคงผัดอาหารในหม้อต่อ “ในห้องครัวมีควันเยอะ มันไม่เหมาะกับคุณ”เย่หนานโจวกล่าว “ถ้าได้อยู่กับเธอ ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น”หากเป็นเมื่อก่อนเวินหนี่คงจะรู้สึกอบอุ่นและตื่นเต้นอยู่ข้างในแต่ตอนนี้เธอใจนิ่งดั่งน้ำ ราวกับว่าคำพูดหวาน ๆ ของเย่หนานโจวนั้นไร้ผลบางทีอาจเพราะเคยคาดหวังมากเกินไป จนหัวใจเธอมันชินชาไปแล้ว เธอไม่ได้ผลักเขาออก ไม่ได้ปฏิเสธ และไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่อยู่ด้วยกันอย่างเงียบ ๆเธอรู้ดีว่า พวกเธอไม่ค่อยมีโอกาสแบบนี้และโอกาสแบบนี้ก็มีไม่มากนัก เมื่อเธอทำอาหารเสร็จแล้ว ถึงได้ดึงมือของเย่หนานโจวออก เธอมองย้อนกลับไปที่เขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ออกไปเถอะค่ะ อาหารเสร็จแล้ว เดี๋ยวจัดใส่จานก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว”“ทำไมต้องพิถีพิถ
เมื่อได้ยินแบบนั้น เย่หนานโจวก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะฟังยังไงเขาก็รู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังเหน็บแนม เขามองไปที่เวินหนี่ที่อยู่ตรงข้ามเขา แต่รู้สึกว่าเธออยู่ห่างไกลเขาเหลือเกิน ระยะห่างทำให้เขารู้สึกว่างเปล่า ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มลึก “เวินหนี่ เขยิบเข้ามาใกล้อีกหน่อย”เวินหนี่ไม่ได้ปฏิเสธ และขยับเก้าอี้มาข้าง ๆ พร้อมทั้งคีบอาหารให้เขา “เย็นหมดแล้ว ทำไมยังไม่กินอีกล่ะคะ หรือเป็นเพราะว่าฉันทำไม่อร่อยเหรอ?”เย่หนานโจวเฝ้าดูเธอตักอาหารใส่ชามของเขา พลางชะงักไปครู่หนึ่ง เขามองเวินหนี่อีกครั้ง ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมา “ก่อนจะทำอาหารฉันก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ขอแค่เธอเป็นคนทำฉันก็กินหมดอยู่แล้ว”เขาคีบอาหารที่เวินหนี่ใส่ไว้ในจานของตัวเองขึ้นมาต่อหน้าเธอ แล้วใส่เข้าไปในปากพร้อมทั้งพยักหน้าอย่างถูกใจ “อืม ไม่เลว เธอมีพรสวรรค์ในการทำอาหารจริง ๆ!”เขากินอาหารจานเดียวกันอีกสองคำเมื่อเวินหนี่เห็นว่าเขาดูเหมือนจะชอบ อารมณ์ของเธอก็ผันผวน เธอยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่มีทาง ไหนฉันขอชิมดูหน่อย มันจะอร่อยขนาดนั้นอย่างที่คุณพูดหรือเปล่า”เธอวางตะเกียบลงในจานอีกใบแล้วคีบกินคำเล็ก ๆ “มันก็เ
