การไม่เป็นที่ต้องการ ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัว
ความเหงา อ้างว้าง และเจ็บปวดที่ถูกหมางเมินนั่น นำพาให้ความรู้สึกของสามีภรรยาในนามค่อยๆ เปลี่ยนไป คนหนึ่งอยากก้าวผ่านความสัมพันธ์และครองรักกันไปจนแก่เฒ่า แต่กับอีกคน...อย่างไรก็ไม่อาจตอบรับความรู้สึกและขอมอบเพียงมิตรภาพกลับไปเท่านั้น
“กู่เสี่ยวถิง! เจ้าฟังพ่ออยู่ไหม!”
กู่เสี่ยวถิงสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เงยหน้ามองกู่กวงซิวพร้อมอ้าปากหาว “ท่านพ่อ ฟ้ายังไม่ทันสางเลยนะเจ้าค่ะ เหตุใดต้องให้พวกสาวใช้ลากข้ามาด้วย”
“เดี๋ยวเถอะนะ! นี่เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าทำอะไรผิดไว้” หลี่เฟยที่นั่งอยู่ข้างสามีเอ่ยตำหนิ
“เรื่องที่ข้าขอหมั้นหมายกับโจวโซวเชินน่ะหรือ”
กู่กวงซิวพ่นลมหายใจ บุตรสาวคนนี้ชอบก่อปัญหาไม่หยุดหย่อนเลยจริงๆ หากไม่ไปหาเรื่องคนอื่น ก็มักหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองอยู่เสมอ ใจนั่นอยากให้นางรีบแต่งออกเรือนไปเสีย เขาและภรรยาจะได้ไม่ต้องคอยตามเช็ดตามล้างสิ่งที่นางทำไว้
“ท่านพ่อกำลังคิดว่า ควรให้ข้าออกเรือนไปเร็วๆ ใช่ไหมเจ้าคะ”
กู่กวงซิวผงะ กำลังจะตอบปฏิเสธ แต่ก็ปฏิเสธไม่ลง
“ข้ารู้ว่าข้าเป็นตัวปัญหาของพวกท่าน ทางที่ดีควรให้สามีในอนาคตอบรมสั่งสอนให้อยู่ในกฎเกณฑ์ แต่ข้าซึ่งเป็นสตรีดื้อรั้นไม่ยอมแต่งกับใคร ยกเว้นแม่ทัพจงหยางอี้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่พวกท่านกลุ้มใจใช่หรือไม่”
กู่กวงซิวชำเลืองมองไปทางหลี่เฟย ส่งสายตาคล้ายจะถามว่ากู่เสี่ยวถิงอ่านใจเขาออกได้อย่างไรกัน
“ท่านพ่อท่านแม่ อย่างไรสตรีก็ต้องออกเรือน หากข้าไม่เลือกคู่ด้วยตัวเอง ไม่ช้าก็เร็ว พวกท่านก็ต้องยัดเหยียดหามาให้ข้ามิใช่หรือ”
กู่เสี่ยวถิงในนิยายมิสามารถขโมยหัวใจของจงหยางอี้มาได้ หนำซ้ำยังทำให้สกุลกู่ต้องถูกผู้คนประณามว่าอบรมบุตรสาวอย่างไรถึงโตขึ้นมามีนิสัยร้ายกาจเพียงนี้
บิดามารดาไม่อาจแบกรับความอับอายได้ไหวอีกแล้ว พวกเขาจึงยกกู่เสี่ยวถิงให้แต่งกับบุตรชายคนเล็กของท่านอ๋อง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าชายผู้นี้เสเพลเพียงใด ไม่เพียงตบตีทำร้ายแต่ยังยกนางให้เป็นนางบำเรอแก่เหล่าสหายของตนอีกด้วย
ด้วยเคราะห์กรรมที่สาดซัดดุจเกลียวคลื่นนี้เอง กู่เสี่ยวถิงยิ่งบ่มเพาะความชั่วช้าเลวทรามมากขึ้น นางไม่เพียงอาฆาตหวงหนิงเซียนที่แย่งจงหยางอี้ไป แต่ยังสั่งคนให้มาสังหารบิดามารดาของตนอีกด้วย!
“หากต้องถูกจับคลุมถุงชน สู้ให้ข้าเลือกคู่ครองที่ต้องการเองดีกว่านะเจ้าค่ะ” กู่เสี่ยวถิงขอร้อง
กู่กวงซิวครุ่นคิดสักพักก่อนจะส่ายหน้า “อย่างไรก็ไม่ได้”
“ท่านพ่อ”
“เป็นคนอื่นไม่ได้หรือไง คุณชายคนอื่น ยกเว้นคุณชายสาม เจ้าก็รู้ว่ามารดาเขาเป็นสตรีที่น่ารังเกียจแค่ไหน แต่งกับเขา เจ้ามีแต่จะเป็นที่ครหา”
“สกุลโจวเองก็ถังแตก หากเกี่ยวดองกัน สกุลกู่เราไม่โดนดูดทรัพย์สมบัติไปหมดหรือ” หลี่เฟยกล่าวเสริมความคิดของกู่กวงซิว
กู่เสี่ยวถิงยังคงไม่ยอมแพ้จึงกล่าวแย้ง “เรื่องที่มารดาของโจวโซวเชินเป็นหญิงสองใจนั่นไม่สามารถพิสูจน์ได้ และถึงจะเป็นเรื่องจริง มันก็ไม่ใช่ความผิดของผู้เป็นลูกมิใช่หรือเจ้าคะ”
กู่กวงซิวกำลังจะค้าน แต่เด็กรับใช้คนหนึ่งก็เดินเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“เรียนนายท่าน ฮูหยิน คุณหนูรอง คุณชายสามสกุลโจวมาขอเข้าพบพวกท่านขอรับ”
กู่เสี่ยวถิงลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ นางรีบบอกให้เด็กรับใช้ไปเชิญโจวโซวเชินเข้ามาด้านในเร็วๆ
“เสี่ยวถิง นั่งลง!” หลี่เฟยดุบุตรสาว
กู่เสี่ยวถิงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงตามเดิม ทว่ามิวายชะเง้อคอมองออกไปนอกประตูเรือนด้วยความตื่นเต้น
ครู่เดียวบุรุษในอาภรณ์ขาวสง่าราวเทพเซียนก็ค่อยๆ ก้าวเข้ามาพร้อมผู้ติดตามหนึ่งคนทางด้านหลัง
“โจวโซวเชินคารวะนายท่านกู่และกู่ฮูหยินขอรับ”
ครั้งแรกที่พบกัน โจวโซวเชินสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ดูไม่เรียบร้อยนัก ผมดำยาวถูกรวบเก็บไว้แค่ครึ่งเดียว ใบหน้าหมองหม่น ต่างจากตอนนี้ที่ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็หล่อเหลาเหลือคณา
“โซวเชิน! เจ้าดูดีน่ะ”
โจวโซวเชินเหลือบมองกู่เสี่ยวถิงที่นั่งอยู่ด้านข้าง เห็นนางโบกมือพลางฉีกยิ้มกว้างมาให้แล้วก็รีบก้มหน้าหลบตาทันที
กู่กวงซิวกระแอม “เสี่ยวถิง มารยาทของเจ้าหายไปไหนหมดฮึ!”
