“อะไรนะ?” เอมม่าที่อยู่ข้าง ๆ ผมกระซิบด้วยความตกใจทั้งห้องเงียบลง ทุกคนประหลาดใจมาก ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น ไม่มีใครคาดคิดว่าเอวาจะเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรใหญ่โตเช่นนี้ผมเคยแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นแท้ ๆ แม้แต่ผมเองยังไม่รู้เลย นั่นบ่งบอกอะไรเกี่ยวกับผมได้มากมายถ้าผมเองยังไม่รู้เรื่องนี้เกี่ยวกับเอวาด้วยซ้ำ“นายรู้เรื่องนี้ไหม?” เกเบรียลถามด้วยตาและปากที่เบิกกว้าง“ไม่” ผมกัดฟันตอบด้วยความโมโหที่พลาดเรื่องนี้ไปผมเฝ้าดูเธอเลื่อนเก้าอี้ตัวเองออกก่อนที่จะลุกขึ้น อีธานเองก็ลุกขึ้นพร้อมกับยื่นมือให้เธอ เธอวางมือของเธอไว้บนมือของเขาด้วยรอยยิ้มและเขาก็พาเธอเดินไปยังเวที ผมกัดฟันแน่นเมื่อเขาวางมือบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของเธอขณะที่ช่วยเธอขึ้นบันไดเมื่อเธอขึ้นเวทีแล้ว เขาก็ก้าวลงมา เธอโอบกอดแมรี่ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปบนโพเดียมเธอยิ้มก่อนที่จะกระแอมในลำคอ“สวัสดีค่ะ” เธอหัวเราะคิกคักอย่างประหม่า “แปลกดีนะคะ ฉันสามารถทักทายห้องที่เต็มไปด้วยวัยรุ่นจอมเกเรได้ง่ายกว่าห้องที่เต็มไปด้วยผู้ใหญ่”คำพูดนี้ทำให้เธอได้รับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากผู้คนมากมาย“ฉันไม่คิดว่าจะมีใครที่นี่ที่ไม่
“เยี่ยมเลย” เธอไม่ได้พูดอะไรอีก เธอแค่หยิบแท็บเล็ตขึ้นมาแล้วเริ่มพิมพ์บางอย่างลงไป“เฮ้” เอมม่าเริ่มพูด “นั่นไม่ใช่เคเลบ คิงส์ตัน จากบริษัทคิงส์ตันเทคโนโลยีเหรอ? เขาไปหาเอวาทำไม? เขารู้จักเธอเหรอ?”ผมมองตามสายตาของเธอไป มีชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่กับเอวา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นเคยมากบริษัทคิงส์ตันเทคโนโลยีถูกก่อตั้งเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว เขาเป็นผู้บริหารที่อายุน้อยที่สุดและได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในโลกธุรกิจ ด้วยอายุเพียงยี่สิบปีเขาได้ประสบความสำเร็จอย่างมาก เทคโนโลยีของเขาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเขาก็ได้ก้าวเข้ามาอยู่ในกลุ่มของผู้บริหารระดับสูงถ้าผมเป็นคนไม่เอาไหน ผมคงกังวลว่าเขาจะแย่งตำแหน่งผู้ประกอบการอันดับหนึ่งของประเทศของไป เด็กหนุ่มคนนี้ทำให้บรรดานักธุรกิจคนอื่น ๆ ต้องเสียเงินกันเป็นกอบเป็นกำ“โอ้ ใช่แล้ว… เขาเป็นผู้ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิโฮป เขาเป็นเด็กกำพร้าและคุณเอวาได้ก็รับเขาไว้ภายใต้การดูแลของเธอ เธอเป็นคนสังเกตเห็นว่าเขาเป็นอัจฉริยะด้านเทคโนโลยี เธอจึงสนับสนุนให้เขาเริ่มต้นทำบางอย่างด้วยพรสวรรค์ของเขา เมื่อเขาคิดที่จะมีบริษัทของตัวเองขึ้นมา ค
