ฉันยังคงสับสนกับทุกสิ่งที่โรแวนบอกมา ทุกคำพูดของเขามันฟังดูมีเหตุผล แต่มันก็ไม่ช่วยให้ฉันแน่ใจได้เลยว่าฉันจะเชื่อใจเขาได้หรือเปล่าจิตใจฉันวุ่นวายตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่รู้ว่าควรเชื่อเขาหรือไม่ ฉันเข้าใจว่าเขามีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการปล่อยวางสิ่งที่เขาและเอมม่าเคยวาดฝันไว้สำหรับอนาคต ฉันเข้าใจว่าเขาต้องลำบากในการปล่อยวางความรักที่เขาคิดว่าจะเป็นรักนิรันดร์ พระเจ้า! ถ้าฉันเป็นเขา ฉันก็คงจะสับสนกับความรู้สึกของตัวเองเหมือนกัน แต่ฉันล่ะ?แล้วสิ่งที่ฉันต้องเผชิญจากการกระทำของเขาล่ะ? แล้วความเจ็บปวดที่ฉันอดทนและยังคงต่อสู้กับมันอยู่ทุกวันนี้ล่ะ? ฉันรักโรแวน ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรรัก และฉันคิดว่าในวินาทีที่ฉันรู้ว่าฉันรักเขา ฉันควรจะปล่อยมือฉันต้องการอนาคตกับเขา แต่ฉันจะต่อสู้กับความทรงจำเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เขาเคยทำร้ายฉันได้อย่างไร? ฉันสามารถให้อภัยได้ แต่ฉันไม่แน่ใจเลยว่าฉันจะลืมได้หรือเปล่า และนั่นแหละคือปัญหา ฉันเชื่อว่าความเจ็บปวดในอดีตและความทรงจำเหล่านั้นจะดึงเรากลับไปทุกครั้งที่เราพยายามก้าวไปข้างหน้า"ถึงแล้วครับ คุณผู้หญิง" มอริส คนขับรถและคนคุ้มกันพูดขัดจังหวะความคิดฉันมองออกไปข้างน
“หนูคุยกับพวกเราได้ทุกเรื่องนะถ้ามีอะไรที่รบกวนใจ พวกเราพร้อมฟังนะลูก” ธีโอพูดเสริมขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยปาก “เรื่องโรแวนค่ะ”โนราหันไปทำเสียงปลอบโยนไอริส ก่อนจะหันมามองฉัน “ก็พอจะเดาได้อยู่แล้วล่ะ”“พ่อแม่คิดยังไงกับเขาเหรอคะ? เขาทำให้หนูเจ็บปวดก็จริง แต่หนูก็เห็นว่าเขาเปลี่ยนไปบ้าง ปัญหาคือหนูไม่รู้ว่าควรให้อภัยเขาแล้วเดินหน้าต่อไปดีไหม เราคุยกันแล้ว และเขาพูดบางอย่างออกมา...บางอย่างที่หนูไม่แน่ใจว่าควรยอมรับหรือเปล่า” ฉันพูดออกไปตามที่คิดในหัว แม้จะไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันฟังดูมีเหตุผลหรือเปล่าทั้งสองคนมองหน้ากัน ก่อนจะหันมามองฉัน ธีโอเป็นคนพูดก่อน“ต้องพูดตามตรงนะลูก พ่อไม่ชอบโรแวน ไม่ชอบเพราะว่าเขาทำเรื่องขนาดนั้นกับลูก พ่ออยากจะฝังเขาไว้ที่ไหนสักแห่งที่ไม่มีใครหาเจอด้วยซ้ำ แต่ที่พูดนี่มันมาจากความโกรธ ความขมขื่นที่ลูกต้องเจอกับสิ่งที่เขาทำ” เขาเริ่มพูด และฉันเอนตัวไปข้างหน้า อยากฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อบางทีฉันอาจจะได้มุมมองใหม่ หรือแสงสว่างที่ปลายทาง อะไรก็ตามที่จะช่วยชี้ทางให้ฉัน“แต่ถึงอย่างนั้น พ่อก็เห็นเขาในตอนที่ลูกนอนอยู่โรงพ
