ชายผู้นั้นมิได้ตอบคำถามนาง แต่หันไปบอกมาม่าฟางเซียนว่า “ เจ้าพานางออกไป แล้วทำตามที่ข้าสั่ง เมื่อนางร่ายรำได้ดีแล้ว ก็แต่งตัวให้นางแล้วพามาร่ายรำให้ข้าดูก่อน ว่าสินค้าเช่นนางจะขายได้ราคาหรือไม่ ” แล้วเขาก็หันหลังเดินกลับไปยืนที่ริมหน้าต่างบานกว้าง แล้วมองออกไปที่ทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างไม่ได้สนใจหญิงทั้งสองอีก “ เจ้าเดินตามข้ามา อย่าพูดมาก ควรจะรู้ตัวได้แล้วนะ ว่าทาสเช่นเจ้ามิควรมีปากเสียงให้มากนัก มิเช่นนั้นถ้าหากนายท่านรำคาญเจ้าขึ้นมา จะส่งเจ้าไปเป็นนางโลมชั้นต่ำไว้บำเรอพวกกุลีที่ท่าเรือก็ได้นะ หรือเจ้าอยากจะมีชะตากรรมเช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ”
คำพูดนี้ปิดปากของอดีตคุณหนูตกอับไว้ได้ชะงัดนัก นางคิดไม่ออกเลยว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร หากถูกนายท่านผู้นี้ส่งไปบำเรอกุลีพวกนั้น เหม่ยอิงร้องไห้ออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่ นางแค่เดินเข้าไปโดยไม่รู้ว่าห้องนั้นเป็นห้องของเจ้าของที่นี่ แล้วเขาเองที่เป็นฝ่ายมาจูบนางก่อนแท้ๆ นางมิได้เชิญชวนเขาเสียหน่อย แต่กลับมาด่าว่านางเหยียดหยามนางด้วยถ้อยคำรุนแรงยิ่งนัก มิเคยมีใครกล้าพูดจาเช่นนี้กับนางมาก่อนเลย เหม่ยอิงครุ่นคิดด้วยความโมโห แต่แล้วก็ชะงักไปตอนนี้นางมิได้เป็นคุณหนูของจวนคหบดีใหญ่อีกแล้ว ก็จริงของมาม่าฟางเซียนสถานะตอนนี้ของนางคือทาสที่เขาซื้อตัวมา นางมิใช่คุณหนูในห้องหออีกแล้ว นางมิมีบิดาคอยคุ้มครองนาง มิมีครอบครัวที่คอยจะปกป้องนางอีกแล้ว
ในเมืองเฉิงตูนี้ นางตัวคนเดียวอย่างแท้จริงไม่เหลือใครให้พึ่งพาได้อีก หากนายท่านผู้นั้นจะรังแกนางเช่นไร แล้วเหม่ยอิงจะมีปัญญาอะไรไปสู้รบปรบมือกับเขาที่มีอำนาจไม่น้อย สามารถซื้อตัวคนที่ต้องคดีที่ต้องถูกเนรเทศออกจากเมืองไปด้วยซ้ำ แต่เขาก็สามารถซื้อตัวของนางมาได้ จะซื้อจากใครเล่า ก็ต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจมาก ถึงจะขายตัวนักโทษต้องคดีให้เขาได้ เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว อดีตคุณหนูจางเหม่ยอิงจึงได้หุบปากแล้วทำตามคำสั่งของมาม่าฟางเซียนอย่างเงียบเชียบดังเช่นหุ่นกระบอกกระนั้น ใครสั่งให้ทำอะไรเหม่ยอิงก็ทำตามอย่างไม่ขัดขืน เพราะนางคิดใคร่ครวญดูแล้ว นางมิสามารถหนีไปจากที่นี่ได้ นางตัวคนเดียว ไร้ญาติขาดมิตรที่จะคอยช่วยเหลือ นางไม่มีเงินเหลือเลยและไม่มีวรยุทธ์ เพราะฉะนั้นอดีตคุณหนูผู้บอบบางที่ไม่เคยต้องสู้รบปรบมือกับใครมาก่อนเช่นนางจะทำสิ่งใดได้อีกเล่า ได้แต่ก้มหน้ารับกรรมไปเช่นนี้
มาม่าฟางเซียนเดินนำฟางเซียนไปที่ชั้นล่างสุดและเดินไปตามทางเดินทอดยาวจนถึงห้องสุดท้ายริมทางเดิน นางเปิดประตูเข้าไปในห้อง เหม่ยอิงเดินตามหลังนางเข้าไป มีหญิงงามผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งที่เป็นโต๊ะยาวมากและมีคันฉ่องอันใหญ่วางอยู่บนโต๊ะหลายบานด้วยกัน บนโต๊ะมีเครื่องประทินผิวและเครื่องแต่งแต้มใบหน้าอยู่ในขวดเคลือบและตลับเล็กใหญ่หลายใบวางเรียงรายอยู่มากมายหลายขนาดและมีหีบใบเล็กวางอยู่หลายหีบเรียงกัน คงจะเป็นจำพวกเครื่องประดับของนางรำ
“ ชุ่ยหลิน เจ้าสอนเหม่ยอิงร่ายรำด้วยนะ สอนนางเริงระบำให้คล่องแคล่ว สอนทั้งหมดที่เจ้าชำนาญ และสอนนางให้หัดแต่งหน้าแต่งตัวเช่นนางรำมืออาชีพเขาทำกันให้คล่อง เมื่อเรียบร้อยก็บอกข้าจะได้พาไปให้นายท่านดูอีกครั้ง ” เมื่อสั่งงานหญิงผู้นั้นแล้วก็หันมายังคนที่เดินตามมาติดๆ “ เหม่ยอิงเจ้าก็เรียนร่ายรำกับชุ่ยหลินไปจนกว่าจะคล่องแคล่ว ไม่ต้องทำงานรับใช้ในหอนี้อีกแล้ว ถือว่าเจ้าโชคดีมากนะที่ไม่ต้องทำงานใช้แรงงานเช่นทาสคนอื่น แค่นี้นายท่านก็ปราณีเจ้ามากแล้ว ทั้ง ๆ ที่เจ้ากล้าเถียงนายท่านไม่ขาดคำเช่นนั้น หากเป็นผู้อื่นป่านนี้คงถูกขายต่อให้ซ่องนางโลมเมืองอื่นหรือให้ไปบำเรอกุลีไปแล้ว เจ้าก็อย่ารนหาเรื่องอีกก็แล้วกัน “