เมื่อเห็นบุตรสาวเก็บไม้เก็บมือเรียบร้อยแล้วก็หันมากล่าวกับบุรุษที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า “คุณชายสามลุกขึ้นเถิด”
โจวโซวเชินกล่าวขอบคุณก่อนสั่งให้ตู้ฟู่ส่งม้วนภาพที่ตนเตรียมมามอบให้ผู้นำสกุลกู่
แต่ขณะที่โจวโซวเชินกำลังจะนำของไปมอบให้ กู่กวงซิวกลับพูดโพล่งขึ้น “ไม่ทราบว่าคุณชายสามนำของขวัญมาให้ข้าเนื่องในโอกาสอะไรหรือ”
โจวโซวเชินนิ่งไป นึกสงสัยว่ากู่เสี่ยวถิงยังไม่ได้บอกเรื่องที่จะหมั้นหมายกับเขาหรืออย่างไร
“ความจริงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบคุณชาย ตั้งแต่...เอ่อ...เก้าหรือสิบน่ะที่ท่านถูกสั่งห้ามออกนอกจวนโจว”
“สิบสามขอรับ”
“งั้นหรือ นานมาเลยนะ” กู่กวงซิวว่าพลางหัวเราะไปด้วย แต่ใจจริงนั้นเขากลับไม่ได้รู้สึกขำขันแต่อย่างใด “ดูแล้วคุณชายสามก็เป็นคนฉลาดน่ะ เช่นนั้นข้าขอพูดแบบไม่อ้อมค้อมเลยละกัน เรื่องที่ตกลงกันระหว่างท่านกับบุตรสาวข้าจะไม่มีวันเกิดขึ้น”
“ท่านพ่อ! ข้าคิดว่าท่านเข้าใจข้าแล้วเสียอีก”
“เพราะข้าเป็นห่วงชื่อเสียงของเจ้า! กลัวเจ้าจะลำบาก ข้าจึงไม่อยากให้เจ้าแต่งกับชายไร้อนาคตแบบนี้!” กู่กวงซิวตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว อย่างไรก็คงยอมให้บุตรสาวที่รักร่วมหัวจมท้ายกับโจวโซวเชินไม่ได้เด็ดขาด
“คุณชายสามกลับไปเถอะ ไว้ข้าจะส่งของกำนัลไปขอโทษคนที่สกุลโจวเอง โปรดถือว่าบุตรสาวข้าไม่เคยพูดว่าจะแต่งกับท่านก็แล้วกัน”
หัวใจโจวโซวเชินกระตุกวูบ รู้สึกตัวชาไปทั้งร่าง มือที่ถือม้วนภาพนั่นสั่นระริกจนเกือบทำมันตกพื้น
นี่ข้า...ถูกมองข้ามอีกแล้ว ถูกคนอื่นดูแคลนอีกแล้วหรือ บุรุษฝืนข่มความรู้สึกของตนไว้ ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ขออภัยที่ข้ามารบกวน”
โจวโซวเชินโค้งศีรษะแล้วเดินจ้ำออกมาจากเรือนทันที รู้สึกเหมือนพื้นดินโคลงเคลงจนยากจะทรงตัว ครั้นกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากจวนกู่ได้แล้ว ชายหนุ่มก็ยกกำปั้นขึ้นทุบอกตัวเองเบาๆ สูดหายใจเข้าออกช้าๆ
“คุณชาย ไหวไหมขอรับ” ตู้ฟู่วิ่งตามออกมาพลางยกมือขึ้นลูบแขนนายของตนด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นไร”
โจวโซวเชินค่อยๆ เงยหน้ามองป้ายชื่อสกุลกู่ที่แขวนอยู่เหนือประตูใหญ่ ใจนั่นนึกเวทนาตัวเองนัก ทำไมเขาถึงคิดว่าตัวเองจะโชคดีได้แต่งกับคุณหนูจากตระกูลใหญ่ได้กัน ไม่เจียมตัวเอาเสียเลย
โจวโซวเชินโยนม้วนภาพในมือทิ้ง “เจ้ากลับไปก่อนละกัน”
ตู้ฟู่รีบย่อตัวเก็บม้วนภาพขึ้นมาถือไว้ด้วยความเสียดาย “คุณชายจะไม่กลับไปพร้อมกันหรือ คือ...ถ้าคุณชายไม่รีบกลับ เกรงว่าจะถูกนายท่านใหญ่...”
“กลับเร็วหรือช้าก็เหมือนกัน หากท่านย่าและท่านพ่อรู้ว่าสกุลกู่ไม่ปรารถนาจะรับข้าเป็นเขย ข้าก็คงไม่แคล้วถูกไล่กลับไปอยู่เรือนเล็ก” โจวโซวเชินฝืนยิ้ม “ขอข้าใช้ชีวิตที่เป็นอิสระอีกสักพักเถอะ”
เพราะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ตนจะมีโอกาสได้ออกมาเดินข้างนอกอีกไหม ดังนั้นโจวโซวเชินจึงอยากฉกฉวยช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ไว้นานๆ
“ที่นี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ”
โรงเตี๊ยมและร้านน้ำชาหลายแห่งถูกปรับปรุงและเปลี่ยนรูปลักษณ์จากเดิมไปมาก แต่ร้านค้าเล็กๆ และแผงลอยนั่นยังคงคึกคักและวุ่นวายเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
โจวโซวเชินเดินผ่านผู้คนและร้านค้ามากมายด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งเศร้า เหงาและท้อแท้ บางครั้งก็นึกสงสัยว่าจะมีใครต้องการเขาจริงๆ บ้างหรือไม่ ใครสักคนที่พร้อมจะอ้าแขนและจูงมือเดินเคียงข้างไปด้วยกัน
“โจวโซวเชิน!”
