เธอพูดกับเขาด้วยความหวังดี ไม่ว่าเมื่อก่อนเธอจะเคยชื่นชอบเขามากแค่ไหนก็ตาม แต่ตั้งแต่ที่การแต่งงานของพวกเขาคือธุรกิจ มันก็ไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไปแล้วเธออยากให้ลูกสาวของเธอมีความสุข และไม่ต้องติดอยู่กับการแต่งงานที่ไร้ความรักเช่นนี้เย่หนานโจวไม่ได้หยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ในมือ เขาพอจะเดาออกว่าเติ้งจวนจะพูดอะไร และเขาก็เอ่ยขึ้นเสียงทุ้มว่า “แม่ครับ ผมจะให้คำตอบกับแม่แน่นอนครับ”เติ้งจวนกล่าว “หนีหนี่เองก็ต้องการความสุขเช่นกัน ฉันหวังว่าเธอจะไม่ต้องรอนานเกินไป”คำพูดของเธอชัดเจน ผู้หญิงอย่างเวินหนี่หลังจากหย่าแล้ว เธอจะต้องได้พบกับคนที่รักเธอจากใจจริงแน่นอน พวกเขาอายุเยอะแล้ว ไม่อาจอยู่กับเวินหนี่ไปได้ตลอดชีวิตหากเวินหนี่ต้องการหาที่พึ่งพิงดี ๆ แต่งงานและมีลูก เธอก็หวังว่าจะไม่มีใครเข้ามาขัดขวางลูกของเธอระหว่างทานอาหาร ทุกคนมีช่วงเวลาที่ดีร่วมกันกู้อีอีเคยไปทานข้าวกับผู้คนมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นวันเกิดคุณปู่ หรือเทศกาลสำคัญ ๆ ก็จะมีคนมาทานอาหารร่วมเธอมากมายแต่มันแตกต่างจากความรู้สึกนี้เติ้งจวนได้ยินมาจากเวินหนี่ว่าเด็กคนนี้ไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กในฐานะแม่ เ
อิจฉาที่เวินหนี่มีครอบครัวที่น่ารักแบบนี้เธอรู้ว่าพวกเขารักและห่วงใยเธอเพราะเธอเป็นเพื่อนของเวินหนี่“หยุดร้องไห้ได้แล้ว น้ำตาของผู้หญิงมีค่ามากเลยนะ” เวินจ้าวไม่ชอบเห็นผู้หญิงร้องไห้กู้อีอีไม่สามารถหยุดได้เวินหนี่เป็นคนประเภทที่มีจิตใจอ่อนไหวเธอรู้ว่ากู้อีอีไม่มีพ่อแม่และมีญาติเพียงคนเดียวคือคุณปู่กู้ เธอจึงรู้สึกสงสารอยู่ในใจและอยากพากู้อีอีมาพบพ่อแม่ของเธอ“หยุดร้องได้แล้ว วันนี้ยังร้องไห้ไม่พออีกเหรอ?” เวินหนี่ไม่อยากให้เธอร้องไห้กู้อีอีเช็ดน้ำตา สูดจมูกแล้วถือชานมไว้ในอ้อมแขน “ขอบคุณนะคะคุณลุงคุณป้า หนูจะกลับมาใหม่แน่นอนค่ะ”เติ้งจวนและเวินจ้าวส่งพวกเขาที่หน้าประตู กู้อีอียังคงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้เมื่อเธอลงไปถึงชั้นล่างเวินหนี่ยื่นทิชชู่ให้เธอเย่หนานโจวค่อนข้างเฉยเมยและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ถ้าปู่ของเธอเห็นเธอร้องไห้แบบนี้ เดี๋ยวก็คิดว่าเวินหนี่รังแกเธอหรอก”เวินหนี่กำลังคิดหาวิธีปลอบใจเด็กสาวคนนี้ แต่เย่หนานโจวกลับสาดน้ำเย็นลงบนหัวของเธอเวินหนี่พูด “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณหยุดพูดเถอะ เดี๋ยวก็ทำให้เธอร้องไห้ขึ้นมาจริง ๆ หรอก”ยิ่งกว่าน้ำตาแห่งความซึ้งใ
