เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ดูเป็นกังวลของเธอ เวินหนี่ก็เงยหน้าขึ้นมองหลี่ถิงอีกครั้งสายตาของหลี่ถิงมองไปยังห้องทำงานของเย่หนานโจว ราวกับเธออยากให้เธอไปที่นั่นตามปกติ หลี่ถิงจะไม่ค่อยอยากให้เธอกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ในห้องทำงานของเย่หนานโจว นอกเสียจากว่าเธอเชื่อข่าวลือที่เพื่อนร่วมงานซุบซิบกัน และมีบางอย่างเกิดขึ้นในห้องทำงานของเขาจริง ๆ หลายครั้งเป็นเพราะหลี่ถิงความรู้สึกช้าจึงไม่ได้คิดอะไรมาก และผลักตัวเองให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเธอไม่ขยับ มือของเธอยังคงพิมพ์คีย์บอร์ดอยู่ และเธอพูดอย่างเรียบนิ่ง “ห้องทำงานของเขาทำไม? เรื่องของประธานเย่ คิดว่าฉันจะเข้าไปยุ่งได้หรือไง?”จริง ๆ แล้วเธอแค่ต้องการบอกหลี่ถิงว่าอย่าเก็บข่าวลือของเพื่อนร่วมงานเหล่านั้นมาใส่ใจ เมื่อหลี่ถิงเห็นว่าเธอยังคงดูคอมพิวเตอร์และไม่ได้ร้อนรนใจอะไร จึงอดไม่ได้ที่จะพูดกับเธอว่า “ลู่ม่านเซิงมาที่นี่ตั้งแต่เช้า ประธานเย่ให้เธอไปที่ห้องทำงาน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา ข้างในจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ ๆ ค่ะ”เธอไม่อยากให้เวินหนี่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากเธอเป็นเพียงภรรยาของประธานเย่ ก็ควรนั่งตำแหน่งภ
แต่เมื่อถูกนักข่าวถ่ายรูปไว้ได้ ก็ไม่สามารถแก้ตัวได้ เมื่อเห็นคลิปเวินหนี่ก็เงียบไป และไม่ได้แสดงความคิดเห็น ลู่ม่านเซิงมีอะไรกับนักแสดงชายคนนั้นหรือไม่ไม่สำคัญ แต่การที่เย่หนานโจวใส่ใจและยังโกรธมากขนาดนั้น เป็นเพราะเขาหึงอย่างนั้นเหรอ?เวินหนี่ไม่สนใจว่าพวกเขาอยู่ในห้องทำงานหรือไม่ จะสนใจเรื่องที่เย่หนานโจวโกรธสร้างความปวดหัวให้กับตัวเองทำไมกันเธอปลอบใจตัวเองและหยุดคิดฟุ้งซ่านหลี่ถิงและซ่งฉือพูดคุยกัน เย่หนานโจวทำหลายสิ่งหลายอย่างให้กับลู่ม่านเซิง พวกเขามีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่ประตูห้องทำงานถูกเปิดออกอีกครั้ง แล้วคราวนี้ลู่ม่านเซิงเป็นคนเปิดมันเอง หลี่ถิงและซ่งฉือเงียบลง “หนานโจว ฉันกับเขาไม่ได้มีอะไรกัน ปาปารัสซี่แค่ถ่ายไปเรื่อย ฉันจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก พี่หายโกรธเถอะนะ” ลู่ม่านเซิงสะอึกสะอื้น แถมยังเข้าไปเกลี้ยกล่อมเย่หนานโจวหลี่ถิงเม้มริมฝีปาก เธอแสดงเก่งเกินไปแล้ว เสแสร้งจริง ๆ เย่หนานโจวมีสีหน้าเคร่งเครียด ดวงตาของเขาดูเคร่งขรึม และพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “ครั้งนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น อย่าให้ฉันเห็นข่าวซุบซิบแบบนี้อีก”“ฉันจะระวัง” ลู่ม่านเซิงอธิบายต
