โรแวนผมเอาแต่จ้องมองมือตนเอง แม่ของผมกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “แม่ขอโทษด้วยนะโร แต่โนอาบอกว่าไม่อยากมาคุยกับลูก”ผมไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนเลย แม้แต่ตอนที่เอมม่าบอกเลิกและทิ้งผมไป โนอาโกรธผมเป็นอย่างมากและไม่ยอมรับสายผมเลย เอวาพูดถูก โนอาควรมาก่อนสิ่งใด แต่ผมกลับทำให้เขาต้องผิดหวังผมตัดสินใจพาเอมม่าออกไปเที่ยวพักผ่อนบนเรือยอร์ชเพื่อให้เราทั้งสองได้มีเวลาส่วนตัวพูดคุยกัน เธอไม่มีความสุขเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่าผมทิ้งเธอไปเพราะจะรีบไปหาเอวา นี่เป็นสิ่งที่ผมทำเพื่อชดเชยให้เธอได้ แต่ดันโชคร้ายที่ผมลืมเวลาไปเสียได้แถมโทรศัพท์ก็ยังมาแบตหมดผมไม่เคยเห็นเอวาเดือดดาลเพียงนี้มาก่อน และเมื่อวานนี้เธอกลับทำให้ผมตกตะลึงไม่น้อย สิ่งที่เธอแสดงออกมาว่าเธอยืนหยัดเพื่อโนอาและด่าสิ่งที่ผมได้ทำลงไป ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเธอเป็นอย่างมาก ในที่สุดเธอก็เข้มแข็งขึ้นมา เป็นเรื่องที่ดีเมื่อเห็นเช่นนั้น“โรแวน?” แม่ของผมเรียกชื่อ “แม่จะวางสายแล้วนะลูก”“อย่างเพิ่งครับ ช่วยเอาโทรศัพท์ไปให้โนอาหน่อยครับ ผมต้องขอโทษลูกก่อน” โนอาไม่เคยปฏิเสธที่จะคุยกับผมมาก่อนเลย นั่นทำให้ความรู้สึกของผมแตกสลายไป
“เป็นเพราะเอมม่าไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของลูกใช่ไหม?” การที่โนอาตั้งแง่กับเอมม่าอาจเป็นเพราะเธอไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของเขา เขาอาจรู้สึกว่าเธอคนนี้จะเข้ามาแทนที่แม่แท้ ๆ ของตนก็เป็นได้“ผมก็แค่ไม่ชอบ อีกอย่างหนึ่ง เธอเป็นพี่สาวแม่ด้วย มันผิดนะพ่อ” เด็กน้อยเอ่ยความจริงออกมา มันไม่ใช่เหตุบังเอิญไปเสียหน่อยหรือที่โนอาไม่ชอบเอมม่าเช่นเดียวกับเอวา? หรืออาจเป็นเพราะเอวาเป่าหูลูกให้จงเกลียดจงชังเอมม่า? หากเธอทำแบบนั้นผมเองก็ไม่รู้สึกแปลกใจ“ฟังนะ โนอา พ่อกำลังคบกับเอมม่าอยู่จริง และคิดว่าลูกเองก็ควรปฏิบัติต่อเธอด้วยความเคารพนะ สักวันพ่ออาจแต่งงานกับเธอ แล้วเธอก็จะกลายเป็นแม่เลี้ยงของลูกนะ ลูกต้องชินกับการเห็นเธอไปไหนมาไหนกับพ่อได้แล้วนะ”ผมจำเป็นต้องจัดการสิ่งที่กำลังก่อตัวขึ้นใจของเด็กน้อย โนอาต้องเข้าใจได้ว่าเอมม่าอยู่ในชีวิตไม่จากไปไหน“ไม่มีวัน” เด็กชายตะโกนใส่โทรศัพท์“โนอา…”“ถ้าพ่อชอบเธอ ก็เชิญชอบไปเลย แต่ขอให้รู้ว่าผมไม่มีวันยอมรับเธอ ผมไม่มีวันชอบเธอ แล้วก็เธอไม่มีวันกลายเป็นแม่ของผมเด็ดขาด” เขาแผดเสียงใส่ก่อนผมจะได้พูดสิ่งใดออกมา เด็กชายกดวางสายไปเสียก่อน ผมจึงกดโทรกลับไปอีกครั้งทันที กระน