“คุณกล้าดียังไง?” น้ำเสียงของเอวาเต็มไปด้วยความโกรธเบรนดายิ้มเยาะราวกับว่าเธอมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ “ไม่ใช่ความผิดของฉันที่เด็กนี่เดินไม่มองทาง นี่เป็นชุดรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นของหลุยส์ วิตตอง และนังเด็กเวรนั่นเกือบจะทำลายชุดฉันด้วยการสาดน้ำผลไม้ใส่”เบรนดาและเอวาไม่เคยลงรอยกัน ผมรู้ว่าเอวาเคยถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียนและเบรนดาคือคนที่ทำให้เธอทรมานมากที่สุดเด็กผู้หญิงที่พวกเขากำลังพูดถึงกำลังหลบอยู่ข้างหลังเอวา เธอน่าจะอายุไม่เกินห้าขวบ เธอเป็นเด็กที่หน้าตาน่ารัก ใส่ชุดสีชมพูสวยงาม ใบหน้ารูปหัวใจ ริมฝีปากอิ่มและผมสีดำยาวสยายลงมาด้านหลังผมนึกภาพตัวเองมีลูกสาวตัวน้อยที่มีดวงตาสีเทาและผมสีน้ำตาลเป็นมันเงาเหมือนเอวาผมตัวแข็งทื่อทันที นี่มันอะไรกัน? ความคิดนั้นมาจากไหนกัน? ผมส่ายหัวและสลัดความคิดนั้นออกไปก่อนมุ่งความสนใจไปที่เอวา ดูเหมือนว่าเอวาจะกำลังจะสั่งสอนเบรนดา“คุณล้อฉันเล่นใช่ไหม? นั่นเป็นเหตุผลที่โง่เง่าจริง ๆ ที่จะทำร้ายเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเราอยู่ที่นี่ก็เพื่อพวกเขา” เอวาตำหนิพลางขมวดคิ้วบนใบหน้าที่สวยงามของเธอ“มันไม่ใช่เหตุผลที่โง่เง่า” เบรนดากระทืบเท้าเหมือ
“แล้วฉันต้องบอกอะไรคุณ?”“ทุกอย่าง… มูลนิธิโฮปและความจริงที่ว่าคุณไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ทำไมคุณถึงปล่อยให้พวกเราทุกคนดูถูกคุณ”เธอขมวดคิ้วก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับผม “แล้วฉันควรจะบอกคุณตอนไหน? คุณแทบไม่อยากอยู่ใกล้ฉันเลย แถมคุณยังทำทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ”ผมจ้องมองเธอ มองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของเธอ มีบางอย่างใหม่ในดวงตาคู่นั้น บางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนและยังมีบางอย่างที่ขาดหายไปเธอพูดต่อไปในขณะที่มองออกไปที่สวน “อีกอย่าง คุณจะสนใจด้วยเหรอ? เท่าที่ฉันจำได้ คุณไม่ได้สนใจอะไรที่เกี่ยวกับฉันเลย”ผมมองคนเดินเข้าออกสวนด้วยสายตาเลื่อนลอย เธอพูดถูก ผมเคยเป็นไอ้สารเลวที่เย็นชา ตอนนั้นผมคิดเอาเองว่าผมไม่จำเป็นต้องสนใจว่าผู้หญิงที่ทำลายชีวิตผมทำอะไรอยู่ผมโกรธแค้นเอวาและมันแสดงออกมาในวิธีที่ผมปฏิบัติกับเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมภูมิใจในตัวเองเสมอที่เป็นคนดี แต่เมื่อมองย้อนกลับไป ผมต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นคนเลวมาก ถึงขนาดที่ภรรยาของผมต้องเก็บส่วนหนึ่งของชีวิตเธอเป็นความลับกับผม“เรื่องเอมม่า…” ผมกำลังจะขอโทษสำหรับคำพูดที่ผมพูดใส่เธอโดยไม่คิด แต่เธอกลับตัดบ