ความภาคภูมิใจของลู่ม่านเซิงถูกทำลาย เวินหนี่กำลังบอกว่าละครของเธอไร้สาระไม่ต้องใช้หัวคิดอย่างนั้นเหรอ?เดิมทีเธอต้องการจะโอ้อวดสักหน่อย เธอประสบความสำเร็จในฐานะนักร้อง และก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นในฐานะนักแสดง ตอนนี้เธอได้รับความนิยมมากขึ้นกว่าเดิมแต่เวินหนี่กลับดูถูกเธอเธออัดอั้นในใจและอยากจะตวาดใส่เวินหนี่แต่เย่หนานโจวอยู่ที่นี่ เธอจึงต้องควบคุมอารมณ์ตัวเอง“ฉันคิดว่าโปสเตอร์ของอันนี้ฉันถ่ายออกมาค่อนข้างดีทีเดียว เธอคิดว่ายังไง? เวินหนี่” ลู่ม่านเซิงจงใจเดินไปที่หน้าต่างและมองดูโปสเตอร์โฆษณาของตัวเองที่อยู่อาคารด้านนอกเธอหัวเราะขึ้นอีกครั้ง ไม่คิดว่าตำแหน่งของเวินหนี่จะเห็นได้อย่างชัดเจนขนาดนี้การเห็นโปสเตอร์ของเธอทุกวันคงทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจมากแน่ ๆเวินหนี่ไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมองและพูดขึ้นว่า “คุณลู่ ฉันยังต้องทำงาน คุณมีธุระอะไรอีกหรือเปล่าคะ?”เธอไม่ต้องการคุยกับลู่ม่านเซิง มันเป็นแค่การโอ้อวดของเธอเท่านั้น และเวินหนี่ก็ไม่ได้สนใจ“ไม่มี ก็แค่เรารู้จักกันมานาน ฉันก็เลยอยากชวนเธอคุยเท่านั้น” ลู่ม่านเซิงเดินเข้าไปอีกครั้งและยืนอยู่ข้างโต๊ะของเธอ “ได้ยินมาว่าเธอจะลาอ
หลังจากได้รับคำสั่ง ซ่งฉือก็ขานรับ “ค่ะ”เย่หนานโจวมองเวินหนี่ อดไม่ได้ที่จะทำหน้าบึ้งตึงและพูดว่า “ฉันไม่ชอบดื่มที่คนอื่นชงให้”ซ่งฉือชะงักอีกครั้งแต่เวินหนี่ก็พูดขึ้นว่า “ไม่ได้ยินที่คุณลู่พูดเหรอคะ? บริษัทไม่เลี้ยงคนเกียจคร้าน ถ้าแค่การชงกาแฟซ่งฉือยังทำไม่ได้ แล้วเธอจะทำอะไรได้อีก?”เวินหนี่ราวกับมีหนามอยู่ทั่วตัว และคำพูดของเธอก็ไม่น่าฟังเท่าไรนักสิ่งนี้ทำให้หลี่ถิงและซ่งฉือหายใจแรงขึ้นด้วยความตกใจสถานการณ์นี้ไม่ค่อยปกติเท่าไรนัก หลี่ถิงอยู่กับเวินหนี่มาหลายเดือนแล้ว แม้ว่าเธอจะมีนิสัยเย็นชา แต่เธอก็อ่อนโยนต่อผู้อื่นและไม่เคยขัดประธานเย่เลย ไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็ครอบคลุมดูแลไปทั่วทุกด้านและไม่เคยพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนี้ พวกเธอไม่กล้าหายใจแรง และยืนอยู่กับที่อย่างเชื่อฟัง ดวงตาของเย่หนานโจวมืดมน เมื่อพูดถึงสิ่งนี้ เขารู้สึกไม่พอใจและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เธอเป็นคนหามาเองไม่ใช่หรือไง?”เวินหนี่เม้มริมฝีปาก “ฉันเป็นคนพาเธอมา เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องสอนเธอให้ได้ นี่คือความรับผิดชอบของฉัน ประธานเย่ ฉันจะสอนเธอเอง แบบนี้คงไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ?”เย่หนานโจวต้องการเลขาใหม่เสี