เอวาวันนี้ฉันมีความสุขอย่างมาก ไม่เพียงแต่การรับประทานอาหารเย็นกับอีธานจะราบรื่นไปด้วยดี แต่วันพรุ่งนี้ฉันจะได้กลับไปทำงานและวันถัดไปนั่นคือวันเกิดของฉันเองตามที่ฉันคาดการณ์เอาไว้เมื่อวานเสาร์ อีธานนั้นสามารถช่วยให้ฉันลืมได้ เพียงไม่กี่นาทีหลังจากเข้าไปในบ้านของเขา ฉันก็ได้ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นเขาทำอาหารได้และไม่ทำให้ผิดหวัง อาหารของเขาอร่อยอย่างไร้ที่ติ ผู้ชายที่ทำอาหารเป็นแถมยังทำให้คุณหัวเราะออกมาได้นั้นแสนพิเศษ ค่ำคืนนั้นกลายเป็นคืนที่มีความสุขและสนุกสนานอย่างมาก สิ่งที่ดีไปยิ่งกว่านั้นคือหลังจากที่กลับมาถึงบ้าน ฉันยังได้คุยกับโนอาอีกด้วยเด็กน้อยใจเย็นลงเล็กน้อยแล้ว เราพูดคุยกันทุกเรื่องจนไม่มีเรื่องใด ๆ จะคุยกันอีกก่อนลูกชายจะหลับคาโทรศัพท์ไป นี่ถือได้ว่าเป็นฉากสำคัญที่สุดของวันเลยก็ว่าได้ขณะฉันกำลังอบขนมอยู่นั้น มีใครบางคนเคาะประตูหน้าบ้านอยู่ ฉันอยากรับประทานขนมที่ช่วยให้สบายใจ ดังนั้นคุ๊กกี้และเค้กช็อกโกแลตก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว หลังจากเช็ดมือกับผ้าเช็ดมือ ฉันเดินไปเปิดประตูเมื่อพบว่ากำลังเผชิญหน้ากับเอมม่าอยู่ ส่วนหนึ่งของฉันรู้สึกตกใจ กระนั้นอีกส่วนหนึ่งก็ไม
“ออกไป!” ฉันลุกขึ้นยืนและชี้นิ้วไปยังประตูทางเข้าฉันหมดความอดทนกับความไร้สาระของเอมม่าแล้ว วันนี้ฉันจะไม่ยอมให้เธอเข้ามาทำลายความสุขของฉันแน่เธอจึงลุกขึ้นยืนเช่นกัน “อะไร? ไม่ชอบหรือที่ฉันจับไต๋แผนการของเธอทั้งหมด อีกไม่ช้าไม่นานหรอกนะ เดี๋ยวทุกคนก็จะได้รับรู้ว่าเหตุการณ์นั้นมันเป็นเรื่องแหกตา”“นี่โชว์โง่จบหรือยัง?” ฉันเอ่ยถาม “คิดเป็นแต่ว่าฉันเป็นคนจัดฉากเหตุการณ์นั้นขึ้นมา สนใจอยากรู้ว่าฉันคิดยังไงกับเรื่องนี้บ้างไหมเล่า? ฉันคิดว่าเธอนั้นแหละที่คนบงการเรื่องนี้อยู่ ฉันไม่มีศัตรูอยู่ที่ไหนยกเว้นเธอ แล้วใครกันนะที่จะได้ประโยชน์จากการที่ฉันตายไป? อ๋อ เธอไงถ้าไม่มีฉันสักคน ความรักของเธอกับโรแวนก็ไร้ขวากหนาม และไม่ต้องมาทนเห็นหน้าฉันอยู่เรื่อย ๆ เพราะโรแวนจะได้รับสิทธิเลี้ยงดูเพียงผู้เดียว”เอมม่าจ้องมองฉันอย่างตื่นตระหนก ไม่ว่าตื่นตระหนกเพราะฉันล่วงรู้ความจริงนั้นแล้วหรือเพราะฉันกล่าวหาเธอก็ตาม ฉันก็คิดเรื่องราวเหล่านี้มีมูลและทุกเรื่องก็เชื่อมโยงอย่างลงพอดีเอมม่าอาจต้องการให้ฉันตายด้วยสาเหตุสองประการ ประการแรกเพื่อแก้แค้น ประการที่สองคือกำจัดฉันออกจากชีวิตของโรแวนอย่างสิ้นเช
การที่ได้เห็นใบหน้าอันโกรธเกรี้ยวของโรแวนตอกย้ำว่าฉันไม่ควรเปิดประตูตั้งแต่แรก ก่อนฉันจะทันได้ตอบโต้ ชายหนุ่มผลักฉันเข้ามาด้านในก่อนจะปิดประตู เขาผลักดันฉันไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ตรงบริเวณพื้นที่ระหว่างห้องโถง ห้องครัว และห้องนั่งเล่น“เป็นบ้าไปแล้วหรือไง?” โรแวนระเบิดอารมณ์ ความโกรธเกรี้ยวของเขาทำให้ฉันตัวสั่น“อะไร?”“นี่คิดหรือว่าเอมม่าไม่ได้บอกอะไรผมมาเลย? หรือคิดว่าผมไม่เห็นรอยมือของคุณบนแก้มข้างซ้ายของเอมม่าน่ะ?