เอวาเท้าฉันเจ็บจนแทบยืนไม่ไหวและอยากแช่ตัวในอ่างอาบน้ำก่อนเข้านอนเสียเหลือเกินเราวางแผนจัดงานเลี้ยงนี้กันมาหลายสัปดาห์แล้ว ตอนแรกฉันไม่ควรจะไปที่นั่น งานเลี้ยงนี้ควรจะมีแมรี่เป็นตัวแทนของฉันแบบที่เคยเป็นมา แต่หลังจากที่ฉันเสียใจสติแตกในครัววันนั้น ฉันจึงตัดสินใจว่ามันถึงเวลาที่ฉันจะเลิกซ่อนตัวแล้วแมรี่ตื่นเต้นมากเมื่อฉันบอกเธอว่าฉันจะไปงานเลี้ยงอาหารค่ำ ตัวตนของฉันถูกปกปิดไว้เป็นความลับมาเป็นเวลาห้าปี ไม่ใช่เพราะฉันกลัวว่าใครจะรู้ แต่เพราะฉันแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขฉันไม่อยากเป็นจุดสนใจ ฉันไม่อยากให้ใครมาคอยเอาใจฉันเพราะพวกเขารู้ว่าฉันรวย แต่ตอนนี้ฉันออกมาจากเงามืดได้แล้ว ฉันรู้แล้วว่าใครจริงใจและใครไม่จริงใจแค่คืนนี้ก็มีคนที่นี่ที่พยายามจะเอาใจฉัน รวมทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่เคยดูถูกฉันและปฏิบัติกับฉันเหมือนขยะเพียงเพราะฉันไม่มีงานรายได้สูง พวกเขาจึงเชื่อว่าฉันไม่มีเงินแม้แต่สตางค์แดงเดียวมันน่าหงุดหงิดมาก ฉันแค่อยากอยู่ห่างจากพวกเขาเท่านั้น“ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิโฮป” เล็ตตี้พูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ทำไมถึงไม่เคยบอกฉัน?”ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้
เธอมองมาที่ฉันก่อนที่ตาของเธอจะเบิกกว้างขึ้น “มีบางอย่างเปลี่ยนไป”“เธอหมายความว่าอย่างไร?” ฉันถามโดยพยายามซ่อนรอยยิ้มของฉัน“มีบางอย่างที่เปลี่ยนไปในตัวคุณ พอฉันมองดี ๆ แล้ว… มันคืออะไร? มีอะไรเปลี่ยนไปเหรอ?”“ฉันไม่รู้ อาจเป็นเพราะว่าฉันเบื่อที่จะใช้ชีวิตอย่างขมขื่น หรืออาจเป็นเพราะฉันมีเซ็กส์กับอีธาน…” ฉันเกาคางตัวเองพลางครุ่นคิด “เพราะเซ็กส์แน่ ๆ เลย”“อะไรนะ?!” เธอร้องตะโกนและทำให้บางคนหันมาหาเราฉันหัวเราะกับท่าทางตลก ๆ ของเธอ“เธอมีเซ็กส์กับอีธานเหรอ?” เธอพูดซ้ำราวกับว่าเธอไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันบอกเธอ“ใช่” ฉันยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น “จริง ๆ แล้วหลายครั้งเลย”“หลายครั้งในคืนเดียวหรือหลายคืน?”ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ฉันหมายถึงหลายครั้งในคืนเดียวติดต่อกันหลายคืน”เธออ้าปากค้างก่อนที่ปากเธอจะหยักยิ้มและยิ้มให้ฉันเหมือนคนโง่“ไม่เบาเลยนะ! ถ้าการที่มีเซ็กส์กับเขาทำให้ยิ้มหน้าบานแบบนี้ก็ทำต่อไปเถอะที่รัก คุณสมควรที่จะมีเซ็กส์ที่ดีและมีความสุข”นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ฉันรักเล็ตตี้ เธอไม่ตัดสินใครและสนับสนุนฉันมากฉันโอบแขนเธอและกอดเธอ “ขอบคุณนะเล็ตตี้ที่เป็นตัวขอ
เขายังบอกฉันด้วยว่าอย่าประมาท เขาบอกว่าแค่เพราะว่าผู้ชายคนนั้นตายแล้วไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอันตรายอีกต่อไป“แมรู้ลูกรัก มันเป็นงานปาร์ตี้ที่ยอดเยี่ยมมาก ไว้แม่จะส่งรูปให้ดูนะจ๊ะ” ฉันหยุดชะงัก “เพื่อน ๆ ของลูกฝากความคิดถึงถึงลูกด้วยนะ”เรามักจะไปที่บ้านมูลนิธิกับโนอาทุกวันเสาร์ เขาเข้ากับเด็ก ๆ ที่นั่นได้ดีแม้แต่เด็กโต