แล้วมาม่าฟางเซียนก็เดินออกไปจากห้องทันที ทิ้งเหม่ยอิงไว้กับนางรำที่ชื่อชุ่ยหลิน เมื่อมาม่าฟางเซียนเดินลับกายไปแล้วนั้น ชุ่ยหลิงนางรำที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งตัวยาวนั้นก็หันมา ” เจ้าชื่อเหม่ยอิงใช่หรือไม่ ข้าได้ยินเขาพูดกันว่านายท่านซื้อเจ้ามาเมื่อวานนี้ ปกติแล้วนายท่านมิค่อยได้ซื้อทาสบ่อยๆหรอกนะ เพราะคนงานที่นี่มีมากมายจนนับไม่ถ้วน และมีคนมาหางานทำอยู่บ่อยๆ พวกทาสก็มีที่มาขายตัวเองหรือครอบครัวพามาขายเท่านั้น มิได้ไปหาซื้อมาเช่นเจ้า เอาล่ะ วันนี้ข้าจะสอนท่าทางพื้นฐานให้เจ้าก็แล้วกันค่อยๆร่ำเรียนกันไป ถ้าเจ้ามีความสามารถทางนี้ก็จะเรียนรู้ได้เร็ว แต่ว่าเจ้าเคยเรียนร่ายรำมาก่อนหรือไม่ ” เหม่ยอิงเอ่ยตอบนางไปว่า “ ข้าเคยเรียนร่ายรำมาบ้าง ก็ศาสตร์ทั้งสี่ของสตรีที่ต้องได้ร่ำเรียนกัน แต่มิได้ถึงกับชำนาญมาก ” ชุ่ยหลินพยักหน้า
“ แต่ในเมื่อนายท่านให้เจ้ามาเรียนร่ายรำเช่นนี้ คงจะให้เจ้าขึ้นไปทำการแสดงบนเวที ปกติที่นี่จะมีนางรำสามคน ข้าและคนที่รับงานหลายๆที่อีกสองคน สองคนนั้นจะผลัดเปลี่ยนกันมาทำการแสดง ส่วนข้านั้นทำงานที่นี่ประจำ และทำการแสดงร่ายรำหากนักแสดงหรือพวกหญิงงามที่มาขายศิลปะทั้งหลายเกิดไม่สบายหรือไม่มาทำการแสดงข้าก็จะต้องไปแสดงแทน ” ดังนั้นวันนั้นทั้งวัน ชุ่ยหลินก็สอนการร่ายรำให้แก่เหม่ยอิงที่พอมีทักษะทางด้านนี้มาบ้างจึงได้เรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่งนัก
เหม่ยอิงมาเรียนการร่ายรำกับชุ่ยหลินในทุกๆวัน เมื่อตกตอนเย็นชุ่ยหลิงจะต้องเตรียมตัวทำการแสดงจึงได้ลากลับไปที่ห้องพักของตนเอง หรือไม่ก็แอบไปดูชุ่ยหลิงทำการแสดงบ้างเผื่อนางจะได้เรียนรู้ไว้ เหม่ยอิงทำใจไว้บ้างแล้ว ชะตากรรมของนางคงหนีไม่พ้นหญิงคณิกาอย่างแน่นอน หลังจากได้ยินนายท่านผู้นั้นบอกว่าให้นางทำการแสดงให้เขาดูก่อนว่าหญิงเช่นนางจะขายได้ราคาหรือไม่ เหม่ยอิงกลับห้องพักไปครุ่นคิดถึงคำพูดของเขา แล้วก็คิดว่าเขาคงหมายถึงจะให้นางขายศิลปะการร่ายรำหรือไม่อย่างเลวร้ายที่สุดที่นางคงจะต้องคำทำใจไว้ล่วงหน้าก็คือ อาจจะต้องถึงกับขายเรือนร่าง
เพราะอดีตคุณหนูตกอับเช่นนางจะมีใครมาปกป้องและช่วยเหลือให้พ้นไปจากที่นี่ได้เล่า แต่ยังโชคดีที่อยู่ที่นี่มาหลายวันแล้วก็มิมีผู้ใดมารบกวนหรือทำร้ายกลั่นแกล้งใดๆ แม้ที่นี่มีชายหน้าตาน่ากลัวที่เป็นเวรยามและดูแลคุ้มกันหอคณิกาแห่งนี้หลายๆคน แต่พวกเขาก็ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับเหม่ยอิง อีกอย่างนางก็คอยหลบเลี่ยงจากคนมากหน้าหลายตาเช่นกัน เหล่าสาวใช้ก็ทักทายนางบ้าง แต่มิได้มายุ่งเกี่ยวกันมากนัก เพราะพวกเขาก็มีงานล้นมือ ยิ่งเวลาที่เปิดหอนางโลมตั้งแต่ตอนเที่ยงจนถึงกลางดึกพวกเขาทำงานแทบจะไม่มีเวลามาพูดคุยกับเหม่ยอิงเลย
อดีตคุณหนูตกอับเพิ่งรู้ตัวว่าโชคดีแค่ไหนที่ไม่ต้องทำงานรับใช้ในหอคณิกาแห่งนี้ เพราะเป็นงานที่หนักมาก นางเห็นพวกเขาทำงานตั้งแต่ตอนบ่ายจนดึกดื่นถึงจะได้กลับมาเรือนพักเพื่ออาบน้ำเข้านอนกัน แต่ได้ยินพวกเขาคุยกันว่าที่นี่ให้เงินดี ถึงได้ยอมเหน็ดเหนื่อยทำงานกันมือเป็นระวิง
