Share

บทที่ 3 ปลอบใจ(จริงเหรอ)

ในเวลาช่วงค่ำนายใหญ่แห่ง west valor เดินลงมาจากชั้นล่างในชุดสบายๆ และนี่เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม เป็นเวลาที่เขารับประทานอาหารเย็นในทุกวัน มองไปโดยรอบด้วยความรู้สึกแปลกเดินเข้าไปข้างในห้องอาหารก่อนจะเจอแม่บ้านกำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่สองคน ส่วนลูกน้องของเขายืนกำกับอยู่ไม่ห่าง แต่ว่าที่เขาสงสัยคือไม่เห็นแม้แต่เงาของเด็กผู้หญิงคนนั้น

"ยัยเด็กเวียงพิงค์อยู่ที่ไหน"

"ผมกำลังให้คนไปตามครับนายใหญ่ อีกสักแป๊หนึ่งคงจะลงมา ตั้งแต่ไปส่งขึ้นห้องจนถึงตอนนี้ผมยังไม่เห็นเธอเดินออกจากห้องเลยแอบสงสัยเหมือนกันครับ"

ริชาร์ดเอ่ยออกมาตามที่คิด เมื่อช่วงบ่ายเขาพาหญิงสาวไปส่งที่หน้าห้องรับรอง ที่คฤหาสน์แห่งนี้มีห้องรับรองแขกอยู่เกือบ 10 ห้อง ส่วนใหญ่ผู้ที่เข้ามาพักจะเป็นแขกของนายใหญ่แห่ง west valor อย่างเช่นกลุ่มเพื่อนของเขาแต่ว่านานๆมาทีหนึ่งเพราะว่าทุกคนต่างก็มีงานที่ต้องทำ

ลูอีสนิ่งเงียบไปไม่เซ้าซี้ถามอะไรต่อ ส่วนเด็กนั่นถ้าหิวเดี๋ยวก็คงลงมาเองแหละเขาไม่สนใจหรอก และถึงจะสะกดจิตตัวเองไม่ให้สนใจเด็กคนนั้นแต่ลึกๆแล้วก็แอบห่วงเพราะว่าเธอเพิ่งผ่านช่วงเวลาที่เศร้าโศกเสียใจเพราะว่าเห็นคุณแม่ของตัวเองถูกยิงต่อหน้าต่อตา ถ้าเป็นเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงเหมือนกัน ตอนที่คุณพ่อเสียชีวิตเขาไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง พอรู้อีกทีตำรวจก็พาไปชันสูตรที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขากำลังส่งคนไปตามล่าเพื่อนทรยศที่ฆ่าพ่อของเขาเมื่อเจ็ดปีก่อน และเขามั่นใจว่าจะตามหามันให้มาชดใช้ในสิ่งที่ก่อเอาไว้ ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปีเขาก็จะตามล่ามันให้ได้

"นายใหญ่ คุณริชาร์ด คุณหนูเวียงพิงค์บอกว่าไม่หิวค่ะให้กินก่อนได้เลย"

"ได้ยังไงผมไม่เห็นเธอกินข้าวเลยตั้งแต่เจอกันจนถึงตอนนี้มันผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วนะ จะไม่หิวได้ยังไง"

"แต่เธอไม่ยอมลงมาค่ะเธอบอกว่าไม่หิวป้าก็ไม่รู้จะพาเธอลงมายังไงเหมือนกันค่ะ แต่จากที่เห็นใบหน้าบวมช้ำเหมือนผ่านการร้องไห้ ไม่รู้ว่าเสียใจอะไรอยู่"

ริชาร์ดหันหน้ามามองนายใหญ่อย่างขอความเห็น เขาใช้ช้อนตักชิมกับข้าวตรงหน้าไม่ได้สนใจว่าเด็กคนนั้นจะมีสภาพเป็นอย่างไร แล้วเวลาผ่านไปได้ไม่ถึงนาทีชายหนุ่มก็ต้องพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ทั้งที่เขาก็อยู่ของเขาดีๆ ทำไมจะต้องเอาเด็กคนนั้นมาเป็นภาระอีก ซึ่งเขาก็ไม่สามารถตอบตัวเองได้เหมือนกัน