หากให้เป็นเลขาเวินตลอดไป เธอก็คงจะเหมาะสมอย่างแน่นอนแต่เธอโลภมากเกินไปที่ต้องการความรักจากเขาหากยังอยู่ด้วยกันต่อ พวกเธอจะไม่มีทางจบกันด้วยดี และแม้แต่ความทรงจำที่สวยงามที่สุดก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไป“เวินหนี่...” เย่หนานโจวอารมณ์พุ่ง แต่ยาก็ออกฤทธิ์เร็วขึ้น ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่เธอ “เธอทิ้งฉัน...เพื่อจะไปหาอาจ้านงั้นเหรอ?”เวินหนี่ไม่ได้ตอบ แต่รวบรวมความกล้าสัมผัสใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ภายใต้การจ้องมองอันเฉียบคมของเขาเธอมองเขา พยายามค้นหาเงาของอาจ้านในตัวเขาแต่เขาคือเย่หนานโจว ไม่ใช่ชายหนุ่มที่อยู่ในความคิดเพ้อฝันของเธออีกต่อไปเธอจำความเสียสละตนของเขาในการช่วยชีวิตเธอจากเงื้อมมือของพวกอันธพาลจนตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัสได้เธอเป็นหนี้ชีวิตเขา เพราะเขาได้รับบาดเจ็บเพราะเธอ แต่ต่อมาเธอก็ไม่มีอะไรติดค้างเขาแล้ว เพราะเธอก็ช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งหนึ่งเช่นกัน เวินหนี่จำเรื่องราวเกี่ยวกับเขาได้เป็นอย่างดี หลังจากเรียนจบมัธยมต้น สายตาของเธอก็ตกอยู่บนตัวเขามาโดยตลอด เธอเรียนโรงเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยที่เดียวกันกับเขา สำหรับเย่หนานโจว เธอมีตัวตนอยู่เพียงเจ็ดปีเท่านั้นแต่สำหรับเ
เวินหนี่ดื่มน้ำผลไม้ในแก้วจนหมด และก่อนจะดื่มหมดเธอก็ชนแก้วกับแก้วไวน์ของเย่หนานโจวเป็นครั้งสุดท้ายนี่ถือเป็นการอำลากันด้วยดี ก่อนหน้านี้พวกเธอได้ทานอาหารร่วมกันอย่างมีความสุขก่อนที่เวินหนี่จะจากไป เธอก็ได้วางสัญญาหย่าไว้บนโต๊ะถัดมาเป็นตั๋วไปฝรั่งเศสสองใบแต่ตั๋วนี้ไม่ใช่ของเธอกับเย่หนานโจว แต่เป็นของเย่หนานโจวกับลู่ม่านเซิง ฝรั่งเศสเป็นสถานที่ที่โรแมนติกมาก ดังนั้นการไปที่นั่นกับคนรักน่าจะเหมาะกว่าหลังจากทำสิ่งที่เธอควรทำเสร็จแล้ว เวินหนี่ก็หยิบกระเป๋าเดินทางและออกจากบ้านคืนนี้ไม่มีใครเฝ้ายามทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น…วันรุ่งขึ้น“ประธานเย่!”“ประธานเย่ ตื่นเถอะครับ!”เย่หนานโจวค่อย ๆ ตื่นขึ้นมา หัวของเขายังคงมึนงง และเหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่อยู่ในหัวของเขาเขากุมขมับและรู้สึกปวดหัว ก่อนจะนึกถึงฉากที่เวินหนี่ทำอาหารให้เขาเมื่อวานนี้ขึ้นมาได้เขาลุกขึ้นยืนทันทีและมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาเย็นชา ไม่มีร่างของเวินหนี่อีกต่อไป “ประธานเย่ เป็นอย่างไรบ้างครับ คุณต้องการไปโรงพยาบาลไหม?” เผยชิงถามอย่างเป็นกังวลเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ดีนักในตอนเช้า คนรับใช้พบว่าเย่ห