จู่ๆ ก็มีมือหนึ่งคว้ามือของโจวโซวเชินเอาไว้ ชายหนุ่มหันกลับไปมองด้วยความตกใจ แต่แล้วเมื่อเห็นว่าเป็นกู่เสี่ยวถิง ใบหน้ากลับแสดงความประหลาดใจมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
“เจ้าอยู่นี่เอง ข้าตามหาเสียตั้งนาน” กู่เสี่ยวถิงว่าพลางหอบหายใจ
“คุณหนูรอง ไยท่านถึงมาอยู่ตรงนี้ได้”
“ทำไมน่ะเหรอ ก็มาตามหาเจ้าไง ก่อนหน้าที่เจ้าจะมาที่จวน ข้ากับท่านพ่อก็ทะเลาะกันมาก่อนหน้านี้แล้ว พอท่านเห็นหน้าเจ้าก็เลย...พลั้งปากพูดจารุนแรงไป”
“คุณหนูรองอย่าคิดมากเลย ความจริงที่นายท่านกู่พูดก็มีเหตุผล ข้าไม่คู่ควรกับคุณหนูจริงๆ”
โจวโซวเชินกำลังจะหมุนตัวกลับทว่ากู่เสี่ยวถิงก็รั้งมือเขาไว้ “ไม่จริงเสียหน่อย หากเจ้าไม่คู่ควรแล้วจะมีใครบนโลกคู่ควรอีกเล่า”
โจวโซวเชินนิ่งอึ้ง มองกู่เสี่ยวถิงที่ทำหน้ามุ่ยแล้วรีบร้อนชักมือตนกลับ “คุณหนูรองอย่าพูดล้อเล่นเช่นนี้ ถึงข้าจะไม่ได้ออกนอกจวนมาหลายปี แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ทราบถึงข่าวคราวด้านนอก”
เห็นกู่เสี่ยวถิงขมวดคิ้วสงสัย โจวโซวเชินจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณหนูรองมีใจแก่จงหยางอี้ ทว่าถูกเขาปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้จึงอยากจะเข้าทางข้าซึ่งเป็นสหายของเขาใช่หรือไม่”
“หะ? เข้าทางเจ้าหรือ”
“ถึงข้ากับจงหยางอี้จะเป็นสหายกัน แต่ข้าก็คงช่วยท่านโน้มน้าวใจเขาไม่ได้หรอกนะ”
“เดี๋ยวก่อนนะ เจ้าคิดว่าข้าจะใช้เจ้าเป็นทางผ่านเพื่อเข้าใกล้จงหยางอี้หรือ เจ้าเห็นข้าเป็นคนอย่างไรกันเนี่ย!”
แต่เดี๋ยวนะ ทำไมรู้สึกเหตุการณ์นี้มันคุ้นๆ เหมือนเคยอ่านเจอมาก่อน...
โจวโซวเชินต้องแต่งงานกับหวงหนิงเซียนตามคำสั่ง ทว่ามิได้ร่วมหลับนอนกันแต่อย่างใด เพราะรู้ว่าหวงหนิงเซียนเป็นสตรีที่เพื่อนรักของตนหมายปอง จึงไม่คิดจะล่วงเกินนาง
กระทั่งจงหยางอี้กลับมาจากสนามรบ เขาที่รู้เรื่องการแต่งงานที่ไม่ยินยอมนี้จึงรีบมาพบคนทั้งสอง แต่แทนที่จะโกรธ เขากลับวางใจมากกว่า เพราะรู้ว่าเพื่อนรักของเขาอย่างโจวโซวเชินจะต้องไม่หักหลังเขาอย่างแน่นอน
โจวโซวเชินกลายเป็นสะพานที่เชื่อมให้คู่รักทั้งสองได้มาพบเจอกัน เฝ้ามองพวกเขาโผกอดและพร่ำบอกรักซึ่งกันและกันอย่างหวานชื่น โดยที่จงหยางอี้และหวงหนิงเซียนไม่เคยรู้เลยว่า...ความรู้สึกของโจวโซวเชินที่มีต่อหวงหนิงเซียนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
“ข้าไม่มีทางใช้เจ้าเป็นสะพาน!” กู่เสี่ยวถิงโพล่งขึ้นอย่างฉุนเฉียว “คนดีอย่างเจ้าสมควรมีความสุข ข้าจะไม่มีวันทำผิดต่อเจ้าเด็ดขาด”
โจวโซวเชินยังไม่หายอึ้งกับคำพูดที่ได้ยิน พลันถูกหญิงสาวคว้ามือทั้งสองไปกุมไว้แน่น
“ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขเอง ฉะนั้น...อย่าลังเลที่จะแต่งกับข้าเลย”
นี่ข้าไม่ได้ออกมาเจอโลกภายนอกนานเกินไปหรือเปล่าน่ะ เหตุใดสตรีจึงกล้าขอบุรุษแต่งงานได้หน้าตาเฉยเช่นนี้?! “ทำไมไม่กินเล่า ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ ถือเสียว่าข้าเลี้ยงปลอบขวัญเจ้าแล้วกัน” โจวโซวเชินหรี่ตามองกู่เสี่ยวถิงที่นั่งเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ้ย แล้วทำไมข้าถึงได้ตามนางมากินข้าวด้วยล่ะเนี่ย “อาหารที่นี่อร่อยจริงๆ นะ อร่อยกว่าที่จวนข้าเสียอีก เอ้า! เจ้าก็กินด้วยสิ” กู่เสี่ยวถิงคีบหมูติดมันชิ้นหนึ่งวางลงบนถ้วยข้าวของชายหนุ่มพลางคะยั้นคะยอให้เขาลองชิมดู โจวโซวเชินชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็คีบชิ้นหมูเข้าปาก ทันทีที่กัดลงไป รสชาติหวานเค็มปนเผ็ดเล็กน้อยพลันแผ่ซ่านอยู่ภายในปาก “อาหารก็มีรสชาติด้วย...” กู่เสี่ยวถิงชะงัก แววตาเต็มไปด้วยความฉงน “ปกติเจ้ากินอะไรเนี่ย อาหารก็ต้องมีรสอยู่แล้วสิ” “ข้าน่ะ...แค่มีกินในแต่ละมื้อก็ยากเย็นแล้ว ไหนเลยจะมาสนใจเรื่องรสชาติกัน” กู่เสี่ยวถิงกะพริบตาถี่ รู้สึกว่าเนื้อที่ตนกำลังกลืนนั้นฝืดคอขึ้นมาจนแทบอยากจะคายทิ้ง “โจวโซวเชิน... ข้า...” “ไม่จำเป็นต้องมาสงสารข้าหรอก” ว่าพลางคีบหมูอีกชิ้นเข้าปาก “ข้าไม่ต้องการให้ใครมาสงสาร” ถ