เธอยื่นกระเป๋าคืนให้กู้อีอีกู้อีอีรู้สึกกังวลเล็กน้อยและถามขึ้นว่า “เมื่อวานเธอคุยโทรศัพท์อยู่ข้าง ๆ ฉันไม่ใช่เหรอ? แค่พริบตาเธอก็หายไปแล้ว แน่ใจเหรอว่าคนที่หายไปเป็นฉัน?”เจียงซิงถงไม่ได้พูดความจริงเธอเห็นกู้อีอีถูกรังแก แต่เธอไม่ได้ยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือเธอเองก็เป็นผู้หญิง แถมยังไม่มีคนติดตามมาด้วย ดังนั้นการยื่นมือเข้าไปยุ่งมีแต่จะสร้างปัญหาให้กับตัวเอง เธอได้แต่เฝ้าดูอย่างเฉยเมย ก่อนจะวิ่งหนีไปในขณะที่พวกเขาไม่ทันสังเกตเธอจะให้กู้อีอีรู้ไม่ได้ว่า เธอรู้ว่ากู้อีอีกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเธอยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่น่ะสิ ฉันมีงานสำคัญต้องคุยกัน พอได้คุยก็ใช้เวลาตั้งครึ่งชั่วโมง หลังจากวางสายฉันก็ไม่เห็นเธอแล้ว ฉันนึกว่าเธอรอไม่ไหวเลยกลับไปก่อน แต่เธอลืมกระเป๋าไว้ที่นั่น ฉันก็เลยเอามาคืนให้น่ะ”“อีอี เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?” เจียงซิงถงถามโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรสิ่งที่เจียงซิงถงพูด หากเป็นเมื่อก่อน กู้อีอีก็คงจะเชื่อเจียงซิงถงเป็นรุ่นพี่ของเธอ ตอนที่เธอไปเรียนต่อต่างประเทศ เธออยู่คนเดียวและไม่รู้จักใครเลยนั้น พอได้มารู้จักกับเจียงซิงถ
คำพูดของเธอทำให้ใบหน้าของเจียงซิงถงแข็งทื่อ และไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรอยู่ครู่หนึ่งตามความเข้าใจของเธอเกี่ยวกับกู้อีอี กู้อีอีเป็นคนหัวอ่อน ตราบใดที่เธอทำดีกับกู้อีอี กู้อีอีก็จะทำดีกับเธอมากล้านเท่าแต่เธอกลับถามคำถามแบบนี้ออกมาแต่คำพูดของกู้อีอีนั้นก็ไม่ได้ไม่สมเหตุสมผลตอนที่พวกเธอยังอยู่ต่างประเทศ เจียงซิงถงไม่รู้ว่าเธอเป็นหลานสาวของคุณปู่กู้ กู้อีอียังเด็กและเป็นครั้งแรกที่ไปต่างประเทศ ดังนั้นนิสัยการใช้ชีวิตจึงแตกต่างออกไปมากเธอไม่คุ้นชินและไม่มีเพื่อน เธอมักจะอยู่ตัวคนเดียวและไม่ชอบสื่อสารกับผู้อื่นเจียงซิงถงได้ยินคนอื่นพูดว่าเธอไม่มีพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งดูน่าสงสารและอ่อนแอ มีประสบการณ์ชีวิตที่น่าสังเวชมากกว่าคนส่วนใหญ่แต่เจียงซิงถงนั้นต่างออกไป เธอเติบโตมาในตระกูลที่มีสิทธิพิเศษ ร่ำรวย และใช้ชีวิตได้ดีในต่างประเทศคนอย่างกู้อีอีต้องการความช่วยเหลือ ส่วนเธอก็จะสามารถได้รับความชื่นชมนับถือจากกู้อีอีได้เช่นกันกู้อีอีถือว่าเธอคือที่พึ่ง และเธอก็จะรู้สึกภาคภูมิใจเธอรู้สึกแบบนั้นมาตลอดและเธอก็เข้ากับกู้อีอีได้ดี หลังจากกลับมาประเทศจีน และรู้ว่ากู้อีอีเป็นลูกส