พวกเขาทุกคนรักโนอาและถึงกับถามหาเขาในวันนี้ด้วย“พี่คิงส์ตันอยู่ที่นั่นไหมครับ?” เขาถามด้วยความตื่นเต้น“อยู่จ้ะ เขา... แม่ให้เบอร์โทรคุณยายกับเขาแล้ว เขาบอกว่าจะโทรหาลูกเร็ว ๆ นี้”คาเลบและโนอามีความสัมพันธ์กันแบบที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน คาเลบมองโนอาเป็นน้องชายของเขา และโนอาก็มองเขาเป็นพี่ชาย แม้ว่าพวกเขาจะมีอายุห่างกันมาก แต่พวกเขาก็สนิทกันมาก ทั้งสองคนสามารถคุยกันได้เป็นชั่วโมง“เย้” เขาตะโกนผ่านโทรศัพท์ “ผมคิดถึงเขามากเลย”“เขาก็คิดถึงลูกเช่นกันครับ” ฉันยิ้มแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นก็ตาม“โอเคครับแม่ ได้เวลานอนแล้ว… ผมแค่อยากได้ยินเสียงแม่ก่อนนอน” เขาบอกฉันอย่างอ่อนหวาน และหัวใจของฉันก็อบอุ่นขึ้นตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว เด็ก ๆ กลับไปที่บ้านโฮปแล้วเมื่อสองสามชั
โรแวนผมมองตามเอมม่าที่ขอตัวและยืนขึ้น ผมคงไม่สนใจเธอหรอกถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอเดินออกไปหลังจากเอวาไม่กี่นาทีสัญชาตญาณบอกผมให้ตามเธอไป ผมยังไม่ลืมสิ่งที่เอวาพูดกับผมถึงเอมม่า มันทำให้ผมคิดมากและผมต้องการคำตอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เอมม่าทำตัวแบบนั้นความตื่นเต้นที่เธอมีต่อการมาที่นี่ตอนนี้หายไปแล้ว ผมพนันด้วยบริษัทของผมได้เลยว่านั่นคงเป็นเพราะได้รู้ว่างานนี้ถูกจัดโดยเอวา เอวาไม่ใช่คนขี้แพ้อย่างที่เธอคิดคนอื่น ๆ ไม่มีปัญหาอะไรยกเว้นเธอ เกเบรียลยังชวนผู้หญิงสองสามคนเต้นรำด้วยกัน ส่วนทราวิสแม้ว่าจะมองเล็ตตี้ด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย แต่เขาก็ดูสบายดีที่อยู่ที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เล็ตตี้กลับมาร่วมโต๊ะกับเราผมค่อย ๆ ลุกขึ้น ผมไม่ได้พูดอะไรแม้ว่าคนอื่น ๆ จะมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ ก็ตามผมเดินออกไปและพบว่าเอวาและเอมม่ายืนเผชิญหน้ากันอยู่พวกเธอมุ่งความสนใจไปที่กันและกันมากจนผมไม่คิดว่าพวกเธอจะสังเกตเห็นผม“เธอคิดว่าแค่เพราะเธอเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิโฮปเธอก็จะเป็นคนสำคัญแล้วงั้นเหรอ?” เอมม่าถามเอวาผมได้ยินเอวาถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า “ฉันไม่มีเวลาหรือพลังที่จะคุยกับเธอเอมม่า
ฉันหยุดหายใจเเพราะความตกใจ และผละออกจากเขา ในขณะที่ร่างเล็ก ๆ กระโดดขึ้นมาบนตัวเรา"สุขสันต์วันคริสต์มาส!" เขาตะโกนอย่างมีความสุขด้วยเสียงร้องเพลง“หัวจะปวด” ทั้งกาเบรียลและฉันครางอย่างหงุดหงิดจะมาช้ากว่านี้สักชั่วโมงไม่ได้หรืออย่างไร? ถ้ามีใครสักคนในครอบครัวนี้ที่ชอบขัดจังหวะเรา มันก็ต้องเป็นลูกคนที่สอง แอนดรูว์ คนนี้แน่นอน เราเรียกเขาว่าดรูว์เขาอาจจะไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวขัดจังหวะแค่ไหน แต่ก็ไม่สำคัญยังไงเขาก็ทำอยู่ดี"ตื่นครับ! ตื่น!" เขาตะโกนเสียงดัง