“ทำไมเจ้าไม่บอกข้า” เมื่อกลับมายังเรือน โจวโซวเชินก็กอดอกมองตู้ฟู่ตาเขม็ง “บุรุษมิควรรับของมากมายเช่นนี้จากสตรี เจ้าไม่รู้หรือไง!” ตู้ฟู่ก้มหน้าบ่นพึมพำกับตัวเอง “ก็เพราะรู้นิสัยท่านไง คุณหนูกู่จึงสั่งห้ามไม่ให้พูด” ดวงตาคมจ้องบ่าวของตนอย่างคาดคั้น รังสีความกดดันนี้ทำตู้ฟู่เริ่มหายใจไม่ออก ในที่สุดก็จำต้องยอมเปิดปากบอก “คุณหนูกู่สั่งห้ามไว้ขอรับ บอกให้ข้าน้อยเก็บเป็นความลับจนกว่าจะกลับถึงจวน” นี่เป็นนิสัยปกติของสตรีชนชั้นสูงหรืออย่างไร ทุ่มเงินทองมากมายเพื่อซื้อตัวบุรุษที่ถูกใจหรือนี่!? กู่เสี่ยวถิงเป็นสตรีที่ชอบดูถูกผู้อื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ชื่อเสียงความเอาแต่ใจและเจ้าเล่ห์ของนาง มีหรือโจวโซวเชินจะไม่รู้ ที่แท้เรื่องในวันนี้อาจเป็นเพียงการเล่นละครของนาง หวังจะซื้อใจเขาและครอบครัวให้ตกเป็นทาสนางก็เป็นไปได้ ถึงจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าสตรีร้อยเล่ห์วางแผนอะไรไว้ แต่โจวโซวเชินจะไม่มีวันติดกับนางอย่างเด็ดขาด! ตู้ฟู่เห็นโจวโซวเชินทำหน้าเครียด พลันเกิดความคิดว่าคุณชายสามอาจจะกำลังโกรธคุณหนูรองผู้นั้นอยู่หรือไม่ ไม่ได้นะ!!! ถึงคุณหนูรองกู่จะเจ้าแผนการไปบ
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ กู่เสี่ยวถิงยืนยิ้มหน้าระรื่นอยู่ตรงประตูทางเข้าวัดหงอี้ ชะเง้อคอมองอย่างคาดหวังทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถม้าดังเข้ามาใกล้ “คุณหนู พวกเราเข้าไปรอข้างในดีกว่านะเจ้าค่ะ” ซูฉางร้องบอกนายของตนเป็นรอบที่สามแล้ว แต่กู่เสี่ยวถิงหาได้สนใจไม่ “ไม่เอา ข้าจะรอรับคุณชายสาม ไม่รู้ว่าคนสกุลโจวจะยอมปล่อยเขาออกมาหรือไม่” “เหตุใดถึงจะไม่ให้มาเล่าเจ้าคะ ข้าคิดว่าคงจะระริกระรี้รีบโยนคุณชายสามมาให้ท่านเสียมากกว่า” กู่เสี่ยวถิงหุบยิ้ม หันมามองซูฉางพลางกอดอกไม่พอใจ “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” “โธ่คุณหนู ท่านก็รู้ว่าคนสกุลโจวหน้าเงินเพียงใด สิ่งใดที่ทำให้คุณหนูพอใจ คนพวกนั้นย่อมต้องทำแน่เจ้าค่ะ” สีหน้ากู่เสี่ยวถิงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที “ขออภัยที่บ่าวต้องพูดตรงๆ แต่บ่าวเป็นห่วงคุณหนูนะเจ้าค่ะ อย่างที่นายท่านว่า แต่งกับคุณชายสามไม่เห็นมีดีตรงไหน คุณชายสามไร้ลาภยศเงินทอง ครอบครัวของเขาก็ไม่น่าคบหาสักคน เหตุใดคุณหนูต้องเอาตัวเองไปคลุกคลีกับคนพวกนั้นด้วยเล่าเจ้าคะ” “ซูฉาง สิ่งที่เจ้าพูด ใช่ว่าข้าจะไม่รู้” “อ้าว แล้วทำไมคุณหนูยั
เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วยาม ตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำ ผู้คนอิ่มท้อง ผู้รวมบุญสุขใจ นั่งพักกันให้หายเหนื่อยอีกสักครู่จึงจะทยอยขนของกลับจวน “นี่ เอาไปกินสิ” หวงหนิงเซียนที่นั่งเหม่ออยู่ตรงขั้นบันไดเงยหน้ามอง นางผงะทันทีที่เห็นว่าเป็นกู่เสี่ยวถิง “ข้ายังไม่เห็นเจ้ากินอะไรเลย คงจะหิวแย่แล้วสิ” หวงหนิงเซียนรีบส่ายหน้า ขอไม่รับน้ำใจของหญิงสาว “เจ้าไม่ต้องกลัวข้าหรอก” กู่เสี่ยวถิงนั่งลงข้างๆ แล้วแบ่งหมั่นโถวที่ตนถือมาออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเอาเข้าปากตัวเอง อีกส่วนยื่นให้หวงหนิงเซียน “รับไปสิ” หวงหนิงเซียนลังเล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตนกำลังหิวจึงยื่นมือออกมารับอย่างกล้าๆ กลัวๆ กู่เสี่ยวถิงยิ้ม “เจ้าต้องไม่อิ่มแน่ เช่นนั้นไปกินข้าวที่จวนของข้าไหม” “มะ... ไม่กล้ารบกวนเจ้าค่ะ” “ถ้าเจ้าเป็นกังวลกลัวข้าจะรังแก งั้นเราแวะทานอาหารที่ภัตตาคารใกล้ๆ ก่อนกลับดีหรือไม่” “ไม่กล้ารบกวนเจ้าค่ะ” “นี่เจ้าพูดเป็นคำเดียวหรือ” กู่เสี่ยวถิงพ่นลมหายใจแล้วยัดหมั่นโถวในมือเข้าปากจนหมด หญิงสาวหน้าบูดที่มีอาหารอยู่เต็มปาก ไม่เหลือเค้าของคุณหนูผู้ร้ายกา