เมื่อได้ยินแบบนั้น เย่หนานโจวก็ชะงักและหรี่ตาที่เป็นอันตรายของเขาลงเล็กน้อย “ปิดบังอะไร?”เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเย่หนานโจวยังดูเหมือนสนใจ จึงบอกความจริงกับเขา “คุณเวินไปโรงพยาบาลหลายครั้ง แพทย์และพยาบาลไม่ยอมพูดว่าเธอไปทำอะไร ดูเหมือนว่าคุณเวินจะขอให้พวกเขาเก็บไว้เป็นความลับ แต่เราพยายามอย่างเต็มในการสืบค้นในกล้องวงจรปิด และสถานที่ที่คุณเวินไปน่าจะเป็นแผนกสูตินรีเวชครับ”เมื่อได้ยินคำตอบดังกล่าว เย่หนานโจวก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกสักพักเขาบังเอิญเจอเวินหนี่ที่โรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง เธอบอกว่าประจำเดือนมาผิดปกติจึงไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจดูให้ทุกครั้งที่เขาจะพาเธอไปตรวจ เธอก็ปฏิเสธทุกครั้งเธอจงใจปกปิดเขา และเขาก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องส่วนตัวของเธอ จึงไม่ได้สาวความเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่คิดก็ยังไม่กล้าคิดเขาและเวินหนี่รักษาระห่างกันตลอดสามปีที่ผ่านมา และเขาก็ไม่เคยแตะต้องเธอเลยแม้ว่าเขาจะต้องการ แต่หากเวินหนี่ไม่ต้องการ เขาก็จะไม่บังคับเธอมีช่องว่างในชีวิตแต่งงานของพวกเขาที่ไม่สามารถเชื่อมเข้าด้วยกันได้ และเขาก็ให้ความเคารพเธออย่างที่สุดแม้กระทั่งตอนนี้ เย่หนานโจวก็ไม่กล้าคิดเกี่ยวกั
แต่เย่ซูเฟินก็สังเกตเห็นว่าเวินหนี่ไม่ได้กลับมากับเขาด้วยเธอรู้ว่าเย่หนานโจวไม่ต้องการให้เวินหนี่คอยดูสีหน้าเธอ และไม่อยากให้เวินหนี่ถูกรังแก ถึงได้พาหล่อนไปอาศัยอยู่ที่อื่นในช่วงที่ผ่านมาแต่เขากลับมาอยู่ที่บ้านหลายวันติดต่อกันแล้วโดยไม่เห็นเวินหนี่เลย ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจเธอไม่เคยได้ยินเย่หนานโจวพูดถึงเวินหนี่ ดังนั้นเธอรู้สึกสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา เธอลองสืบและพบว่าเวินหนี่ไม่ได้ไปที่บริษัทหลายวันแล้วหรือเธอเลิกกับเขาแล้วอย่างนั้นเหรอ?เธอต้องการสืบ แต่เย่หนานโจวไม่ยอมให้เธอรู้ทุกอย่าง ยกตัวอย่างเรื่องในว่างเจียงหยวนเธอก็ไม่อาจสืบได้ตามจริงแล้วเธอเป็นแม่ของเย่หนานโจว เป็นนายหญิงของตระกูลนี้ รวมถึงคนที่ว่างเจียงหยวนก็ต้องให้ความเคารพเธอ แต่พวกเขากลับไม่สามารถงัดปากได้ด้วยเงินและฟังแค่คำสั่งของเย่หนานโจวเท่านั้นซึ่งมันทำให้เธอหงุดหงิดมากไม่ว่าจะยังไง สิ่งสำคัญคือเวินหนี่เลิกลากับเย่หนานโจวแล้ว เธอต้องถามอะไรบางอย่างขณะที่เย่หนานโจวกำลังขึ้นไปชั้นบน เย่ซูเฟินก็กล่าวขึ้นว่า “ช่วงนี้ไม่เห็นเวินหนี่เลย ลูกทะเลาะกับเธอ หรือว่าหย่ากันแล้ว?”หากพวกเขาหย่ากันแล้ว เธ
