ฮาร์เปอร์สายตาของฉันจับจ้องไปที่รูปของเลียม สามีผู้ล่วงลับ สองปีแล้ว แต่ฉันยังคงคิดถึงเขาแทบบ้าฉันถอนหายใจ วางไม้กวาดลง แล้วหยิบรูปขึ้นมาดู ฉันนั่งลงบนโซฟาที่เก่าจนผุพัง แล้วจ้องมองใบหน้าของเขาด้วยความรัก ใช้นิ้วลูบไปตามภาพของเขาเบา ๆ เรากำลังพยายามก้าวต่อไป แต่บอกตามตรง มันไม่ง่ายเลย เขาขอแต่งงานกับฉันตอนที่เรายังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เราแต่งงานกันทันทีหลังจากที่ฉันเรียนจบฉันยอมรับว่าตอนแรกไม่ได้มั่นใจในตัวเขามากนัก ฉันไม่มีประสบการณ์เรื่องความรักกับผู้ชายเลย ยกเว้นก็แต่กับเกเบรียล แต่เขาไม่นับ เพราะเกเบรียล ผู้ชายที่เคยเป็นสามีของฉัน ปฏิบัติกับฉันเหมือนเป็นโรคร้ายที่เขาอยากจะกำจัดออกไปจากชีวิตเลียมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเกเบรียล เขารู้เรื่องในชีวิตแต่งงานของฉัน รวมถึงเหตุผลที่เกเบรียลหย่ากับฉัน ก่อนจะไล่ฉันออกไปจากชีวิตในวันที่ฉันเพิ่งฝังร่างพี่ชายของตัวเองหลังจากที่ฉันหนีไปต่างประเทศ ฉันเหมือนแตกสลายไปทุกส่วนจนไม่แน่ใจว่าตัวเองจะกลับมาเป็นคนเดิมได้อีกหรือเปล่า ฉันเชื่อว่าเลียมถูกส่งมาในช่วงเวลาที่ฉันต้องการใครสักคนที่สุด ช่วงเวลาที่ฉันต้องการที่ยึดเหนี่ยวมากที่สุดในความอัปยศท
ฉันจ้องเขาอย่างตะลึงงัน รู้ตัวอีกทีฉันก็ปิดปากลงเพื่อไม่ให้ดูเหมือนคนโง่ที่ยืนอ้าปากค้างไม่เคยเลยสักครั้งที่จะคิดว่าฉันจะได้พบกับเกเบรียลอีก ฉันคิดว่าวันที่เขาหย่ากับฉันจะเป็นวันสุดท้ายที่เราต้องเห็นหน้ากันบางคนอาจสงสัยว่า ทำไมฉันไม่เคยเห็นเขาในข่าวหรือในรายการซุบซิบบนโทรทัศน์เลย? เพราะฉันไม่สนใจเรื่องพวกนั้น ชีวิตฉันยุ่งเกินกว่าจะมาสนใจว่าโลกข้างนอกกำลังพูดถึงใคร“จะไม่เชิญผมเข้าไปหน่อยเหรอ?” เสียงทุ้มต่ำของเขาขัดจังหวะความคิดฉันสูดหายใจลึก พยายามรวบรวมสติ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเสียสมาธิ“มาที่นี่ทำไม?”การมาถึงของเขามันน่าตกใจเกินกว่าแค่บังเอิญ เรื่องนี้มันชัดเจนอยู่มากแล้ว ฉันรู้จักเกเบรียลดีพอที่จะรู้ว่าเขาไม่ทำอะไรโดยไร้เหตุผล ถ้าเขาอยู่ที่นี่ แสดงว่าเขามีจุดประสงค์แน่อยากรู้เหรอว่าเขามาที่นี่ทำไมอย่างนั้นเหรอ? เสียงภายในเอ่ยถามคำตอบฉันชัดเจนว่าไม่ ไม่อยากรู้เลย ไม่ว่าที่เขาต้องการจะเป็นอะไร มันไม่มีทางเป็นผลดีกับฉัน และที่แย่กว่านั้น และเป็นเรื่องแย่ไปมากว่าเดิมด้วยถ้าเขารู้ความลับที่ฉันปกปิดเอาไว้“รู้อะไรไหม? ฉันไม่สน คุณช่วยกลับไปที” ฉันยืดตัวขึ้นและตอบเขาเขามอง
