“ว้าย!” เสียงผู้หญิงที่เขาควงมาด้วยร้องวี้ดว้ายและนั่งลงช่วยพยุงเขา ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มเข้ามามุงดู
“ไอ้ไทธรณ์ แกกล้าชกฉันเหรอ แกรู้จักฉันน้อยไปแล้ว ฉันจะฟ้องพ่อให้จัดการแก” กฤษณ์ถูกชกจนเซล้มก้นกระแทกพื้นชี้หน้าไทธรณ์
“ให้มันรู้กันไปว่าใครจะโดนจัดการกันแน่” ไทธรณ์หันหลังกลับไม่สนใจเสียงโหวกเหวกโวยวายแถวนั้น เขาโอบเอวรสิตาที่ยืนตะลึงอยู่แล้วพากลับไปที่รถ ก่อนจะขับรถออกจากร้านไป โดยในใจก็คิดหาวิธีจะจบปัญหากับชายหนุ่มคนนี้เสียที เขาไม่อยากให้รสิตาเสียหายกับเรื่องแบบนี้
“มีคนมาบอกพ่อว่ามีเรื่องกันที่ร้านอาหารหรือแนน?” น้ำเสียงเยือกเย็นและหนักแน่นยิงคำถามทันที ที่รสิตาและไทธรณ์ก้าวเท้าผ่านประตูห้องรับแขกเข้ามา เจ้าสัวปรีชานั่งรอลูกสาวอยู่นานพอสมควรแล้ว หลังจากได้ข่าวว่า ไทธรณ์และรสิตามีเรื่องชกต่อยกับลูกนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ร้านอาหาร ไทธรณ์เหลือบมองบอดี้การ์ดชุดดำกระจายตัวยืนอยู่ทั่วบริเวณบ้าน แล้วแอบกลืนน้ำลายลงคอ
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณพ่อ ทุกอย่างเรียบร้อยดี แนนก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยนี่คะ” รสิตาเดินปรี่เข้าไปนั่งข้างบิดา และโอบกอดเอวหนาพร้อมกั
“เอ่อ...เรานอนห้องเดียวกันก็ได้นะแนน พี่สัญญาว่าจะเป็นเด็กดี” รสิตาหลุดยิ้มออกมากับคำบอกกล่าวของไทธรณ์“แนนมั่นใจในตัวพี่ไทค่ะ” หญิงสาวยิ้มหวานให้สมาชิกร่วมห้องคนใหม่ของตน“พี่ไทอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวเราค่อยมาคิดหาทางออกกัน” รสิตาพูดเพื่อให้กำลังใจไทธรณ์ หญิงสาวรู้สึกสงสารเขาที่ถูกบิดาของตนบังคับ ดูท่าทางไทธรณ์จะอึดอัดอยู่ไม่น้อยประตูห้องน้ำปิดลง พร้อมกับรอยยิ้มผุดพรายขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา แววตาหม่นเศร้าที่ดูอึดอัดหายไปในบัดดล เขาแทบจะผิวปากออกมาด้วยซ้ำ ถ้าไม่กลัวว่าคนข้างนอกจะได้ยินหญิงสาวในชุดนอนสายเดี่ยวกระโปรงยาวเหนือเข่านิดหน่อย เนื้อผ้าแสนบางเบาสีขาวนวล นั่งบนเตียงกว้างคนละมุม กับชายหนุ่มในชุดนอนกางเกงเนื้อนิ่มขายาวและเสื้อสีขาว ทั้งสองสบตากันแล้วถอนหายใจ คนหนึ่งถอนหายใจด้วยความเห็นอกเห็นใจอีกคน ที่ถูกบังคับกักขังให้อยู่ในบ้านของตน อีกคนถอนหายใจเพราะภาพที่ปรากฏแก่สายตาตรงหน้าทำให้ร่างกายชักร้อนรุ่ม จนเริ่มจะควบคุมยากรสิตาสาบานได้เลยว่าเธอมีแต่ชุดนอนแบบนี้ และเธอก็ถือว่ามันเป็นเรื่องปกติมากในการที่จะใส่ชุดแบบ