"เดี๋ยวฉันไปตามมาเอง"

นายใหญ่แห่ง west valor ลุกขึ้นออกจากโต๊ะอาหารเดินขึ้นไปชั้นบนมองหาห้องพักของหญิงสาวและเหมือนจะจำได้ว่าห้องของเธออยู่ถัดจากเขาแค่ห้องเดียว ชายหนุ่มเคาะประตูหน้าห้องของหญิงสาวสามครั้ง แต่ก็ยังไร้เสียงตอบกลับจากข้างใน เขาจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปก่อนจะได้ยินเสียงสะอื้นดังออกมาจากข้างใน

"ฮึก...! แม่จ๋า"

ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรกับเด็กผู้หญิงคนนี้ เขาเองก็ไม่สามารถปลอบใจใครได้ ความหยาบกระด้างของเขาตั้งแต่เล็กจนโตไร้ซึ่งความอ่อนโยนจนใครๆต่างมองว่าเขาเป็นคนที่ดุ โหดและเด็ดขาดที่สุดทั้งที่เขาเอาก็เป็นคนที่มีความรู้สึกคนหนึ่ง

"เวียงพิงค์"

น้ำเสียงทุ้มหูดังเข้าสู่ประสาทของเด็กสาว เธอสะดุ้งสุดตัวก่อนจะรีบเช็ดน้ำตาให้เหือดแห้ง หันมามองชายหนุ่มก่อนจะฝืนยิ้มออกมา

"คุณลูอีสมีอะไรหรือเปล่าคะ"

"ทำไมเธอถึงไม่ลงไปกินข้าว เป็นเด็กเป็นเล็กปล่อยให้ผู้ใหญ่รอได้ยังไง"

"หนูขอโทษค่ะแต่ว่า...หนูไม่หิวจริงๆ"

เด็กสาวก้มหน้าลงเอ่ยปฏิเสธด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ลูอีสขยับลงไปนั่งปลายเตียงจ้องมองใบหน้าของเด็กสาว สายตาที่ทอดมองมาทำให้เธอรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก

"ทำไมคุณมองหนูแบบนี้ล่ะคะ"

"ฉันรู้ว่าเธอเสียใจเรื่องของแม่ แต่ชีวิตคนเรามันต้องเดินต่อ ตอนที่ฉันรู้ว่าพ่อของตัวเองเสียชีวิตลงตอนนั้นฉันเองก็ยังเด็กแต่อายุมากกว่าเธอในตอนนี้ แต่สิ่งที่ฉันจะบอกเธอก็คือคนเรามันต้องสูญเสียเป็นเรื่องปกติ เธอต้องทำใจให้ได้และต้องใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน"

"แต่หนูอยากจะทำพิธีฝังศพแม่ค่ะ หนูไม่อยากให้แม่ต้องโดดเดี่ยวอยู่ที่หมู่บ้านนั้น คุณช่วยพาหนูไปส่งที่หมู่บ้านได้ไหมคะ"

เสียงอ้อนวอนขอร้องจากเด็กสาวทำให้ชายหนุ่มเริ่มลังเล เขาเองเคยเจอสถานการณ์แบบเธอถึงแม้จะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ทำใจได้แต่บอกเลยว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

"พรุ่งนี้ฉันจะให้ลูกน้องไปพาแม่เธอมาทำพิธีต้องการแค่นี้ใช่ไหม"

เด็กสาวได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณเขา เธอเองไม่ได้อยากเรียกร้องอะไรจากเขามาก แค่ตอนนี้พาเธอมาอยู่ด้วยให้ที่พักอาศัยก็ดีมากแล้ว

"แค่นี้ก็ดีมากแล้วค่ะขอบคุณมากเลยนะคะ"

"ตอนนี้ลงไปกินข้าวกับฉันข้างล่าง เธอคงไม่ดื้อกับฉันใช่ไหม"

"ไม่ได้ดื้อนะคะ"

เด็กสาวที่ปฏิเสธเสียงแข็ง เธอไม่ได้ดื้ออะไรกับเขาเสียหน่อยก็แค่รู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถช่วยชีวิตคนเป็นแม่ไว้ได้ และถ้าตอนนั้นเธอไม่วิ่งซนออกไปเที่ยวที่อื่น บางทีเธอกับแม่อาจจะเสียชีวิตด้วยกันที่นั่นหรือไม่อย่างนั้นก็คงจะพากันออกมาจากหายนะตรงนั้นได้