“ไม่!” ฉันระเบิดคำปฏิเสธออกมา รู้สึกตื่นตระหนกพร้อมความรู้สึกเดือดดาลอยู่ภายในเขาจ้องมองฉันด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถบอกได้ วินาทีนั้นเอง ใบหน้าของเขาฉายเพียงความว่างเปล่าและความเย็นชาสุดใจเข้ามาแทนที่ฉันกลืนน้ำลายลงคอเมื่อรับรู้ถึงบรรยากาศที่อันตรายซึ่งเต็มไปทั่วห้อง นี่แหละคือเกเบรียลที่ฉันเคยชิน เกเบรียลที่ฉันรู้จัก ผู้ชายที่แข็งกระด้างและกลายเป็นคนอันตรายเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ“อย่างนั้นเหรอ? ไม่คิดจะฟังสิ่งที่ผมจะพูดเลยงั้นสิ? ไม่สนเลยเหรอว่าผมจะยื่นข้อเสนออะไรให้คุณ?” ตอนนี้เขาดูสงบ แต่ฉันรู้ว่านั่นมันแค่เปลือกนอก ใต้ชุดสูทและเนคไทคือสัตว์ร้ายแสนอันตรายเขาเหมือนฉลามที่พร้อมจะฉีกคุณเป็นชิ้น ๆ ก่อนที่คุณจะรู้ตัวว่ามันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าทำไมถึงตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา“ไม่” ฉันตอบซ้ำ “ฉันไม่อยากมีส่วนร่วมกับอะไรก็ตามที่คุณสนอมาทั้งนั้น” ฉันตอบด้วยความมั่นใจการทำข้อตกลงกับเกเบรียลก็เหมือนทำข้อตกลงกับปีศาจ และใครที่มีสติอยู่ครบจะยอมทำแบบนั้นล่ะ? ฉันอาจมีข้อเสียหลายอย่าง แต่ความโง่ไม่ใช่หนึ่งในนั้น ฉันชอบชีวิตของฉันตอนนี้ ที่ไม่มีเงาของเกเบรียลอยู่ในภาพมันคงเป็นเร
"หมายความว่ายังไง?" ฉันถาม มือของฉันสั่นไหวด้วยความเจ็บปวดรูปแบบใหม่ที่ซัดเข้ามาเขาค่อย ๆ เลิกไขว้ห้างและโน้มตัวไปข้างหน้า "ง่ายมาก ผมก็แค่เก็บบริษัทไว้และสร้างมันขึ้นมาใหม่ แน่นอนว่าเปลี่ยนชื่อและทำให้มันกลายเป็นภาพลักษณ์ของผมเอง ตอนนี้มันเป็นหนึ่งในบริษัทมากมายของผมน่ะ"ความโกรธและความเจ็บปวดพลุ่งพล่านในตัวฉัน ฉันควรจะรู้มาก่อนแล้ว ทำไมถึงประเมินความโหดร้ายของเขาต่ำเกินไป? เขารู้ว่าบริษัทนั้นมีความหมายกับฉันมากแค่ไหน มันเป็นสิ่งเดียวที่เหลือเชื่อมโยงฉันกับครอบครัว แต่เขากลับทำให้ฉันเชื่อว่ามันถูกทำลาย"ทำไม?" ฉันเอ่ยอย่างแผ่วเบา น้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นในดวงตา "ทำไมถึงไม่บอกฉัน? เก็บเอาไว้ทำไม?""ผมเก็บไว้เป็นค่าชดเชยที่ต้องแต่งงานกับคุณและเสียเวลาชีวิตไปสามปีน่ะสิ"นั่นแหละที่ทำให้ฉันระเบิด "ไอ้เลวนี่!" ฉันพุ่งเข้าไปหาเขาคำพูดเหมือนมีดที่แทงฉันเป็นชิ้น ๆ และการกระทำก็ทำลายฉันจนสิ้นสภาพ เขาเกลียดฉันมากขนาดนี้เลยเหรอ? ถึงกับเก็บสิ่งที่เขารู้ว่าฉันรักไว้ ทั้งที่มันไม่ใช่ของเขาอย่างนี้เลยเหรอ?"สินสอดที่เรามี คุณก็ไม่ยอมแบ่งอะไรมาให้เลย แต่กลับเก็บยูนิตี้ เวนเจอร์ไว้ คุณมันไอ้คนเห็นแก
เวร! ทำไมต้องเป็นฉัน? ทำไมต้องตอนนี้? ทำไมต้องวันนี้? โชคชะตาแสดงให้เห็นมาโดยตลอดว่ามันเกลียดฉัน แต่เรื่องนี้มันเกินไปแล้วนะ ทำไมมันถึงจงชังฉันขนาดนี้?