จนชั่วขณะหนึ่งฉันไม่ได้ยินอะไรเลย นอกจากเสียงก้องของเจ้าลูกชาย"ไม่ต้องตะโกนก็ได้ ดรูว์" เกเบรียลบ่น "พ่อแม่ได้ยินชัดเจนโดยที่หนูไม่ต้องทำให้แก้วหูพ่อแม่แตกก็ได้"ดูเหมือนดรูว์จะไม่ฟังเลย เขาเด้งขึ้นเด้งลงบนเตียง มีความสุขแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาเกเบรียลขยับตัวใต้ผ้าห่ม คงพยายามขยับทุกอย่างให้เข้าที ฉันขยับร่างกายขึ้นและพิงหัวเตียง ก่อนจะคว้าลูกชายที่กระตือรือร้นและอยู่ไม่นิ่งมา สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการคือเขาทำร้ายพ่อของเขาด้วยการเผลอเหยียบเข้ากลางตัวเขาหรืออะไรทำนองนั้น"หนูพยายามห้ามเลียมแล้วนะคะ แต่แม่ก็รู้ว่าเขาเป็นยังไงเวลาต
ฮาร์เปอร์ฉันกำลังล่องลอยอยู่บนปุยเมฆสีขาวนุ่มฟูแห่งการนอนหลับ ฉันรู้สึกอบอุ่น รู้สึกสงบ และรู้สึกได้รับความรักฉันเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทีละน้อย เกเบรียลนอนอยู่ข้างหลังฉัน แขนโอบกอดฉันไว้ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่เรานอนหลับด้วยกัน เขากอดฉันไว้แน่นในอ้อมแขน ราวกับว่าเขากลัวว่าฉันจะหายไปหากไม่ทำเช่นนี้ฉันขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลุดออกจากอ้อมแขนของสามี ทว่าแทนที่จะปล่อยฉันไป เขากลับกระชับมือแน่นขึ้น ซึ่งดันฉันเข้าไปแนบชิดมากขึ้นฉันหยุดขยับเมื่อรู้สึกถึงเขา ฉันรู้สึกถึง น้องน้อยที่ตื่นมาเคารพธงชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ฮอร์โมนของฉันพลุ่งพล่าน และฉันก็ต้องการเขาขึ้นมาทันที ฉันอยากให้เขาสอดแทรกเข้ามาในร่างนี้เรื่องบนเตียงของเราสองช่างสมบูรณ์ แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องการมากกว่านี้ อาจเพราะมีลูกด้วยกันถึงสามคนแล้ว บางเวลามันก็ยากที่จะมีเวลาส่วนตัวที่ไม่ถูกรบกวนได้"อืม" เกเบรียลร้องครางเมื่อฉันถูบั้นท้ายกับเป้าของเขาเสียงนั้นเดินทางลงไปจนถึงจุดนั้นของฉัน ฉันถูอีกครั้ง กระตุ้นเสียงครางแสนเร้าอารมณ์จากเขาอีกเกเบรียลเริ่มประทับจูบตามหลัง ไหล่ และคอ มันผ่านมาสองสามวันแล้ว และฉันก็โหยหาเขา
"ใช่เลยครับ" เขาตอบรับรอยยิ้มของฉัน ขณะที่คิลเลียนเดินเข้ามาหาเรา"ผมมาขโมยภรรยาแสนสวยของผมคืนแล้วครับ" เสียงเขาแหบพร่า และฉันอดไม่ได้ที่จะละลายไปกับโทนเสียงนั้น มันเซ็กซี่สุด ๆ ไปเลย“เธอเป็นของคุณแล้วนะ” คาลวินปล่อยมือจากฉันและหลีกทาง ก่อนจะเดินจากไปคิลเลียนดึงฉันเข้าไปในอ้อมกอดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีช่องว่างระหว่างเรา "เป็นยังไงบ้าง? ปวดหลังหรือเปล่า? ขาเป็นยังไง?"