เมื่อเรียนร่ายรำกับชุ่ยหลินจนคล่องแคล่ว จนชุ่ยหลินออกปากว่า “ เหม่ยอิงเจ้ามีความสามารถทางด้านนี้จริง ๆ เจ้าร่ายรำได้งดงามยิ่งนัก แล้วสตรีที่งดงามปานจะล่มเมืองเช่นเจ้าแถมยังมีรูปร่างอวบอิ่มขาวผ่องเป็นยองใยเช่นนี้ หนุ่มๆเห็นเข้าคงจะตะลึงไม่น้อย อีกไม่นานหากเจ้าได้ทำการแสดง เจ้าต้องม่ีแขกมาติดพันเจ้าอย่างแน่นอน และอีกไม่นานหากเจ้าได้รางวัลจากแขกแล้วสะสมเอาไว้จนพอที่จะไถ่ตัวเองออกไปจากหอคณิกาแห่งนี้ด้วยตนเอง หรือหากเจ้าโชคดีมีคุณชายที่ร่ำรวยมาไถ่ตัวเจ้าไปเป็นภรรยา เจ้าก็จะมีชีวิตใหม่ ไม่ต้องมาทำงานเช่นนี้อีกแล้ว เจ้ามีรูปเป็นทรัพย์โชคดีกว่าหญิงหลายๆคนในนี้นะ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ “ เหม่ยอิงมองหน้าของชุ่ยหลินนิ่งแล้วเอ่ยว่า ” ชุ่ยหลิน หากเป็นจริงอย่างที่เจ้าพูดมาก็ดีนะสิ ข้าจะได้หลุดพ้นไปจากที่นี่ ได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที “ ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันในห้องแต่งตัวของนางรำนั้น ร่างสูงล่ำสันที่ยืนฟังพวกนางคุยกันอยู่ที่หน้าประตูห้องแต่งตัวนั้น ได้ยินทุกคำพูดชัดเจน กรามแกร่งของเขาขบเข้าหากันแน่น และมือหนากำแน่นอยู่ข้างตัว ดวงตาของเขาเหมือนมีไฟลุกอยู่ในนั้น “ เจ้าคิดว่าจะหลีกหนีข้าไปง่ายๆเช่นนั้น
ร่างล่ำสันทรุดนั่งลงที่เดิมที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่ และเขาดึงร่างอวบอิ่มของนางนั่งบนตักแกร่งของเขาด้วย “ นายท่านเจ้าคะ อย่าเจ้าคะ เหม่ยอิงไม่ ” เหม่ยอิงอ้าปากจะทัดทานเขาด้วยนางรู้สึกว่านางไม่ปลอดภัย ยิ่งสบตาคมที่จ้องมองนางแทบจะกลืนกินนั้น “ อย่าอะไรกัน ไหนลองบอกข้าสิ ฮึ ” เจ้าของหอคณิกาหนุ่มเอ่ยถามนางเบาๆ ที่ข้างใบหูน้อยๆ ของเหม่ยอิงที่กำลังจนถ้อยคำ ด้วยรู้สึกเสียวซ่านไม่น้อยยามที่เขาเป่าลมหายใจที่ข้างหูของนาง แล้วลิ้นสากที่เปียกชื้นก็ไล้เลียใบหูน้อยๆของนางช้าๆละเลียดชิมมันทีละนิด“ อ๊าย อย่านะ นายท่าน อย่านะ ” เหม่ยอิงพยายามเบือนหน้าหนีเขา แต่กลับกลายเป็นว่าริมฝีปากหนานั้นเปลี่ยนมาโจมตีริมฝีปากจิ้มลิ้มของนางแทน ลิ้นสากนั้นสอดเข้ามาในปากจิ้มลิ้มอย่างรวดเร็วไม่ปล่อยให้เหม่ยอิงตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย เมื่อเข้ามาได้ก็ควานชิมความหวานในปากน้อยของนาง แล้วก็ตรงเข้าเกี่ยวพันกับลิ้นเล็กของนางอย่างดูดดื่ม เขาดูดลิ้นเล็กและพัวพันมันอย่างเร่าร้อนจนร่างอวบของเหม่ยอิงอ่อนระทวยพิงอกแกร่งของเขา ในที่สุดลิ้นเล็กของนางก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ยอมเกี่ยวพันกับลิ้นสากของเขาอย่างดูดดื่ม เร่าร้อนยิ่งนัก เหม่ยอิงเคลิบเ
เมื่อเหม่ยอิงนักเรียนฝึกหัดที่หัวไวไม่น้อย จับจังหวะรักของเขาได้ นางก็ยกสะโพกอวบนั้นกระแทกเขาขึ้นลงอย่างเร่่าร้อน นางหลับตาลงแล้วจินตนาการว่านางกำลังควบขี่ม้าตัวผู้ที่แสนจะพยศ นางจึงได้ขย่มเขาอย่างรุนแรง แขนเรียวยกขึ้นกอดลำคอหนาของเขาเอาไว้แล้วกดกระแทกลงหากายแกร่งของเขาอย่างร่านรัก ปากก็ร้องครวญคราง “ อ๊าย อ๊ะ อ๊าย อ๊าย นายท่าน อ๊าย ” เจ้าของหอคณิกาหนุ่มก็ร้องครางในลำคอกระหึ่ม เขาสุขสมยิ่งนัก ตาคมปรือมองนางอย่างหลงไหลพลางยกสะโพกหนาเสยขึ้นหานางอย่างอดใจไม่ไหว “ อ๊าย อ๊ะ อ๊าย อ๊ากก อ๊ากก อ๊าาก ” ทั้งสองต่างโยกขย่มกันอย่างเร่าร้อน และส่งเสียงร้องครวญครางเสียงดังไปทั้งห้องใหญ่นั้น จนกระทั่งสะโพกอวบของเหม่ยอิงกระตุกเกร็งหลายๆครั้งจนเสร็จสม ตัวนางอ่อนระทวยซบอกแกร่งของเขาอย่างอ่อนแรง ทั้งสองหอบหายใจเสียงดังอย่างเหน็ดเหนื่อย เมื่อพักได้เพียงครู่ร่างล่ำสันก็ผุดลุกขึ้นอุ้มนางกระเตงไปทั้งอย่างนั้น แล้วเดินตรงไปที่เตียงใหญ่ของเขา เขาวางร่างอวบที่อ่อนระทวยของเหม่ยอิงลงบนฟูกหนานั่น แล้วขึ้นคร่อมร่างอวบของนางทันที เขาจับลูกชายที่เริ่มแข็งขึงขึ้นอีกครั้งของเขาสอดเข้าไปในร่องอวบที่ฉ่ำไปด้วยน้ำรักทั้ง