ฉันอยู่ที่บ้านพ่อแม่ต่ออีกสักพัก ไอริสกำลังเพลิดเพลินกับความรักและความเอาใจใส่จากตายายของเธอ เด็กตัวเล็ก ๆ คนนี้รักการถูกสนใจเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าความสนใจนั้นมาในรูปแบบของการหอมพุงฉันมองดูเธอแล้วนึกอยากให้ชีวิตตัวเองง่ายดายแบบนั้นบ้าง ฉันเคยเป็นคนเดียวหรือเปล่าที่ใฝ่ฝันอยากมีชีวิตแบบเด็ก ๆ ? พวกเขาไม่มีเรื่องให้กังวลใด ๆ นอกจากเรื่องอาหารและผ้าอ้อมที่เลอะเทอะ ความไร้เดียงสาของพวกเขาเหมือนยาชโลมใจให้กับวิญญาณที่เหนื่อยล้าและทุกข์ตรมแต่แล้วพวกเขาก็เติบโตขึ้น ชีวิตก็พัดพาความบริสุทธิ์นั้นไป และพวกเขาก็กลายเป็นคนเฉยชา ถ้าฉันสามารถปกป้องลูกทั้งสองคนของฉันจากสิ่งที่เรียกว่าความรักนี้ได้ ฉันคงจะทำ แต่ฉันก็รู้ดีว่าในที่สุดฉันทำไม่ได้ เพราะพวกเขามีโชคชะตาของตัวเองที่ต้องเดิน ไม่ว่าจะเต็มไปด้วยความสุข ความทุกข์ หรือทั้งสองอย่างฉันยังคงมองดูตายายทั้งสองเล่นกับลูกสาวตัวน้อยบนพื้นหญ้า นอร่ากำลังอุ้มไอริสที่หัวเราะอย่างร่าเริง คุณอยากรู้ไหมว่าเธอหัวเราะอะไร? คำตอบคือเธอคิดว่ามันตลกเหลือเกินที่เห็นธีโอกลิ้งไปมาอยู่บนหญ้าฉันเข้าใจเธอนะ ถ้าฉันอารมณ์ดีขึ้นก็คงขำเหมือนกัน ใครจะคิดว่
“ลีลา!” เล็ตตี้แผดเสียงจนแทบลุกจากเก้าอี้ “บอกทุกอย่างให้หมดนะยัยคนนี้ อย่าปล่อยให้ค้างคาแบบนี้สิ”ฉันไม่ได้สนใจเรื่องนี้มาก่อน แต่คำพูดของเธอก็ทำให้ฉันสนใจขึ้นมาจนได้ ฉันไม่คิดว่าเธอจะทำจริง ๆ แต่ดูเหมือนว่าฉันจะคิดผิด แม้กระทั่งตอนที่เธอบอกว่าจะทำเพียงเพื่อยั่วพ่อของเธอ ฉันก็ยังไม่คิดว่าเธอเอาจริง“เขามาหาฉันอีกครั้ง ฉันก็ให้เขาเข้ามา แล้วเขาก็จัดการฉันจนแทบจะระเบิด” โครินยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ชัดเจนว่าเธอยังคงล่องลอยอยู่ในโลกของตัวเอง“จริงเหรอ? แค่นี้เองที่เธอจะบอกเรา” เล็ตตี้ดูไม่พอใจอย่างมาก “ฉันอยากรู้ทุกอย่างไม่ว่าจะ ขนาด ท่าไหนที่เขาใช้ เขาอึดได้นานแค่ไหน แล้วเธอถึงเสร็จไปกี่รอบ?”ฉันหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางของเล็ตตี้ เธอดูเหมือนจะตายหากไม่ได้คำตอบ ทุกคนต่างนั่งกันที่ขอบเก้าอี้ เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ฉันกลั้นขำไม่อยู่แล้วหัวเราะออกมาเต็มเสียง ท่าทางของเล็ตตี้มันช่างตลกเสียเหลือเกิน“อะไรล่ะ?” เธอถามพลางหันมามองฉันด้วยความสงสัย ราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงหัวเราะฉันหัวเราะหนักขึ้น “ เธอนั่นแหละ ทำไมถึงอยากรู้เรื่องบนเตียงของโครินมากขนาดนั้น อยากจะมีส่วนร่วมเองหรือไง
โรแวนให้ตายสิ ผมเกลียดความรู้สึกนี้! เกลียดความตึงเครียดและความไม่สบายใจระหว่างผมกับเอวา เกลียดทุกครั้งที่เราเดินสวนกัน แล้วเธอมองมาที่ผมเหมือนไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีผ่านมาหลายวันแล้วตั้งแต่เช้าวันนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างระหว่างเราจะดีขึ้นหลังจากที่ผมอธิบายทุกอย่าง แต่ผมคิดผิดถนัด มันกลับตรงกันข้าม พอผมบอกความจริงทั้งหมดกับเธอ ทุกอย่างก็พังลงราวกับพายุซัดผมย้ายกลับมาอยู่บ้าน และทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม อย่าเข้าใจผิดนะ เธอไม่ได้กลายเป็นผู้หญิงที่โกรธจัดหรืออะไรแบบนั้น แต่ผมกลับรู้สึกว่า ผมอยากให้เธอแสดงอารมณ์โกรธใส่ผมมากกว่าท่าทางเย็นชาสุภาพที่เธอแสดงออกมาแบบนี้ความกลัวที่จะสูญเสียเธอรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วัน ผมอดไม่ได้ที่จะคิดว่า เมื่อเธอจำเรื่องราวทุกอย่างได้ แล้วพบว่าเราหย่ากัน รวมถึงการที่ผมโกหกเธอ อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ความกลัวนั้นเหมือนกำมือบีบหัวใจผมจนแทบหายใจไม่ออก ผมไม่อยากสูญเสียเธอไป และผมกลัวว่าเมื่อความจริงปรากฏ สิ่งนั้นอาจจะเกิดขึ้นผมลุกขึ้นเพราะทนอยู่เฉยไม่ไหวและเริ่มเดินไปมาในห้องทำงานที่บ้าน ห้องนี้กลายเป็นสถานที่ที่ผมใช้เวลาอยู่มากที่สุด ผมนอนไม่ค่อยหลับ คิดแต่เร
เอวาฉันรู้สึกอ่อนล้าและหมดแรงเต็มที อย่าเข้าใจฉันผิดเลย ฉันรักโนอา แต่ฉันก็อดรอให้ปาร์ตี้จบลงไม่ได้ เพื่อที่ฉันจะได้พักเสียที ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความวุ่นวายจากการเตรียมงานปาร์ตี้ ถึงมันจะช่วยเบี่ยงเบนความคิดของฉันไปได้บ้าง แต่มันก็ไม่ได้มากนักฉันยังคงสับสนวุ่นวายเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำ ทุกครั้งที่มองเขา ฉันอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่าฉันควรให้โอกาสเขาหรือไม่ ฉันรักเขา แต่ฉันไม่มั่นใจเลยว่าฉันจะรักษาบาดแผลในใจและปล่อยวางจากสิ่งที่เขาเคยทำกับฉันได้ไหมฉันสลัดความคิดนั้นทิ้ง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความถึงเคทบอกว่าสามารถพาเอมม่ามาได้ ทราวิสคงมาด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับพ่อแม่ของโรแวนและเคท พวกเขาไม่เคยพลาดวันเกิดของโนอาเลยสักครั้ง มันคงเป็นการเสียมารยาทถ้าฉันจะไม่เชิญพวกเขามาเพียงเพราะปัญหาของฉันกับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น โนอาก็อยากให้พวกเขามาไม่นานเธอก็ตอบกลับมาทันที บอกว่าจะมาถึงในอีกประมาณสามสิบนาที ฉันรู้ว่ามันอาจดูเด็กน้อยไปหน่อย แต่ฉันอยากทดสอบโรแวน ฉันอยากรู้ว่ายังมีความรู้สึกค้างคาอะไรระหว่างเขากับเอมม่าอยู่หรือเปล่า"แม่ครับ!" โนอาตะโกนเรียกฉันเสียงดังลั่นจนทำให้ฉ
เธอไม่ปล่อยให้พวกเขามีโอกาสตอบอะไรเลย แม่อุ้มไอริสจากอ้อมแขนของโรแวนอย่างเบามือ แล้วคว้ามือฉันก่อนจะดึงตัวฉันออกมาจากสองหนุ่มที่ยืนอึดอัดอยู่ด้วยกันเราทั้งคู่เงียบขณะที่เดินขึ้นไปยังห้องของไอริส เมื่อมาถึงแม่ค่อย ๆ วางไอริสลงในเปลอย่างอ่อนโยน หลังจากจัดแจงให้เธอหลับสนิทแล้ว แม่ก็จับมือฉันก่อนพาไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้หน้าต่าง"บอกแม่หน่อยสิ ลูกตัดสินใจเรื่องโรแวนได้หรือยัง?" แม่ถามพลางบีบมือฉันเบา ๆฉันหันไปมองหน้าแม่ก่อนจะส่ายหัว “ยังเลยค่ะ หนูยังไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น”"แม่คิดเรื่องนี้อยู่ และแม่ว่า ลูกควรเริ่มไปบำบัดนะ เล็ตตี้เคยบอกแม่ว่า ลูกเคยเริ่มไปบำบัดแล้วแต่หยุดไปด้วยเหตุผลที่เข้าใจได้ แต่แม่ว่าลูกควรกลับไปเริ่มใหม่อีกครั้ง” แม่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลูกผ่านอะไรมาเยอะ การปล่อยวางมันย่อมไม่ง่าย ลูกต้องการความช่วยเหลือ ต้องมีใครสักคนที่ช่วยนำทางลูกให้ก้าวผ่านการเยียวยาได้”ฉันพยายามจะพูดแทรก แต่แม่ยกมือห้าม“แม่เข้าใจนะลูก แต่ลูกต้องการสิ่งนี้ ไม่ว่าลูกจะเลือกอยู่กับโรแวนหรือไม่ ลูกก็ยังต้องการบำบัดอยู่ดี การคิดว่าลูกจะเยียวยาตัวเองได้โดยไม่ทำอะไรเลยมันไม่ได้ผล การนั่งเฉย ๆ โด
ฉันยังคงจ้องมองเอมม่าอย่างตกตะลึง ราวกับหัวใจหยุดเต้นชั่วขณะ เมื่อเคทบอกว่าเธออยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ ฉันไม่เคยคาดคิดว่าจะเลวร้ายถึงเพียงนี้เธอดูไม่เหมือนตัวเองในอดีตเลยแม้แต่น้อย แม้จะพยายามแต่งตัวให้ดูดี หรืออาจเป็นเพราะเคทพยายามบังคับให้เธอทำเช่นนั้น แต่ถึงจะใส่กางเกงยีนส์สีดำ เสื้อครอปสีน้ำเงินเข้มและรองเท้าส้นเตารีดที่ดูเข้ากัน มันก็ไม่ช่วยอะไรเลยใบหน้าของเธอขาวซีด ผมบลอนด์งดงามที่เคยเงางามบัดนี้มันกลับมันเยิ้มและดูบางลง โหนกแก้มที่เห็นชัดเจนไม่ได้ดูสง่างาม กลับทำให้เธอดูซูบผอมราวกับน้ำหนักหายไปมากมาย“ตายจริง” แม่กระซิบเบา ๆ อยู่ข้างฉันเราก้าวไปข้างหน้าอย่างลังเล ฉันไม่แน่ใจเลยว่าจะทำอย่างไรดี ไม่รู้ว่าควรทักทายพวกเขา หรือหลีกเลี่ยงเสียเลยแม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน เธอจูงฉันไปหาเอมม่าและเคท เมื่อพวกเขาหันมามองเรา“ยินดีต้อนรับค่ะ” ฉันเอ่ยเสียงเบาและรู้สึกเก้อเขินจนแทบอยากหลบสายตาเคทยิ้มตอบฉัน แต่เมื่อสายตาของเธอเห็นมือของแม่ที่โอบเอวฉันไว้ ความสุขบนใบหน้าของเธอก็จางหายไปเล็กน้อย“ขอบคุณจ้ะ” เธอตอบกลับเสียงนุ่มนวลพอ ๆ กับฉันเมื่อครู่นี้สายตาของฉันกลับไปจับจ้องเอมม่าอีกครั้ง แ
“ตัดสินใจแล้วค่ะ ตอนนี้เซียร่ากับหนูเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว” ลิลลี่พูดขึ้นขณะเดินเข้ามาในครัวที่ฉันนั่งดื่มกาแฟอยู่ในตอนที่พ่อครัวกำลังเตรียมอาหารเช้าวันนี้เป็นวันเสาร์ วันหยุดของฉันและเธอก็ไม่มีเรียน วันนี้เราสามารถพักผ่อน นอนเล่น และผ่อนคลายได้ หลังจากที่ต้องเจอความยุ่งวุ่นวายจากการทำงานมาตลอดสัปดาห์ ฉันต้องการเวลาพักผ่อนจริง ๆ“ชอบเธอขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฉันจิบกาแฟพลางพยายามซ่อนยิ้ม“แน่นอนค่ะ” เธอปีนขึ้นนั่งบนเก้าอี้บาร์ก่อนหยิบกล้วยขึ้นมาลูกหนึ่ง “พวกเรามีอะไรเหมือนกันเยอะเลย เธอชอบการผจญภัยแล้วก็อ่านหนังสือเหมือนหนูเลยค่ะ”ตอนที่ลิลลี่เล่าเรื่องเซียร่าให้ฟังครั้งแรก