ชายคนนั้นได้เจอกับเวินหนี่และคุยกันอยู่สักพักดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยกันมากคนนี้เขาพอจะจำได้ลาง ๆ ว่าน่าจะเป็นคนในบริษัทของเขาหลังจากเวินหนี่เดินไปแล้ว เขาก็เริ่มค้นหาในถังขยะการกระทำของเขาทำให้เย่หนานโจวขมวดคิ้ว แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ความจริงที่แท้จริง!…ต่งหมิงห้าวกำลังเร่งทำโปรแกรมบริษัทใหญ่ขนาดเย่กรุ๊ป การแข่งขันย่อมดุเดือดมาก ตอนที่เขาทำงานในบริษัทเล็ก ๆ เขาคือคนสำคัญแต่เมื่อมาที่นี่แล้ว โปรแกรมเมอร์ที่มีความสามารถแบบเขามีตั้งสิบกว่าคนหากต้องการก้าวหน้า เขาต้องโดดเด่นกว่าใครการออกจากบริษัทเก่า ก็เพราะอยากจะปีนไปให้สูงขึ้น เขาไม่กล้าผ่อนคลายเลยแม้แต่นาทีเดียว จึงทำงานอย่างบ้าคลั่งการกินข้าว ก็แค่กัดขนมปังไม่กี่คำเพื่อให้ผ่านไปในตอนนั้นเองขณะที่ต่งหมิงห้าวถือขนมปังอยู่ในมือ เตรียมจะใส่เข้าปาก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ข้าง ๆเขาเงยหน้าขึ้นก็ตกใจเกือบสะดุ้ง ขนมปังในมือเกือบหลุดร่วง “ประธานเย่!”ร่างสูงใหญ่ของเย่หนานโจวยืนอยู่ตรงหน้าเขา สร้างแรงกดดันมหาศาลต่งหมิงห้าวรีบลุกขึ้นทันที “ประธานเย่ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”สายตาของเย่หนานโจวจ้องมองชาย
“ไม่ใช่ค่ะ” เวินหนี่ตอบสีหน้าของเย่หนานโจวเปลี่ยนไปและเขาก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ใกล้จะเป็นอดีตภรรยาแล้วครับ!”คุณหมอถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบ เขาจึงรีบตอบไปว่า “ผู้ป่วยมีอาการกระทบกระเทือนเล็กน้อยและกระดูกมือร้าว เธอจะหายดีหลังจากพักผ่อนสักระยะหนึ่ง พวกคุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป”นี่เป็นเรื่องที่ดี เวินหนี่ตอบไปทันที “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”“ด้วยความยินดีครับ”ทั้งสองตามเย่จื่อเข้าไปในวอร์ดเวินหนี่เห็นว่าริมฝีปากของเย่จื่อดูแห้งผาก ดังนั้นจึงรีบหาน้ำอุ่นมา และชุบด้วยสำลีก่อนจะเช็ดให้ชุ่มชื้นเย่หนานโจวเฝ้าดูจากด้านข้างในวอร์ดมีคนไม่มากนัก เพื่อป้องกันไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วยเวินหนี่ไม่วางใจ ดังนั้นเธอจึงนั่งลงตรงข้ามเขาอีกครั้ง โดยมุ่งเน้นไปที่การเฝ้าเย่จื่อหลังจากที่เฝ้าได้สักพัก เธอก็รู้สึกง่วงจนเปลือกตาสั่น จากนั้นเธอก็เผลอฟุบหลับไปเมื่อเวินหนี่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะความตกใจ เธอฝันว่ามันมืดสนิทและอยู่ในพื้นที่แคบ ๆกลัวอะไรก็ได้อย่างนั้น แม้แต่ในความฝันก็ยังไม่ปล่อยเธอไป เธอมักจะฝันแบบนี้ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลยเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีเสื้อคลุม