เวินหนี่นิ่งอึ้งเย่หนานโจวมีเวลาว่างไปดูหนังกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?เธอแต่งงานกับเขามานานแล้ว และเขาก็ไม่เคยสนใจที่จะทานอาหารเย็นหรือดูหนังร่วมกับเธอสองต่อสองมาก่อนสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คู่รักควรทำเมื่อเห็นว่าเธอเงียบ เย่หนานโจวจึงถามขึ้นอีกครั้ง “ทำไมไม่ตอบ? ฉันสั่งให้เผยชิงจองร้านอาหารเอาไว้แล้ว ทานข้าวเสร็จก็ไปดูหนังกันแล้วค่อยกลับบ้าน”เวินหนี่ถามด้วยความสงสัย “ทำไมจู่ ๆ ถึงอยากทานอาหารเย็นและดูหนังกับฉันล่ะคะ? เนื่องในโอกาสอะไร?”สำหรับเธอ สงสัยทุกเรื่องที่ผิดปกติโดยเฉพาะระหว่างเธอกับเย่หนานโจวช่วงนี้เธอเอาแต่พูดเรื่องหย่ากับเขา แถมยังเย็นชากับเขามาก เย่หนานโจวแค่อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อชดเชยให้กับเธอ บางทีเธออาจจะไม่มีความคิดนี้อีกต่อไปแล้วก็ได้ เขาพูดขึ้นว่า “ฉันแค่อยากกินข้าวเย็นกับเธอ ไว้เมื่อถึงเวลาแล้วไปกับฉัน”พูดจบเขาก็ยกกาแฟที่เวินหนี่ชงขึ้นจิบ ก่อนจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เปลี่ยนยี่ห้อเหรอ?”เวินหนี่ยังไม่ทันได้อธิบาย “ยี่ห้อที่คุณชอบดื่มหมดแล้ว ฉันเลยเปลี่ยนยี่ห้อใหม่ให้คุณ ไว้ยี่ห้อเดิมส่งมาถึงเมื่อไหร่ฉันจะเปลี่ยนกลับคืนให้ค่ะ คุณดื่มแก้ขัดไปก่อ
เพื่อนของเธอถามขึ้นอย่างสงสัย “เธอรู้ได้ยังไง? เธอเคยบอกว่าร่วมมือกับเย่กรุ๊ป หรือว่าเย่หนานโจวเป็นคนบอกเธออย่างงั้นเหรอ?”เจียงซิงถงมองไปที่ลู่ม่านเซิงที่กำลังเดินมา เธอสวยมากจริง ๆ และเป็นสเป็กของใครหลาย ๆ คน แต่ตอนนั้น เธอถามเย่หนานโจวด้วยตัวเอง และเขาก็บอกว่าไม่มีคนที่ชอบดังนั้นข่าวลือที่บอกว่าพวกเขาเป็นคู่รักกันตั้งแต่สมัยมัธยมนั้นไม่เป็นความจริงเจียงซิงถงสงบสติอารมณ์และเปิดประตูรถลงไปลู่ม่านเซิงบังเอิญเดินผ่านมาและได้ยินเสียงเปิดประตูรถ จึงหันไปมองโดยไม่รู้ตัวก่อนจะหันกลับไป “คุณม่านเซิง” เจียงซิงถงเรียกเธอลู่ม่านเซิงหยุดและหันกลับมามองอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเป็นผู้หญิง เธอจึงลดการระมัดระวังลงตอนนี้ตัวตนของเธอแตกต่างออกไป หากต้องการดึงดูดแฟนคลับใหม่ ๆ เธอจะต้องมีน้ำใจและเข้าถึงง่ายดังนั้นเธอจึงยิ้มและพูดขึ้นว่า “สวัสดีค่ะ”“คุณม่านเซิง ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคุณที่นี่ ฉันเป็นแฟนคลับของคุณค่ะ และฉันก็ดูละครที่คุณเล่นแล้ว มันสนุกมากเลยค่ะ คุณสวยสะดุดตามากกว่าจางจื่อฉีเสียอีก!”เธอเพิ่งทำการบ้านเมื่อครู่ เธอไม่เคยดูละครของลู่ม่านเซิงมาก่อน หลังจากค้นหาในกูเกิ้ล เธอก็ไ
ลู่ม่านเซิงยิ้มอีกครั้งและพูดขึ้นว่า “จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ความลับอะไร หนานโจวเคยยอมรับว่าเขาแต่งงานแล้ว เพียงแค่เขาไม่ต้องการบอกทุกคนว่าภรรยาของเขาคือใคร”“แล้วคุณรู้หรือเปล่าคะ?”