รสิตาลืมตาขึ้นทันทีเมื่อพลิกกายมาอีกด้านสำเร็จ แต่ทำไมถึงได้รู้สึกโล่งๆ หญิงสาวขมวดคิ้วเป็นโบสองชั้นในความมืด ก่อนจะเบิกตากว้างพลิกตัวกลับมาสบตาคนที่นอนมองเธออยู่ก่อนแล้ว ไทธรณ์ชูนิ้วชี้ที่เกี่ยวซับในขึ้น แล้วสะบัดไปด้านหลังอย่างไม่ไยดี เจ้าของซับในอ้าปากค้าง สปริงตัวลุกขึ้นนั่งทันทีแล้วเอื้อมมือไปสุดแขนเพื่อจะแย่งคืน แต่ทันซะที่ไหนล่ะท่านั่งคุกเข่าของรสิตามองหาซับในที่ปลิวตกไปอยู่ข้างเตียง ทำให้ไทธรณ์ร้อนรุ่มจนเลยขีดการควบคุมตนเอง ชายหนุ่มดึงร่างบางให้คร่อมขาอยู่บนร่างของตน“พี่ไททำอะไรน่ะ ไหนบอกว่าจะเป็นเด็กดี” รสิตาโวยวายในความมืด มือบางทุบอกแกร่งรัว“พี่เป็นเด็กดีมาตลอดล่ะ แต่ตอนนี้พี่โตแล้วนี่ และก็ไม่ได้สัญญาว่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีซะหน่อย” เป็นไงล่ะวาจาของนายใหญ่ รสิตาพยายามเอามือมาปิดกึ่งกลางกายของตนที่มันอ้ากว้างอยู่บนหน้าท้องแกร่งของชายหนุ่ม แต่พอเอามาปิด คนตัวโตก็ดึงออก จะหุบขาเข้ามือใหญ่ก็ดันออก ความชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นบนเตียงกว้างอย่างเลี่ยงไม่ได้“อ๊า” จะเป็นเสียงใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เสียงคนที่แรงน้อยกว่า ไทธรณ์ใช้แรงที่มากกว่าพลิกร่างรสิตาให้นอนห
ไทธรณ์คลายอ้อมกอดแล้วจับร่างบางหันหลังให้นั่งบนตักตัวเอง จมูกโด่งดอมดมไปตามไหล่เนียน มือหนาควานสะเปะสะปะไปทั่วร่างนุ่มนิ่มด้านหน้า รสิตาต้องตามตะครุบไว้ และยึดสองมือร้อนร้ายกาจไว้แน่น“พี่ไทเป็นเด็กดื้อ” รสิตาเอ่ยเสียงเบา“หึๆ” ไทธรณ์หัวเราะเบาๆ ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอดแน่น เขาพยายามข่มความรู้สึกที่ยังไม่มอดดับไปทั้งหมด“แนนนอนเถอะ พี่ขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะครับ” ชายหนุ่มวางร่างนุ่มนิ่มลงอย่างแสนเสียดาย เขาห่มผ้าให้รสิตา ก้มลงจุ๊บหน้าผากมนเบาๆ แล้วรีบลุกเข้าห้องน้ำไปไทธรณ์ใช้น้ำเย็นในการดับอารมณ์รักที่ยังคุกรุ่นอยู่ แค่นี้มันไม่พอสำหรับผู้ชายสุขภาพดีและแข็งแรงอย่างเขา เพียงแต่ไทธรณ์ยังต้องการให้คืนเข้าห้องหอมีความหมายอยู่ เขาคงต้องจัดงานแต่งงานพร้อมกับน้องชายเลย สมใจคุณกานดาเขาล่ะ จัดงานครั้งเดียวได้ลูกสะใภ้ตั้งสองคน ป่านนี้แม่ของเขาคงกระโดดดีใจแล้วมั้ง ที่รู้ว่าลูกชายถูกกักตัวอยู่ที่นี่ จะว่าไปเมื่อตอนกลางวันเขาเกือบหลุดเก๊กดีใจ ตอนที่เจ้าสัวปรีชาบอกให้อยู่ที่นี่เลย เขาเองคิดถึงรสิตามาก ยิ่งคิดถึงภาพคืนเร่าร้อนที่เขาพาเธอข้ามผ่านไปด้วยกันภายในห้องนอนที่ออฟฟิศ