ฉันไม่เคยคิดเลยว่าพวกเธอจะกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ฉันควรจะมองเห็นสัญญาณนี้ตั้งแต่ที่ลิลลี่พูดถึงเธอทุกวันตอนมื้อเย็นลูกรักของฉันไม่เคยมีเพื่อนสนิทมาก่อน อย่างที่บอกไปว่าเธอค่อนข้างหลีกเลี่ยงการสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเด็กคนอื่น ๆ ที่โรงเรียนเก่าฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะเธอสนใจการเรียนมากกว่าการเล่น หรือเพราะเธอไม่รู้สึกสนิทใจกับคนอื่น หรือเธอคิดว่าตนเองโตเกินไปและเด็กคนอื่นยังดูไร้เดียงสาเกินไปสำหรับเธอ ไ
น้ำเสียงของเขาไม่เปิดช่องว่างให้มีการโต้เถียงได้ สิ่งเดียวที่คุณสามารถเลือกได้มีเพียงทำตามเท่านั้น“ค่ะ คุณวู้ด” เธอพูดอย่างติดขัดด้วยความกลัวที่สลักอยู่บนใบหน้าเพราะคำข่มขู่นั้น“ตอนนี้ก็เชิญกลับไปทำงานของคุณได้แล้ว เราไม่ได้จ่ายเงินให้คุณมาทำงานเพื่อหาเพื่อนแล้วจะได้เป็นที่ชื่นชอบอะไรทั้งนั้น”หน้าเธอแดงก่ำเพราะความอับอายก่อนเธอจะหันหลังรีบซอยเท้าออกไปอย่างไว ส่วนที่ผู้คนที่เหลือก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นว่าเธอโดนด่าซ้ำเมื่อเรื่องจบ เขาก็ผายมือให้ฉันเข้าไปในลิฟต์ เมื่อประตูปิดลง ฉันก็หันไปหาเขา“คุณกับน้องชายนี่หากอยากทำตัวน่ากลัวก็ร้ายไม่เบานะคะ” ฉันเอ่ยกับโรแวนอย่างตรงไปตรงมาฉันได้ยินเรื่องของทั้งสองมาก่อน เรื่องของคู่หูพี่น้องวู้ด เมื่อก่อนนั้นแม้แต่พ่อแม่ของฉันยังหวาดหวั่นเลย ตอนนั้นอายุทั้งสองยังไม่ยี่สิบสามเลยด้วยซ้ำ พวกเขาสามารถกดข่มได้ทุกคน ใครก็ตามที่กล้ากระดุกหนวดเสือ ผู้นั้นย่อมไม่มีวันได้ใช้ชีวิตเป็นสุข อย่างที่เอวากับฉันก็นับได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีว่าชีวิตจะโดนพวกเขาทำลายได้อย่างไรบ้างเขายักไหล่ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย “มันก็เป็นเรื่องของปลาใหญ่กินปลาเล็กล่ะนะ
“ช่วยอะไรหน่อย” คริสโตเฟอร์ตอบ “ช่วยไปเก็บรายงานประจำสัปดาห์จากแต่ละแผนกหน่อยได้ไหม? เพราะเรื่องวุ่นวายเมื่อวานทำให้ผมไม่ได้จัดการเรื่องนี้เลย”“ได้เลย ไม่มีปัญหาค่ะ ขอเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องทำงานก่อน แล้วฉันจะไปจัดการให้”หลังจากเขาพยักหน้า ฉันก็เดินตรงไปที่ห้องทำงาน รีบวางของให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปที่แผนกอื่น ๆเมื่อฉันไปถึงแผนกแรก บรรยากาศตึงเครียดทันทีที่ฉันก้าวเข้าไป ทุกคน และฉันหมายถึงทุกคนจริง ๆ หันมามองฉันเป็นตาเดียว ฉันเกลียดความสนใจแบบนี้และอยากให้พวกเขาสนใจงานของตัวเองแทน ฉันพยายามเมินเฉยและจัดการสิ่งที่ฉันต้องทำให้เสร็จ ก่อนจะรีบออกมาฉันไม่เคยมีโอกาสได้สร้างมิตรภาพกับใคร เพราะมิลลี่เคยปล่อยข่าวลือว่าฉันเป็นผู้หญิงไร้ยางอายที่นอนกับเกเบรียล แค่นั้นก็เพียงพอให้คนอื่นตัดสินและตีตัวออกห่างจากฉันฉันถอนหายใจโล่งอกเมื่อมาถึงแผนกสุดท้าย บางคนยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจ เพราะตอนนี้ข่าวเรื่องฉันกับเกเบรียลแพร่ออกไปแล้ว พวกเขาเลยพยายามทำดีด้วย ฉันรู้ดีว่ามีคนที่เข้าหาคุณเพียงเพราะหวังจะได้ประโยชน์จากคุณ“ไง ฮาร์เปอร์” เสียงของรีเบคก้า หนึ่งในลิ่วล้อของมิลลี่ดังข