ลู่ม่านเซิงตอบ “ฉันรู้ค่ะ แต่หนานโจวไม่ให้ฉันพูด เพราะมันเป็นการแต่งงานแบบลับ ๆ หลังจากแต่งงานกันมานาน แน่นอนว่าเขาไม่อยากให้ทุกคนรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”“เอาล่ะ ฉันมีงานต้องทำ ดังนั้นขอไม่คุยกับคุณแล้วนะคะ ไว้รอฉันว่าง ค่อยเชิญคุณเจียงมาดื่มชาด้วยกัน” พูดจบ ลู่ม่านเซิงก็ขึ้นรถของเธอไป เจียงซิงถงยืนงงอยู่คนเดียวที่นั่นลู่ม่านเซิงเหลือบมองเจียงซิงถงก่อนขึ้นรถพร้อมกับยิ้มเยาะที่มุมปาก“พี่ม่านเซิง ทำไมพี่ไม่ประกาศตัวตนของพี่ไปเลยล่ะคะ ให้คนอื่นรู้ว่าพี่เป็นคนรักของประธานเย่ พวกเธอจะได้รู้สึกกดดันและล่าถอย!” เสี่ยวหยวนผู้ช่วยของเธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงทำเช่นนี้หากเป็นในอดีต ลู่ม่านเซิงคงไม่ได้พูดเหมือนในวันนี้อย่างแน่นอนแต่เธอสังเกตเห็นว่าเจียงซิงถงดูสนใจเกี่ยวกับเย่หนานโจวมาก ดังนั้นจึงแตกต่างออกไปแถมเธอยังบอกด้วยว่าเคยอยู่โรงเรียนเดียวกันกับเย่หนานโจว เธอไม่ได้ใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนนานมากนั
เย่หนานโจวรู้สึกตั้งตารอ เขาไม่ได้เตรียมของขวัญเพื่อทำให้ผู้หญิงพอใจมานานหลายปีแล้ว และเขาก็อยากจะเห็นปฏิกิริยาของเวินหนี่แต่พอออกมากลับพบว่าโต๊ะของเวินหนี่นั้นว่างเปล่าเขาเดินเข้าไปใกล้และเห็นว่าคอมพิวเตอร์ปิดอยู่ เขามองไปที่หลี่ถิงที่กำลังเดินเข้ามาและถามเสียงเย็น “เวินหนี่อยู่ที่ไหน?”หลี่ถิงถือเอกสารในมือมากมายและตอบเขา “พี่เวินบอกว่ามีนัดทานข้าวกับเพื่อนและออกไปเมื่อสิบนาทีก่อนแล้วค่ะ”ใบหน้าของเย่หนานโจวบูดเบี้ยวขึ้นทันที!มีนัดกินข้าวกับเพื่อนอย่างนั้นเหรอ?แฟนหรือว่าเพื่อน?เขาบอกไปแล้วว่าคืนนี้จะกินข้าวเย็นกับเธอไม่ใช่เหรอ?นี่เธอปฏิเสธเขาอย่างงั้นเหรอ?เย่หนานโจวไม่พอใจมากและดวงตาของเขาก็เย็นยะเยือกหลี่ถิงมองดูสีหน้าที่ค่อย ๆ ยิดเบี้ยวของเขา หัวใจของเธอก็กระดอนขึ้นไปที่ลำคอ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เขาถึงได้ไม่มีความสุขแบบนี้เธอรีบพูดทันทีว่า “ประธานเย่ ตอนที่พี่เวินคุยโทรศัพท์ฉันได้ยินว่าเป็นเสียงผู้หญิงค่ะ”เย่หนานโจวเดินออกไปด้วยใบหน้าหล่อเหลาเผยชิงรออยู่ที่ชั้นล่างนานแล้วพวกเขาได้เตรียมตัวในอาหารมื้อนี้ไว้เป็นอย่างดี เมื่อเผยชิงเห็นเย่หนานโจวออกมาโดยไม่มี
อาจ้านตอบว่า “ช้าอีกหน่อยแล้วกัน สถานที่เดิม”หญิงผมแดงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้เลย ฉันจะรอคุณตรงเวลานะ”พูดจบหญิงผมแดงก็รีบเดินออกจากบริเวณของเขาไป พอเธอจากไปแล้ว อาจ้านก็ค่อย ๆ เอาหัวใจของสัตว์กลับใส่ที่เดิม จากนั้นเขาก็เย็บปิดแผลอย่างประณีต แม้ว่าเมื่อครู่จะดูโหดร้ายเลือดสาดสักแค่ไหน แต่ในตอนนี้หัวใจของสัตว์นั้นก็ยังสามารถเต้นได้อีกครั้งเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว อาจ้านถอดถุงมือที่เปื้อนเลือดออก ล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและสบู่หลายรอบ จนกระทั่งไม่เหลือกลิ่นใด ๆ แล้วจึงออกไป เขาขับรถมุ่งหน้าไปยังฟาร์มที่หน้าประตูมีคนยืนเฝ้าอยู่ พอเห็นรถของอาจ้านเข้ามาก็รีบเปิดประตูให้เข้าไป ด้านในฟาร์มมีการปลูกดอกไม้บางชนิดตกแต่งไว้ แต่มีเพียงสตรอเบอร์รีเท่านั้นที่เป็นพืชหลักของฟาร์มสตรอเบอร์รีในแปลงไม่ได้ถูกเก็บไปขาย หลายลูกปล่อยให้เน่าอยู่บนพื้น อาจ้านลงจากรถ สายตาเขาเหลือบมองทุ่งสตรอเบอร์รีที่ได้รับการดูแลมาอย่างดีอย่างพอใจ บนใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มจาง ๆผู้คุมหน้าประตูส่งตะกร้าให้ อาจ้านรับตะกร้ามาแล้วเดินตรงเข้าสู่แปลงสตรอเบอร์รี ทุ่งเบื้องหน้าเต็มไปด้วยผลสตรอเบอร์รีที่สุกงอมจนเป็นส
[ฉันว่าคุณพูดถูกนะ เทียบกันแล้วฉันชอบคลิปสั้นของจางจื่อฉีมากกว่า ชอบบทของเธอในละครเรื่องนั้นจริงๆ!]ใบหน้าของลู่ม่านเซิงแทบเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธคนพวกนี้พูดบ้าอะไรกัน! บอกว่าจางจื่อฉีถ่ายได้ดีกว่าเธออย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้ยังไง! เธอหน้าตาสวยกว่าจางจื่อฉีตั้งเยอะผู้ช่วยของเธอที่อยู่ข้าง ๆ เห็นยอดไลค์ในคลิปสั้นของจางจื่อฉีพุ่งทะลุสิบล้านแล้ว จึงพูดจาดูถูกขึ้นมาทันที “พวกชาวเน็ตเขียนอะไรกัน เห็น ๆ อยู่ว่าคุณเซิงสวยกว่า จางจื่อฉีน่ะอาศัยแค่กระแสความทรงจำ ไม่ได้มีความสามารถจริงจังอะไรเลย แถมดันไปถ่ายคลิปสั้นแบบนี้อีก มันเป็นสิ่งที่คนธรรมดาเขาเล่นกันทั้งนั้น ดาราจะไปโพสต์คลิปบนแอปแบบนี้ได้ยังไง ไร้เกียรติมาก!”ผู้ช่วยของเธอดูถูกวิธีการนี้มาก เพราะส่วนใหญ่ดาราที่โพสต์บนแอปสั้นมักจะเป็นพวกที่ไม่ค่อยดัง พยายามหารายได้จากตรงนี้ เธอจึงไม่สนใจสิ่งนี้เลย“อ๊า!” ลู่ม่านเซิงโมโหถึงกับปามือถือลงพื้น!ผู้ช่วยที่ตอนแรกตั้งใจจะปลอบเธอ ถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นลู่ม่านเซิงปามือถือด้วยความโกรธ “คุณเซิง…”ลู่ม่านเซิงโกรธจนตาแดงก่ำ “ทำไมยอดไลค์ของจางจื่อฉีถึงได้ถึงสิบล้าน มีคนชอบเธอตั้งมา
ทางด้านลู่ม่านเซิงก็กำลังถ่ายทำเช่นกันเธอแต่งกายสไตล์ย้อนยุคแบบเดียวกับจางจื่อฉี“ดีมากเลย เซิงเซิง สวยมาก!” ช่างภาพกล่าวพลางถ่ายจากหลายมุม“มุมนี้ดูดีมาก ได้ภาพสวยเลย!”ช่างภาพชมเธอไม่หยุดระหว่างถ่ายทำลู่ม่านเซิงเองก็มั่นใจในตัวเองสูง เธอตั้งใจถ่ายมาก เพราะรู้ดีว่าเสน่ห์และความงามของเธอเหนือกว่าจางจื่อฉี ซึ่งในวงการบันเทิงแล้ว ความงามถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง หลายคนดังได้จากเพียงรูปลักษณ์เธอเองก็แสดงละครได้ดี แถมยังมีหน้าตาที่โดดเด่น จึงมั่นใจว่าจะเอาชนะจางจื่อฉีได้แน่นอนจริง ๆ แล้วเป้าหมายของเธอไม่ใช่จางจื่อฉี แต่เป็นเวินหนี่เธอจงใจไม่ให้ความร่วมมือกับจางจื่อฉีเพื่อโค่นล้มเวินหนี่ หากเธอชนะจางจื่อฉีได้ ก็จะถือว่าชนะเวินหนี่ด้วยและหากชนะครั้งนี้ก็จะมีครั้งต่อไปเมื่อดูภาพถ่ายของตัวเอง เธอก็พึงพอใจมาก เชื่อมั่นว่าจะขึ้นเทรนด์ในโลกออนไลน์ได้“รีบปล่อยภาพนี้ไปให้เร็วที่สุดนะ ใช้ความร้อนแรงของงานในวันนี้ให้เต็มที่” ลู่ม่านเซิงสั่ง“แน่นอนครับ คาดว่าค่ำนี้น่าจะได้เห็นกันแล้ว!”ริมฝีปากของลู่ม่านเซิงเผยรอยยิ้มมั่นใจ คิดว่าความสำเร็จอยู่ในมือเธอแล้วค่ำวันนั้น สื่อ