“ซูฉาง ข้าสวยหรือยัง” วันนี้กู่เสี่ยวถิงสวมชุดสีส้มสลับขาวให้ความรู้สึกสดใสร่าเริง นางหมุนตัวไปรอบๆ พลางถามสาวใช้ว่าตนดูดีแล้วหรือยัง “คุณหนู ทำไมพอถึงเวลาเรียนทีไรจึงต้องแต่งตัวสวยด้วยเจ้าคะ” ซูฉางถามขณะยื่นกล่องเครื่องประดับให้กู่เสี่ยวถิงเลือกปิ่นปักผมที่ถูกใจ “เจ้ารู้คำตอบอยู่แล้ว เหตุใดยังต้องถามข้าอีกเล่า” “ข้าก็แค่อยากถามให้แน่ใจเจ้าคะ มิเคยเห็นคุณหนูพยายามทำเพื่อใครมากเท่านี้มาก่อน ตื่นแต่เช้ามาแต่งตัว ไหนเลยจะเตรียมอาหารว่างด้วยตัวเองอีก” “ความสุขของข้าน่า” “ความสุขของท่าน แต่บิดามารดาท่านไม่น่าจะสุขด้วยนะเจ้าค่ะ” “ซูฉาง หากเจ้ายังพูดมากอีก ข้าจะไม่เรียกใช้เจ้าแล้วนะ” ซูฉางเม้มปากอย่างขัดใจ ก่อนจะรีบวิ่งตามกู่เสี่ยวถิงไปยังเรือนรับรองที่อยู่ติดกับสวนดอกไม้ขนาดย่อม ด้านข้างมีสวนหินจำลอง ถัดออกไปเป็นเรือนใหญ่ซึ่งกู่กวงซิวที่อยู่ในอาการกระสับกระส่ายกำลังเดินวนไปวนมาด้วยความร้อนใจ “มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไง มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไง!” กู่กวงซิวตวาดลั่น “ข้าวางแผนให้โจวโซวเชินอยู่กับหวงหนิงเซียนสองต่อสอง แต่ทำไมกลับกลายเป็นว่าเดินจูงมื
“โซวเชิน เจ้าดูหงุดหงิดนะ เป็นอะไรหรือไม่” กู่เสี่ยวถิงที่ลอบสังเกตบุรุษมาสักพัก ตัดสินใจเอ่ยถาม โจวโซวเชินทำหน้านิ่ว ตวัดพู่กันในมือไปมา “เขามาพูดอะไรกับท่าน” “ใคร” “โจวฮุ่ยชิว เขาพูดอะไรกับท่าน” ที่แท้ก็หึงนี่เองสินะ กู่เสี่ยวถิงลอบยิ้มดีใจ ในที่สุดก็สามารถทำให้พระรองใจหวั่นไหวได้แล้วสินะ ถือว่านางใกล้จะบรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการแล้ว “เขาบอกว่าชอบข้า” กู่เสี่ยวถิงคิดอยากแกล้งให้โจวโซวเชินหึงอีกสักหน่อย จึงบอกออกไปโดยแต่งเติมเรื่องราวอีกสักหน่อย “จู่ๆ มาบอกว่าชอบข้า ทำข้าตกใจแทบแย่ ดีนะที่เจ้ามาก่อน มิเช่นนั้นข้าก็ไม่รู้จะต้องทำเช่นไร” มือที่กำพู่กันอยู่เริ่มสั่น โจวโซวเชินไม่รู้แล้วว่าตัวอักษรที่เขากำลังเขียนอยู่คือตัวอะไร ในหัวนั่นว่างเปล่า รู้สึกใจร้อนรุ่มขึ้นมา “แล้วท่านคิดอย่างไร” “คิดอย่างไรหรือ อืม... โจวฮุ่ยชิว ความจริงเขาก็หน้าตาดีอยู่หรอกนะ คารมคมคาย ดูมีภูมิฐานมิน้อย” โจวโซวเชินวางพู่กันในมือ เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่กำลังนั่งเท้าคางอยู่ตรงหน้า “แสดงว่าชอบใช่หรือไม่” ท่าทางจะโกรธจริงๆ แล้ว ใบหน้าเคร่งครึมดูไม่สบอารมณ์ของโจวโซวเชิน
“พี่เสี่ยวถิง พวกเราออกมาข้างนอกแบบนี้จะดีแน่หรือ” หวงหนิงเซียนถามด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก “อย่างไรถึงว่าไม่ดี พวกเรามาเดินเล่นนะ ไม่ได้มาทำเรื่องอะไรเสียหายสักหน่อย” “ตะ...แต่ว่า” เพราะถูกเรียกให้ออกมาพบกะทันหัน หวงหนิงเซียนคิดเพียงว่ากู่เสี่ยวถิงอาจมีเรื่องสำคัญจะคุยกับตนหรือไม่ ไม่คิดเลยว่าจะถูกลากให้ออกมาเดินเที่ยวตลาดด้วยกันเช่นนี้ “เอาน่าๆ อยู่กับข้าไม่มีอะไรต้องกังวล” กู่เสี่ยวถิงคล้องแขนของตนเข้ากับแขนของหวงหนิงเซียน “ข้าออกหน้าแทนเจ้าเอง วันนี้มาเที่ยวกันให้สนุกเถอะ” หวงหนิงเซียนยังคงไม่หายกังวล แต่พอเวลาผ่านไป นางพลันลืมความกังวลจนหมดสิ้น หัวเราะและสนุกไปกับคำพูดติดตลกของกู่เสี่ยวถิงแทน “อันนี้อร่อยมาก เจ้าชิมดูสิ” หวงหนิงเซียนอ้าปากรับขนมก้อนกลมเล็กคลุกเคล้าน้ำตาล ก่อนดวงตาจะเบิกโตแล้วพยักหน้ารัวๆ “อร่อย!” “โบราณว่าอาหารอร่อยจะนำโชคมาให้ ฉะนั้นวันนี้พวกเราออกไปตามล่าอาหารอร่อยกันเถอะ” หวงหนิงเซียนไม่ขัด หญิงสาวตอบรับแข็งขัน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุขยิ่ง นางไม่เคยมีเพื่อน อีกทั้งไม่กล้าคิดจะมี การที่ได้ออกมาเที่ยวเล่นกับสตรีอย่างกู่เสี่ยว