หรือว่าเขาจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว?เธอเคยได้ยินเย่จื่อพูดอยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ยังไม่ได้คิดถึงเหตุผลบางทีเย่หนานโจวอาจรู้มานานแล้ว จึงเข้าใจโดยปริยาย“เวินหนี่”ลู่เซินเข้ามาหาเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พักสักหน่อยไหม เดี๋ยวร่างกายจะทนไม่ไหวเอานะ”เวินหนี่ยืนนานแล้วและรู้สึกปวดหลัง แต่เธออยากรอให้เย่จื่อออกมา จึงนั่งลงข้าง ๆ “ฉันอยากรอจนกว่าคุณอาจะฟื้น”“ผมจะรอเป็นเพื่อนคุณเอง” ลู่เซินพูดขึ้นอีกครั้งเวินหนี่พยักหน้าไปทางเขาร่างสูงของเย่หนานโจวเอนตัวไปที่กรอบประตูและเหลือบมองความกังวลของลู่เซินที่มีต่อเวินหนี่ ดวงตานั้นแทบจะมีน้ำล้นออกมาได้ และเวินหนี่ก็ดูเหมือนพร้อมยอมรับน้ำใจของเขาคลื่นแห่งความกระสับกระส่ายโจมตีร่างกายของเย่หนานโจวอีกครั้งดวงตาของเขาเย็นขึ้นและจงใจเตะเก้าอี้ข้าง ๆ ให้มีเสียงนั่นคือเก้าอี้ที่ลู่เซินนั่งอยู่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เย่หนานโจวก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “โทษที บังเอิญเตะโดนเข้าน่ะ!”“ไม่เป็นไร” ลู่เซินไม่ได้ติดใจอะไรเย่หนานโจวกลับพูดขึ้นอีกว่า “ตรงนี้คือพื้นที่รอสำหรับญาติ ไม่ทราบว่าคุณลู่มาที่นี่ทำไมกัน ที่บริษัทของคุณไม่ยุ่งเหรอครับ?”
เขาไม่ได้โต้เถียงกับเธอ และเพิกเฉยต่อเสียงร้องไห้ของเธอสำหรับเขา น้ำตาของเย่ซูเฟินนั้นไร้ค่าเย่ซูเฟินในฐานะผู้หญิง เมื่อเห็นความเฉยชาของสามี มันก็ค่อย ๆ ทำลายแนวป้องกันในใจของเธอทีละน้อยและโวยวายขึ้นอย่างอารมณ์ร้อน “พูดมาสิ ทำไมถึงไม่พูดล่ะ ในสายตาของคุณ เย่จื่อสำคัญกว่าฉันใช่ไหม ฉันเป็นภรรยาของคุณนะ เย่เหว่ยถิง คุณจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้!”เธอร้องไห้จนตาแดง อยากให้สามีเอาใจใส่เธอบ้างแค่หันมามองเธอสักครั้งก็สามารถสงบความโกรธและความกังวลของเธอได้เย่เหว่ยถิงเงียบและทำเหมือนเย่ซูเฟินคือคนแปลกหน้าอย่างเย็นชาเย่หนานโจวมองการอยู่ร่วมกันของพวกเขา เขาเห็นสิ่งนี้จนชินจึงไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆสำหรับเขา พวกเขาคือพ่อแม่ของตนเพียงในนามเท่านั้นการเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทำให้เขาชินมานานแล้วถึงขั้นทำให้เขารู้สึกไม่แยแสเย่เหว่ยถิงทนเย่ซูเฟินไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงลุกขึ้นและพูดกับเย่หนานโจวว่า “ฉันจะลงไปแล้ว ถ้าเย่จื่อฟื้นค่อยบอกฉัน!”เย่หนานโจวลดสายตาลงด้วยสายตาเย็นชาและไม่ตอบอะไรเย่เหว่ยถิงเองก็ไม่ได้รอคำตอบจากเขา เขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับเย่หนานโจว เขารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง
เมื่อเห็นความเฉยเมยของเขา เย่ซูเฟินจึงพูดขึ้นว่า “หนานโจว!”เย่หนานโจวไม่ต้องการฟังเธออีกและเดินจากไปด้วยใบหน้าที่เย็นชาเย่ซูเฟินต้องการพูดอะไรบางอย่างกับเย่หนานโจว แต่ลู่ม่านเซิงร้องไห้และถูกรังแก เธอจึงไปไหนไม่ได้ และทำได้เพียงเดินไปพยุงลู่ม่านเซิง “เซิงเซิงลุกขึ้นเถอะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว”ลู่ม่านเซิงถูกพยุงขึ้น เธอซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเย่ซูเฟิน “คุณป้า หนูมันน่ารำคาญมากจนทุกคนไม่ชอบใช่ไหมคะ!”“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ฉันชอบเธอ ทุกคนต่างก็ชอบเธอ”เย่ซูเฟินตบหลังลู่ม่านเซิงเพื่อปลอบเธอลู่ม่านเซิงยังคงร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเย่ซูเฟินเห็นแบบนี้ แม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายผิด แต่ก็ดูเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ใครจะกล้าไปว่าอะไรเธอได้ ถ้าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลและมีคนอยู่มากมาย เวินหนี่คงอยากจะฉีกหน้ากากของลู่ม่านเซิงออกเพื่อดูว่าเธอจะเสแสร้งได้สักแค่ไหน แน่นอน เธอรู้ดีว่าไม่ว่าลู่ม่านเซิงจะจริงหรือเท็จแค่ไหน เย่ซูเฟินก็จะยังคงปกป้องเธอความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอดูเหมือนไม่ชัดเจนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น “เย่จื่อเป็นยังไงบ้าง?”เวินหนี่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นเย่เหว่ยถิงเดินเข้ามาเขาสวมชุดสูทแ
ขณะที่เย่ซูเฟินกำลังปกป้องลู่ม่านเซิง เวินหนี่ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชาเมื่อเย่ซูเฟินเห็นเวินหนี่พูดแบบนั้น เธอจึงพูดขึ้นว่า “เวินหนี่ เซิงเซิงเป็นถึงขนาดนี้แล้ว อย่าอาศัยโอกาสนี้ซ้ำเติมเธออีก!”ปฏิกิริยาแรกของเธอคือปกป้องคนที่อ่อนแอไว้เวินหนี่เดินเข้าไป เห็นลู่ม่านเซิงร้องไห้หนักและดูอ่อนแอจนเกินบรรยาย “ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ พวกคุณมีใครกังวลเกี่ยวกับคุณอาบ้าง สิ่งที่คุณกังวลคือกลัวว่าลูกชายจะไม่เอา ส่วนลู่ม่านเซิงเธอกล้วว่าถูกกล่าวโทษเลยมาเสแสร้งทำเป็นน่าสงสารที่นี่ ฉันเห็นกับตาตัวเองว่าคุณผลักคุณอาลงมา และลู่ม่านเซิงก็น่าจะเป็นผู้ที่ยุยง!”คุณอาถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทำให้เวินหนี่ไม่ต้องการไว้หน้าพวกเธอ “อย่ามาพูดจาไร้สาระ!” เย่ซูเฟินตวาด “ฉันผลักเย่จื่อก็จริง แต่ฉันแค่ผลักเบา ๆ ทำไมเธอถึงไม่คิดบ้างล่ะว่าเย่จื่อจงใจล้มลงไปเอง”เวินหนี่มองไปที่เย่ซูเฟิน “แรงผลักของคุณมันไม่ได้เบา เราทุกคนต่างก็เห็น”เมื่อเย่ซูเฟินเห็นท่าทีของเวินหนี่ น้ำเสียงของเธอก็ดังมากยิ่งขึ้น “เวินหนี่ เธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้ ยังไงฉันก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโส เป็นแม่สามีขอ