และเมื่อฮูหยินหยางพาบุตรชายคนเดียวมาที่จวนของคหบดีจ้าวเพื่อทวงถามเรื่องหมั้นหมายและขอความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย แต่กลับถูกปฎิเสธการช่วยเหลือ แต่คหบดีจ้าวก็ยังให้เงินมารดามายี่สิบตำลึงอย่างเสียไม่ได้ แต่เขาขอยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างบุตรสาวของเขากับอดีตคุณชายหยางตงเหวินบุตรชายเพียงคนเดียวของแม่ทัพตงทันที และที่ทำให้เขาเสียใจเจ็บปวดเหลือเหลือเกินคือที่เขาได้ยินอดีตคู่หมั้นสาวน้อยผู้นั้นเอ่ยปฎิเสธการแต่งงานกับเขาเพียงเพราะเขาสิ้นไร้ไม้ตอกไม่มีทรัพย์สมบัติใดเหลืออยู่ ไม่มีเงิน ไม่มีอนาคตที่นางจะฝากชีวิตไว้กับบุรุษเช่นเขาได้นางจึงเอ่ยปากของถอนหมั้นกับเขาต่อหน้าฮูหยินหยางมารดาของเขาที่กำลังเสียใจและนางมีร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว นางถึงกับเป็นลมไปด้วยความเสียใจที่สหายสนิทแปรเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อครอบครัวของนางตกยาก คุณชายหยางตงเหวินจึงได้รีบพามารดาเดินออกไปจากจวนของคหบดีจ้าวทันที แม้ในใจของเขาจะปวดร้าวแทบจะฝืนทนเดินต่อไปไม่ไหวเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินถ้อยคำเหยียดหยามดูหมิ่นเขาจากปากของคู่หมั้นสาวที่งดงามอ่อนหวานในสายตาของเขามาตลอด หลังจากนั้นเขาก็มุมานะสร้างตัวจนกลายเป็นเศรษฐีใหญ่
สายๆของวันต่อมา เหม่ยอิงสะดุ้งตื่นขึ้นนอนลืมตาแล้วกระพริบช้าๆ แล้วเหลียวมองไปรอบๆตัว นางยังนอนอยู่บนเตียงใหญ่ของเจ้าของหอคณิกานั่น เมื่อจดจำทุกอย่างได้นางก็ผุดลุกขึ้นทันใด แล้วค่อย หันมองไปรอบๆห้องไม่เห็นนายท่านอยู่ในห้องเหมือนในห้องนี้มีนางเพียงผู้เดียว จึงค่อยๆก้าวเท้าลงจากเตียงโดยมีผ้าผวยพันกายอยู่ นางมองหาอาภรณ์ของตนเองที่ถูกนายท่านถอดออกเมื่อคืนไปรอบๆทั้งบนเตียงและพื้นห้องจนทั่วก็ไม่พบ จึงได้พันกายด้วยผ้าผวยค่อย ๆ เดินไปที่หลังฉากกั้น และสาวเท้าไปที่ราวที่มีชุดคลุมของนายท่านพาดไว้บนนั้น นางดึงชุดคลุมผ้าไหมเนื้อนุ่มลื่นของเขามาแล้วใช้มันคลุมกายตนเองแล้วรัดเอวไว้จนแน่น แล้วก้มลงหยิบผ้าผวยที่นางใช้พันกายนั้นกลับไปยังเตียงใหญ่กลางห้อง แล้วลงมือเก็บเตียงนั่นโดยการดึงผ้าให้เรียบและพับผ้าผวยวางไว้ปลายเท้า จัดหมอนหนุนให้เข้าที่ เดินกลับมาที่หลักฉากกั้นอีกครั้ง แล้วเดินไปที่อ่างเคลือบใบใหญ่มุมห้องที่มีเหยือกน้ำวางอยู่ด้านใน นางเทน้ำในเหยือกล้างหน้าตนเองพอให้สดชื่นแล้วก็เดินออกไปด้านนอกที่เมื่อวานนางร่ายรำให้เขาดูจนเกิดเรื่องราวเร่าร้อนจนเลยเถิดตลอดบ่ายจนถึงค่ำคืน นางเห็นชุดคลุมของตนเองว
นายท่านตงเหวินร้องครางกระหึ่มในลำคอหนานั้น เมื่อร่างอวบอิ่มของเมียหมาดๆของเขาควบขี่เขาอย่างร่านรัก ปากจิ้มลิ้มของนางก็ครวญครางไม่ขาดปาก แต่ก็ยังควบขี่เขาอย่างรุนแรง “ เมียรัก เมียของพี่ อ๊ากก อ๊ะ อ๊ะ พี่รักเจ้า พี่รักเจ้าเหลือเกิน เหม่ยอิง อ๊าก อ๊ากก อ๊าากก ” ตงเหวินครวญครางกระหึ่มในลำคอหนา เขาร้องเรียกชื่อนาง สารภาพความในใจที่ซุกซ่อนไว้ในซอกหนึ่งของหัวใจของเขา สารภาพความจริงในใจออกมา แต่ทั้งสองต่างมัวเมาด้วยราคะที่มีต่อกันอย่างเร่าร้อน จึงมิได้ฉุกคิดถึงคำที่นายท่านตงเหวินสารภาพรักต่อเหม่ยอิงจนหมดสิ้นเขาทั้งคำรามและครวญครางกระเส่าเสียงดังไปทั้งห้อง ผสานกับเสียงครางของเหม่ยอิงที่หลับหูหลับตาเร่งกระแทกลำกายใหญ่ของนายท่านอย่างเร่าร้อนยิ่งนัก จนกระทั่งน้ำในถังใบใหญ่นั้นกระฉอกไปรอบๆแต่นางก็ยังเร่งกระแทกเขาอย่างเร่าร้อนจนกระทั่งทั้งสองกระตุกเกร็งเสร็จสมไปพร้อมๆกัน นายท่านตงเหวินปล่อยสายธารรักเข้าไปในร่องอวบของนางจนหมดสิ้น จากนั้นเขาก็ดึงนางลุกขึ้นแล้วจับร่างอวบหันหลังให้เขาแล้วลงมือกระแทกนางจากด้านหลังอย่างเร่าร้อน เหม่ยอิงครวญครางเสียงกระเส่าอย่างสุขสมยิ่งนัก นางเสร็จสมไปไม่รู้กี่ครั้งต่อ
เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายในชุดสาวใช้เรียบร้อย หวีผมยาวสยายนั้นให้เข้าที่แล้วเกล้ามันไว้หลวมๆหยิบปิ่นไม้ราคาถูกมาปักมันแล้วก็เดินออกไปจากห้องนอนนี้ ตรงไปยังเรือนครัวด้านหลังหอคณิกา แล้วเดินไปหยิบเสี่ยวหลงเปามาสามลูกและหยิบผิงก้วยที่วางไว้ในถาดที่ให้เหล่าคนงานหยิบมากินได้มา 2ผล เติมน้ำในโถเคลือบทรงสูงที่ใช้ใส่น้ำดื่ม แล้วเดินกลับไปยังเรือนนอนของนางดังเดิม เปิดประตูเข้าไปวางทุกอย่างที่นางถือมาไว้บนโต๊ะตัวเล็กนั่น แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่มีเพียงตัวเดียว แล้วลงมือกินเสี่ยวหลงเปาและผิงก้วยตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย เมื่ออิ่มหนำดีแล้วก็เทน้ำในเหยือกลงในถ้วยดินเผาแล้วยกขึ้นจิบ อย่างน้อยๆนางก็มีอาหารกินอิ่มท้องพลางครุ่นคิดถึงบิดามารดาและญาติมิตรทั้งหลายว่าป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง แต่อย่างน้อยพวกเขาแค่ถูกเนรเทศไม่ได้ถูกคุมขัง หากเดินทางพ้นแคว้นแห่งนี้ไป พวกเขาสามารถไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ แม้เงินทองจะถูกริบไปจนสิ้น แต่บิดาเคยสร้างตัวมาจากคนจรหมอนหมิ่นธรรมดา คงจะหาทางทำกินเลี้ยงกันไปได้อย่างไม่ลำบากมากนัก นางหวังให้เป็นเช่นนั้น ขอเพียงพวกเขาพ้นไปจากแคว้นนี้และเริ่มลงหลักปักฐานทำกินใหม่ ไม่ต้องร่
เมื่อถึงเวลาทำการแสดง เหม่ยอิงที่แต่งกายด้วยชุดนางรำเรียบร้อยแล้ว แต่ครั้งนี้นางใส่เป็นกางเกงขายาวที่รัดข้อเท้าทำให้เป็นกางเกงทรงขาโป่งพองน่ารัก เอวกางเกงนั้นต่ำกว่าเอวคอดของนาง จึงโชว์หน้าท้องขาวผ่อง และตัวเสื้อนั้นมิได้สั้นอย่างเช่นอาภรณ์สีเหลืองเหลือบทองที่นางเคยสวมใส่ แต่มันเป็นตัวยาวเกือบถึงสะดือและเป็นสีชมพูเข้มผ้าบางพริ้วแต่มิได้เนื้อบางเบาจนเห็นเรือนร่างข้างใน เพียงบางพริ้วมีน้ำหนักแต่เนื้อเป็นผ้าเนื้อหนา ตัวชุดตกแต่งด้วยอัญมณีหลากสีสันสลับกับสีทอง เวลาเต้นเครื่องประดับนั้นก็สั่นไหวเป็นประกายงดงามไม่น้อย คอนางสวมสร้อยสีทองระย้า ตุ้มหูระย้าเข้าชุดกัน ที่ข้อมือบางมีกำไลสีทองหลายๆอันสวมเข้าด้วยกัน “ เจ้าแต่งกายด้วยอาภรณ์สีนี้ขึ้นมากเลยนะเหม่ยอิง วันนี้แขกต้องฮือฮาอย่างแน่นอน แสดงให้สุดฝีมือนะ เผื่อมีแขกพึงใจเจ้าคงจะได้รางวัลไม่น้อยเลย จะได้มีโอกาสไถ่ถอนตัวเองได้เร็วๆ” ชุ่ยหลินให้กำลังใจเมื่อถึงเวลาทำการแสดง เหม่ยอิงก็เดินไปที่ด้านหลังเวทีเมื่อเสียงเพลงบรรเลงดังขึ้นนางก็ค่อยเดินเยื้องย่างขึ้นเวทีไป แล้วก็ทำการร่ายรำตามที่ได้ร่ำเรียนมาจากชุ่ยหลินอย่างคล่องแคล่ว บรรดาแขกเหรื่อที่ตอ