เขาเริ่มเดินวนไปมา ฉันเริ่มประติดประต่อคำพูดของเขาและเริ่มเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงปรากฎตัวมาที่นี่“คุณไม่เข้าใจหรอก” ฉันพยายามอธิบายเหตุผล กระนั้นเขากลับไม่เปิดโอกาสเลย“เข้าใจอะไร? เข้าใจว่าคุณตบเอมม่าอย่างไม่มีเหตุผล? เข้าใจว่าคุณกล่าวหาว่าเธอเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่ไม่มีหลักฐานเลย? หรืออยากให้ผมเข้าใจเรื่องเลวทรามที่คุณพูดกับเธอดีเล่า?” เขาเดินก้าวเข้ามาพร้อมดวงตาเกรี้ยวกราดฉันไม่รู้ว่าเอมม่าเล่าอะไรให้โรแวนฟังบ้าง แต่มั่นใจได้เลยว่าเธอต้องโกหกและไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเป็นแน่“ผมจะไม่ปล่อยให้คุณทำร้ายเอมม่าเด็ดขาด เข้าใจไหม เอวา?
วันนี้ เสียงโทรศัพท์ของฉันดังนับร้อยครั้งได้แล้วโดยมีชื่อของเล็ตตี้เด่นอยู่บนหน้าจอ กระนั้นเช่นหลายครั้งที่ผ่านมา ฉันเมินเฉยต่อสายเรียกเข้าพวกนั้น เธอพยายามติดต่อฉันตั้งเแต่เมื่อวานสภาพจิตใจของฉันไม่พร้อมที่จะพูดดุยกับเธอตอนนี้ เธอยังติดต่อกับสังคมและผู้คนที่ฉันพยายามหลีกหนีอยู่ ซึ่งนั่นทำให้ฉันตระหนักได้ว่าอยู่ตรงทางแยกชีวิตที่จำเป็นต้องเลือก“ขออีกแก้ว” ฉันสั่งบาร์เทนเดอร์ทันทีที่เสียงเรียกเข้าเงียบลงวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของฉัน และฉันจึงฉลองให้ตนเองเช่นนี้แหละ ตัวคนเดียวอยู่ในบาร์แห่งหนึ่ง นั่งดื่มเหล้าผสมน้ำผลไม้ และคำพูดของโรแวนยังทิ่มแทงอยู่ไม่จางหายฉันพยายามเป็นอย่างมากที่จะโยนความคิดเหล่านั้นทิ้งไปเสีย พยายามเหลือเกินที่จะลืมทุกคำพูดซึ่งเขาโยนใส่ฉัน แต่นั่นเป็นเรื่องยากลำบากจริง ๆ คำพูดนั้นตามหลอกหลอนฉันเฉกเช่นผีร้ายเราทั้งสองแต่งงานอยู่กินกันมาหลายปี แต่ฉันก็ไม่เคยนึกเอะใจเรื่องที่เขามองฉันเป็นเพียงสิ่งบันเทิงทางกามเท่านั้น อีกทั้งยังหลอกใช้ให้ฉันกลายเป็นตัวแทนเรือนร่างของเอมม่าด้วยซ้ำ หัวใจของฉันแหลกสลายครั้งแล้วครั้งเล่านับตั้งแต่เกิดเหตุวันนั้นที่บ้านฉันที่จริ
“ฉันสบายดีค่ะ…แค่ไม่อยากคุยกับเธอในตอนนี้” ฉันเปล่งเสียงดังขึ้นเสียงดนตรีไม่ดังมาก แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตคำว่าดังอยู่“นี่คุณอยู่ร้านเหล้าหรือ?” เขาเอ่ยถามเนื่องจากได้ยินเสียงคนรอบข้างร้องเพลงที่พวกเขาชื่นชอบกันเสียงดัง“ก็ประมาณนั้นค่ะ”“เมาหรือเปล่า?”“แค่มึน ๆ” ฉันตอบคำถาม ที่จริงฉันตั้งใจจะดื่มให้ภาพตัดไปเลย“แล้วมีคนขับรถที่ไว้ใจได้แล้วหรือยังครับ?