“เราเป็นสามีภรรยากันแล้วนะครับ” ไทธรณ์ถือโอกาสรั้งเบาๆให้คนตัวเล็กเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตน แล้วกระซิบข้างหูเบาๆ“ค่ะ...รับทราบค่ะคุณสามี”รสิตาตอบรับยิ้มๆอยู่ชิดแผงอกกว้างถ้าอย่างนั้นคืนนี้ก็เป็นคืนเข้าหอสินะ...รอยยิ้มฉาบอยู่บนในหน้าคมเข้มเมื่อคิดถึงคืนนี้“อ้าว! ตาธีร์ หนูไอ วันนี้กินข้าวเที่ยงกับแม่เลยนะ แล้วค่อยไปดูชุดที่ร้าน แม่ไปหาพระอาจารย์คอนเฟิร์มฤกษ์เดือนหน้ามาแล้วนะ ฤกษ์ดีสำหรับแต่งทั้งสองคู่” คุณกานดาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กจูงมือลูกสะใภ้ขึ้นมาบนเรือนไทย“สองคู่!” ธีร์ภาณุและไอรักเอ่ยขึ้นพร้อมกัน“จะตกใจอะไรกัน ก็ตาธีร์กับหนูไอ ตาไทกับแนนไง เฮ้อ! ในที่สุดแม่ก็จะได้นอนตายตาหลับเสียที เจ้าทโมนทั้งสองได้เป็นฝั่งเป็นฝากับเขาแล้ว”“ทำไมอยู่ดีๆ พี่ไทถึงได้แต่งปุ๊บปั๊บล่ะครับ” ธีร์ภาณุยังไม่หายสงสัย เพราะไม่เห็นพี่ชายจะเล่าอะไรให้ตนฟังเลย นี่เขาพลาดอะไรไปหรือเปล่า ถึงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพี่ชายตนเอง คุณกานดาเลยต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกชายคนเล็กฟัง ธีร์ภาณุแอบหลุดขำเล็กน้อย เมื่อรู้ถึงเห
“ก็ได้ครับ นอนคนเดียวพี่คงเหงาน่าดู” ธีร์ภาณุก็ยังอดไม่ได้ที่จะตีหน้าเศร้า แต่ชายหนุ่มก็ยินยอมที่จะทำตามที่ไอรักต้องการ เขาไม่ได้กลัวว่าจะโดนฟ้อง เพราะยังไงผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็ยินยอมพร้อมให้ที่จะจับคู่ให้เขาอยู่แล้ว เพียงแต่เขาต้องการให้ไอรักมั่นใจในตัวเขา ว่าทำตามที่พูดได้จริงๆ ไอรักยิ้มให้กับชายหนุ่ม“ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวพี่ธีร์ต้องกลับมาส่งหนูไออีก กว่าจะกลับไร่เดี๋ยวจะค่ำมืด”“หนูไอเป็นห่วงพี่ใช่ไหมครับ” ไอรักยิ้ม“ค่ะ เป็นห่วง”“ดีใจจัง” ธีร์ภาณุพูดจบก็หมายจะหอมแก้มนวลอีกสักฟอด ไอรักรู้ทันเบี่ยงตัวหลบทันท่วงที“พอแล้วค่ะพี่ธีร์ ไปค่ะ”หญิงสาวออกแรงดึงชายตัวโต ให้เดินตามกันไปขึ้นรถเพื่อจะลองชุดที่ร้าน เพราะดูๆสถานการณ์แล้ว ถ้ายังยืนคุยกันอยู่ตรงนี้ เธอต้องเสียค่ามัดจำไปอีกหลายกระบุงโกยแน่นอน“อยากให้ถึงวันแต่งงานเร็วๆจัง พี่จะตรอมใจตายก่อนไหมหนอ?” ธีร์ภาณุออดอ้อนคนนั่งข้างๆ ขณะที่ขับรถอย่างสบายอารมณ์ ไอรักยิ้มหวานให้อย่างรู้ทัน“อย่างพี่ธีร์ไม่มีทางตรอมใจตายหรอกค่ะ หรือถ้าจะตรอมใจตายจริงๆ ก็ดีน
รสิตาขับรถไปตามทางอย่างระมัดระวังเพราะถึงแม้จะชินทาง แต่เธอก็ไม่ประมาท หากแต่สองสาวก็ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีรถจักรยานยนต์ขับตามมาตั้งแต่ออกจากร้าน และพอถึงเส้นทางเปลี่ยวก่อนถึงทางเข้าไร่มันก็เร่งเครื่องแซงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว“นั่นอะไรน่ะ! พี่แนนระวังนะคะ” แสงจากไฟหน้ารถทำให้หญิงสาวทั้งสองเห็นภาพรถจักรยานยนต์ล้มขวางอยู่กลางถนน ซึ่งส่งผลให้รสิตาต้องเหยียบเบรกกะทันหัน“ใครน่ะ เป็นอะไรมากหรือเปล่านะ” ไอรักพูดพร้อมกับเปิดประตูลงจากรถ และเดินตรงไปยังรถจักรยานยนต์ที่ล้มอยู่ รสิตาเดินตามมาติดๆ“อ้าว! ไม่มีคนนี่นา กระเด็นไปข้างทางหรือเปล่า ช่วยกันหาเถอะค่ะพี่แนน เผื่อจะได้พาส่งโรงพยาบาล” หญิงสาวทั้งสองกวาดตามองรอบๆตัว เพื่อหวังจะหาเจ้าของรถที่อาจจะได้รับบาดเจ็บ แต่แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อมีชายหนุ่มสองคนสวมหมวกไหมพรมสีดำคลุมหน้าตา วิ่งกรูเข้ามาจับตัวทั้งสองไว้“นี่มันอะไรกันปล่อยนะ” รสิตาโวยวายเมื่อถูกจู่โจมจับสองมือไพล่หลัง“ถ้าไม่อยากตายอย่าดิ้น แล้วก็หุบปากซะ” เสียงห้าวของคนที่จับตัวเธอพูดขึ้น พร้อมกับออกแรงบีบแขนเธอแรงขึ้น จนรสิตาหน้านิ่วด้วยความเจ็บ“พวก
ไทธรณ์คลายอ้อมแขนออกเปลี่ยนมากอดเอวบางไว้หลวมๆ เขาทราบเรื่องราวทั้งหมดที่น้องชายโทรไปเล่าให้ฟังแล้ว ระหว่างทางที่ขับรถมา ชายหนุ่มคิดถึงแต่ใบหน้าของคนตัวเล็ก รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาจับใจ ถึงน้องชายจะบอกแล้วว่าเธอปลอดภัยดี แต่เขาก็อยากเห็นกับตาตัวเองมากกว่า“ขอบคุณมากเลยนะครับคุณภูชิต ขอบคุณจริงๆครับ” ไทธรณ์ยื่นมือเพื่อสัมผัสกับมือของภูชิต“ไม่เป็นไรครับคุณไท ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงเลยครับ ช่วยๆกันไปเรามันคนกันเองนะครับ”“พี่ขอโทษที่ไม่ได้ดูแลแนนให้ดีกว่านี้” ไทธรณ์เอ่ยขึ้นเมื่อขับรถออกมาจากไร่แสงตะวันได้สักครู่“อย่าโทษตัวเองสิคะพี่ไท ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นหรอกค่ะ” รสิตาเอื้อมมือไปวางบนมือหนาที่วางไว้บนต้นขาของชายหนุ่ม“แต่พี่เป็นสามี พี่ควร...”“ไม่เอาไม่พูดเรื่องนี้แล้วค่ะ เห็นไหมว่าแนนไม่เป็นอะไรสักหน่อย แนนสัญญาว่าต่อไปจะดูแลตัวเองดีๆ ไม่ให้พี่ไทต้องเป็นห่วงนะคะ” รสิตายิ้มหวาน เธอไม่อยากให้ไทธรณ์เป็นกังวลกับตัวเองมากนัก เพราะรู้ว่าเขาต้องทำงานหนัก หากจะมามัวแต่ห่วงเธออาจจะทำให้เสียการเสียงานได้
ขณะที่อีกมือยังบีบเคล้นหยอกล้อกับอกอวบอยู่ หญิงสาวหลับตาพริ้ม เม้มริมฝีปากแน่น ไทธรณ์มองภาพคนรักด้วยความ เสน่หา และเมื่อเขาสัมผัสถึงความชุ่มฉ่ำพรั่งพร้อม ชายหนุ่มจึงไม่รอช้าก้มลงไล้เลียไปทั่วเนินรักแสนหวานของหญิงสาว ดูดดึงขบเม้มอย่างเอาแต่ใจ รสิตาขยำศีรษะทุยได้รูปของไทธรณ์รุนแรง เพื่อระบายความรู้สึกเสียวซ่านที่ก่อตัวขึ้น มันตีตื้นขึ้นมาจนหญิงสาวกลัวว่าตนเองอาจจะขาดใจตายได้“พี่ไท...