ความจริง ณ ตอนนี้ ฉันกลัวที่จะเงยหน้าขึ้นมอง กลัวที่จะมองเกเบรียลกับลิลลี่ ฉันพยายามสงบหัวใจที่เต้นระรัวเหมือนมันจะหลุดออกมา แต่ไม่มีประโยชน์เลย ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะหัวใจวาย เหงื่อไหลซึมลงไปตามแผ่นหลังอย่างชัดเจนความโกรธที่ฉันมีต่อเกเบรียลหายไปแล้ว สิ่งที่แทนที่คือความกลัวบริสุทธิ์ที่ไม่มีเจือปน ตอนตื่นขึ้นมา ฉันไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้จะเจอกับอะไรแบบนี้ ว่าเกเบรียลจะโผล่มาที่บ้านฉันโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย และเขากับลิลลี่จะได้เจอกันในตอนแรก ฉันระมัดระวังเพราะรู้ว่าลิลลี่กำลังนอนพักอยู่เนื่องจากไม่สบาย แต่หลังจากที่เกเบรียลเปิดเผยเรื่องนั้น ฉันลืมไปหมดและระเบิดอารมณ์ออกมา นั่นเป็นความผิดของฉันเอง ฉันไม่มีใครให้โทษนอกจากตัวเอง"แม่คะ?" เสียงหวานใสดังขึ้นทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้น แม้ว่าฉันอยากหลีกเลี่ยงขนาดไหนก็ตามเมื่อมองหน้าลูกสาว ฉันก็ไม่สามารถพูดสิ่งใดออกมาได้เมื่อฉันไม่ตอบ ลิลลี่ก็หันไปหาเกเบรียลแทน "คุณเป็นใครคะ? แล้วทำไมถึงได้ทะเล
“พูดเล่นล่ะสิ” ฉันเอ่ยอย่างแผ่วเบา พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปอย่างที่บอก ฉันรู้จักเกเบรียลดี และฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่คำขู่ลอย ๆ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังต้องมีความมั่นใจอยู่บ้างเพราะนี่คือลิลลี่ที่เรากำลังพูดถึง เธอไม่ใช่แค่ลูกสาวของฉัน แต่เธอเป็นดั่งชีวิตด้วย ฉันจะไม่ยอมให้เขาเอาเธอไปได้ นั่นคงฆ่าฉันทั้งเป็น“ผมดูเหมือนกำลังล้อเล่นเหรอ?” เขาถามพร้อมกับจ้องฉันด้วยสายตารุนแรง “ผมบอกได้เลยว่าผมเอาจริง ฮาร์เปอร์”คุณเคยรู้สึกเหมือนโดนต่อยทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นไหม? นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึกในตอนนี้ มันเหมือนโดนการโจมตีล่องหนตรงกลางอก ฉันพยายามสูดลมหายใจผ่านความเจ็บปวด ฉันไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองพังทลายได้ในตอนนี้ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ฉันอยากทำที่สุดคือปล่อยตัวเองให้ร้องไห้และสาปแช่งเกเบรียลให้ตกนีกไปซะ“ทำแบบนี้ไปทำไม?” ฉันถาม ใกล้จะหลั่งน้ำตาเต็มที “คุณหย่ากับฉันและไล่ฉันออกมา เกเบรียล ฉันก็ออกมาแล้วเหมือนที่คุณต้องการ และไม่เคยไปรบกวนคุณอีกเลย ทำไมถึงไม่ทำเหมือนกันล่ะ? ทำไมคุณต้องมาทำให้ชีวิตฉันวุ่นวายด้วย?”ฉันไม่เข้าใจเลย ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ เกเบรียลเป็นเสือ
ฉันจำครั้งแรกที่ฉันเห็นคาลวินได้ เราอยู่ในช่วงมัธยมปลาย และเขาเพิ่งย้ายมาโรงเรียนเราในฐานะนักเรียนทุน ฉันเป็นประธานคณะต้อนรับ แน่นอนว่าฉันทำได้ทุกอย่าง และใครจะไม่อยากให้ฉันเป็นคนพาพวกเขาเดินชมรอบโรงเรียนในวันแรก? ใครจะไม่อยากเห็นหน้าฉันในวันแรกที่เริ่มเรียนโรงเรียนใหม่?