เธอยังคงเป็นคนของบริษัทเย่หนานโจว หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น บริษัทก็ย่อมต้องคุ้มครองเธออยู่แล้ว ช่วงนี้ยังมีข่าวมากมายที่ออกมาช่วยลบล้างข่าวเสียของลู่ม่านเซิงอีกด้วยเวินหนี่มองลู่ม่านเซิงในชุดนี้อย่างเย้ยหยัน “เลียนแบบจนได้ดี มันสนุกมากไหม?”คำพูดนี้จี้จุดของลู่ม่านเซิง แต่คราวนี้เธอไม่สนใจ เธอต้องการชนะเสียครั้งหนึ่ง จึงยิ้มตอบอย่างมั่นใจ “เวินหนี่ เธอไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง จะไปรู้ได้ยังไงว่าอะไรที่คนดูชอบ คนที่สวยก็ย่อมมีคนติดตามมากกว่า หรือเธอว่าไม่จริง?”ความหมายก็คือเธอเชื่อว่าตัวเองสวยกว่าจางจื่อฉี แต่แม้ว่าลู่ม่านเซิงจะพูดอย่างนั้น จางจื่อฉีก็มีฝีมือการแสดงที่เหนือกว่า ความเป็นนักแสดงมืออาชีพทำให้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันเรื่องความสวยจางจื่อฉียืนอยู่อย่างสงบ สีหน้าเยือกเย็น ไม่คิดจะโต้เถียงใด ๆ กับลู่ม่านเซิง ราวกับไม่อยากเสียเวลาถกเถียงกับเธอเลยเวินหนี่ก็ไม่ได้สนใจจะโต้แย้งอะไรในเรื่องนี้ เธอเอ่ยขึ้นเพื่อให้ลู่ม่านเซิงเข้าใจอย่างชัดเจนว่า การพึ่งพาคนอื่นนั้นไม่ได้ยั่งยืน “ในเมื่อเธอชอบนัก ก็เอาไปเถอะ จางจื่อฉีไม่ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้ใช้ที่นี่”พอเห็นเวินหนี่รู
เวินหนี่ถ่ายรูปให้จางจื่อฉีไปหลายรูป แม้เธอจะไม่ใช่คนที่โดดเด่นเพราะความสวยงาม แต่ด้วยฝีมือการแสดงของเธอที่ยอดเยี่ยม ก็ทำให้นักแสดงชายหลายคนมีชื่อเสียงได้เช่นกัน ความไม่ถือตัวและความเป็นกันเองของจางจื่อฉีเป็นสิ่งที่เวินหนี่ชื่นชมเมื่อการแสดงแฟชั่นโชว์เกือบสิ้นสุดลง เวินหนี่เดินหาช่างภาพเพื่อนำไปถ่ายภาพเสร็จสมบูรณ์พอเสี่ยวอิ่งเห็นจางจื่อฉี เธอก็ร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตื่นเต้น “จางจื่อฉี! ฉันได้เจอตัวจริงแล้ว!”เวินหนี่เห็นเสี่ยวอิ่งมีปฏิกิริยาขนาดนี้ก็อดแซวไม่ได้ “ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ?”เสี่ยวอิ่งตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอนสิ! ฉันดูละครที่เธอเล่นมาตั้งหลายเรื่อง นี่มันเหมือนฝันไปเลย ฉันได้เจอไอดอลของฉัน ฉันชอบเธอมาก ๆ เลยล่ะ!”จางจื่อฉียิ้มแล้วเดินเข้ามาทักทาย “สวัสดี ฉันคือจางจื่อฉีค่ะ” เธอเอื้อมมือออกไปจับมือกับเสี่ยวอิ่งเสี่ยวอิ่งมองมือของจางจื่อฉีด้วยความตื่นเต้น ราวกับอยู่ในความฝัน เธอจับมือจางจื่อฉีแล้วพูดอย่างซาบซึ้งจนแทบร้องไห้ “นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า? ฉันดูละครที่คุณแสดงมาทุกเรื่องเลยนะคะ ฉันรู้ประวัติของคุณด้วย คุณมาจากต่างจังหวัดแล้วต่อสู้ในวงการบันเทิงตั้งนาน ฉ
เมื่อเปรียบเทียบความสามารถของลู่ม่านเซิงในการสร้างกระแสดังในทางลบ กับความหยิ่งในศักดิ์ศรีของจางจื่อฉีที่ปฏิเสธไม่รับเล่นบทละครที่ไม่ได้คุณภาพแล้ว เวินหนี่ก็รู้สึกได้ถึงความจริงที่ว่าในวงการบันเทิงยุคนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นและดับลงอย่างรวดเร็ว นักแสดงหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนมาแทนที่อย่างรวดเร็ว ขณะที่คนเก่าก็ถูกลืมไปได้ง่ายบางคนอาจโด่งดังจากละครเรื่องเดียว แต่ถ้าไม่มีผลงานต่อไปคอยสนับสนุนจากคนดังแถวหน้าก็อาจตกไปเป็นระดับล่างได้ในพริบตา การแข่งขันในวงการนี้โหดร้ายและไร้ปรานี ต่อให้เวินหนี่ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงเอง เธอก็ยังเห็นความเป็นจริงเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนแม้การเล่นละครที่ด้อยคุณภาพจะทำให้ชื่อเสียงไม่ดี แต่ถ้ามันสามารถเรียกความสนใจจากผู้คนได้ นักแสดงคนนั้นก็สามารถนับเป็น ‘สินค้าทางการตลาด’ ที่ประสบความสำเร็จแล้วเวินหนี่มองจางจื่อฉีและพูดว่า “คุณเป็นนักแสดงที่ดีค่ะ ไม่ใช่แค่ฝีมือการแสดงที่ดี แต่ยังไม่ยอมตามกระแสแบบทั่วไป คนที่เป็นแบบนี้หาได้ยากมาก ขอให้เชื่อเถอะค่ะว่าสักวันคุณจะต้องโด่งดังแน่นอน”จางจื่อฉีรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำชมจากเวินหนี่ เธอจึงยิ้มและพูดด้วยความขอบคุณ “ตอนน
นักข่าวที่มางานนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเธอ เพราะสื่อออนไลน์พัฒนาไปไว ทุกคนต่างก็พยายามเป็นคนแรกในการปล่อยข่าว รายงานแรกที่แม่นยำที่สุดย่อมได้เรตติ้งดีที่สุดแม้งานเดินแบบเวทีทีสเตจนี้จะไม่ใช่ข่าวใหญ่ แต่การถ่ายทอดสดก็ทำให้ทุกสื่อแข่งกันเพื่อเป็นอันดับหนึ่งของกระแสบนรันเวย์ตอนนี้มีนางแบบเดินอยู่บ้างแล้ว บรรดาดาราหลายคนก็อยู่ที่นั่งฝั่งผู้ชม เวินหนี่กำลังมองหามุมที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพ“คุณเวิน”ทันใดนั้นเสียงเรียกเธอก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เวินหนี่หันกลับไปก็พบว่าจางจื่อฉีกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เธอเหลือบมองไปรอบ ๆ เห็นแต่ทีมงานและดาราที่อยู่ด้านใน“คุณจาง ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้คะ?”จางจื่อฉีตอบอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณจางหรอก เรียกว่าจื่อฉีก็พอ”เวินหนี่รู้สึกดีกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว “ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ? เข้าไปด้านในเถอะนะ ตรงนี้มีแต่ทีมงาน เดี๋ยวถ้าโดนนักข่าวรุมถ่ายจะลำบากเอานะคะ!”เวินหนี่รู้ดีว่าพวกนักข่าวนั้นดุดันแค่ไหน การที่จางจื่อฉีออกมาแบบนี้อาจทำให้เธอเสี่ยงต่ออันตรายได้จางจื่อฉีไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร เธอมองไปยังพวกนักข่าวและช่างภาพที่กำล