อื้อ!” ลิ้นสากรัวเร็วสะกิดติ่งที่ไวต่อความรู้สึก นิ้วเรียวใหญ่ร้ายกาจสอดหายเข้าไปในช่องทางรัก สำรวจตรวจตราอย่างช่ำชอง ไทธรณ์รู้สึกถึงความรัดแน่นรอบนิ้วของตน จึงเร่งจังหวะขยับเข้าออกเร็วขึ้น ริมฝีปากบางเผยอขึ้นครางกระเส่า สะโพกเต่งตึงแอ่นรับท้าทายทุกสัมผัสที่ชายหนุ่มมอบให้ ร่างบางบิดเร่าสั่นสะท้าน“พี่ไท พี่ไท อ๊า!” รสิตากรีดร้องเสียงดัง กายสาวสั่นสะท้านรุนแรง หยาดน้ำอุ่นใสไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ไทธรณ์ดูดกลืนน้ำหวานนั้นอย่างภูมิใจ ลิ้นสากยังไม่วายไล้เลียจาบจ้วง จนคนที่เตะวิมานแสงดาวไปแล้วสะท้านกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า นิ้วเรียวใหญ่รับรู้ถึงการตอดรัดเป็นจังหวะของช่องทางรัก เขาหยุดแช่แน่นิ่งไว้เพื
“เอ่อ...น้ำยอมแล้วค่ะ คุณภูชิตลุกขึ้นก่อนนะคะ” เสียงหวานอ้อมแอ้มบอกอย่างยอมจำนน คนที่ได้สัมผัสความนุ่มนิ่มถอนหายใจยาว เขายังไม่อยากลุก กลิ่นกายสาวหอมอ่อนๆทำให้ใจเต้นแรง และรู้สึกดีอย่างประหลาด“ลุกสิคะ” คิ้วเข้มเลิกสูง ไม่เข้าใจว่าเธอจะทำอะไร น่านน้ำเหมือนจะเดาใจออกว่าชายหนุ่มสงสัย“ก็เดี๋ยวน้ำจะถอดชุดออกให้คุณภูชิตตรวจดูไง คุณภูชิตไม่ต้องลำบากมาถอดให้น้ำหรอกน่า” พูดอย่างใจกล้าแต่หัวใจแทบจะวายอยู่แล้ว ภูชิตยิ้มราวกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่หญิงสาวพูด แต่ก็ยอมลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอยู่ข้างร่างบาง รอดูว่าคนใจกล้าจะถอดเสื้อผ้าให้เขาตรวจสอบจริงๆไหมน่านน้ำยันกายลุกขึ้นนั่งคุกเข่า แววตาไม่มั่นใจฉายชัด หญิงสาวสูดหายใจเข้าปอดลึกแล้วผ่อนออกช้าๆ อย่างยากลำบาก มือเล็กค่อยๆแกะกระดุมเสื้อเม็ดแรก ภูชิตมองตามใจเต้นรัว เขาเคยเห็นมาแล้ว และรู้ดีว่าภายใต้เสื้อผ้าที่บดบังร่างกายนี้อยู่
“ทำอะไรอยู่นะ” ภูชิตพูดเบาๆ เดินไปหยุดอยู่หน้าประตูห้องของคนที่ทำให้เขาหมดอารมณ์ไปต่อกับสาวสวยไฟแรงหุ่นอวบอั๋น มือใหญ่ยกค้าง ชายหนุ่มกำลังชั่งใจว่าจะเคาะประตูดีไหม แต่เนื่องจากสมองยังคิดหาเรื่องราวจะคุยกับคนในห้องไม่ได้ ภูชิตจึงตัดสินใจลดมือลงหันหลังกลับ ไปเปิดประตูห้องของตนแทนเสียงเปิดปิดประตูห้องไม่ได้ทำให้คนที่ยืนอยู่ระเบียงกว้างตกใจ เพราะน่านน้ำไม่ได้ยิน เธอยังคงดื่มด่ำอยู่กับภาพบรรยากาศตรงหน้า ภูชิตจัดการถอดเสื้อผ้าโยนลงตะกร้าเตรียมตัวอาบน้ำทันที ร่างแกร่งกำยำเปลือยเปล่ากำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ หากแต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มหันหลังเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะมุมห้อง“ว่าไงสิน” เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์และเสียงทุ้มที่ได้ยินตามมาทีหลัง ทำให้คนที่แอบย่องเข้าห้องนอนอื่นสะดุ้งสุดตัว“คุณภูชิตกลับมาแล้ว เอาไงล่ะทีนี้” น่านน้ำเหลียวซ้ายแลขวา ชะโง