“เจ็บใจนัก! เจ้าจงหยางอี้! คิดว่าตัวเองเป็นคนโปรดของฝ่าบาทเลยคิดจะข่มเหงกันได้ง่ายๆ หรือไง!” โจวสวี่เฉิงบ่นพลางลูบบั้นท้ายของตัวเอง โจวซุ่นหยวนช่วยพยุงน้องชายที่ไม่เจียมสังขารพลางบ่นอุบอย่างหัวเสียเช่นกัน “มันกลับมาแบบนี้ พวกชาวบ้านคงได้ใจ ไม่เกรงบารมีพวกเราอีก” “ข้าเกือบจะได้เชยชมโฉมงามแล้วแท้ๆ” โจวซุ่นหยวนชำเลืองสายตา “สวี่เชิง โฉมงามที่เจ้าว่าเป็นสตรีที่จงหยางอี้ประกาศจะแต่งด้วย เจ้าโดนแค่นี้นับว่าดีถมไปแล้ว” จงหยางอี้ได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพเลือดเย็นที่สุดในกองทัพ ตอนไปออกรบคราวก่อน เขาสามารถตัดศีรษะรองแม่ทัพฝ่ายศัตรูได้ถึงสามคน จากนั้นนำศีรษะส่งคืน ส่วนร่างกายแขวนประจานไว้หน้ากำแพงเมือง ด้วยความป่าเถื่อนและโหดเหี้ยมนี่เอง ทำให้เขาสามารถคว้าชัยตั้งแต่เท้ายังไม่เหยียบลงสนามรบเสียด้วยซ้ำ “พี่ใหญ่เองก็ยุ่งกับสตรีที่มีเจ้าของแล้วเหมือนกัน ยังจะมาทำเป็นสอนข้าอีก” โจวซุ่นหยวนหัวเราะ “เจ้าโง่! โจวโซวเชินมีอะไรให้พวกเราต้องการกังวลด้วยหรือไง ของของโซวเชินก็เหมือนของของข้านั่นแหละ” โจวซุ่นหยวนกล่าวอย่างไม่อายปาก คิดว่าตนนั้นเหนือกว่าและเป็นที่หนึ่งข
“หยางอิ่ง นางเคยมีคนรักอยู่ก่อนจะแต่งเข้าสกุลโจว เขาเป็นญาติผู้พี่ของข้าเอง ทั้งสองตกหลุมรักกันมานานหลายสิบปี แต่เพราะต่างฝ่ายต่างมีคู่หมายอยู่แล้วจึงไม่อาจสมหวังในรัก” ใต้เท้าโฮ่วพูดพลางถอนหายใจ “ในวันหนึ่งในฤดูหนาว พี่ชายและข้ารับพระราชโองการไปรบที่ชายแดน ด้วยเพราะเกรงว่าจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย ข้าจึงอยากให้ทั้งสองคนได้เจอกัน ผนวกกับได้ข่าวว่าสุขภาพของหยางอิ่งไม่ค่อยแข็งแรง ข้าจึงอยากเพิ่มแรงใจให้นาง ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าข้าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้” จงหยางอี้เดินเข้ามาตบบ่าโจวโซวเชิน “พี่ชายของใต้เท้าโฮ่วตายในสงคราม ส่วนใต้เท้านั่นบาดเจ็บสาหัส รักษาตัวอยู่นานหลายปีกระทั่งได้รับราชโองการให้ประจำอยู่ที่ชายแดนเป็นการชั่วคราว จึงไม่ได้รับข่าวคราวของมารดาเจ้าอีก” เพราะสกุลโจวปกปิดการตายของหยางอิ่ง พวกเขาจับนางไปขังไว้ในห้องที่ทั้งมืดและชื้น ไม่มีเตาไฟ ผ้าห่ม หรือกระทั่งอาหารให้กินจนอิ่มท้อง ส่งผลให้สุขภาพที่ไม่แข็งแรงอยู่แล้วยิ่งทรุดหนัก “โซวเชิน” กู่เสี่ยวถิงกระซิบเสียงเบา รู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของโจวโซวเชินนัก แต่เมื่อเห็นแววตานิ่งสงบของเขา นางก็เริ่ม
“อะไรนะ!? ฮุ่ยชิว เจ้าไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นใช่ไหม เจ้าถูกกล่าวหาใช่ไหมหลาน ตอบย่าสิ” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อ พยายามเค้นถามความจริงจากโจวฮุ่ยชิวอย่างเดียว “น่ารำคาญ!!!” โจวฮุ่ยชิวผลักฮูหยินผู้เฒ่าออกไป แล้วหันมาพูดกับจงหยางอี้ “ข้าว่าเรื่องนี้เราคุยกันได้นะแม่ทัพจง” จงหยางอี้เค้นเสียงพูด “ข้าไม่เหมือนขุนนางโลภมากพวกนั้นหรอกนะ เจ้าอย่าโน้มน้าวข้าเสียให้ยากเลย” “เจ้าไม่รู้หรือว่ามีขุนนางกี่คนที่อยู่ข้างข้า” “รู้สิ และก็สั่งจับขุนนางพวกนั้นไปหมดแล้วด้วย” หัวใจพลันกระตุกวาบพร้อมกับความหวาดกลัวที่แล่นพรูขึ้นมา โจวฮุ่ยชิวรีบเปลี่ยนเป้าหมาย หันไปทางโจวโซวเชินแทน “พี่สาม อย่างไรพวกเราก็เป็นสกุลโจวเหมือนกัน ข้า...” “ข้าฟังอยู่ จะแก้ตัวอะไรก็รีบพูดมา” ได้ยินเสียงเย็นชากล่าวเช่นนี้ โจวฮุ่ยชิวก็จำต้องกลืนคำขอของตนลงคอ ครั้นหันกลับมองทางครอบครัวตัวเอง ไม่ว่าจะท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ หรือพี่ชายทั้งสองของตนล้วนแต่พึ่งพาไม่ได้ หากจะบอกว่าแผนการล้มเหลว มันอาจจะล้มเหลวมาตั้งแต่วันที่เขาเกิดแล้วก็ได้ “หวังพึ่งใครไม่ได้สักคน” โจวฮุ่ยชิวขบกรามแน่น “ทำไมข้าต้อ
ราวกับถูกสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะ กู่เสี่ยวถิงพูดอะไรไม่ออก หัวใจบีบรัดแน่นจนหายใจไม่ออก โจวฮุ่ยชิวยื่นมือออกมาตรงหน้า “ไปกันกับข้าเถอะ” กู่เสี่ยวถิงส่ายหน้า ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่มีวันไปกับโจวฮุ่ยชิวแน่ นี่มันอะไรกัน... โจวฮุ่ยชิวสอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวนได้อย่างไร?! “อย่ายุ่งกับนาง!” โจวโซวเชินปัดมือโจวฮุ่ยชิวทิ้งแล้วจูงมือพาตัวกู่เสี่ยวถิงกลับเข้าไปในงาน “โซวเชิน เดินช้าหน่อย ข้าตามไม่ทัน” กู่เสี่ยวถิงก้าวขาไม่ทันร่างสูงที่กึ่งฉุดกึ่งลากนาง “โอ๊ะ!” กู่เสี่ยวถิงสะดุดขาตัวเอง โจวโซวเชินรีบหมุนตัวกลับมารับร่างบางไว้ “บาดเจ็บหรือไม่” กู่เสี่ยวถิงส่ายหน้าแล้วพยายามจะลุกขึ้นยืน ทว่ากลับรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าจนทรงตัวไม่ไหว “เป็นอะไร เจ็บเท้าหรือ” โจวโซวเชินก้มลงจับที่ข้อเท้าของหญิงสาว พอได้ยินเสียงร้องว่าเจ็บ เขาก็ตกใจจนหน้าเสีย รีบอุ้มตัวนางขึ้น บอกจะรีบพาไปให้หมอตรวจดูอาการ “ขะ...ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าปล่อยข้าลงก่อน” “ไม่เป็นอะไรได้อย่างไร เมื่อครู่ท่านยังร้องอยู่เลย ยืนก็ไม่ไหวด้วยเนี่ย” “อาจจะแค่ข้อเท้าแพลงก็ได้ เจ้าอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่สิ”