คืนนั้นทั้งคืนเหม่ยอิงก็ร้องครวญครางใต้ร่างสามี เขาร้อนแรงยิ่งนัก มิได้ปล่อยให้นางได้พักร่างเลย แม้นางจะประท้วงว่านางกำลังตั้งครรภ์ แต่เขาก็ยังเคี่ยวกรำนางทั้งคืน แต่แล้วเหม่ยอิงก็เอาแต่ส่งเสียงร้องครวญครางและเคลิบเคลิ้มไปกับรสรักของสามีที่หลอกล่อจนนางหลงลืืมไปหมดจนได้ ทั้งสองเริงรักกันที่จวนนอกเมืองแห่งนี้จนหลายวันผ่านไป นายท่านถึงจะออกไปตรวจงานนอกจวนสักครั้ง กิจการใดที่เขาไว้วางใจคนดูแลเขาก็มักจะให้ส่งเพียงรายงานและบัญชีมาให้เขาตรวจสอบ เหม่ยอิงก็ช่วยงานสามีบ้างเท่าที่นางจะช่วยได้แต่เขามิอยากให้นางเคร่งเครียดเพราะนางกำลังตั้งครรภ์จึงให้ทำแต่งานเบาๆ ชีวิตของเหม่ยอิงตอนนี้ดียิ่งกว่าอดีตคุณหนูจ้าวเสียอีก นางอยากจะได้สิ่งใดปรารถนาสิ่งใด สามีของนางก็บันดาลให้ทุกอย่างเขาขอเพียงนางคลอดลูกให้เขาหลายๆคนเพียงเท่านั้น นางได้ข่าวคราวของบิดามารดาเพราะสามีให้คนไปสืบมาและได้ทำการช่วยเหลือไปแล้วจนครอบครัวของนางมีจวนขนาดกลางอยู่อาศัยและมีเงินทุนจำนวนมากเพื่อทำกิจการค้าต่อไป ทุกคนสบายดี และฝากความคิดถึงมาให้นางและอวยพรขอให้นางและสามีครองรักกันอย่างมีความสุข หากมีโอกาสขอให้พาหลานๆไปเที่ยวที่แคว้นสู่
ด้านเหม่ยอิงเมื่อรถม้าที่นางโดยสารมาหยุดนิ่งหลังจากที่วิ่งห้อตะบึงมานานนับชั่วยาม มันเกิดอะไรขึ้นกัน แต่นางก็นั่งฟังเสียงด้านนอกที่เงียบอยู่จากนั้นประตูรถม้าก็เปิดผางออก“ นายหญิงขอรับ นายท่านให้มารับกลับจวนขอรับ นายท่านไม่อนุญาติให้นายหญิงเดินทางไปไหนหากไม่มีนายท่านไปด้วย โปรดกลับไปกับข้าเถิดขอรับ ” แล้วชายในชุดดำนั้นก็ได้รอคำตอบ เขาเดินเข้ามาในรถม้าคล้ายจะกดดันนางให้ลุกขึ้น แต่มิได้แตะต้องตัวของนาง เหม่ยอิงจึงได้ลุกขึ้นช้าๆหอห่อผ้าที่มีเงินซุกซ่อนไว้ในนั้นโดยทิ้งของกินเอาไว้เพราะนางหอบหิ้วไปไม่ไหว แล้วยอมเดินออกไปจากรถม้านั้นแต่โดยดีเมื่อเดินลงมาจากรถม้าคันเดิม ก็มีอีกคันหนึ่งจอดรอรับนาง ชายชุดดำผายมือให้นางเดินไปขึ้นรถม้าคันนั้น เหม่ยอิงยอมเดินขึ้นไปอย่างว่าง่ายเพราะนางมิอาจขัดขืนชายชุดดำสามสี่คนที่ยืนขนาบข้างรถม้า และนางคิดว่าคนเหล่านี้คงจะเป็นคนของสามีของนางนั่นเอง เขาหูตาไวมากสมกับที่สร้างเนื้อสร้างตัวจนร่ำรวยเป็นคหบดีใหญ่ด้วยตนเองโดยใช้เวลาไม่กี่ปีเท่านั้น นางจึงยอมขึ้นรถม้าคันใหม่นั้นแต่โดยดี ในรถม้าก็มีห่อของกินและน้ำดื่มเช่นกัน สองคนนี้สมกับเป็นแม่ลูกกันจริงๆ แม้สิ่งของที่จ
หลายวันต่อมามีคนของฮูหยินหยางมาส่งข่าวโดยฝากจดหมายน้อยมาให้เหม่ยอิง นางเปิดออกอ่านแล้วพบว่ารถม้าจะมารอรับนางที่หน้าหอคณิกาในอีกสองวัน แต่วันนั้นจะมาคนช่วยนางเบี่ยงเบนความสนใจของคนดูแลหอคณิกาและยามรักษาการณ์ของที่นี่ให้นาง และมิต้องขนข้าวของสิ่งใดติดตัวไป ฮูหยินหยางจะให้คนเตรียมของจำเป็นใส่ไว้ให้นางในรถม้า และเงินจะมีผู้นำมาให้นางระหว่างเดินทางเองมิต้องเป็นห่วงอะไรเพียงเตรียมตัวเดินทางเพียงเท่านั้นเมื่อรู้เวลาที่แน่นอนที่จะต้องจากสามีของนางแล้ว นางคอยปรนนิบัติเขาและเริงรักกันอย่างเร่าร้อน นางอยากจะดูแลเขาไปจนถึงวันสุดท้าย เขาไปที่ไหนนางมักจะอ้อนขอติดตามเขาไปในทุกที่ แม้เขาไปตรวจงานที่นอกเมือง นางก็จะติดตามไปด้วย เพราะเวลาของนางเหลืออีกไม่มากแล้ว วันที่จะต้องออกเดินทางไปจากแคว้นหนิงโจวมาถึงแล้ว นางขึ้นไปบนหอคณิกาและตรงไปพบชุ่ยหลินที่ห้องแต่งตัวของนางรำและมอบปิ่นเล็กๆที่มีพลอยหลากสีประดับไว้พร้อมกับเครื่องประทินโฉมหนึ่งตลับให้นาง “ นายหญิง ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะที่มอบของมีค่าเช่นนี้ให้กับข้า ตั้งแต่ท่านไม่ได้ทำการแสดงอีกแล้ว ข้าเหงามากเลยเจ้าค่ะ ไม่มีคนคุยด้วยเลย เพราะนางรำผู้อื่นรับงานก