เธอเคยคิดว่ากู้อีอีเป็นคนที่เชื่อฟังว่าง่ายตั้งแต่เธอกลับมาตระกูลกู้ เธอก็เปลี่ยนไป ดวงตาของเจียงซิงถงเย็นลง หลังจากพูดแขวะกู้อีอีเสร็จ เธอก็เริ่มเกลียดเวินหนี่อีกครั้งถ้าไม่ใช่เพราะเวินหนี่ กู้อีอีก็จะยังคงเป็นกระต่ายน้อยที่เชื่อฟังเธอ ที่ไม่ว่าจะสั่งอะไรก็ทำอย่างนั้น เวินหนี่นี่แหละที่ทำลายเรื่องดี ๆ ของเธอ!…เวินหนี่อาศัยจังหวะที่เย่หนานโจวอยู่ในห้องหนังสือและไม่ได้อยู่กับเธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาทำการช้อปปิ้งออนไลน์เธอซื้อหนังสือการเลี้ยงลูกสองสามเล่มเธอลูบท้องตัวเอง แม้ว่าจะยังไม่ชัดมาก แต่อาจเป็นเพราะเธอรู้ว่าตัวเองกำลังท้อง จึงได้รู้สึกว่าในท้องมีน้ำหนักอยู่เมื่อรู้สึกว่าลูกยังอยู่ เธอก็สบายใจ หนังสือที่เธอซื้อไม่ได้ส่งมาที่บ้านอย่างแน่นอน แต่ส่งไปที่ถังเยาเธอขอให้ถังเยาเซ็นรับให้ และเมื่อเธอมีเวลาก็จะได้ไปหาถังเยาและถือโอกาสอ่านหนังสือด้วยเธอส่งข้อความถึงถังเยาเพื่อเตือนเพื่อนถังเยาตอบกลับมาว่า [เข้าใจแล้ว! ส่งมาที่บ้านฉันได้เลย ไว้ฉันจะอ่านด้วยว่าคนท้องควรกินอะไรถึงจะแข็งแรง และเลี้ยงดูลูกน้อยของเธอให้ดี]ถังเยาทุ่มเทให้กับเธอและคอยคิดแทนเธอเสมอเวิ
ยิ่งเย่หนานโจวสงสัย เธอก็ยิ่งตื่นตระหนก เธอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัวและอธิบายว่า “พ่อแม่รู้ว่าฉันชอบกิน พวกเขาจึงทำให้กินทุกครั้งที่ฉันกลับไป ฉันกินจนเบื่อแล้ว วันนี้ก็เลยไม่ค่อยอยากกินน่ะค่ะ ทำไมจู่ ๆ คุณถึงสนใจอาหารการกินของฉันล่ะคะ?” เย่หนานโจวเงยหน้าขึ้นมองเธอ และเอามือทัดผมของเธอเบา ๆ “ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่าช่วงนี้เธอเปลี่ยนไปมาก เธอสบายดีก็ดีแล้วล่ะ”“แต่...เวินหนี่ เธออย่าปิดบังอะไรฉัน”เธอมองมือที่ยื่นออกมาอย่างห่วงใยเธอและสนิทสนมกับเธอ แต่ปากถามคำถามที่คาดคั้น เธอก็รู้สึกเพียงตื่นตระหนกเท่านั้นเธอจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขาที่ลุ่มลึกและไร้ขอบเขต ราวกับว่าเขารู้ถึงสิ่งที่เธอซ่อนไว้อยู่แล้วเป็นไปไม่ได้หากเขารู้ ปฏิกิริยาของเขาคงไม่เป็นแบบนี้และปกติเขาก็ไม่ค่อยสนใจเธอเท่าไรบางทีเขาอาจจะแค่รู้สึกสงสัยเวินหนี่ฝืนยิ้ม “ฉันไปทำงานและเลิกงานพร้อมคุณทุกวัน จะปิดบังอะไรคุณได้ คุณระแวงเกินไปแล้ว”“ยังจำโจวเสี่ยวหลินได้ไหม?”จู่ ๆ เขาก็กล่าวถึงเธอ สิ่งนี้ทำให้เวินหนี่หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง “จำได้ค่ะ เธอเสียชีวิตแล้วไม่ใช่เหรอคะ”“เธอไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น!”เย่หนานโจวมั่นใจว่าแ