เห็นไหม ฉันบอกแล้วไง เขาเป็นเสือร้ายในคราบทนายความ แต่ดูแลเอาใจใส่และรักใคร่ในฐานะคู่ครอง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมีสเปคแบบไหน จนกระทั่งฉันได้พบเขา"สบายดีค่ะ ที่รัก ไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นก็ได้" ฉันหัวเราะเบา ๆ ดันตัวเองเข้าไปใกล้เขามากขึ้น"ผมเคยบอกว่าผมรักคุณแล้วหรือยัง?" เขาถามฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะที่เขย่งปลายเท้าและกระซิบชิดริมฝีปากของเขา "ประมาณพันครั้งแล้วค่ะวันนี้ แต่ฉันไม่ได้บ่นอะไรนะ""คุณคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผมเลยนะครับ เอมม่า ผมนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตผมจะเป็นยังไงหากไม่มีคุณ ผมรู้ว่าเราได้กล่าวคำสาบานกันไปแล้ว แต่ผมสัญญาว่าจะรักและทะนุถนอมคุณเสมอ เพราะคุณคือของขวัญที่เบื้องบนประทานมา ผมสัญญา
มอลลี่เป็นหนึ่งในเพื่อนเจ้าสาว เช่นเดียวกับเอวา คอนนี่ เล็ตตี้ ฮาร์เปอร์ และคินลีย์ พวกเธอเป็นเพื่อนสาวกันมาสี่ปีแล้วตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุวันนั้น แน่นอนว่าฉันไม่มีวันหาใครมาแทนมอลลี่ได้ เธอเป็นเพื่อนสนิทที่สุด แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณที่มีพวกเธออยู่เช่นกันอีกอย่างเมื่อวานนี้มอลลี่บอกฉันว่าเธอกำลังคิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันตื่นเต้นมาก ฉันรักเธอ แต่เรายอมรับว่าเป็นเพื่อนระยะไกลกันมันรักษาความสัมพันธ์กันได้ยาก ฉันมีความสุขมากที่เธอจะย้ายมาอยู่ใกล้ ๆเสียงเพลงช้าลง และกันเนอร์ก็เดินเข้ามา ตัดบทสนทนาทั้งหมด“เต้นรำกันหน่อยไหมครับ แม่?”มีเสียง ว้าว ดังขึ้นเป็นระลอก และฉันสาบานได้ว่าหัวใจฉันละลายไปตรงนั้นเลย"แน่นอนสิจ๊ะ สุดหล่อของแม่" ฉันตอบก่อนจะจับมือเขาตอนนี้กันเนอร์อายุสิบสี่ เป็นวัยรุ่นแล้วเชื่อไหมล่ะ? เขาสูงเท่าฉันแล้ว และฉันมั่นใจว่าอีกไม่กี่ปีเขาจะสูงกว่าฉัน ฉันไม่ว่าอะไรหรอก เขาก็จะเป็นลูกชายตัวน้อยของฉันเสมอคาลวินและฉันตัดสินใจส่งเขาไปเข้ารับการบำบัดทันทีที่ฉันออกจากโรงพยาบาล เราเข้าร่วมการบำบัดร่วมกันบ้าง และพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา และเกี่ยวกับวันที่เกิดอุบัติเหตุ
เอมม่าฉันเต้นรำกับมอลลี่ ปล่อยให้เสียงเพลงโอบล้อมตัวไว้ ฉันรู้สึกปวดหลังเล็กน้อยแต่ก็ไม่สำคัญอะไรเลยเมื่อฉันมีความสุขสุด ๆ แบบนี้ชุดเดรสสะบัดไปมาขณะที่เราตะโกนเนื้อเพลง หน้าร้อนแสนสาหัส ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ออกมาสุดเสียง เอวาที่กำลังตั้งครรภ์ท้องแก่ก็เข้าร่วมกับเราด้วย ฉันหัวเราะเพราะเธอคิดว่าเธอกำลังเต้นอยู่เลยแต่เปล่าเลย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียกสิ่งที่เธอกำลังทำว่าอะไรดีจำนวนครั้งที่ฉันเรียกว่าตนเองมีความสุขนั้นสามารถนับนิ้วได้เลย หนึ่งคือตอนที่ฉันสอบเนติบัณฑิตได้ สองคือตอนที่กันเนอร์เรียกฉันว่าแม่เป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานาน และสามคือวันนี้ งานแต่งของฉันคุณได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันแต่งงานแล้วและฉันมีความสุขอย่างที่สุดจำทนายหนุ่มน่ารักที่ฉันเล่าให้เอวาฟังในวันเกิดของเจมส์ได้ไหมคะ? จะว่าอย่างไรดี