"ฉันให้เธอพูดอีกที เพราะถ้าเธอไม่ดื้อควรจะลงไปตั้งแต่แม่บ้านขึ้นมาตามแล้ว"

"แฮะ... ขอโทษค่ะ"

เด็กสาวยิ้มแห้งออกมาก่อนจะรีบลงจากเตียงวิ่งเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาให้สะอาด จากนั้นก็เดินเข้ามาข้างในเช็ดใบหน้าให้แห้งก่อนจะวิ่งมายืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม

"หนูพร้อมแล้วค่ะ"

"ก็แค่นี้แหละคราวหลังเวลาสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ อย่าดื้อกับฉันเพราะฉันไม่ได้ใจดี เข้าใจใช่ไหม"

ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอ่ยประโยคไม่เชิงว่าบังคับเท่าไหร่แต่คนฟังรู้สึกได้ว่ามันคือประโยคคำสั่ง เขาคงติดในการใช้กับลูกน้อง แต่เธอไม่ใช่ลูกน้องของเขาเสียหน่อย พูดกันดีๆก็ได้นี่

"เข้าใจค่ะ ไม่เห็นต้องพูดเสียงดุขนาดนั้นเลย หนูไม่ใช่ลูกน้องของคุณนะคะ"

"ไม่ใช่ลูกน้อง...งั้นเหรอ"

เขาเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย เอาจริงตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารับเด็กคนนี้มาอยู่ที่บ้านในฐานะอะไร แต่ก็ช่างเถอะเขาคงไม่คิดจะเอาเด็กอายุแค่นี้มาใช้งานหรอก แต่คุยกันมาตั้งนานเขายังไม่รู้อายุของเธอเลย

"เธออายุเท่าไหร่นะ"

"หนูเหรอคะอายุ 17 ปีค่ะ เรียนมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 แต่ว่า..."

และเมื่อนึกถึงโรงเรียนที่เธอร่ำเรียนมาจนเกือบจบก็อดคิดถึงไม่ได้ เธอคงไม่มีโอกาสได้กลับไปเรียนที่นั่นอีกแล้ว ไม่ได้เจอเพื่อนเจอคุณครูหรือแม่ครัวที่เธอชอบไปช่วยเขาล้างจาน ชายหนุ่มรอบมองใบหน้าที่ตอนนี้ดูสลดลงเหมือนกำลังคิดอะไรในใจอยู่

"แต่ว่าอะไร"

"หนูคงไม่ได้เรียนหนังสือแล้วล่ะค่ะ อีกปีเดียวหนูก็จะจบแล้วแต่พอเกิดเรื่องแบบนี้หนูคิดว่าตัวเองคงไม่มีวาสนาที่จะได้เรียนสูงๆ"

"พรุ่งนี้เธอก็จัดการเรื่องแม่ของเธอก่อน และถ้าเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ฉันจะให้ริชาร์ดพาเธอไปสมัครเรียนหนังสือที่โรงเรียน เดี๋ยวฉันจะเป็นคนเลือกโรงเรียนให้เอง"

"คุณจะส่งหนูเรียนเหรอคะ"

"ก็คงงั้นแหละ ทำไงได้มาถึงขนาดนี้แล้ว นึกเสียว่าทำบุญให้หมาให้แมวแล้วกัน"

"คุณว่าหนูเป็นแมวหรอคะ"

"หมาต่างหาก"

จบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องนอนของเธอทันที เด็กสาวถึงกลับหน้ามึนไม่ค่อยเข้าใจประโยคคำพูดของชายหนุ่มสักเท่าไหร่ หรือว่าเมื่อกี้เขาจะแอบหลอกด่าเธอ ช่างเถอะอย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่ใจดีสำหรับเธอที่สุดในตอนนี้ ถือว่าโชคยังมีชีวิตก็ไม่ได้แย่ไปเสียทุกอย่าง

"ต้องรีบตามเขาไปไม่งั้นเดี๋ยวโดนดุอีก"

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status