เธอยื่นกุญแจกลับไปอีกครั้ง “ฝากบอกเขาว่าไม่จำเป็น”เผยชิงรู้สึกกระอักกระอ่วน และดันกุญแจใส่ไว้ในมือของเธอ “คุณขับรถคันนี้เถอะครับ ประธานเย่ได้โอนกรรมสิทธิ์เป็นชื่อของคุณแล้ว หากคุณไม่ยอมรับมันผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเขายังไง”ประธานเย่บอกเขาว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้เวินหนี่ขับรถคันนี้ให้ได้ถ้าเธอปฏิเสธ เขาก็จบไม่สวยแน่ และเขาก็จะถูกตำหนิว่าเขาไร้ความสามารถในการทำงาน เวินหนี่เม้มริมฝีปากถือกุญแจรถในมือ และมองดูรถคันใหม่อีกครั้งด้วยความรู้สึกกังวลเย่หนานโจวเขาทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?หากเธอขับรถหรูแบบนี้ไปทำงาน มีหวังคนอื่นได้นินทาว่าเธอมีผู้สนับสนุนเบื้องหลังแน่ ๆ เผยชิงเห็นว่าเธอลังเล ดังนั้นจึงอาศัยจังหวะที่เธอไม่ได้พูดอะไร ก็ชิงพูดขึ้นก่อนว่า “จะสายแล้วครับ ผมมาขับรถพอดี เดี๋ยวจะไปส่งคุณเอง”เผยชิงหยิบกุญแจรถ แล้วรีบเข้าไปรอเวินหนี่เวินหนี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเย่หนานโจวกำลังคิดอะไรอยู่ จู่ ๆ ก็ให้เธอขับรถหรูขนาดนี้เธอรู้ว่าเขาใจกว้าง แต่เธอก็ต้องระวังเพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยแน่นอนว่าต้องจอดที่โรงจอดรถส่วนบุคคล และไม่ค่อยมีคนเห็นเธอกำลังจะสายแล้ว จึงยอมตามเผยชิงไป
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ดูเป็นกังวลของเธอ เวินหนี่ก็เงยหน้าขึ้นมองหลี่ถิงอีกครั้งสายตาของหลี่ถิงมองไปยังห้องทำงานของเย่หนานโจว ราวกับเธออยากให้เธอไปที่นั่นตามปกติ หลี่ถิงจะไม่ค่อยอยากให้เธอกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ในห้องทำงานของเย่หนานโจว นอกเสียจากว่าเธอเชื่อข่าวลือที่เพื่อนร่วมงานซุบซิบกัน และมีบางอย่างเกิดขึ้นในห้องทำงานของเขาจริง ๆ หลายครั้งเป็นเพราะหลี่ถิงความรู้สึกช้าจึงไม่ได้คิดอะไรมาก และผลักตัวเองให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเธอไม่ขยับ มือของเธอยังคงพิมพ์คีย์บอร์ดอยู่ และเธอพูดอย่างเรียบนิ่ง “ห้องทำงานของเขาทำไม? เรื่องของประธานเย่ คิดว่าฉันจะเข้าไปยุ่งได้หรือไง?”จริง ๆ แล้วเธอแค่ต้องการบอกหลี่ถิงว่าอย่าเก็บข่าวลือของเพื่อนร่วมงานเหล่านั้นมาใส่ใจ เมื่อหลี่ถิงเห็นว่าเธอยังคงดูคอมพิวเตอร์และไม่ได้ร้อนรนใจอะไร จึงอดไม่ได้ที่จะพูดกับเธอว่า “ลู่ม่านเซิงมาที่นี่ตั้งแต่เช้า ประธานเย่ให้เธอไปที่ห้องทำงาน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา ข้างในจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ ๆ ค่ะ”เธอไม่อยากให้เวินหนี่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากเธอเป็นเพียงภรรยาของประธานเย่ ก็ควรนั่งตำแหน่งภ