ฉันไม่ได้อวดตัวหรืออะไรแบบนั้นหรอก แต่ฉันรู้ว่าฉันคือใครและมีคุณค่าขนาดไหน ฉันเป็นที่นิยม เป็นเชียร์ลีดเดอร์ และนักเรียนดีเด่น ฉันมีทุกอย่าง ทั้งความมั่งคั่ง ความงามและความฉลาด ที่สำคัญที่สุด ฉันยังเป็นคนที่ถ่อมตัว นั่นจึงทำให้คนส่วนใหญ่ชอบฉันแน่นอนว่าฉันก็มีคนที่เกลียดฉันเหมือนกัน เช่น เอวาและผู้หญิงคนอื่น ๆ เพราะฉันมีบางสิ่งที่พวกเธอไม่มีทางมีได้ นั่นก็คือโรแวนทุกคนต่างก็ต้องการเขา มันไม่ใช่ความลับเลย เช่นเดียวกับที่ผู้ชายเกือบทุกคนต่างต้องการฉัน ยกเว้นทราวิสและเกเบรียล เราเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ แม้ว่าเราจะยังไม่ได้เป็นแฟนกันตอนที่คาลวินเข้ามาเรียน แต่ฉันก็ไม่ได้กังวล มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะลงเอยด้วยกัน มันไม่ใช่คำถามว่าจะลงเอยหรือไม่แต่เป็นคำถามว่าเมื่อไหร่มากกว่ากลับมาที่คาลวิน ฉันจำได้ว่าฉันไ
เกเบรียลมันผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วตั้งแต่ผมได้เจอฮาร์เปอร์อีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ตามหาเธออีก แต่ชีวิตมันก็มีวิธีพลิกผันที่น่าสนใจเสมอตอนที่เราหย่ากัน ผมคิดว่า ‘ดีแล้ว’ ผมอยากให้เธอไปจากชีวิต และเมื่อโอกาสนั้นมาถึง ผมก็ไม่ลังเลเลย ผมมีความสุขที่ได้กำจัดเธอไป และไม่ต้องมองย้อนกลับมา ผมไม่สนใจว่าเธอจะเป็นยังไง จะไปไหนหรือทำอะไร ตั้งแต่วันนั้นที่เธอออกจากอะพาร์ตเมนต์ของผม เธอก็ไม่เคยอยู่ในหัวผมอีกเลย จนกระทั่งคณะกรรมการบริษัทเริ่มก่อความวุ่นวายมือผมกำแน่นเมื่อคิดถึงสิ่งที่ผมต้องทำเพราะพวกนั้น ไม่ใช่ว่าผมต้องการเงินหรืออะไรแบบนั้น จริง ๆ แล้ว ผมมีบริษัทของตัวเองด้วยซ้ำ แต่บริษัท วู้ด คอร์ปอเรชั่นเป็นมรดกของครอบครัว มีบางอย่างเกี่ยวกับการทำงานในบริษัทที่บรรพบุรุษของคุณสร้างขึ้นมาที่ให้ความภูมิใจและความสุขที่ประเมินค่าไม่ได้พวกคณะกรรมการรู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นพวกเขารู้ว่าจะโจมตีตรงไหน พวกเขารู้ดีว่าผมไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาเตะผมออกไปแน่ ๆ ดังนั้นผมจึงต้องยอม ซึ่งผมก็ทำและนั่นก็นำมาสู่ตอนนี้ ผมจ้องมองคนขับรถขณะที่เขาช่วยฮาร์เปอร์และลิลลี่ขนกระเป๋าขึ
เรียกฉันว่าคนขี้ขลาดก็ได้ ฉันไม่สน แต่ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรเมื่อฉันไปถึงห้องนั่งเล่น ฉันโทรสั่งอาหารเช้าให้มาส่งที่ห้องของเรา ก่อนจะนั่งลงรอฉันรู้ว่านี่จะเป็นหายนะตั้งแต่ตอนที่เกเบรียลบอกว่าเราจะใช้ห้องร่วมกัน ฉันคิดว่าหมอนจะช่วยได้ แต่ฉันแค่หลอกตัวเอง มันไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉันก็เดินไปเปิด"อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณผู้หญิง" พนักงานเสิร์ฟทักทาย พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า"อรุณสวัสดิ์ค่ะ""ให้ดิฉันวางตรงไหนดีคะ?" เธอถามขณะที่ฉันหลีกทางให้เธอเข้ามา"บนโต๊ะอาหารก็ได้ค่ะ" ฉันตอบเธอเธอพยักหน้าและเดินไปที่นั่น เธอเพิ่งวางอาหารเช้าลงและกำลังจะออกไป เกเบรียลก็เดินออกจากห้องนอนพร้อมมือที่กำลังติดกระดุมเสื้อฝีเท้าเธอเริ่มช้าลง และเธอเกือบจะสะดุดเมื่อมองเห็นเขา เกเบรียลเป็นผู้ชายที่ดูดีมาก ดังนั้นฉันจึงไม่โทษเธอหรอก"ขอบคุณค่ะ" ฉันพูดเมื่อรู้ว่าสายตาของเธอยังคงอยู่ที่เกเบรียล ขณะที่สายตาของชายหนุ่มก็อยู่ที่ฉันเสียงของฉันดึงเธอออกจากภวังค์ เธอพยักหน้าก่อนจากไป เมื่อเธอไปแล้ว ฉันก็ปิดประตูให้เรียบร้อย"แล้วยังไงดี คุณจะแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเก
ให้ตายเถอะ แค่คิดถึงคืนนั้นรวมถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ก็ทำให้ฉันรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัวแล้ว ฉันขยับตัวเล็กน้อย หวังว่าจะช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นและบรรเทาความปั่นป่วนในร่างกาย แต่มันกลับทำให้ทุกอย่างแย่ลง เพราะการขยับตัวทำให้ร่างกายแนบชิดกับเกเบรียลมากขึ้นกว่าเดิมเกเบรียลส่งเสียงครางต่ำ แหบพร่า และเร้าอารมณ์ เช่นเดียวกับที่เขาเคยเปล่งออกมาในคืนนั้น ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหว เสียงนั้นพุ่งตรงเข้าสู่ความรู้สึกของฉัน ทำให้ฉันหยุดพยายามจะขยับตัวให้สบายขึ้นฉันค่อย ๆ หันไปมองเขา หวังว่าเขาจะยังหลับอยู่ พอเห็นว่าเปลือกตาของเขายังคงปิดสนิท ฉันก็รู้สึกโล่งใจ แต่แล้วหัวใจก็เต้นแรงขึ้นเมื่อได้มองใบหน้าของเขาชัด ๆตอนหลับ เขาดูสงบและงดงามเหลือเกิน ขนตายาวทอดเงาบนแก้ม ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย เพียงแค่มองฉันก็เกิดความรู้สึกอยากสัมผัสเขา อยากแนบจูบลงไปบนริมฝีปากนั้นฉันกำลังจมดิ่งลงไปอีกครั้ง กับผู้ชายที่กุมหัวใจฉันไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน คนเดียวกับที่ตอนนี้กำลังขอในสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ฉันหลงใหลในตัวเขามาก จนกระทั่งฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนสายเกินไปเสียงครางหลุดออกจากริมฝีปากขอ
มื้อค่ำที่เหลือเป็นไปอย่างเงียบสงัด เขาก็ยังต้องขอโทษฉันอยู่แต่ฉันไม่รู้จะพูดอะไรดี ถ้าจะพูดตามตรง ฉันไม่เคยคิดว่าเกเบรียลจะมาขอโทษฉันเลย ดังนั้นการที่เขาทำแบบนั้นและทำด้วยความจริงใจแบบนี้ทำให้ฉันพูดไม่ออกจริง ๆเรารับประทานมื้อค่ำเสร็จและโทรเรียกพนักงานจากด้านล่างให้มาเก็บจาน"ฉันจะไปนอนแล้วนะ มีอะไรที่คุณอยากได้ก่อนหรือเปล่า?" ฉันถามเมื่อจานอาหารถูกเก็บไปและพนักงานจากโรงแรมก็ออกจากห้องไปแล้วลึก ๆ ในใจฉันกำลังตกใจและกังวลที่จะต้องนอนในห้องเดียวกับเกเบรียล แต่ความเหนื่อยจากการเดินทางก็ทำให้ความวิตกกังวลหายไป"ผมเองก็จะไปนอนเหมือนกัน เหนื่อยสุด ๆ เลย"ฉันพยายามกลั้นความตกใจที่เริ่มปะทุขึ้นมาในใจ ฉันคิดว่าจะนอนก่อนเขาเหมือนที่เคยทำ นั่นจะทำให้ฉันมีเวลาได้ผ่อนคลายและพักผ่อนก่อนที่เขาจะเข้ามานอน ฉันนึกไว้ว่าจะหลับไปแล้วก่อนที่เขาจะขึ้นมานอนฉันกัดฟันอย่างหงุดหงิดและเครียด ก่อนจะพยักหน้าหงุดหงิดแล้วเดินไปห้องนอน"คุณชอบนอนด้านไหน?" เขาถาม ขณะที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง"ฉันไม่ค่อยมีความชอบอะไรหรอก ขอแค่ได้นอน ด้านไหนก็เหมือนกัน"“รู้เรื่อง งั้นผมนอนฝั่งซ้ายนะ คุณก็ฝั่งขวาแล้