ฉันแอบหัวเราะให้กับมุกนั้น เขาสวมบทบาทคุณตำรวจแสนดีอยู่ และฉันชื่นชอบเป็นอย่างมาก ฉันชอบที่เขาใส่ไว้ว่าฉันจะกลับบ้านอย่างไรด้วย“ยังเลยค่ะ คิดว่าจะนั่งแท็กซี่กลับ” ฉันตอบกลับ“ไม่ได้ ห้ามนั่ง ขอผมสิบนาที” เขาเอ่ยก่อนกดวางสายไปฉันขมวดคิ้วใส่โทรศัพท์ตนเองพลางสงสัยว่าทำไมอีธานถึงบอกเช่นนั้นออกมา เมื่อคิดได้ว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น ฉันจึงปล่อยเรื่องนั้นไป วันนี้สิ่งที่ฉันต้องทำคือลืมทุกเรื่องและสนุกให้สุดเหวี่ยงฉันไม่รู้เลยว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้วเมื่อมีใครบางคนเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ข้างฉัน ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองและรู้สึกตกใจเมื่อพบว่าสายตาสีฟ้าคู่งามของอีธานกำลังจ้องมองฉันอยู่“อีธาน คุณมาได้ไงเนี่ย?” ฉันเอ่ยถามด้วยความรู้สึกงุน
เมื่อเก้าปีก่อนเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแสดงว่ามีการแจ้งเตือนใหม่ ซึ่งทำให้ฉันลืมตาตื่นจากการนอนหลับอย่างไม่เต็มตื่น ฉันไม่สามารถนอนหลับได้เต็มตามาสองปีด้วยเหตุผลบางประการส่วนหนึ่งของฉันบอกว่าสาเหตุนั้นมาจากโรแวน หัวใจและสมองไม่ได้รู้สึกสงบเลยเพราะเขาไม่ได้อยู่ข้างกายอีกแล้ว การที่ฉันไม่ได้พักผ่อนอย่างดีนั้นเริ่มต้นมาจากช่วงที่เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อสองปีก่อน ช่วงที่เขาต้องเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนั้น ฉันแทบจะนอนไม่หลับเลย แต่ในช่วงวันหยุดที่เขากลับมาบ้าน ฉันหลับได้อย่างกับเด็กน้อยฉันส่งเสียงโอดครวญออกมาเพราะนี่ก็เป็นอีกคืนที่นอนไม่หลับ จากนั้นลุกขึ้นดูโทรศัพท์ ฉันรู้สึกแปลกใจ แต่เพียงแวบเดียวความสุขก็เข้ามาแทนที่เมื่อเห็นว่าการแจ้งเตือนนั้นคืออะไรฉันจ่ายเงินจ้างให้คนช่วยติดตั้งแอปพลิเคชันที่ช่วยติดตามโรแวนไปด้วยตลอดทุกหนทุกหน ตอนนี้มันแจ้งเตือนว่าเขาอยู่บ้านฉันกระโดดลงจากเตียงและรีบแต่งตัว เขาอาจกลับมาพร้อมกับเอมม่า หรือทราวิสหรืออาจเป็นเกเบรียลก็เป็นได้ แต่ใครสนกันเล่า ฉันเพียงต้องการพบหน้าเขาแม้ว่าจะแค่มองอยู่ห่าง ๆ ก็ตามทันทีที่ฉันแต่งตัวเสร็จ สายตาก็แอบเหลือบมองออ
ฮาร์เปอร์ฉันขยับตัวไปมาบนเตียงโดยพยายามหาท่าที่สบายที่สุด พูดตามตรงฉันดูเหมือนปลาวาฬและรู้สึกเหมือนปลาวาฬด้วย ฉันกำลังพับผ้าอยู่เพราะดูเหมือนว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันได้รับอนุญาตให้ทำเกเบรียลดูแลฉันมากเกินความจำเป็นตั้งแต่เขารู้ว่าฉันตั้งครรภ์ ฉันแทบห้ามขยับร่างกายเลยเพราะอาจทำให้เขาตื่นตระหนกไปหมด ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ฉันแทบบ้า แต่ฉันก็รู้สึกว่ามันน่ารักดีฉันเผยยิ้มเมื่อนึกถึงตอนตั้งท้องลิลลี่ เลียมดูแลฉันดีเหมือนกัน เขาไม่ได้ดูแลฉันมากเกินความจำเป็นอย่างที่เกเบรียลทำ แต่เขาก็ดูแลฉันอยู่ดี หมายถึงเขาเคยวิ่งไปซื้อของที่ร้านกลางดึกเพราะฉันรู้สึกหิวโดยไม่บ่นสักคำ มีแต่ผู้ชายที่ใส่ใจเท่านั้นที่จะทำแบบนั้นการตั้งครรภ์ครั้งนี้แตกต่างจากการตั้งครรภ์ลิลลี่ในหลาย ๆ ด้าน ตัวอย่างเช่น ตอนท้องลิลลี่ ฉันแทบไม่แพ้ท้องเลย แต่ครั้งนี้ฉันแพ้ท้องตอนเย็นด้วย และมันอยู่ไปถึงช่วงเข้าเดือนที่สี่ มันแย่จริง ๆ ที่ต้องรู็สึกแย่ตลอดเวลาแล้วก็เรื่องความอยากอาหาร ตอนท้องลิลลี่ ฉันอยากกินของหวาน ๆ แต่ครั้งนี้ฉันอยากกินของคาวและเค็มมากกว่า มันบ้ามาก ฉันไม่อยากกินของหวานเลยตั้งแต่รู้ว่าตัวเองท้อง อย่าพูดถึ