“ไม่ใช่ค่ะ” เวินหนี่ตอบสีหน้าของเย่หนานโจวเปลี่ยนไปและเขาก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ใกล้จะเป็นอดีตภรรยาแล้วครับ!”คุณหมอถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบ เขาจึงรีบตอบไปว่า “ผู้ป่วยมีอาการกระทบกระเทือนเล็กน้อยและกระดูกมือร้าว เธอจะหายดีหลังจากพักผ่อนสักระยะหนึ่ง พวกคุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป”นี่เป็นเรื่องที่ดี เวินหนี่ตอบไปทันที “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”“ด้วยความยินดีครับ”ทั้งสองตามเย่จื่อเข้าไปในวอร์ดเวินหนี่เห็นว่าริมฝีปากของเย่จื่อดูแห้งผาก ดังนั้นจึงรีบหาน้ำอุ่นมา และชุบด้วยสำลีก่อนจะเช็ดให้ชุ่มชื้นเย่หนานโจวเฝ้าดูจากด้านข้างในวอร์ดมีคนไม่มากนัก เพื่อป้องกันไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วยเวินหนี่ไม่วางใจ ดังนั้นเธอจึงนั่งลงตรงข้ามเขาอีกครั้ง โดยมุ่งเน้นไปที่การเฝ้าเย่จื่อหลังจากที่เฝ้าได้สักพัก เธอก็รู้สึกง่วงจนเปลือกตาสั่น จากนั้นเธอก็เผลอฟุบหลับไปเมื่อเวินหนี่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะความตกใจ เธอฝันว่ามันมืดสนิทและอยู่ในพื้นที่แคบ ๆกลัวอะไรก็ได้อย่างนั้น แม้แต่ในความฝันก็ยังไม่ปล่อยเธอไป เธอมักจะฝันแบบนี้ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลยเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีเสื้อคลุม
หรือว่าเขาจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว?เธอเคยได้ยินเย่จื่อพูดอยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ยังไม่ได้คิดถึงเหตุผลบางทีเย่หนานโจวอาจรู้มานานแล้ว จึงเข้าใจโดยปริยาย“เวินหนี่”ลู่เซินเข้ามาหาเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พักสักหน่อยไหม เดี๋ยวร่างกายจะทนไม่ไหวเอานะ”เวินหนี่ยืนนานแล้วและรู้สึกปวดหลัง แต่เธออยากรอให้เย่จื่อออกมา จึงนั่งลงข้าง ๆ “ฉันอยากรอจนกว่าคุณอาจะฟื้น”“ผมจะรอเป็นเพื่อนคุณเอง” ลู่เซินพูดขึ้นอีกครั้งเวินหนี่พยักหน้าไปทางเขาร่างสูงของเย่หนานโจวเอนตัวไปที่กรอบประตูและเหลือบมองความกังวลของลู่เซินที่มีต่อเวินหนี่ ดวงตานั้นแทบจะมีน้ำล้นออกมาได้ และเวินหนี่ก็ดูเหมือนพร้อมยอมรับน้ำใจของเขาคลื่นแห่งความกระสับกระส่ายโจมตีร่างกายของเย่หนานโจวอีกครั้งดวงตาของเขาเย็นขึ้นและจงใจเตะเก้าอี้ข้าง ๆ ให้มีเสียงนั่นคือเก้าอี้ที่ลู่เซินนั่งอยู่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เย่หนานโจวก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “โทษที บังเอิญเตะโดนเข้าน่ะ!”“ไม่เป็นไร” ลู่เซินไม่ได้ติดใจอะไรเย่หนานโจวกลับพูดขึ้นอีกว่า “ตรงนี้คือพื้นที่รอสำหรับญาติ ไม่ทราบว่าคุณลู่มาที่นี่ทำไมกัน ที่บริษัทของคุณไม่ยุ่งเหรอครับ?”