"อาบน้ำเสร็จแล้ว" ฉันบอกเกเบรียลเมื่อก้าวออกมาที่ห้องนั่งเล่น"ผมสั่งอาหารไว้แล้ว กินก่อน ไม่ต้องรอผมได้เลยนะครับ" เขาพูดก่อนเดินผ่านฉันเข้าไปในห้องนอนมันรู้สึกแปลกที่จะเริ่มรับประทานโดยที่ไม่มีเขาและฉันก็ไม่ได้หิวมากนัก ฉันเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีเมล และดูว่าวันพรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้างฉันไม่ต้องรอนาน เพราะไม่ถึงสิบนาทีต่อมา เกเบรียลก็เดินออกมาจากห้องนอนในเสื้อยืดเก่า ๆ และกางเกงวอร์ม“ยังไม่กินเหรอ?” เขาถามพลางเลิกคิ้ว สายตาจ้องมองอาหาร“ก็รู้สึกไม่ดีนี่นาที่กินก่อนคุณแบบนั้น แถมคุณเป็นคนสั่งอาหารมาด้วย”เขาทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนจะเริ่มเปิดจานอาหาร ฉันตักอาหารเล็กน้อยแล้วเริ่มรับประทาน ความเหนื่อยถาโถมเข้ามา แม้ว่าฉันจะได้นอนบนเครื่องบินแล้วก็ตาม ฉันไม่อาจหยุดคิดถึงเตียงได้ ตอนแรกฉันไม่ชอบใจนักเรื่องการนอนร่วมเตียงกับเกเบรียล แต่ตอนนี้ฉันกลับเอาแต่คิดถึงมันเสียแล้ว ร่างกายร้องหาเพียงการพักผ่อน“แล้วคุณล่ะ เคยตกหลุมรักใครไหม?” คำถามเกเบรียลทำเอาฉันประหม่าฉันหันขวับไปมองเขา เจอสายตาคมกริบที่จ้องตรงมา ฉันกลืนอาหารลงคอและให้ปากทำหน้าที่ ตอนนี้คงมีอยู่แค่สองทางเลือก ไม่โกหกออกไป ก็บอ
ไม่กี่นาทีต่อมา เรามายืนอยู่หน้าห้องสวีท ความรู้สึกตื่นเต้นแปลก ๆ จู่โจมฉันทันที เกเบรียลไขกุญแจและผลักประตูเข้าไปโถงทางเข้าต้อนรับเราด้วยพื้นหินอ่อนขัดมันที่เปล่งประกายอยู่ใต้แสงนุ่มนวลของโคมไฟระย้าสุดหรู เงาสะท้อนทอดเป็นลวดลายงดงามบนผนังห้องนั่งเล่นกว้างขวางปรากฎสู่สายตา ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สุดหรู และหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานที่เปิดมุมมองสู่ทัศนียภาพของเมืองที่ระยิบระยับราวกับทะเลดาวระบบความบันเทิงล้ำสมัยให้คำมั่นถึงค่ำคืนอันแสนอบอุ่น ขณะที่ครัวสไตล์กูร์เมต์ดึงดูดใจด้วยเครื่องใช้สแตนเลสเงาวาวและเคาน์เตอร์กลางขนาดใหญ่ที่เหมาะสำหรับการทำอาหาร ห้องรับประทานอาหารสุดเก๋ให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสังสรรค์เล็ก ๆ ที่เป็นกันเอง"ดูท่าทางคุณจะชอบนะ?" เกเบรียลแกล้งเย้าฉันทำได้แค่พยักหน้า อย่างที่บอกไปแล้ว เราเคยรวย และฉันก็เคยพักในโรงแรมดี ๆ มาก่อน แต่ที่นี่คืออีกระดับหนึ่ง มันเป็นนิยามของความหรูหราที่แท้จริงสายตาฉันยังคงกวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง แต่จู่ ๆ ฉันก็ชะงักเท้าเมื่อความจริงบางอย่างตีแสกหน้าเข้ามาเต็ม ๆ"เกเบรียล ห้องฉันอยู่ไหนคะ? ฉันเห็นแค่ห้องนอนเดียวเองนะ" ฉ