เย่หนานโจวหัวเราะเย็นชา “เคยเห็นการยินยอมพร้อมใจแบบนี้ด้วยหรือไง?”ปลายสายถึงกับเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็ในเมื่อทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็ควรจะรับผิดชอบตัวเอง ไม่ถึงกับถูกหลอกกันง่าย ๆ เขารู้สึกว่าเย่หนานโจวกังวลเกินไปแต่พอคิดอีกที คงเป็นเพราะความห่วงใยที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ จึงเข้าใจได้ว่าความกังวลของเย่หนานโจวก็มีเหตุผลอยู่เย่หนานโจวเปิดม่านหน้าต่างออก มองออกไปข้างนอก ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความกังวลใจ "เธอแทบไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนเลย ถ้ามีใครสักคนเข้ามาหว่านล้อมไม่กี่คำแล้วเธอดันหลงเชื่อขึ้นมาล่ะ? มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย"ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น เขาจะประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อยหลังจากวางสาย เย่หนานโจวเดินกลับไปที่ห้องเปลี่ยนชุด เวินหนี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาพอดี เห็นเขาเดินเข้ามาตรงเวลา เธอจึงหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมา “ฉันจัดการเองได้”เย่หนานโจวไม่คัดค้าน แต่จ้องมองเธอแล้วกล่าวว่า “ฉันต้องไปทำธุระสักพัก คราวหน้าค่อยมาใหม่แล้วกัน”“ค่ะ” เวินหนี่พูดขณะเป่าผม โดยไม่หันไปมองเขาเมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย เวินหนี่เดินออกมาพร้อมกับเย่หนานโจว“หน
เย่หนานโจวมองเวินหนี่ด้วยสายตาที่จับจ้องไปยังเธอไม่วางตาโดนมองแบบนี้แล้ว เวินหนี่ก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย “ว่ายน้ำเสร็จแล้วหรือยังคะ? ถ้าเสร็จแล้ว ช่วยปล่อยให้ฉันออกไปจะได้ไหม?”เย่หนานโจวสบตาเธอด้วยแววตาที่ลึกล้ำขึ้นทุกที “เธอไม่ได้โกหกฉันแน่นะ?”เวินหนี่ใจเต้นแรง รู้สึกเหมือนร่างกายถูกพันธนาการไว้ด้วยเส้นเชือกที่มองไม่เห็น เธอจึงเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขากลับ “ฉันไม่ได้โกหก”เย่หนานโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อย ๆ คลายมือที่จับเธอไว้ แล้วพูดเสียงต่ำ “เธอโกหกฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันจะไม่ยอมให้เธอโกหกอีกเป็นครั้งที่สอง”เวินหนี่นิ่งเงียบ ตอนนี้ในสถานการณ์ระหว่างพวกเขา ไม่ว่ามันจะเป็นการโกหกหรือไม่ ก็แทบไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว การปกป้องตัวเองด้วยการโกหกก็เป็นเรื่องหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เย่หนานโจวไม่ทำให้เธอลำบากใจไปมากกว่านี้ เขาปล่อยให้เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเปลี่ยนชุดที่เตรียมไว้ให้เวินหนี่เดินเข้าไปข้างในทันที แล้วเลขาหญิงก็ตามเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ในมือ เป็นชุดกีฬาที่สวมใส่สบายและโปร่ง “คุณเวินคะ นี่เป็นชุดที่ท่านประธานเตรียมไว้ให้ค่ะ”เวินหนี่ทั้งตัวเปียกชุ่มไปหม