เหม่ยอิงอึ้งงันไปทันที แม้ในใจของนางนั้นรักสามีเหลือเกิน แต่ในเมื่อแม่สามียื่นคำขาดต่อนางว่ามิอาจจะรับนางเป็นลูกสะใภ้มิว่าตำแหน่งใดๆและมิอยากจะให้หลานของนางกำเนิดมาจากสะใภ้เช่นเหม่ยอิง เมื่อแม่สามีพูดถึงขนาดนี้แสดงว่ามิให้อภัยอย่างเด็ดขาด เหม่ยอิงจึงคิดว่าแม้นางจะรักพี่ตงเหวินมาก แต่นางและครอบครัวก็ทำผิดต่อครอบครัวของพี่ตงเหวินไว้มากจนท่านป้าหยางมิอาจจะให้อภัยและยอมรับนางได้ จึงได้เอ่ยว่า“ หากท่านป้าต้องการเช่นนั้นข้าก็พร้อมจะทำตามเพื่อให้ท่านป้ากับพี่ตงเหวินมีความสุขและยอมให้อภัยข้าและท่านพ่อ หากท่านป้าจะให้รถม้าไปส่งข้าวันไหนก็ขอได้โปรดส่งคนไปบอกข้า ข้าจะรีบออกไปจากชีวิตของพี่ตงเหวินทันทีเจ้าค่ะ ” นางตัดสินใจเอ่ยด้วยมองไม่เห็นทางที่นางกับสามีจะครองรักกันได้ สามีของนางเป็นบุรุษที่หล่อเหลา เขาย่อมจะมีหญิงมาพึงใจมากมาย และยิ่งเขามีฐานะร่ำรวยแล้ว หากนางหนีไป เพียงไม่นานเขาคงจะลืมนางได้ ยิ่งมีสตรีที่งดงามน่ารักที่ท่านป้าเต็มใจอยากจะได้เป็นสะใภ้อยู่ใกล้ชิดเขา อีกไม่นานเขาก็คงจะลืมนางไปเอง เส้นทางชีวิตของนางกับพี่ตงเหวินเป็นเส้นขนานที่มิอาจจะมาบรรจบกันได้ แม้จะเพียงผ่านพบกันแค่ช่วงระยะเว
วันต่อมาคุณชายหยางตงเหวินพาอนุเหม่ยอิงไปที่จวนหยางเพื่อยกน้ำชาให้มารดาของเขา เพราะเขาคิดว่าหากจะปิดบังมารดาไปก็คงได้ไม่นานเพราะข่าวของเขาต้องมีคนนำไปบอกมารดาอย่างแน่นอน จึงได้ตัดสินใจพาเหม่ยอิงไปพบมารดาของเขาเสียในวันนี้ เมื่อไปถึงจวนหยางก็พานางเข้าไปหามารดาที่เรือนหลักเมื่อเดินเข้าไปก็พบมารดากำลังนั่งขัดถูเครื่องประดับของนางอยู่ที่โต๊ะกลมกลางห้องนั้น โดยมีหญิงงามผู้หนึ่งที่ดูงดงามน่ารักนั่งอยู่ข้างๆมารดา “ ท่านแม่ขอรับ วันนี้ข้าพาลูกสะใภ้มายกน้ำชาขอรับ ” มารดาของเขาเงยหน้าขึ้นจากกองเครื่องประดับตรงหน้านาง แล้วหันมามองบุตรชายและสตรีที่ยืนอยู่ข้างกายเขาใบหน้าของนางเปลี่ยนสีไปทันทีเมื่อเพ่งพิศมองใบหน้าของเหม่ยอิง “ จ้าวเหม่ยอิง นั่นนางใช่หรือไม่ ตงเหวินเจ้าบ้าไปแล้วหรือไร ถึงได้คิดแต่งหญิงใจดำเช่นนี้มาเป็นภรรยา ข้ามิอาจยอมรับได้หรอกนะ หากเจ้าอยากจะได้นางนัก ก็รับนางเป็นนางบำเรอก็พอแล้ว หญิงเช่นนางที่มาจากบิดามารดาที่ใจดำและไม่มีความจริงใจ หากเรายังมีประโยชน์ให้พวกเขาก็จะมองเราเป็นสหายหากเราตกต่ำพวกเขาก็พร้อมจะสลัดเราทิ้งอย่างไม่ไยดี ไม่ได้มีความจริงใจให้ใคร ที่นางยอมเป็นเมียของเจ้าก็
เมื่อรถม้าแล่นมาจนถึงที่หน้าหอคณิกา คุณชายตงเหวินก้าวลงจากรถม้า แล้วรอรับภรรยาของเขา จากนั้นก็พากันเดินเข้าไปทางด้านข้างของหอคณิกาเพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเปิดทำการ จึงได้พากันเดินเข้าไปทางด้านข้างเพื่อกลับไปยังเรือนเล็ก ขณะนั้นพบมาม่าฟางเซียนยืนรอนายท่านหนุ่มอยู่จึงได้หยุดทักทาย“ นายท่านเจ้าคะ มีแต่คนมาขอพบเพื่อจะขอไถ่ถอนตัวของนายหญิง พวกเขายังไม่ทราบว่านางเป็นภรรยาของนายท่านและมิได้ทำการแสดงอีกแล้ว ” นายท่านฟังมาม่าฟางเซียนพูดจบก็เอ่ยบอกนางว่า “ บอกพวกเขาไปว่านางทำการแสดงแทนนางรำที่ไม่มาทำงาน แต่นางเป็นภรรยาของข้าที่ตอนนี้ไม่ให้นางทำการแสดงอีกแล้ว และข้ากำลังจะแต่งงานกับนางในอีกสองสามวันนี้ ” มาม่าฟางเซียนพยักหน้าอย่างยินดีและยิ้มกว้างให้กับทั้งสอง“ ยินดีกับนายท่านและนายหญิงจริงๆเจ้าค่ะ ข้าดูแลรับใช้นายท่านมาหลายปีแล้ว ต่อไปก็ขอฝากนายหญิงดูแลนายท่านให้ดีด้วยเจ้าคะ ข้ายินดีกับนายท่านจริงๆที่จะได้มีคนดูแลแล้วเช่นนี้ ” มาม่าฟางเซียนยิ้มกว้างอย่างยินดี นางติดหนี้บุญคุณนายท่านที่ช่วยชีวิตนางไว้และทำให้นางได้มีชีวิตที่ดีขึ้น พ้นความทุกข์ทรมานเมื่อครั้งอดีต และได้ช่วยเหลือครอบครัวของนางให