“สวัสดีค่ะคุณศศิพิมล” น่านน้ำยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร หากแต่คนที่ต้องรับไหว้กลับชักสีหน้าไม่พอใจเท่าไร“สวัสดีค่ะคุณน่านน้ำ” ร่างสมส่วนอวบอัดเดินเข้าใกล้ภูชิต มือเรียวจับจองคล้องแขนล่ำอย่างต้องการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ริมฝีปากสีสดแสนเซ็กซี่แย้มยิ้มอย่างมีเสน่ห์ ภูชิตก้มลงมองแขนเรียวที่คล้องแขนตัวเอง แล้วสบตาเจ้าของมือเรียว ใบหน้านิ่งขรึมไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใดๆออกมา เขาหันไปสบตาน่านน้ำอยู่ครู่เดียวก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องทำงาน พร้อมกับร่างเย้ายวนที่พยายามเบียดกระแซะร่างของเขาจนแทบจะสิงกันอยู่แล้วเมื่อประตูห้องทำงานปิดลงหลังจากที่สองคนนั้นออกไปแล้ว น่านน้ำก้มลงมองหน้าอกตัวเอง มือเล็กกอดอกจับสองเต้าตัวเองแล้วถอนหายใจ“จะสู้เขาไหวไหมน่านน้ำ ซะบะละฮึ่มขนาดนั้น” น่านน้ำทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง และเริ่มคิดเป็นจริงเป็นจังว่า หากต้องเพิ่
“พอทานได้ไหมครับ” คำถามจากภูชิต ทำให้น่านน้ำตื่นจากภวังค์ เพิ่งรู้ตัวว่าสายตาของตัวเองจ้องมองอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม หญิงสาวยิ้มแก้เก้อ เพราะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเดินมานั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร“เอ่อ...ได้ค่ะ” ตอบแล้วก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะก้มลงรับประทานอาหารตรงหน้าอย่างจริงจัง เพราะหิวหรือเพราะเขินอายที่แอบมองแล้วถูกจับได้ก็ไม่รู้“นายคะ วันนี้ของหวานมีลอดช่องน้ำกะทิ กับบัวลอยไข่หวาน นายจะรับอะไรดีคะ” ภูชิตกับน่านน้ำเงยหน้ามองหญิงสาวในชุดผ้าถุงและเสื้อยืดสีขาวรัดรูปเน้นทรวดทรง ที่ยืนยิ้มอยู่ข้างโต๊ะอาหารที่ทั้งสองนั่งทานอยู่ ภูชิตพ่นลมหายใจออกเบาๆ นั่นเป็นสิ่งที่น่านน้ำสังเกตเห็นแวบเดียวเท่านั้น“คุณน้ำทานอะไรดีครับ” ภูชิตไม่ตอบคำถามของหญิงสาวที่ยืนยิ้มส่งสายตาวิบวับให้ตนเอง แต่กลับหันมาถามผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าแทน
“ก็ได้ครับ ผมจะให้โอกาสคุณแล้วกัน พรุ่งนี้เราจะเริ่มงานกันจริงๆเสียที หวังว่าคงไม่มีเหตุการณ์อะไรให้ต้องเลื่อนวันเริ่มงานอีกนะครับ” น่านน้ำคลี่ยิ้มกว้าง ยิ้มหวานบนในหน้าเนียนกับแววตาสดใสบ่งบอกว่าดีใจสุดขีด ทำให้หัวใจของภูชิตกระตุกวูบไหวอีกแล้ว“ขอบคุณมากค่ะ น้ำสัญญาว่าจะทำงานให้สุดความสามารถเลยค่ะ” ภูชิตพยักหน้ารับ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป เมื่อประตูห้องถูกปิดลง“คุณได้อยู่ต่อนะจ๊ะ คุณน่านน้ำ” น่านน้ำบอกกับตัวเองแล้วลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น โดยไม่สนใจเสื้อคลุมที่หล่นไปกองอยู่กับพื้น เธอกระทืบเท้ากรี๊ดในลำคอ ดีใจที่ยังมีโอกาสอยู่พิชิตใจเจ้านายหนุ่ม ร่างเล็กหมุนตัวอย่างมีคนมีความสุขสุดๆ จนไม่ได้ยินเสียงประตูที่เปิดออกอีกครั้ง“เอ่อ...