เขาไม่เคยละความพยายามเลยค่ะ ไม่ว่าฉันจะปฏิเสธเขากี่ครั้งก็ตาม เขาขอฉันคบหาอยู่เรื่อย ๆ และที่ฉันบอกว่าเรื่อย ๆ ก็คือเขาขอเกือบทุกวัน ฉันเบื่อที่จะได้ยินคำถามเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนวันหนึ่งฉันก็ตอบตกลง ปรากฏว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตนี้เลยฉันชะลอฝีเท้าลง ดวงตามองหาเจ้าบ
กันเนอร์มีน้องชายแล้ว งงกันอยู่ใช่ไหมคะ? เพราะเมื่อกี้ฉันกับเอวากำลังคุยเรื่องแฟนกันอยู่เลย เชสไม่ใช่ลูกชายของฉันค่ะ เขาเป็นลูกชายตัวน้อยของคาลวินและคินลีย์ พวกเขาแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้วแล้วมีเชสตัวน้อยน่ารักคนนี้เป็นลูกน้อยคาลวินและฉันสนิทกันมากขึ้นตั้งแต่อุบัติเหตุ เหมือนกับกันเนอร์ เขายกโทษให้ฉัน และพวกเราก็สามารถสร้างมิตรภาพที่สวยงามได้คินลีย์เป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เธอเข้ากับพวกเราทุกคนได้ เธอใจดีและน่ารัก และที่สำคัญที่สุด เธอทำให้คาลวินมีความสุขและปฏิบัติต่อกันเนอร์เหมือนลูกชายของเธอเอง"ไม่จ้ะ ไม่เคยเกินจริงเลย" เอวาแก้ตัว "น้าแค่อยากให้แม่หนูเล่าเรื่องทนายความน่ารักที่ที่ทำงานให้ฟังมากกว่านี้""ผมขอจบตรงนี้นะครับ ไปดีกว่า" เขาพูด ดูเหมือนจะขยะแขยงเล็กน้อย "แม่ดูน้องได้ใช่ไหมครับ หรือผมควรจะพาน้องไปด้วย?"“แม่สบายมากจ้ะ…ไปเล่นกับเพื่อน ๆ เถอะ”เขาพยักหน้าก่อนที่จะวิ่งไปหาโนอาและคนอื่น ๆ คาลวินใจดีพอที่จะแก้ไขข้อตกลงเรื่องการดูแลบุตร ตอนนี้พวกเราดูแลกันเนอร์ร่วมกัน ลูกอยู่กับคาลวินวันธรรมดาและใช้วันหยุดสุดสัปดาห์กับฉัน"เอาล่ะ กลับมาเรื่องผู้ชายน่ารักคนนั้นก่อนนะ
สามปีต่อมาเอมม่า"จริงจังนะ เอมม่า เมื่อไหร่เธอจะหาแฟนสักที?" เอวาเอ่ยถามพร้อมนั่งลงข้าง ๆ ฉันฉันมองออกไปที่สวนหลังบ้านและยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ วันนี้เป็นวันเกิดของเจมส์ลูกชายของทราวิสและเล็ตตี้ ซึ่งตั้งชื่อตามพ่อของพวกเราและเจมส์กำลังจะอายุครบหนึ่งขวบเล็ตตี้และทราวิสแต่งงานกันเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ทราวิสคุกเข่าขอเธอแต่งงานทันทีที่ฉันได้สติขึ้นหลังจากอุบัติเหตุที่เกือบจะพรากชีวิตฉันไป คุณอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนขับรถคนนั้น เขาถูกจำคุกห้าปีในข้อหาขับรถโดยประมาท ฉันหวังว่าเขาจะได้รับบทเรียนนะกลับมาที่ทราวิสและเล็ตตี้ ฉันคิดว่าการเห็นฉันอยู่ในโรงพยาบาลทำให้เขารู้ว่าชีวิตสั้นแค่ไหน เขาขอเธอแต่งงานและเล็ตตี้ก็ตอบตกลง พวกเขาแต่งงานกันซึ่งเป็นงานแต่งงานฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามตอนนี้ัฉันได้กลายเป็นเพื่อนกับเอวาก็เลยถูกดึงเข้ามาในวงจรนี้ด้วย คอนนี่และรีเปอร์แต่งงานกันแบบงานแต่งงานเล็ก ๆ ที่เป็นกันเองกับเพื่อนสนิทและครอบครัว สี่เดือนต่อมาทั้งสองก็อ้าแขนรับลูกสาวของพวกเขา เฮเวน ตอนนี้คอนนี่ก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สองซึ่งเป็นลูกสาวอีกคนฮาร์เปอร์และเกเบรียลก็กำลังจะมีลูกด้วยกันอีก