ผมนั่งอยู่ข้าง ๆ กันเนอร์และพวกเรามาอยู่ที่โรงพยาบาลกันทุกวัน ทางโรงเรียนของกันเนอร์เข้าใจสถานการณ์ดี เขาเลยไม่ต้องไปโรงเรียน โนอามาเยี่ยมเขาทุกวันและนำการบ้านมาให้เสมอ"พวกเราเคยคุยกันด้วยนะครับ โนอาบอกผมว่าเขารู้สึกยังไง มันรู้สึกดีที่ได้คุยกับเขาเรื่องนี้ ได้คุยกับคนที่เคยผ่านมันมาและเข้าใจว่ามันยากแค่ไหน" เขาหยุดขณะที่คลายปมผมของผู้เป็นแม่ก่อนที่จะพูดต่อ "ไม่ต้องห่วงนะครับ แม่กับโนอาจะเข้ากันได้ดีตอนแม่รู้จักเขาดีขึ้นแล้ว"ขอร้องแหละ เอมม่า ได้โปรดตื่นเถอะ ฟื้นขึ้นมาเพื่อกันเนอร์เถอะนะ ผมขอเท่านี้จริง ๆ ผมภาวนา อ้อนวอนเธอในใจให้ลืมตาขึ้นมา"พวกเรายังเหลืออะไรต้องทำด้วยอีกตั้งเยอะ" กันเนอร์วางหวีลง "อะไรอีกเยอะที่พวกเรายังไม่เคยทำ ผมยังต้องรู้จักแม่ให้มากขึ้นนะครับ และแม่ก็ยังต้องรู้จักผมเหมือนกัน อีกอย่างแม่สัญญากับผมว่าจะให้ของขวัญผมทุกปีที่แม่พลาดไป แม่ให้มาหนึ่งชิ้นแล้ว เหลืออีกสิบเจ็ดชิ้นนะครับ"เช่นเดียวกับสี่วันที่ผ่านมา เอมม่าไม่ได้ตอบกลับ ไม่มีแม้แต่การเคลื่อนไหวที่จะให้ความหวังว่าเธอจะหายดีเสียงถอนหายใจดัง กันเนอร์จับและจูบหลังมือเธอ "ผมไม่เคยได้พูดให้ฟังเลย แต่ผมรัก
เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีพลันหายไปและผมก็สะดุดกับคำพูดของคุณหมอ ผมไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เขาพูดหรือความหมายเป็นนัยของคำพูดนี้ได้อย่างเต็มที่เสียงอุทานอย่างตกใจดังขึ้นเต็มห้อง ทุกคนต่างจ้องมองแพทย์ราวกับเขาเป็นมนุษย์ต่างดาวจากนอกโลก"เธอจะได้สติไหมคะ? แล้วพวกเราเข้าเยี่ยมเลยได้ไหม?" เสียงของเอวาดังขึ้น"ตอนนี้ยังไม่ฟื้นครับ เธออยู่ในห้องฉุกเฉินและอนุญาตให้เฉพาะสมาชิกในครอบครัวใกล้ชิดเข้าเยี่ยมได้เท่านั้น" เขาตอบ "ผมจะจัดการให้ในอีกสักครู่... ขอตัวนะครับ ผมต้องไปตรวจเธออีกครั้ง"พวกเราจ้องมองแผ่นหลังคุณหมอขณะที่เขาเดินออกไป ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่ได้ยินว่าเอมม่าอาจจะเดินไม่ได้อีกแล้วผมทรุดตัวลงนั่งเพราขาไม่เหลือเรี่ยวแรงจะยืนต่อไปได้อีกต่อไปผมไม่เข้าใจเลย ตอนนี้เธอกำลังฟื้นฟูสิ่งต่าง ๆ อยู่ และทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ด้วยดี เธอฟื้นฟูความสัมพันธ์และประกอบชีวิตตนเองขึ้นมาใหม่ ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นกับเธอได้นะ?***"แม่ผมจะฟื้นเมื่อไหร่ครับ?" กันเนอร์ถามแพทย์ที่กำลังยุ่งอยู่กับการตรวจดูอาการของเอมม่าตอนนี้เธอออกจากห้องฉุกเฉินได้แล้ว พวกเขาย้ายเธอออกมาเมื่อประมาณสองวัน