คุณน่านน้ำผมรอทานขะ...” ภูชิตอ้าปากค้างกับภาพตรงหน้าที่ได้เห็น น่านน้ำหยุดทุกการเคลื่อนไหวอ้าปากค้างตาโตและรีบหันหลังให้คนที่โผล่หน้าเข้ามา ภูชิตรีบดึงประตูปิด เขาหอบหายใจแรงราวกับเด็กหนุ่มเพิ่งเคยเห็นเนื้อนวลสาวครั้งแรก“ขะ...ขอโทษครับ ผมรอทานข้าวนะครับ” น่านน้ำรีบวิ่งไปกดล็อกประตู ก่อนที่จะเอ่ยเสียงแผ่วเบาออกไป“ค่ะ”
ภูชิตเปิดประตูรถออกแล้ววางร่างบอบบางไว้ที่เบาะด้านข้างคนขับ มือใหญ่จับโน่นถอดนี่อย่างว่องไวไม่เว้นแม้แต่ชั้นในตัวจิ๋วสองชิ้น น่านน้ำตกใจหัวใจหล่นไปกองที่ตามตุ่ม ครั้นจะยกมือปัดป้องหรือเอ่ยปากว่าไม่เป็นไรแล้ว ก็ไม่ทันการณ์ นั่นยิ่งจะทำให้มารยาเล่มแรกที่เธองัดมาใช้ถูกเขาจับได้ เสียเชิงหญิงอย่างเธอกันพอดี คนตัวเล็กจึงจำใจหลับตาไว้อย่างนั้น โดยไม่รู้ตัวเลยว่าผิวเนื้อเนียนขาวโพลนของตัวเอง ตอนนี้กลับกลายเป็นสีแดงเรื่อขึ้นจนทั่วร่าง ด้วยความสะเทิ้นอาย หากแต่ภูชิตไม่ได้สังเกตเพราะเขารีบถอดเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ของตนมาคลุมร่างของหญิงสาวไว้ทันที และถึงจะไม่ทันได้สังเกตผิวเนื้อเนียนที่เปลี่ยนสี สายตาคมกล้าก็อดไม่ได้ที่ชำเลืองมองทรวงอกอวบอิ่มที่เคยสัมผัสมาแล้ว และรู้ว่าหยุ่นเด้งเพียงใดภูชิตรวบพันเสื้อผ้าและชั้นในเปียกน้ำเอาไปวางไว้ท้ายกระบะ ร่างใหญ่วิ่งไปเปิดประตูด้านคนขับ แล้วขึ้นนั่งประจำที่ หลังจากสตาร์ทรถแล้วภูชิตจึงรู้ว่าลืมปิดประตูอีกด้าน ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยื่นแขนยาวและโน้มตัวไปดึงประตูปิดช้าๆ กลิ่นกายสาวหอมอ่อนๆ
“ไร่ภูชิตนี่อากาศดี๊ดีนะคะ” น่านน้ำเอ่ยเสียงกังวานใส ยิ้มหวานระบายเต็มใบหน้าเนียน เจ้าของไร่ภูชิตมองรอยยิ้มนั้นนิ่งค้าง“คุณภูชิต คุณภูชิตคะ” น่านน้ำโบกมือไปมาตรงหน้าชายหนุ่ม ภูชิตสะดุ้งตัวเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าให้เรียบเฉยเหมือนเดิม“เอ่อ...ครับ” “น้ำว่าที่นี่อากาศดี๊ดีนะคะ” ภูชิตยิ้มเล็กน้อยพยักหน้ารับ“คุณน่านน้ำชอบที่นี่ไหมครับ” คนถูกถามระบายยิ้มหวานอีกครั้ง“ชอบค่ะ เอ่อ...คุณภูชิตเรียกน้ำเฉยๆก็ได้นะคะ” ภูชิตพยักหน้ารับ“ครับคุณน้ำ” เสียงเรียกราวกับคนละเมอ“น้ำขออนุญาตเรียกคุณภูนะคะ จะได้คุ้นเคยกัน”“ครับ” ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าใกล้ จนสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากลมหายใจกันและกัน บรรยากาศเบื้องหลังเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน พระอาทิตย์ดวงกลมโตกำลังจะลับขอบฟ้า ลำแสงสีส้มสาดส่องไปทั่วบริเวณไร่ภูชิต น่านน้ำหลับตาพริ้ม เอาล่ะ...อะไรจะเกิดมันก็ต