เขาไม่ได้โต้เถียงกับเธอ และเพิกเฉยต่อเสียงร้องไห้ของเธอสำหรับเขา น้ำตาของเย่ซูเฟินนั้นไร้ค่าเย่ซูเฟินในฐานะผู้หญิง เมื่อเห็นความเฉยชาของสามี มันก็ค่อย ๆ ทำลายแนวป้องกันในใจของเธอทีละน้อยและโวยวายขึ้นอย่างอารมณ์ร้อน “พูดมาสิ ทำไมถึงไม่พูดล่ะ ในสายตาของคุณ เย่จื่อสำคัญกว่าฉันใช่ไหม ฉันเป็นภรรยาของคุณนะ เย่เหว่ยถิง คุณจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้!”เธอร้องไห้จนตาแดง อยากให้สามีเอาใจใส่เธอบ้างแค่หันมามองเธอสักครั้งก็สามารถสงบความโกรธและความกังวลของเธอได้เย่เหว่ยถิงเงียบและทำเหมือนเย่ซูเฟินคือคนแปลกหน้าอย่างเย็นชาเย่หนานโจวมองการอยู่ร่วมกันของพวกเขา เขาเห็นสิ่งนี้จนชินจึงไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆสำหรับเขา พวกเขาคือพ่อแม่ของตนเพียงในนามเท่านั้นการเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทำให้เขาชินมานานแล้วถึงขั้นทำให้เขารู้สึกไม่แยแสเย่เหว่ยถิงทนเย่ซูเฟินไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงลุกขึ้นและพูดกับเย่หนานโจวว่า “ฉันจะลงไปแล้ว ถ้าเย่จื่อฟื้นค่อยบอกฉัน!”เย่หนานโจวลดสายตาลงด้วยสายตาเย็นชาและไม่ตอบอะไรเย่เหว่ยถิงเองก็ไม่ได้รอคำตอบจากเขา เขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับเย่หนานโจว เขารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง
เมื่อเห็นความเฉยเมยของเขา เย่ซูเฟินจึงพูดขึ้นว่า “หนานโจว!”เย่หนานโจวไม่ต้องการฟังเธออีกและเดินจากไปด้วยใบหน้าที่เย็นชาเย่ซูเฟินต้องการพูดอะไรบางอย่างกับเย่หนานโจว แต่ลู่ม่านเซิงร้องไห้และถูกรังแก เธอจึงไปไหนไม่ได้ และทำได้เพียงเดินไปพยุงลู่ม่านเซิง “เซิงเซิงลุกขึ้นเถอะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว”ลู่ม่านเซิงถูกพยุงขึ้น เธอซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเย่ซูเฟิน “คุณป้า หนูมันน่ารำคาญมากจนทุกคนไม่ชอบใช่ไหมคะ!”“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ฉันชอบเธอ ทุกคนต่างก็ชอบเธอ”เย่ซูเฟินตบหลังลู่ม่านเซิงเพื่อปลอบเธอลู่ม่านเซิงยังคงร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเย่ซูเฟินเห็นแบบนี้ แม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายผิด แต่ก็ดูเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ใครจะกล้าไปว่าอะไรเธอได้ ถ้าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลและมีคนอยู่มากมาย เวินหนี่คงอยากจะฉีกหน้ากากของลู่ม่านเซิงออกเพื่อดูว่าเธอจะเสแสร้งได้สักแค่ไหน แน่นอน เธอรู้ดีว่าไม่ว่าลู่ม่านเซิงจะจริงหรือเท็จแค่ไหน เย่ซูเฟินก็จะยังคงปกป้องเธอความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอดูเหมือนไม่ชัดเจนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น “เย่จื่อเป็นยังไงบ้าง?”เวินหนี่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นเย่เหว่ยถิงเดินเข้ามาเขาสวมชุดสูทแ