ผมพยายามเหยียดตัวแผ่นหลังตรง ขณะฝืนใจสร้างความกล้าหาญจอมปลอมให้กับตนเอง ผมพยายามพูดออกมาให้พยาบาลคนนั้นรู้ว่าตนเองยังไหว แต่ลิ้นกลับแข็งทื่อไปหมดและคำพูดก็ไม่ยอมหลุดออกจากปากเลยสักคำเธอตบไหล่ผมเบา ๆ "ดิฉันเข้าใจค่ะ ไปนั่งพักก่อนดีกว่า ดูเหมือนว่าลูกชายคุณต้องการพี่พักพิงในตอนนี้นะคะ พวกคุณควรเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจซึ่งกันและกัน"ผมทำได้เพียงอย่างเดียวคือพยักหน้าตอบรับก่อนเดินออกไป ผมเดินไปหากันเนอร์และนั่งข้าง ๆ ลูกชาย ก่อนดึงเขามานั่งบนตัก พวกเรากอดกัน เป็นที่ยึดเหนี่ยวให้กันและกันผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วตอนที่ผมรู้สึกว่ามีคนเขย่าตัวเรียก ผมมัวจดจ่อกับเอมม่าและเพิ่งเห็นว่าเอวากำลังจ้องมองอยู่ คิ้วเรียวขมวดมุ่น ริมฝีปากคว่ำลงและดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล"เรามากันหมดบ้านเลยค่ะ" เธอพึมพำเบา ๆ ก่อนที่จะนั่งข้าง ๆ “ยังไม่ออกจากห้องผ่าตัดอีกเหรอคะ?""ครับ" ผมเหมือนต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อเปล่งคำพูดออกมา"มันเกิดอะไรขึ้น?" ทราวิสเอ่ยถามพร้อมกับประคองผู้เป็นแม่ ซึ่งดูเหมือนจะสติหลุดลอยอยู่ในอ้อมแขนเธอเหมือนจวนเป็นลมอยู่รอมร่อ หรือไม่เธออาจกำลังรำลึกถึงอดีตเช่นกัน เพราะเวลาที่
ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมร่างกาย ลมหายใจผมเริ่มถี่กระชั้น ผมรู้สึกหายใจไม่ออกเมื่อความเจ็บปวดในอกทวีความรุนแรงขึ้น ผมดึงกันเนอร์เข้ามาใกล้ตัวแล้วกอดเขาไว้ราวกับเขาเป็นลมหายใจของผมมันจะเป็นอย่างนี้ไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เธอต้องไม่เป็นอะไรสิผมพูดคำเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนบทสวดภาวนา เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมไม่เสียสติต่อให้ต้องเสียอะไรก็จะให้เธอจากไปตอนนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ตอนที่กันเนอร์เพิ่งตัดสินใจให้โอกาสครั้งที่สองกับเธอและยอมรับเธอกลับเข้ามาในชีวิต ผมรู้จักลูกชายเป็นอย่างดี การที่เอมม่าจากโลกนี้ไปจะต้องทำให้เขาเสียใจมาก ความปรารถนาเดียวของกันเนอร์คือการมีแม่ การให้เอมม่าเป็นแม่และยอมรับเขา มันคงโหดร้ายหากในที่สุดเขาได้รับโอกาสนั้นแต่กลับต้องสูญเสียเธอไป"ไม่เป็นไรแล้วครับ ไม่เป็นไรแล้ว" เอริคประกาศ เสียงเต็มไปด้วยความโล่งใจผมไม่เคยมีความสุขกับการได้ยินคำพูดแบบนี้มาก่อน ความโล่งใจนั้นมากมายมหาศาล ขณะที่แสงแห่งความหวังเริ่มส่องประกายทะลุผ่านเมฆดำมืดที่ปกคลุมพวกเราผมทรุดตัวลงเอนพิงกายในรถพยาบาลนั้น ก่อนทอดถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก ผมเฝ้าดูสัญญาณชีพของเธออย่างไม่วางตา ภาวนาไ