ฮาร์เปอร์เช้าวันรุ่งขึ้น เกเบรียลไม่อยู่ให้เห็นเลยตอนที่ฉันทานอาหารเช้าและเตรียมตัวออกไปทำงาน จนกระทั่งตอนที่ขึ้นรถและถามคนขับว่าเกเบรียลอยู่ที่ไหน ถึงได้รู้ว่าเขาออกไปทำงานก่อนแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เราต่างคนต่างไปทำงานตั้งแต่ฉันเริ่มทำงานให้เขา ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่ารู้สึกโล่งใจหรือไม่ในเมื่อเขาไม่อยู่ ฉันเลยตัดสินใจไปส่งลิลลี่ที่โรงเรียนก่อน ความตื่นเต้นของเธอยังไม่จางหาย ตลอดทางเธอพูดถึงแต่เซียร่า ฉันรู้จักลูกสาวของตัวเองดี และรู้ว่าเธอไม่เคยตื่นเต้นหรือมีความสุขกับเด็กผู้หญิงคนไหนมาก่อนแบบนี้แน่นอนว่าเธอมีเพื่อนที่บ้านเก่าที่เราเคยอยู่ แต่ก็ไม่มีใครที่เธอพูดถึงมากขนาดนี้ ฉันคิดว่าเด็กพวกนั้นน่าจะเป็นแค่คนรู้จักมากกว่าเพื่อนของลูกสาวฉันเธอไม่เคยชวนใครมาค้างบ้าน และถ้าใครเชิญเธอไป เธอก็มักจะหาข้ออ้างว่าไปไม่ได้ เธอไม่เคยพูดถึงเพื่อนพวกนั้นมากมายเหมือนที่พูดถึงซีเอร์รา ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่วันเดียวแต่ไม่ว่าอะไรที่ทำให้เธอมีความสุข ฉันก็มีความสุขด้วย ถ้าเซียร่าทำให้ลิลลี่กลายเป็นเด็กหญิงที่กรี๊ดกร๊าดและหัวเราะคิกคักได้ แล้วฉันจะมีเหตุผลอะไรไปขัดขวาง?ครั้งแรกเลยที่ฉ
เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะไม่สนใจพวกเขา ผมลุกขึ้นอีกครั้ง คว้าเสื้อโค้ทแล้วออกจากห้องทำงาน ผมรู้ดีว่าคงไม่มีสมาธิทำงานได้ แล้วจะเสียเวลาไปทำไมกันล่ะ?ผมส่งข้อความหาคนขับรถเพื่อให้เตรียมรถไว้ก่อนจะก้าวขึ้นลิฟต์ ไม่กี่นาทีต่อมา ผมก็อยู่ในลานจอดรถใต้ดิน“คุณวู้ดครับ” เขาก้มศีรษะเล็กน้อยขณะเปิดประตูรถให้ผมผมพยักหน้ารับก่อนจะเข้าไปในรถ เขาก็ขึ้นรถและเริ่มขับออกไปผมตัดสินใจเปิดดูข่าวซุบซิบต่าง ๆ เป็นการฆ่าเวลาเกเบรียล วู้ดเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ประกาศลั่นอย่างเป็นทางการ ข่าวจากวงในวู้ด คอร์เปอร์เรชั่นเกเบรียล วู้ด หนุ่มเนื้อหอมตัวท๊อปของเมืองสละโสดขวัญใจมหาชน เกเบรียล วู้ดลั่นระฆังวิวาห์ปิดประมูลความโสดของหนุ่มฮอต เกเบรียล วู้ดสาวคนไหนกันที่เกเบรียล วู้ด สวมแหวนแต่งงานให้กันนะ?เรื่องแล้วเรื่องเล่า บทความพวกนี้มีแต่เรื่องไร้สาระ บางอันก็ดูโง่เง่า บางอันก็มีส่วนจริงอยู่บ้างเมื่อเดินทางถึงบ้าน ผมปิดโทรศัพท์ก่อนลงจากรถ หลังจากกล่าวลาคนขับแล้ว ผมก็เดินตรงไปยังบ้านของตัวเองผมแปลกใจที่เจอฮาร์เปอร์นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น“กลับมาบ้านได้สักทีนะคะ” เธอพูดอย่างเหม่อลอย “เห็นข่าวซุบซิบพว