ขณะที่เย่ซูเฟินกำลังปกป้องลู่ม่านเซิง เวินหนี่ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชาเมื่อเย่ซูเฟินเห็นเวินหนี่พูดแบบนั้น เธอจึงพูดขึ้นว่า “เวินหนี่ เซิงเซิงเป็นถึงขนาดนี้แล้ว อย่าอาศัยโอกาสนี้ซ้ำเติมเธออีก!”ปฏิกิริยาแรกของเธอคือปกป้องคนที่อ่อนแอไว้เวินหนี่เดินเข้าไป เห็นลู่ม่านเซิงร้องไห้หนักและดูอ่อนแอจนเกินบรรยาย “ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ พวกคุณมีใครกังวลเกี่ยวกับคุณอาบ้าง สิ่งที่คุณกังวลคือกลัวว่าลูกชายจะไม่เอา ส่วนลู่ม่านเซิงเธอกล้วว่าถูกกล่าวโทษเลยมาเสแสร้งทำเป็นน่าสงสารที่นี่ ฉันเห็นกับตาตัวเองว่าคุณผลักคุณอาลงมา และลู่ม่านเซิงก็น่าจะเป็นผู้ที่ยุยง!”คุณอาถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทำให้เวินหนี่ไม่ต้องการไว้หน้าพวกเธอ “อย่ามาพูดจาไร้สาระ!” เย่ซูเฟินตวาด “ฉันผลักเย่จื่อก็จริง แต่ฉันแค่ผลักเบา ๆ ทำไมเธอถึงไม่คิดบ้างล่ะว่าเย่จื่อจงใจล้มลงไปเอง”เวินหนี่มองไปที่เย่ซูเฟิน “แรงผลักของคุณมันไม่ได้เบา เราทุกคนต่างก็เห็น”เมื่อเย่ซูเฟินเห็นท่าทีของเวินหนี่ น้ำเสียงของเธอก็ดังมากยิ่งขึ้น “เวินหนี่ เธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้ ยังไงฉันก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโส เป็นแม่สามีขอ
“ไม่ใช่นะ…” เย่ซูเฟินกล่าว “ลูกยังเป็นลูกชายของแม่ แม่เสียใจมากและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดใช้ให้ลูก…”“ผมไม่ต้องการมันแล้ว” ดวงตาของเย่หนานโจวเย็นชา “การเรียกคุณว่าแม่มันคือความอดทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม และคุณก็ควรจะพอใจได้แล้ว!”เย่ซูเฟินอดไม่ได้ที่จะถอยกลับไปสองสามก้าวและพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ลูกจะทำกับแม่แบบนี้ไม่ได้นะ อย่าเป็นเหมือนพ่อของลูก ไม่อย่างนั้นแม่พาลูกกลับมามันจะมีความหมายอะไร!”เย่หนานโจวพูดอย่างเย็นชา “หากมีผม การเอาชนะใจสามีของคุณมันถึงจะมีความหมาย แต่น่าเสียดายที่ความพยายามทั้งหมดของคุณมันไร้ประโยชน์!”ทุกคำพูดเหมือนมีดที่ทิ่มแทงใจของเย่ซูเฟินในตอนนั้นการแต่งงานของเธอกับเย่เหว่ยถิงนั้นค่อนข้างน่าขัน เป็นเพียงเพราะเธอดื้อดึงที่จะแต่งงานกับเขาเย่เหว่ยถิงไม่ได้รักเธอเลย ตรงกันข้ามเขาเกลียดเธอเธอคิดว่าตราบใดที่เธอแต่งงานกับเขา เย่เหว่ยถิงก็จะเป็นของเธอเมื่อเรื่องราวมันเลยจุดที่จะเข้าไปแก้ไขได้ มีอะไรที่จะผ่านไปไม่ได้อีก?แต่เธอคิดง่ายเกินไป เย่เหว่ยถิงไม่กลับบ้านและปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในห้องที่อ้างว่างเธอใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเอาชนะใจสามีแม้กระทั่ง
“หนานโจว”ในระหว่างที่โต้เถียงกับเย่จื่ออยู่นั้นเย่ซูเฟินก็สังเกตเห็นเขา และเธอก็ตกใจเล็กน้อยเวินหนี่เองก็มองไปและเห็นเย่หนานโจวยืนอยู่ข้างหลัง ดวงตาของเขาเย็นชาและดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่พวกเธอพูดกลับกัน เขากลับยอมรับความจริงนี้อย่างสงบนิ่งเย่จื่อตกใจเมื่อเห็นดวงตาของเย่หนานโจวในขณะนี้ สิ่งที่เธอเสียใจคือการที่เธอหุนหันพลันแล่นพูดออกไปว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเย่ซูเฟิน เพราะมันถือเป็นการโจมตีเขาเธอมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเธอมองเพียงเย่หนานโจว “หนานโจว…”เย่หนานโจวไม่ได้พูดอะไรมากเขาเพียงแค่รู้ว่าพวกเธอมาที่สุสานและอาจจะเกิดเรื่องขึ้น เขาจึงเป็นกังวลและแวะเข้ามาดูหน่อยเท่านั้น เย่ซูเฟินโกรธมากขึ้น “เย่จื่อ เธอกำลังพูดอะไร เธอจะให้ฉันมีความสุขไม่ได้เลยใช่ไหม เธอมันสมควรตายจริง ๆ!”