"ไม่เอาน่า เอมม่า ลืมตาสีฟ้าคู่นั้นขึ้นมาสิ" ผมอ้อนวอนเพื่อตัวผมเองและกันเนอร์ "คุณไม่อยากให้ผมยกโทษให้เหรอไง? ฟื้นเถอะนะ"เธอไม่ตอบสนอง ดวงตายังคงปิดสนิท ใบหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษ และผมสีบลอนด์กระจายอยู่ด้านหลัง ถ้าไม่มีเลือดที่เปรอะเปื้อนเต็มไปหมด เธอคงดูเหมือนตุ๊กตาสิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่รอเท่านั้นซึ่งทำให้ทรมานใจอย่างมาก ผมคอยจับชีพจรของเธอเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าเธอยังอยู่กับพวกเรา ตอนนี้มีคนมารวมตัวกันมากขึ้น แต่ก็ไม่สำคัญ พวกเขาไม่สำคัญเลย ไม่ใช่ตอนที่เอมม่าดูเหมือนวิญญาณออกจากร่างแบบนี้ หน้าอกของเธอแทบจะไม่กระเพื่อมขึ้นลงเลย"ช่างแล้วเว้ย" ผมลุกขึ้นเตรียมที่จะเอารถออกจากโรงรถและพาเธอไปโรงพยาบาล เพราะดูเหมือนว่ารถพยาบาลกำลังกินลมชมวิวกันอยู่ตอนกำลังจะหันหลังกลับ ผมก็ได้ยินเสียงไซเรน หัวใจผมคลายลงด้วยความโล่งอก ผมหันไปเห็นรถพยาบาลกำลังเข้ามา คนอื่น ๆ หลีกทางให้พวกเขามาถึงพวกเรา เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลสองคนรีบลงมาจากรถพร้อมเปลหามวิ่งตรงมาที่เรา"ดิฉันชื่อทาช่าค่ะ ส่วนทางนี้คือเอริค เกิดอะไรขึ้นคะ?" เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลหญิงถามหลังจากแนะนำตัวก่อนคุกเข่าลง"ผมไม่ได้ตั้งใจครับ" ชายร้
คาลวินวันนี้เป็นวันที่เหมาะแก่การพักผ่อนและผ่อนคลายจริง ๆ ผมไม่ได้มีอะไรทำมากนัก ดังนั้นหลังจากกันเนอร์กับผมทำงานบ้านด้วยกันเสร็จ เขาก็ถามว่าขอไปหาเอมม่าได้ไหมตอนแรกผมก็นึกแปลกใจ แต่ผมสัญญาไว้กับเขาแล้วว่าผมจะตามใจเขา จะเคารพการตัดสินใจของเขาถ้าเขาต้องการทำความรู้จักกับเอมม่าและอนุญาตให้เธอเข้ามาในชีวิตเธอกล่าวทักทายเมื่อทั้งสองเจอกันและเริ่มพูดคุย แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยพูดอะไรก็ตาม พูดตามตรงผมคิดว่าเธอเหมือนรู้เวลาที่ทั้งสองสามารถพบเจอกันได้ ไม่ว่าเขาจะไปโรงเรียนและเธอกำลังไปทำงาน หรือเขากลับจากโรงเรียนและเธอกลับจากทำงานแล้วเธอก็ส่งของขวัญวันเกิดให้เจ้าลูกชายแล้ว ผมคิดว่าเธอพยายามซื้อใจเขาด้วยของขวัญ แต่หลังจากที่ผมอ่านข้อความบนการ์ด มันสั้นแต่จริงใจ เธอบอกเขาว่าเธอจะให้ของขวัญวันเกิดและคริสต์มาสให้เขาครบช่วงที่เธอพลาดไปผมควรจะหงุดหงิด แต่กลับไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ผมรู้ว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าลูกรักตนน้อยลงหากลูกเลือกที่จะทำความรู้จักกับพ่อแม่ที่ทิ้งไป ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น สำหรับผม ความสุขของกันเนอร์สำคัญที่สุด ถ้าการทำความรู้จักกับแม่แท้ ๆ และการมีเธออยู่ข้างกายจะทำให้สิ่งต่า