เกเบรียลผมนั่งมองเอกสารตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า อารมณ์ยังคงเดือดพล่าน โกรธจัด โกรธจนแทบบ้า มิลลี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงได้กล้าพูดจาหยาบคายใส่ฮาร์เปอร์แบบนั้น?เพราะสมาธิที่เตลิดไปจนหมด ผมลุกขึ้นยืนและเริ่มเดินวนไปมา สมองผมทำงานเร็วราวกับกำลังวิ่งไปด้วยความเร็วพันไมล์ต่อวินาที ผมพยายามคิดหาวิธีที่แตกต่างไปซึ่งจะทำให้ชีวิตของมิลลี่เป็นนรกบนดินนายโกรธอะไรนักหนา? ตอนที่แต่งงานกับฮาร์เปอร์เมื่อหลายปีก่อน นายเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ามิลลี่เลยเสียงในหัวเยาะหยันผม แต่ผมไม่อยากฟัง เพราะมันพูดถูกจนน่าหงุดหงิด ตอนนั้นผมไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของเธอเลย ผมทำให้เธอเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วอะไรล่ะที่เปลี่ยนไป?ตอนที่ผมลากฮาร์เปอร์มายืนกลางห้องและขู่ทุกคนที่กล้าทำร้ายเธอ ผมเห็นความตกใจและประหลาดใจในดวงตาเธอตอนอยู่ในห้องทำงานของผม เธอมองผมเหมือนกับว่าไม่รู้จักผมอีกต่อไป เหมือนเธอไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงเลือกอยู่ข้างเธอ มันชัดเจนว่าเธอคิดไม่ออกว่าจะคิดกับผมหรือการกระทำของผมอย่างไรผมยกมือลูบหน้าพร้อมถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ผมจะโทษเธอได้อย่างไรล่ะกับปฏิกิริยานั้น ในเมื่ออดีตผมเคยปฏิบัติกับเธออย่างเลว
จากนั้น เขาจับมือฉันพาเดินออกจากห้องไป ก่อนที่ประตูจะปิด ฉันมองเห็นความหวาดกลัวในตาของมิลลี่ ความกลัวนั้นบอกทุกอย่างที่ฉันต้องการรู้ และแน่นอนว่าผลการสอบสวนของเธอคงไม่พูดถึงเธอในทางดีแน่เราขึ้นลิฟต์ไปเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไร จนเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เกเบรียลพาฉันไปที่ห้องทำงานของเขา"คุณเป็นอะไรไหม?" เขาถามเมื่อเราเข้าไปในห้อง "ผมส่งเรื่องให้ทีมสื่อข่าวสารประกาศเรื่องการแต่งงานของเราแล้ว ผมอยากลงไปหาเพื่อบอกคุณเรื่องนี้ แต่กลับไม่เจอคุณที่ห้องทำงานตัวเอง ผมก็เลยได้เห็นฉากน่ารังเกียจนั้นกับตา"ฉันดึงมือออกจากมือของเขาแล้วจ้องมองกลับไป "ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องห่วง""แน่ใจนะ?""แน่ใจค่ะ"เรานั่งอยู่ในความเงียบงันสักพัก ฉันเห็นว่าเขาคงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนมีบางอย่างที่ยับยั้งเขาเอาไว้ สายตาที่เขาจ้องมาทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันคงกลับบ้านก่อนนะคะ ฉันรู้สึกกังวลมาตลอดทั้งวันเพราะเรื่องลิลลี่" ฉันพูดเบา ๆ ไม่กล้ามองตาเขา"ได้ งานเสร็จเมื่อไหร่ ผมก็จะกลับบ้านเลยเหมือนกัน"ฉันพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป ไม่ใช่ว่าฉันไม่ขอบคุณในสิ่งที่เขาทำให้ แต่การกระทำของเข