“ไม่ใช่นะ…” เย่ซูเฟินกล่าว “ลูกยังเป็นลูกชายของแม่ แม่เสียใจมากและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดใช้ให้ลูก…”“ผมไม่ต้องการมันแล้ว” ดวงตาของเย่หนานโจวเย็นชา “การเรียกคุณว่าแม่มันคือความอดทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม และคุณก็ควรจะพอใจได้แล้ว!”เย่ซูเฟินอดไม่ได้ที่จะถอยกลับไปสองสามก้าวและพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ลูกจะทำกับแม่แบบนี้ไม่ได้นะ อย่าเป็นเหมือนพ่อของลูก ไม่อย่างนั้นแม่พาลูกกลับมามันจะมีความหมายอะไร!”เย่หนานโจวพูดอย่างเย็นชา “หากมีผม การเอาชนะใจสามีของคุณมันถึงจะมีความหมาย แต่น่าเสียดายที่ความพยายามทั้งหมดของคุณมันไร้ประโยชน์!”ทุกคำพูดเหมือนมีดที่ทิ่มแทงใจของเย่ซูเฟินในตอนนั้นการแต่งงานของเธอกับเย่เหว่ยถิงนั้นค่อนข้างน่าขัน เป็นเพียงเพราะเธอดื้อดึงที่จะแต่งงานกับเขาเย่เหว่ยถิงไม่ได้รักเธอเลย ตรงกันข้ามเขาเกลียดเธอเธอคิดว่าตราบใดที่เธอแต่งงานกับเขา เย่เหว่ยถิงก็จะเป็นของเธอเมื่อเรื่องราวมันเลยจุดที่จะเข้าไปแก้ไขได้ มีอะไรที่จะผ่านไปไม่ได้อีก?แต่เธอคิดง่ายเกินไป เย่เหว่ยถิงไม่กลับบ้านและปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในห้องที่อ้างว่างเธอใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเอาชนะใจสามีแม้กระทั่ง
“หนานโจว”ในระหว่างที่โต้เถียงกับเย่จื่ออยู่นั้นเย่ซูเฟินก็สังเกตเห็นเขา และเธอก็ตกใจเล็กน้อยเวินหนี่เองก็มองไปและเห็นเย่หนานโจวยืนอยู่ข้างหลัง ดวงตาของเขาเย็นชาและดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่พวกเธอพูดกลับกัน เขากลับยอมรับความจริงนี้อย่างสงบนิ่งเย่จื่อตกใจเมื่อเห็นดวงตาของเย่หนานโจวในขณะนี้ สิ่งที่เธอเสียใจคือการที่เธอหุนหันพลันแล่นพูดออกไปว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเย่ซูเฟิน เพราะมันถือเป็นการโจมตีเขาเธอมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเธอมองเพียงเย่หนานโจว “หนานโจว…”เย่หนานโจวไม่ได้พูดอะไรมากเขาเพียงแค่รู้ว่าพวกเธอมาที่สุสานและอาจจะเกิดเรื่องขึ้น เขาจึงเป็นกังวลและแวะเข้ามาดูหน่อยเท่านั้น เย่ซูเฟินโกรธมากขึ้น “เย่จื่อ เธอกำลังพูดอะไร เธอจะให้ฉันมีความสุขไม่ได้เลยใช่ไหม เธอมันสมควรตายจริง ๆ!”เธอผลักเย่จื่ออย่างแรงความสนใจของเย่จื่อมุ่งไปที่เย่หนานโจว ความโกรธของเธอลดลงมากและลดความเกรี้ยวกราดลง ในใจคิดแต่ว่ามันจะสร้างบาดแผลให้เขาหรือไม่เธอไม่ทันได้สังเกตเห็นการกระทำของเย่ซูเฟินและเธอก็ถูกผลักลงบันไดไปทันทีสติของเวินหนี่ยังไม่ทันกลับมาจากการที่เย่หนานโจวไม่ใช่ลูกแท้