ความรู้สึกกดดันนี้มันอะไรกัน กู่กวงซิวเหงื่อแตกพลั่กเหลือบมองบุตรสาวที่ยืนเท้าสะเอวพลางจ้องตนตาเขม็ง “ท่านพ่อ ท่านไม่มีอะไรจะสารภาพหรือ” กู่กวงซิวอ้ำอึ้ง ชำเลืองหางตาไปทางหลี่เฟยเพื่อขอความช่วยเหลือ “เอ่อ เสี่ยวถิง มีอะไรหรือเปล่าลูก” หลี่เฟยเอ่ยถามเสียงละมุน แต่มิวายถูกสายตาคมกริบตวัดมองมาเช่นกัน “ท่านแม่ มิใช่ว่าท่านก็รู้เห็นด้วยหรอกนะ” เมื่อถูกเค้นหนักเข้า สองสามีภรรยาตระกูลกู่ก็เริ่มทนไม่ไหวจึงตัดสินใจเล่าความจริงทั้งหมดแก่กู่เสี่ยวถิง “พ่อแค่อยากไล่โจวฮุ่ยชิวไปให้พ้น หากเขาเห็นว่าสกุลกู่ไม่อาจให้ในสิ่งที่เขาต้องการ เขาคงไม่มายุ่งกับพวกเราอีก” “นอกจากนี้ยังสามารถคัดกรองสหายที่มีอยู่ หากพวกเขาเป็นมิตรแท้ย่อมไม่หันหลังให้สกุลกู่แน่ กลับกันแล้ว หากหนีไปเข้าพวกกับโจวฮุ่ยชิว แสดงว่ามิใช่คนซื่ออย่างแท้จริง” หลี่เฟยเอ่ยต่อ เหตุผลที่บุพการีบอกนั้นก็ฟังมีเหตุผล พวกเขาเพียงอยากกันโจวฮุ่ยชิวให้พ้นทาง แต่ว่า...นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเขาจะต้องมาโกหกนางนี่!? “เอ่อ...พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะโกหกลูกนะ เพียงแต่...” ราวกับหลี่เฟยอ่านความคิดของกู่เสี่ยว
“อาภรณ์ชุดนี้งดงามยิ่งนัก สีสันสดสวยประณีตงดงาม” เถ้าแก่ที่เข้ามาประเมินราคาสิ่งของในจวนกู่เอ่ยขณะลูบมือลงยังอาภรณ์สีครามเข้ม “คุณหนูรองกู่แน่ใจหรือว่าจะขายทั้งหมดนี้” กู่เสี่ยวถิงพยักหน้า “เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์” นางตอบเสียงเศร้า “อืม งั้นข้าให้คนขนไปที่รถเลยนะ” กู่เสี่ยวถิงกวาดตามองเหล่าเสื้อผ้า รองเท้า และตำราเรียน ราวกับต้องการบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ “รบกวนเถ้าแก่ด้วย” กู่เสี่ยวถิงเรียกพ่อบ้านประจำจวนให้มาตกลงเรื่องราคาและรับเงินจากเถ้าแก่ แล้วจึงหมุนตัวเดินออกไป ระหว่างทางบังเอิญผ่านเรือนที่นางเคยใช้เรียนหนังสือกับโจวโซวเชิน เรือนหลังใหญ่ที่เพิ่งทำความสะอาดเสร็จ ประตูและหน้าต่างทุกบานถูกเปิดออกเพื่อระบายอากาศ กู่เสี่ยวถิงค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปด้านใน มองสำรวจห้องแล้วพลันนึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับโจวโซวเชิน รอยยิ้มของเขา สัมผัสอ่อนโยนและจุมพิตแรกที่เขามอบให้ หางตากู่เสี่ยวถิงเหลือบเห็นภาพเขียนที่ถูกแขวนไว้เหนือโต๊ะเขียนหนังสือ เป็นภาพเขียนของโจวโซวเชินที่นางย้ายออกมาจากห้องนอนและไม่ยอมที่ขายออกไป “ถึงไม่มีวาสนาต่อกัน
“เห็นคุณชายสามนิ่งขรึมมาตลอด ไม่คิดเลยว่าจะ...เอ่อ” หวงหนิงเซียนคิดคำที่จะช่วยอธิบายเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ออก โจวโซวเชินไม่เคยแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว คุกคาม หรือกระทั่งออกคำสั่งไล่ใครมาก่อ “คงมีเพียงกู่เสี่ยวถิงคนเดียวที่ทำสหายข้าเสียอาการเช่นนี้ได้” จงหยางอี้วิเคราะห์ “ป่าเถื่อนสิไม่ว่า ที่นี่มิใช่จวนโจวนะ กล้าทำเรื่องไร้มารยาทที่นี่ได้อย่างไร!” ถึงจะบ่นอย่างนั้น แต่ส่วนลึกหวงลี่หรูก็ไม่กล้าสู้กับสายตาแข็งกร้าวของโจวโซวเชินสักเท่าไรนัก ให้พญานกยูงอย่างนางไปขวางทางหมาป่าโมโหร้ายหรือ! หาเรื่องตายสิไม่ว่า “พวกเขาจะปรับความเข้าใจกันได้หรือไม่นะ” หวงหนิงเซียนเป็นกังวล มือกระตุกชายเสื้อแม่ทัพหนุ่มเบาๆ “อย่าห่วงเลย โซวเชินเป็นคนใจเย็น เขาจะต้องค่อยๆ ใช้คำพูดอธิบายให้กู่เสี่ยวถิงเข้าใจ และไม่นานทั้งคู่ก็จะคืนดีกัน...” ตู้ม!!!!! เสียงตู้มดังสนั่น คนทั้งสามต่างตื่นตกใจแล้วรีบวิ่งวนกลับมาทางศาลา เบื้องหน้ากู่เสี่ยวถิงยืนอยู่บริเวณสระบัวพลางหอบหายใจอย่างหนัก ส่วนโจวโซวเชิน...ล้มหน้าคว่ำอยู่ในสระบัว โชคดีที่ว่าระดับน้ำสูงเพียงเข่า โจวโซวเชินจึงค่อยๆ พยุงตั