"ภรรยาเหรอ?" มิลลี่ทวนคำพูดราวกับว่าเธอไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้"ผมพูดไม่ชัดหรือไง?" เกเบรียลถามเสียงเรียบแต่แฝงความคมกริบทั้งห้องเงียบกริบทันที คนที่เคยพึมพำและชี้นิ้วมาที่ฉันตอนนี้ต่างก้มหน้าลงไม่กล้ามองขึ้นมาฉันไม่ได้ต้องการให้เกเบรียลมาสู้แทนฉันเลย ฉันไม่ใช่ผู้หญิงขี้กลัวและไม่มีความมั่นใจเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ฉันเปลี่ยนไปมาก แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าฉันชอบที่เขาออกมาปกป้องฉันมิลลี่ตัวสั่นเทิ้ม เธอทั้งตัวแข็งทื่อและความกลัวปรากฏชัดบนใบหน้า นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ฉันทำงานที่นี่ที่เธอไม่ได้ดูเหมือนผู้หญิงเย่อหยิ่งที่ฉันคุ้นเคยด้วยท่าทางของเธอ คุณอาจคิดว่าเธอเป็นเจ้าของบริษัทนี้ เธอชอบสั่งคนอื่น ทั้งหยาบคายและร้ายกาจ โดยเฉพาะกับผู้หญิง เธอปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนพวกเขาต่ำต้อยกว่าฉันแทบไม่เคยลงไปที่ชั้นอื่น ๆ แต่ถ้าฉันจำเป็นต้องไป มิลลี่จะอยู่ที่นั่นเสมอเพื่อพูดจาไร้สาระและปฏิบัติต่อฉันเหมือนขยะ"ดิฉันขอโทษค่ะเกเบรียล ดิฉันไม่ทราบว่าเธอเป็นภรรยาของคุณ" เธอกระซิบ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยการขอร้องความกดดันรอบตัวเกเบรียลยิ่งหนักขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก ผู้ห
ฉันเพิ่งจะก้าวลงจากรถ แต่ทันใดนั้นเองเขาก็คว้ามือฉันไว้และกระชากมันอย่างแรง ฉันตกใจกับการกระทำนั้น จึงเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสน แล้วก็เจอสายตาที่ลุกวาวของเขา“แหวนอยู่ไหน?” เขาพ่นคำถามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด สายตาจ้องมองฉันเขม็งให้ตายเถอะ! อะไรกันเนี่ย?ฉันค่อย ๆ ละสายตาจากเขาไปที่นิ้วมือว่างเปล่าของตัวเอง คุณเคยอยู่ในสถานการณ์ที่สับสนไหม? แบบที่คุณรู้ว่าคนถามอะไร คุณรู้คำตอบ แต่ก็ยังสับสนอยู่ดี? นั่นแหละ ตอนนี้ฉันเป็นแบบนี้“ฮาร์เปอร์ แหวนคุณอยู่ที่ไหน?” เขาเค้นเสียงถามขณะที่ก้าวลงจากรถฉันมองร่างของเขาที่ลุกออกจากรถ แล้วตอนนี้เขาก็ยืนตระหง่านค้ำหัวฉัน ความน่าเกรงขามของเขาทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออกเขาเขย่าตัวฉันเล็กน้อยดึงฉันกลับมาอยู่กับปัจจุบัน“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น” ฉันพึมพำออกมา ยังคงไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกับเรื่องเล็ก ๆ แค่นี้สีหน้าของเขามืดครึ้มขึ้นไปอีก เหมือนคำตอบของฉันไปกระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวเขาเข้า“เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือคุณไม่ได้ใส่แหวนที่ผมเป็นคนให้ และผมก็อยากรู้ด้วยว่าทำไม” เขาคำรามออกมา ใบหน้าเคร่งเครียดฉันตอบกลับไปแบบโง