ฉันจ้องมองลูกชายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอดถุงมือออก"แล้วนั่นทำอะไรอีกล่ะครับ?" เขาดูขบขันกับการกระทำของฉัน"ก็หนูเป็นครูของฉันไง ถ้าคิดว่าใช้มือเปล่าจะดีกว่า ฉันก็จะทำแบบนั้นจ้ะ"ฉันทำตามที่เด็กชายแนะนำและพรวนดินเข้าด้วยกัน ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะการสัมผัสดินด้วยมือหรือเปล่า หรือการมีเขาอยู่ข้าง ๆ หรือทั้งสองอย่าง แต่ความสงบสุขบางอย่างก็เข้ามาปกคลุมฉัน ฉันรู้สึกเบาและโปร่งสบายราวกับอยู่บนสวรรค์ชั้นเจ็ดความกังวลพลันหายไปในขณะที่กันเนอร์แนะนำฉันเรื่องการทำสวน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งเขาและเอวาถึงชอบสิ่งนี้มาก มันผ่อนคลายมาก และฉันรู้สึกเชื่อมโยงกับโลกอย่างประหลาด"ขอบคุณสำหรับของขวัญนะครับ" กันเนอร์พูด ดึงความสนใจของฉันไปที่เขาฉันตัดสินใจว่าจะให้ของขวัญวันเกิดและคริสต์มาสแก่เขาสำหรับทุกปีที่ฉันพลาดไป เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันซื้อของขวัญให้เขาชิ้นหนึ่ง ไม่รู้เลยว่าตนเองจะซื้ออะไรให้ดี แต่พนักงานที่ร้านบอกว่าฉันควรซื้อปืนฉีดน้ำไฟฟ้าให้ เขาบอกว่ามันยี่ห้อมันคูย์ คูเบย์รุ่นเอสทู เขาสาธิตวิธีใช้งานให้ฉันดู ซึ่งดูเจ๋งมาก มันน่าจะเป็นสิ่งที่ทราวิส โรแวน และเกบจะต้องชอบมากถ้าทั้งสามยังเป็น
เอมม่าฉันจ้องมองความยุ่งเหยิงตรงหน้า ไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าจะจัดการกันมันอย่างไร ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ฉันรู้สึกแปลก ๆ และไม่สามารถระบุเหตุผลที่แน่ชัดได้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ฉันพยายามคิดทบทวนแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรผุดขึ้นมาในหัวเลย สิ่งที่ฉันรู้คือ ฉันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีอะไรผิดปกติ หรือกำลังจะมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ฉันก็ไม่สามารถสลัดความรู้สึกนี้ออกไปได้ มันยังคงอยู่และทับถมอยู่ภายในจิตใจเคยรู้สึกแบบนั้นกันไหม? รู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์ว่ากำลังจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น? มันทำให้ฉันหงุดหงิด เพราะฉันไม่สามารถบอกได้แน่ชัดและมันกำลังทำให้ฉันคลั่งตายอยู่แล้วฉันถอนหายใจพลางมองลงไปยังมือที่สวมถุงมืออยู่ คุณหมอมีอาแนะนำว่าฉันควรทำอะไรสักอย่างเพื่อเบี่ยงเบนความกังวลและผ่อนคลายให้มากขึ้น เมื่อวานฉันคุยกับเอวา และบังเอิญพูดถึงเรื่องนี้ เธอแนะนำว่าฉันควรลองทำสวนดูบ้าง ตามที่เธอพูด มันเคยช่วยเธออยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเธอเครียดและต้องการทำอะไรสักอย่างเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเอวาบอกฉันว่าเธอเคยปลูกผัก แต่เธอแนะนำให้ฉันลองปลูกดอกไม้ดูถ้าไม่อยากปลูกผักดังนั้นฉันก็เ