หลังจากกู่เสี่ยวถิงถูกอุ้มหายออกไปจากโรงน้ำชา หวงลี่หรูก็รีบเร่งมารอพบกู่เสี่ยวถิงแต่เช้าตรู่ ครั้นได้ยินสาวใช้บอกว่าหญิงสาวปลอดภัยดี ทั้งยังนอนหลับอุตุไม่ยอมตื่นเสียอีก หวงลี่หรูไม่อยากรบกวนจึงลากลับมาก่อน พอรุ่งเช้าอีกวันก็มาขอพบกู่เสี่ยวถิงอีก ทว่าน่าแปลกที่ว่ากู่เสี่ยวถิงเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมออกมาพบหน้าใครอยู่นานหลายวัน หวงลี่หรูที่เทียวไปเทียวมาจวนกู่รู้สึกเป็นห่วงสหายยิ่งนัก ท้ายที่สุดจึงนำเรื่องนี้ไปบอกแก่หวงหนิงเซียน เผื่อว่าหากหวงหนิงเซียนไปจวนกู่ด้วยกันแล้วกู่เสี่ยวถิงอาจจะยอมออกมาพบ “หากไม่ใช่เพราะจนปัญญา ข้าคงไม่แบกหน้ามาขอร้องเจ้าหรอก หากเจ้ายอมช่วย เจ้าอยากได้อะไรข้าจะยกให้” “เรื่องใหญ่เพียงนี้ ทำไมท่านพี่ไม่รีบบอกข้าเล่า ข้าเองก็เป็นห่วงพี่เสี่ยวถิงเหมือนกันนะเจ้าค่ะ” หวงหนิงเซียนเอ่ยเสียงสะอื้น มือเล็กรีบคว้ามือของพี่สาวแล้วดึงไปทางหน้าจวนโดยเร็ว “พวกเรารีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ ข้าเป็นห่วงพี่เสี่ยวถิงจะแย่แล้ว” แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองสาวจะวิ่งพ้นประตูจวน กู่เสี่ยวถิงกลับเดินสวนเข้ามาเสียก่อน “เสี่ยวถิง!” “พี่เสี่ยวถิง!”
ราวกับฝันไป... คล้ายว่าได้นอนขดอยู่ในอ้อมกอดของโจวโซวเชินตลอดคืน กู่เสี่ยวถิงบิดตัวลุกขึ้นนั่ง หันไปมองรอบๆ ก่อนจะยกมือขึ้นกุมศีรษะ “ปวดหัวจัง” ซูฉางที่ยกกะละมังใส่น้ำเข้ามาเห็นกู่เสี่ยวถิงตื่นแล้วก็รีบเข้ามาถามไถ่อาการ “คุณหนูได้สติแล้วหรือเจ้าคะ เป็นอย่างไรบ้าง ล้างหน้าล้างตาก่อนนะเจ้าค่ะ” “นี่ข้า... กลับมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร” “กลับมาเมื่อไรไม่สำคัญเท่ากับกลับมากับใครมากกว่าเจ้าค่ะ” ซูฉางกล่าวเสียงหยอกล้อ “ข้าไม่ได้กลับมากับลี่หรูหรือ” ซูฉางหันขวับมามองพลางวางกะละมังทองเหลืองลงตรงหน้านายหญิง “โธ่ นี่คุณหนูดื่มไปเท่าไรกันเจ้าคะ เหตุใดถึงจำอะไรไม่ได้เช่นนี้” “ข้าเผลอไปน่ะ ดื่มไม่กี่จอกก็ภาพตัด จำอะไรไม่ได้เลย ปวดหัวอีกต่างหาก” ซูฉางถอนหายใจ ช่วยจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หญิงสาวก่อนจะส่งน้ำแกงสร่างเมาให้นางดื่ม “คุณหนูหลับไปหนึ่งวันเต็มเลยนะเจ้าค่ะ ยามนี้ก็เที่ยงแล้ว เดี๋ยวบ่าวไปยกอาหารมาให้เจ้าค่ะ” กู่เสี่ยวถิงพยักหน้า แต่แล้วก็ตะโกนถาม “ซูฉาง ท่านพ่อท่านแม่รู้เรื่องที่ข้าเมากลับมาหรือไม่” ซูฉางยิ้มเย็นเยือก เอ่ยบอก “หลังคุณหนูทานอาหารเส
“เสี่ยวถิง! จะ...เจ้าจะทำอะไร” โจวโซวเชินพยายามดันคนตัวเล็กออก แต่หญิงสาวกลับติดหนึบเสียยิ่งกว่าอะไร ยิ่งแกะนางยิ่งซุกไซ้ไม่เลิก กระทั่งกระโจนขึ้นมานั่งบนตักกว้างพร้อมยกมือขึ้นโอบรอบคอชายหนุ่มไว้แน่น โจวโซวเชินรู้สึกว่าร่างกายของตนร้อนขึ้นวูบหนึ่ง หัวใจเต้นโครมครามไม่หยุด รู้สึกทรมานกึ่งกลางกายนัก “กลิ่นตัวเจ้าเหมือนโซวเชิน ตัวก็ด้วย เท่ากันเป๊ะ!” ที่แท้นางก็ละเมอเข้ามากอดเพื่อวัดตัวเขาเองหรือนี่? “โซวเชิน ทำไมเจ้าไม่ยอมใส่สีชมพู ข้าเตรียมชุดไว้เข้าคู่กับเจ้าด้วยนะ” โจวโซวเชินลอบหัวเราะ เขาจำเหตุการณ์ครั้งกู่เสี่ยวถิงหอบเอาบรรดาชุดสีสันแสบตามาให้ตนได้ หนึ่งในนั้นมีชุดที่เป็นสีชมพูไล่สีสลับขาวคล้ายกับดอกเหมยกำลังเบ่งบานก็มิปาน หญิงสาวยิ้มร่ารีบนำเสนอชุดที่นางสั่งตัดพิเศษพลางคะยั้นคะยอให้เขาลองสวมให้ดู แต่ฝันไปเถิดว่าบุรุษมาดแมนอย่างเขาจะใส่! แค่คิดก็ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว “ท่านเห็นข้าเป็นลูกหมาหรืออย่างไร อยากจะจับแต่งตัวอย่างไรก็ได้งั้นหรือ หือ” กู่เสี่ยวถิงเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตากลมฉ่ำหวานคล้ายมีไอหมอกจางๆ ปกคลุมไว้ ริมฝีปากบางอมชมพูเผยอขึ้นเล็กน้อย ข