"ไม่ไหวแล้ว! ฉันต้องเบ่งเดี๋ยวนี้" ฉันคำรามพร้อมจับเสื้อเกเบรียลไว้ฉันรู้สึกบ้าไปแล้ว เหมือนฉันเสียสติไปแล้ว ความเจ็บปวดกำลังทำให้ฉันบ้าไปแล้วจริง ๆโชคดีที่พวกเราไปถึงห้องคลอดก่อนที่ฉันจะคลอดลูกตรงทางเดินของโรงพยาบาล ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเดินไปถึงห้องคลอด และเจ้าหน้าที่ก็เริ่มเตรียมพร้อมให้ฉันเอวาอยู่ในห้องเรียบร้อย ฉันรู้สึกขอบคุณที่มีคนเข้าใจความรู้สึกตอนที่ช่องคลอดฉีกออกเป็นสองส่วนเพื่อให้เด็กตัวน้อย ๆ ออกมาดูโลก"ฉันไม่ไหวแล้ว" ฉันกัดฟันพูด ก่อนที่จะยกตัวขึ้นและเบ่งสุดแรงฉันสาบานว่าฉันรู้สึกเหมือนก้นจะแตกและมันก็เพิ่มความเจ็บปวดให้ฉันมากขึ้น"ความผิดคุณเลย!" ฉันกรีดร้องใส่เกเบรียลขณะที่จับมือเขาไว้แน่นฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ลมหายใจถี่กระชั้น และรูจมูกบานออกเพื่อพยายามสูดอากาศเข้าไปในปอดให้ได้มากที่สุด"เตรียมนะ เธอ เบ่งเลย" เอวาเร่งเร้าฉันขณะที่เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากให้ฉัน "เกเบรียลไม่สำคัญแล้วตอนนี้""อ้าว ใจร้ายนะ เอวา" เกเบรียลพึมพำพร้อมจ้องเขม็งไปยังเอวา เธอจ้องเขม็งกลับราวกับจะบอกให้เขาหุบปากและทำตามน้ำไปฉันบีบมือพวกเขาเมื่อมดลูกหดตัวอีกครั้ง และฉันก็ออ
"สบายมากจ้ะ หมีน้อยลิลลี่ แม่กำลังจะคลอดลูก... จำที่แม่บอกหนูได้ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้นตอนถึงเวลาแบบนี้?"เธอพยักหน้า "ค่ะ แม่บอกว่าแม่จะเจ็บท้อง แต่หนูไม่ต้องห่วง เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้น้องเกิดมาค่ะ""ดีมากจ้ะ" ฉันเบ้หน้าเมื่อการหดเกร็งตัวจู่โจมฉันอีกครั้ง "นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ดังนั้นอย่ากลัวไปนะจ๊ะ"เกเบรียลจับมือและช่วยให้ฉันเดินออกจากห้อง ฉันหายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก แต่พูดตามตรงมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย"หนูแค่ไม่เข้าใจน่ะค่ะ ทำไมแม่ต้องเจ็บด้วย? ทำไมเด็กถึงออกมาจากท้องแม่ไม่ได้โดยไม่ทำให้แม่เจ็บล่ะคะ?"สิ่งที่ฉันไม่ต้องการที่สุดคือทำให้ลูกสาวหวาดกลัวโดยต้องอธิบายให้เธอฟังว่าความเจ็บปวดนั้นจำเป็นสำหรับการออกแรงเบ่งเด็กออกมาจากร่างกายฉัน เธอจะอยากรู้ว่าทำไมต้องเบ่งลูกออกมาด้วย และฉันจะต้องอธิบายว่าเพราะลูกตัวใหญ่และทางออกเล็กกว่า ดังนั้นการหดเกร็งตัวเหล่านั้นจึงจำเป็นสำหรับการเบ่งลูกออกมา จากนั้นเธอจะอยากรู้ว่าทางออกนั้นคืออะไร และฉันจะต้องบอกเธอว่าลูกออกมาทางนั้นอย่างไรเล่าอย่างที่คุณเห็น นั่นไม่ใช่บทสนทนาที่เธอเตรียมใจรับได้นัก เธอจะตกใจกลัวเมื่อรู้ว