เธอผลักเย่จื่ออย่างแรงความสนใจของเย่จื่อมุ่งไปที่เย่หนานโจว ความโกรธของเธอลดลงมากและลดความเกรี้ยวกราดลง ในใจคิดแต่ว่ามันจะสร้างบาดแผลให้เขาหรือไม่เธอไม่ทันได้สังเกตเห็นการกระทำของเย่ซูเฟินและเธอก็ถูกผลักลงบันไดไปทันทีสติของเวินหนี่ยังไม่ทันกลับมาจากการที่เย่หนานโจวไม่ใช่ลูกแท้
“ดังนั้นเธอจึงทำทุกอย่างเพื่อทำลายครอบครัวทีละครอบครัว! เธอไม่เคยคิดถึงความผิดของตัวเองเลย!”“ฉันไม่ผิด!” เย่ซูเฟินพูดอย่างเดือดดาล “ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเธอบีบบังคับฉันเอง!”เมื่อเห็นว่าทุกคนอารมณ์ร้อน ลู่ม่านเซิงจึงเกลี้ยกล่อมจากด้านข้าง “คุณอา อย่าเถียงกับคุณป้าเลยค่ะ เธอแค่หุนหันพลันแล่นไปเท่านั้น ฉันไม่เป็นไรค่ะ และฉันก็ไม่ได้โทษคุณอาเลย คุณป้าพวกคุณต่างก็ถอยคนละก้าวเถอะนะคะ”“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!” เย่จื่อมองไปที่ลู่ม่านเซิง และพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ถ้าเธอไม่ได้โทษฉัน แล้วจะเล่าให้เย่ซูเฟินฟังทำไม เธออยากให้เย่ซูเฟินออกหน้าให้ไม่ใช่เหรอ? เสแสร้งแกล้งทำ ภายนอกดูใสซื่อ แต่ภายในคิดไม่ซื่อ ฉันล่ะเกลียดคนแบบเธอที่สุด!”เมื่อเห็นแบบนั้นเย่ซูเฟินก็ผลักเธอทันที “เธอกำลังดุใคร รู้ว่าเซิงเซิงสูญเสียการได้ยิน แต่ยังแอบพูดไม่ดีลับหลังเธอ เธอมันชั่วร้ายแค่ไหนกัน?!”“ถึงฉันจะชั่วร้ายแต่ก็ไม่ได้ขาดคุณธรรมเหมือนเธอ!” เย่จื่อก็ผลักกลับคืนไปเช่นกัน“เธอลงมือกับฉันงั้นเหรอ?”เย่ซูเฟินจ้องเธอด้วยความโกรธ “วันนี้มีเธอก็ไม่มีฉัน!”“ลองดูสิว่าฉันจะฉีกเธอเป็นชิ้น ๆ ไหม!”เย่จื่อไม่พูดพล่ำทำเพลงเข้าไปต
เย่จื่อไม่คาดคิดว่าเย่ซูเฟินจะโทรมาหาเธอ ซึ่งทำให้เธออารมณ์เดือดขึ้นทันที "ทำไม? หรือว่าเป็นลู่ม่านเซิงที่บอกอะไรกับเธอ ฉันจัดการเธอแล้วยังไงล่ะ!""ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?" เย่ซูเฟินพูดด้วยความโกรธ เพราะอยากจะจัดการกับเย่จื่อให้ได้"ฉันต้องบอกด้วยเหรอ? คิดว่าเธอเป็นใคร!" เย่จื่อไม่สนใจที่จะเคี้ยวเมล็ดแตงโมแล้ว ปัดมันออกไปพร้อมกับกำลังมองหาที่ระบายความโกรธเย่ซูเฟินหัวเราะเยาะ "กลัวสินะ กลัวฉันจะหาตัวเจอ ฉันรู้แล้วว่าโรงงานเสริมความงามของเธอโดนพังเสียหายหมด ตอนนี้ถึงกับต้องหลบซ่อนตัวเหมือนเต่าหดหัวแล้ว!""ฉันเนี่ยนะกลัว? ฉันเคยกลัวเธอสักครั้งไหม! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแต่งงานกับเย่เว่ยถิง ฉันไม่เคยนับเธอเป็นคนของตระกูลเย่ด้วยซ้ำ!" เย่จื่อตอบกลับอย่างกระแทกกระทั้น"งั้นก็ออกมาสิ มาสู้กันต่อหน้า!" เย่ซูเฟินท้าทาย"ก็ได้ ออกมาก็ออกมา เย่ซูเฟิน ถ้าเธออยากจะตัดขาดกับฉันจริง ๆ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว!" พูดจบ เย่จื่อก็ตัดสายทิ้งและหยิบกระเป๋าขึ้น เตรียมออกไปข้างนอกทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น เวินหนี่รีบพูดขึ้น "คุณอาคะ คุณอาจะไปไหนคะ หนูจะไปด้วย"เย่จื่อหันมามองเวินหนี่ "เธอไม่ต้องไป เย่ซูเฟิ