เครื่องบินลงจอดที่รันเวย์ มือของเกเบรียลจับตัวฉันไว้ไม่ให้กระดอนตอนเครื่องบินลงจอด“ไม่เป็นไรนะ?” เขาเอ่ยถามพลางสบตาฉัน“ค่ะ”หลังจากที่เกเบรียลเล่าเรื่องผู้หญิงที่เขาเคยตกหลุมรัก ก็ไม่มีเรื่องอะไรไปมากกว่านั้น บาดแผลนั้นยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ บาดแผลที่ฝังลึกลงไปข้างในฉันเห็นมันปรากฎอยู่ในดวงตาเขาอย่างชัดเจนขณะที่เล่าทุกอย่างให้ฟัง เขาไม่ต้องการพูดอะไรมากกว่านี้ เขาเพิ่งจะเปิดเผยความลับบางสิ่งเกี่ยวกับตัวเขาที่ใครคนอื่นไม่เคยรู้ แม้แต่พี่ชายฝาแฝดเขาก็ไม่เคยรู้ฉันไม่ได้บังคับให้เขาเล่าออกมามากกว่านั้น ฉันไม่ได้ขอให้เขาเล่าให้ฟังว่าหลังจากรับรู้ความจริงพวกนั้นมันเป็นอย่างไรต่อหรือเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น เขารู้สึกเปราะบาง และฉันก็เข้าใจด้วยว่าเขาต้องการเวลาเพื่อตั้งสติ ดังนั้นฉันจึงให้พื้นที่กับเขาฉันใช้เวลากว่าครึ่งอ่านหนังสือและอีกครึ่งในการนอนหลับพักผ่อน เขายังเอาใจใส่แม้ตอนที่นั่งห่างออกไป เขาถามว่าฉันนั่งสบายไหมหรือต้องการอะไรอีกหรือเปล่าอยู่เป็นระยะมือของเขาเอื้อมมาแตะหน้าท้องฉันจนดึงฉันออกจากภวังค์ ฉันมองลงไปพบว่าเขากำลังปลดเข็มขัดนิรภัยของฉันออก“คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันท
ก็เป็นความรักที่สวยงามไม่ใช่เหรอ? แต่ฉันรู้สึกได้ว่ามันต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้น บางสิ่งที่เปลี่ยนไป ถ้าทุกอย่างมันดีจริง ๆ ตอนนี้เขาก็คงเคียงคู่กับเธอคนนั้นไปแล้ว ไม่น่าจะมาแต่งงานกับฉันแบบนี้เสียงของเขาเริ่มแหบพร่าและเริ่มเล่าต่อ “ทุกสิ่งมันดีไปหมดเลย เธอเป็นผู้หญิงที่สุดยอดมากและผมก็รู้สึกว่าหลงรักเธอมากขึ้นทุกวัน แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้แนะนำเธอให้โรแวนรู้จัก เพราะผมอยากเก็บเธอไว้กับตัว ผมไม่ได้เจตนาจะคบหาแบบเงียบ ๆ แต่แค่อยากใช้เวลากับเธอมากกว่านี้ก่อนที่จะพบครอบครัวผม ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาผมนึกว่าตนเองโชคดีขนาดไหนที่ได้พบเจอคนอย่างเธอ อย่างที่คุณรู้ โลกของเรามันหาคู่รักที่เหมาะกันได้ง่ายเสียที่ไหนล่ะ ฮาร์เปอร์”และนั่นแหละก็เป็นสังคมของเรา มันยากมากเลยนะที่จะพบเจอคนที่รักเราจริง บางคู่ที่แต่งกันก็เป็นเพราะเรื่องของธุรกิจ และน้อยคนนักที่จะรักและเคารพจากใจจริง แล้วก็ยังมีพวกหวังรวยทางลัดอีก เป็นพวกที่แต่งงานกับคนรวย ๆ เท่านั้นและฉันว่านี่คงเกิดขึ้นบ่อยด้วย“ผมอยู่ในห้วงความรักเลยและคิดอะไรอย่างมีเหตุผลไม่ค่อยได้ เธอสามารถทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตนเองได้เพราะผมไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอ ไม่อยากให้เ