“สิน...ไอ้สิน” ภูชิตตะโกนเรียกลูกน้อง เพราะรู้ดีว่าเหล่าลูกน้องที่ติดตามเขา ต้องคอยดูและระวังความปลอดภัยให้เขาอยู่ใกล้ๆ“ครับนาย” นายสินวิ่งเร็วมาถึงหน้าเรือนไม้ ยืนเอามือกุมเป้าก้มหน้ารอฟังคำสั่ง“ไปซื้อยาลดไข้ชนิดน้ำมาให้หน่อย” ลูกน้องตัวโตทำหน้างงแปลกใจ ภูชิตจึงตวาดเสียงดัง“แกจะทำหน้างงทำไม สั่งอะไรก็ไปซื้อมาสิ”“ครับนาย ว่าแต่วันนี้นายจะเข้าไปดูในไร่ไหมครับ ผมจะได้ให้ไอ้อ๋องมันมาขับรถให้”“วันนี้คงไม่ไปไหน จะไปทำอะไรกันก็ไปเถอะ” ภูชิตพูดจบก็เดินเข้าบ้านไป ปล่อยให้ลูกน้องเกาหัวแกรกๆ ปกติแล้วภูชิตจะออกสำรวจไร่ทุกวัน ‘ไร่ภูชิต’ปลูกพืชไร่หลายชนิด ไม่เคยมีสักวันที่ผู้เป็นนายจะไม่ออกไปตรวจไร่ เพราะชายหนุ่มจะมุ่งมั่นกับการทำงานให้ออกมาดีที่สุด และมักจะควบคุมการทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง หากแต่ตอนนี้ผู้เป็นนายกลับมีบางอย่างที่รั้งให้เขาอยากอยู่กับบ้าน มากกว่าการออกไปตรวจงานไร่อย่างที่เคยเป็น“คุณน้ำ...ลุกมาทานยาเถอะจ้ะ” นางแตงอ่อนปลุกน่านน้ำในตอนเที่ยงเกือบบ่ายโมง หญิงสาวปรือตามองอย่างลำบาก แต่การที่ได้นอนหลับพักผ่อนมาตลอดช่วงเช้า และได้รับการเช็ด
ภูชิตสะบัดศีรษะไล่ความคิดติดเรทออกจากสมองตัวเอง เขายืนขึ้นเต็มความสูงร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร แล้วก้มมองสภาพเปียกปอนของตัวเอง และหันไปมองคนบนเตียง เสื้อนอนลายคิดตี้สีชมพูเปียกแนบไปกับอกอวบ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าคิตตี้เป็นอะไรที่น่ารักมาก ยิ่งตอนนี้ที่มันสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะลมหายใจของคนที่สวมใส่อยู่ คิตตี้ช่างเป็นอะไรที่น่าค้นหาจริงๆยาก็กินไม่ได้ ตัวก็ร้อนจี๋ วิธีเดียวที่จะลดอุณหภูมิในตัวคนไข้ได้ ก็คงเป็นการเช็ดตัวสินะภูชิตกลับเข้ามาในห้องของน่านน้ำอีกครั้งในชุดใหม่ พร้อมกับกะละมังใบเล็กและผ้าขนหนู ชายหนุ่มยืนมองร่างของคนบนเตียงแล้วถอนหายใจ เขาวางกะละมังไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง ร่างสูงนั่งลงบนเตียงชิดร่างของหญิงสาว“ผมจะเช็ดตัวให้นะ ไม่ได้คิดอะไรจริงๆนะ” บุรุษพยาบาลจำเป็นเอ่ยขึ้นเพื่อเตือนสติตัวเอง มากกว่าที่จะบอกคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียง มือใหญ่ดึงผ้าห่มผืนใหญ่คลุมร่างเล็กจนถึงคอ ก่อนจะค่อยๆคลำเข้าไปใต้ผ้าห่ม แกะกระดุมเสื้อนอนทีละเม็ด แล้วค่อยๆพลิกร่างใต้ผ้าห่มดึงเสื้อนอนออก“ชิ้นที่หนึ่ง” เสื้ออุ่นๆที่อยู่ในมือทำให้ภูชิตอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นอย่างกล้า