ยามซื่อ (เก้าโมงกว่าๆ) วันต่อมา ทั้งสองอาบน้ำชำระกายด้วยกัน เหม่ยอิงช่วยเปลี่ยนอาภรณ์ให้กับสามีหมาดๆของนาง “ พี่จะพาเจ้าไปหาซื้ออาภรณ์ที่ถูกใจเจ้า แล้วขอเวลาอีกสองสามวันค่อยแต่งเจ้าเป็นอนุนะ เราแค่ไหว้ทั้งสี่ตามประเพณีที่เรือนของเรานี้พอเป็นพิธีเจ้าจะขัดข้องหรือไม่ เพราะพี่ยังไม่ได้บอกท่านแม่เรื่องของเรา อาจจะต้องใช้เวลาสักพักให้ท่านแม่เข้าใจเรื่องของเราตอนนี้แต่งงานรับเจ้าเป็นอนุประตามประเพณีก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่ เจ้าจะยินดีอยู่กับพี่หรือไม่ ” เขาเอ่ยกับนางขณะที่ช่วยเขาแต่งตัว “ ข้าแล้วแต่ท่านพี่เจ้าค่ะ เพราะข้าเองก็ไม่เหลือใครแล้ว มีแต่ท่านที่เป็นที่พึ่งพา หากท่านพี่รับข้าเป็นอนุข้าก็พอใจแล้ว อนาคตหากมีโอกาสข้าเพียงอยากจะพบครอบครัวของข้าสักครั้ง อยากจะรู้ว่าท่านพ่อท่านแม่สบายดีหรือไม่เพียงเท่านั้น ” คุณชายตงเหวินเชยคางเมียรักขึ้นมาสบตากับเขา“ โอกาสที่บิดามารดาของเจ้าจะกลับแคว้นนี้คงจะยากยิ่ง แม้ก่อนหน้าที่พี่วิ่งเต้นใช้เส้นสายเพื่อจะซื้อตัวเจ้ามาก็แทบเลือดตากระเด็น ใช้เงินไปมากมายยิ่งนัก แต่พี่จะส่งคนไปสืบดูและช่วยเหลือท่านอาทั้งสองเท่าที่จะทำได้ พี่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าสบาย
เหม่ยอิงจึงได้จับลูกชายของเขาที่มันพรักพร้อมเหลือเกิน ขยายตัวยิ่งกว่าที่นางเคยเห็น สอดเข้าไปในร่องอวบของนางที่มีน้ำรักหล่อเลี้ยงเอาไว้ไม่น้อยแล้ว จากนั้นก็ค่อยยกสะโพกอวบขย่มเขาทันที จากช้าๆแล้วค่อยๆเร่งจังหวะอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นกระแทกเขาอย่างรุ่นแรง นางโยกบั้นเอวควงเป็นวงกลมเพื่อหยอกเย้าเขา“ เมียจ๋า ได้โปรดรักข้า อย่าทำเช่นนี้ อ๊าาก อ๊ากก อ๊า อ๊ากก ” สามีหมาดๆของนางร้องครวญครางปานจะขาดใจ พลางวิงวอนเมียรักให้รักเขาอย่างเร่าร้อน อย่าให้เขารอเช่นนี้อีกเลย แต่มีหรือเมียหมาดๆของเขาที่เพิ่งรู้สึกว่านางเพิ่งได้อำนาจควบคุมเขา“ อ้อนวอนข้าสิท่านพี่ อ้อนวอนให้ข้าพอใจแล้วข้าจะให้สิ่งที่ท่านต้องการ นางโน้มตัวไปกระซิบเขาด้วยเสียงกระเส่า ส่งสายตายั่วยวนเขาอย่างเป็นต่อยิ่งนัก “เมียจ๋า เมียรักของพี่ ได้โปรดเจ้าอย่าทรมานพี่เช่นนี้เลย ข้ารักเจ้า รักมากที่สุด อ๊าก อ๊ากกก อ๊ากก ” เมื่อเห็นสามีทรมานเช่นนี้ นางจึงได้เร่งขย่มร่างอวบบนร่างแกร่งของเขาอย่างรุนแรง นางโยกขย่มเขาอย่างเร่าร้อน นางหลับตาจินตนาการว่าตนเองควบขี่ม้าตัวผู้ที่กำลังคึกคะนองและแสนจะพยศนี้“ อ๊าย อ๊ะ อ๊าย อ๊ายย อ๊ากก อ๊ากก อ๊ากก” ทั้
เหม่ยอิงถูกนายท่านหนุ่มลากนางมาจนถึงเรือนเล็กของเขาแล้วผลักประตูลากนางเข้าไปจนถึงในห้องนอนด้านหลัง “ ต่อไปนี้เจ้าย้ายมาอยู่ที่เรือนนี้มิต้องกลับไปพักที่เรือนของสาวใช้อีกแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปเลือกอาภรณ์ใหม่ เครื่องประดับและเครื่องประทินโฉมใหม่ทั้งหมด เจ้าอยากจะได้สิ่งใดข้าจะซื้อหาให้เจ้าเอง มิต้องไปรับของๆบุรุษอื่นเช่นนี้ ” เหม่ยอิงที่ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะกลมกลางห้องนอนของเขา“ ท่านกับพวกเขาก็เป็นผู้อื่นสำหรับข้าเช่นกัน ใครจะมอบของกำนัลให้ก็มีค่าเท่ากัน ทำไมจะข้าจะรับของพวกเขามิได้ ท่านอย่าลืมสิ ท่านเกลียดชังข้ายิ่งนัก มิอาจจะรับข้าเป็นแม้กระทั่งอนุของท่าน เช่นนั้นแล้วระหว่างเรามิได้มีสถานะเป็นอะไรกัน ข้าจะชอบพอใครหรือจะพึงใจบุรุษคนไหนหัวใจของข้าคงจะเป็นอิสระแก่ตนเองอยู่กระมัง ” นายท่านหนุ่มหันขวับมาจ้องนางทันที “ เริงรักกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เจ้าคือเมียของข้าและข้าเป็นผัวของเจ้า แม้เราไม่ได้แต่งงานกัน แต่เจ้าก็คือเมียของข้า ข้ามิมีทางปล่อยให้เจ้าสวมหมวกเขียวให้ข้าเด็ดขาด ต่อไปไม่ต้องไปทำการแสดงแล้ว อยู่แต่ในเรือนเล็กนี้ ข้าจะให้คนมารับใช้เจ้า มิต้องทำสิ่งใด อาหาร