“ดังนั้นเธอจึงทำทุกอย่างเพื่อทำลายครอบครัวทีละครอบครัว! เธอไม่เคยคิดถึงความผิดของตัวเองเลย!”“ฉันไม่ผิด!” เย่ซูเฟินพูดอย่างเดือดดาล “ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเธอบีบบังคับฉันเอง!”เมื่อเห็นว่าทุกคนอารมณ์ร้อน ลู่ม่านเซิงจึงเกลี้ยกล่อมจากด้านข้าง “คุณอา อย่าเถียงกับคุณป้าเลยค่ะ เธอแค่หุนหันพลันแล่นไปเท่านั้น ฉันไม่เป็นไรค่ะ และฉันก็ไม่ได้โทษคุณอาเลย คุณป้าพวกคุณต่างก็ถอยคนละก้าวเถอะนะคะ”“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!” เย่จื่อมองไปที่ลู่ม่านเซิง และพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ถ้าเธอไม่ได้โทษฉัน แล้วจะเล่าให้เย่ซูเฟินฟังทำไม เธออยากให้เย่ซูเฟินออกหน้าให้ไม่ใช่เหรอ? เสแสร้งแกล้งทำ ภายนอกดูใสซื่อ แต่ภายในคิดไม่ซื่อ ฉันล่ะเกลียดคนแบบเธอที่สุด!”เมื่อเห็นแบบนั้นเย่ซูเฟินก็ผลักเธอทันที “เธอกำลังดุใคร รู้ว่าเซิงเซิงสูญเสียการได้ยิน แต่ยังแอบพูดไม่ดีลับหลังเธอ เธอมันชั่วร้ายแค่ไหนกัน?!”“ถึงฉันจะชั่วร้ายแต่ก็ไม่ได้ขาดคุณธรรมเหมือนเธอ!” เย่จื่อก็ผลักกลับคืนไปเช่นกัน“เธอลงมือกับฉันงั้นเหรอ?”เย่ซูเฟินจ้องเธอด้วยความโกรธ “วันนี้มีเธอก็ไม่มีฉัน!”“ลองดูสิว่าฉันจะฉีกเธอเป็นชิ้น ๆ ไหม!”เย่จื่อไม่พูดพล่ำทำเพลงเข้าไปต
เย่จื่อไม่คาดคิดว่าเย่ซูเฟินจะโทรมาหาเธอ ซึ่งทำให้เธออารมณ์เดือดขึ้นทันที "ทำไม? หรือว่าเป็นลู่ม่านเซิงที่บอกอะไรกับเธอ ฉันจัดการเธอแล้วยังไงล่ะ!""ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?" เย่ซูเฟินพูดด้วยความโกรธ เพราะอยากจะจัดการกับเย่จื่อให้ได้"ฉันต้องบอกด้วยเหรอ? คิดว่าเธอเป็นใคร!" เย่จื่อไม่สนใจที่จะเคี้ยวเมล็ดแตงโมแล้ว ปัดมันออกไปพร้อมกับกำลังมองหาที่ระบายความโกรธเย่ซูเฟินหัวเราะเยาะ "กลัวสินะ กลัวฉันจะหาตัวเจอ ฉันรู้แล้วว่าโรงงานเสริมความงามของเธอโดนพังเสียหายหมด ตอนนี้ถึงกับต้องหลบซ่อนตัวเหมือนเต่าหดหัวแล้ว!""ฉันเนี่ยนะกลัว? ฉันเคยกลัวเธอสักครั้งไหม! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแต่งงานกับเย่เว่ยถิง ฉันไม่เคยนับเธอเป็นคนของตระกูลเย่ด้วยซ้ำ!" เย่จื่อตอบกลับอย่างกระแทกกระทั้น"งั้นก็ออกมาสิ มาสู้กันต่อหน้า!" เย่ซูเฟินท้าทาย"ก็ได้ ออกมาก็ออกมา เย่ซูเฟิน ถ้าเธออยากจะตัดขาดกับฉันจริง ๆ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว!" พูดจบ เย่จื่อก็ตัดสายทิ้งและหยิบกระเป๋าขึ้น เตรียมออกไปข้างนอกทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น เวินหนี่รีบพูดขึ้น "คุณอาคะ คุณอาจะไปไหนคะ หนูจะไปด้วย"เย่จื่อหันมามองเวินหนี่ "เธอไม่ต้องไป เย่ซูเฟิ