“ฮาร์เปอร์?” เสียงของเขาเรียกฉันกลับมาสู่ความเป็นจริง“โอ๊ะขอโทษที ฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อย” ฉันส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป “ค่ะ ฉันเก็บของเสร็จแล้ว”“ดีครับ งั้นไปกันเถอะ”หนึ่งชั่วโมงต่อมา เรานั่งอยู่ในเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของเกเบรียล ครั้งนี้ฉันเดินทางไปกับเขาเพื่อเซ็นสัญญาธุรกิจ“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม? ต้องการอะไรหรือเปล่า? ผมให้พนักงานต้อนรับเอาอะไรมาให้ได้นะ” กาเบรียลถามขึ้นทันทีที่เครื่องบินเริ่มออกตัวเข้าใจที่ฉันบอกแล้วใช่ไหม? เขาใส่ใจฉันมากเหลือเกินแต่ตอนที่เรายังแต่งงานกัน เขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ฉันคิดว่าเขาไม่เคยทำอะไรเพื่อทำให้ฉันมีความสุขเลย จริง ๆ แล้วมันตรงกันข้าม เขาไม่เคยสนใจว่าฉันต้องการอะไร หรือว่าฉันสบายดีไหม ไม่เคยสนใจแม้แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เขาแค่ไม่เคยสนใจฉันเลยแต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันสับสน มันเหมือนเขาเป็นยักษ์ในตะเกียงวิเศษที่คอยทำให้ความปราถนาของฉันเป็นจริง“ไม่ค่ะขอบคุณ ถ้าต้องการอะไร เดี๋ยวฉันจะบอกพนักงานเองได้ค่ะ” ฉันพึมพำตอบกลับเกเบรียลพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบแล็ปท็อปขึ้นมาเปิดฉันเอนตัวลงกับเบาะหน
“แม่ต้องไปจริง ๆ เหรอคะ?” ลิลลี่ถาม สายตามองสลับไปมาระหว่างฉันกับกระเป๋าเดินทางที่เปิดอยู่บนเตียงฉันไม่เคยชอบการเก็บกระเป๋าแบบเร่งรีบในนาทีสุดท้ายแบบนี้เลย แต่ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา งานที่ทำงานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาหายใจ พอกลับถึงบ้าน สิ่งเดียวที่ฉันคิดได้ก็คือการนอนหลับ ฉันเหนื่อยจนแทบยืนไม่ไหว ไม่มีแรงจะทำอะไรนอกจากกินแล้วก็นอน“ต้องไปจ้ะ” ฉันตอบเธออย่างอ่อนโยน “งานนี้สำคัญมากเลยลูก แล้วพ่อหนูต้องไปจัดการด้วยตัวเอง…”“แต่หนูยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหนูไปด้วยไม่ได้? หนูอยากเห็นว่าพ่อทำงานยังไง หนูอยากรู้ว่าพ่อจัดการเรื่องงานยังไงค่ะ”ฉันพับเสื้อผ้าชิ้นสุดท้าย ซึ่งเป็นเสื้อไหมสีฟ้า ก่อนจะวางมันลงไปในกระเป๋ากับของที่เหลือ พอทุกอย่างเรียบร้อย ฉันรูดซิปปิดแล้ววางกระเป๋าลงบนพื้น“ลูกก็รู้นี่ ว่าไปไม่ได้” ฉันตอบเธอขณะนั่งลงบนเตียง“ทำไมล่ะคะ?”“เพราะลูกยังเป็นเด็กไง ก็เลยไปไม่ได้ ถูกไหมคะ?”“หนูไม่ใช่เด็กนะคะ หนูจะสิบขวบแล้ว"ฉันกลอกตาให้กับคำโกหกที่ชัดเจน ก่อนจะดึงลิลลี่เข้ามากอดและหอมแก้มเนียนนุ่มของเธอเบา ๆ“หนูก็รู้ดีนะว่าเพิ่งแปดขวบ อีกนานเลยกว่าสิบขวบนะลิลลี่… แล้วอีกอย่าง เด็ก ๆ