ฉันตื่นนอนตอนเกือบเที่ยง ตอนแรกฉันคิดว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรจะเป็น แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลาย มันไม่ใช่ฝันร้ายอย่างที่ฉันคิด อีธานหักหลังฉันจริง ๆฉันรู้สึกน้ำตาคลอเบ้า ฉันร้องไห้จนหลับไปเมื่อวานและเหนื่อยกับการร้องไห้มาก ฉันเข้านอนโดยหวังว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเมื่อฉันตื่นขึ้น ฉันภาวนาให้เกิดปาฏิหาริย์ แต่ปรากฏว่าตอนนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย สิ่งที่ฉันต้องการให้เป็นเพียงฝันร้ายคือความจริงฉันค่อย ๆ ลุกจากเตียง ฉันไม่มีพลังงานที่จะทำอะไร แต่ฉันก็รู้ว่าฉันไม่สามารถนอนหลับและจมอยู่กับเตียงตลอดทั้งวันได้ฉันอาบน้ำเนิ่นนานและหวังว่ามันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ฉันไม่คิดว่าจะมีอะไรทำให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดีขึ้นได้หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดและกางเกงโยคะแล้ว ฉันก็ไปที่ห้องครัวเพื่อกินอะไรซักอย่าง ฉันกำลังหยิบไข่ออกมาอยู่พอดีเมื่อกริ่งประตูบ้านของฉันดังขึ้น ฉันถอนหายใจด้วยความพ่ายแพ้ ฉันไม่รู้สึกอยากเจอใครเลย ฉันแค่อยากอยู่คนเดียว“สวัสดี” เล็ตตี้พูดพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อฉันเปิดประตูเธอดูเหนื่อยและอ่อนล้าเหมือนกับฉัน แต่เธออาจจะเหนื่อยทางกายมากกว่าฉันที่เ
ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าใครแย่กว่ากันระหว่างโรแวนที่ใช้ฉันเพื่อมีเซ็กส์ในขณะที่เขาคิดถึงเอมม่า หรืออีธานที่หลอกฉันและยังใช้ฉันเพื่อมีเซ็กส์ในขณะที่เขาวางแผนจะฆ่าฉันเธอถอนหายใจ “ฉันไม่อยากพูดจาหยาบคาย แต่ฉันจะพูดความจริงกับคุณ ถ้าฉันรู้ว่าคุณคิดแบบนี้มาตลอด ฉันคงหยุดมันไปแล้ว”“คุณกำลังพูดถึงอะไร?”“คุณจะคอยตามหาผู้ชายที่รักคุณไม่ได้” เธอถอนหายใจอีกครั้ง “ฉันจะอธิบายเรื่องนี้โดยไม่ทำให้คุณเจ็บปวดไปกว่านี้ได้อย่างไร… คุณคบกับอีธานเพราะต้องการให้ใครสักคนรักคุณ คุณไม่สามารถทุ่มความคาดหวังทั้งหมดของคุณกับคนอื่นได้ คุณจะคิดว่าผู้ชายที่รักคุณจะรักษาบาดแผลที่โรแวนและครอบครัวของคุณทำเอาไว้ไม่ได้”ฉันไม่ทันได้พูดอะไรก่อนที่เธอจะพูดต่อ“คุณสร้างจินตนาการนี้ขึ้นมาและฉันไม่เคยรู้จนกระทั่งเมื่อเร็วนี้ คุณคิดว่าเมื่อคุณพบผู้ชายที่รักคุณ ทุกอย่างจะลงตัว แต่คนเดียวที่จะสามารถรักษาบาดแผลนั้นในหัวใจของคุณได้ก็คือตัวคุณเอง คุณเท่านั้นที่จะสามารถรักตัวเองในแบบที่คุณต้องการให้คนอื่นรัก คุณต้องรักตัวเองก่อน และจากที่ฉันเห็น คุณไม่เคยรักตัวเองเลย” เธอทรุดตัวลงบนพนักพิงโซฟา“คุณคิดผิด” ฉันจ้องเธอด้วยท่าทางป้
“เข้ามาก่อนค่ะ” เล็ตตี้พูดจากด้านหลังฉัน ทำให้ฉันตกใจสุดขีดฉันรู้ตัวว่าเพิ่งจ้องพวกเขาอย่างโง่เขลา ไม่รู้จะพูดอะไรกับพวกเขาดีฉันขยับเข้าไปข้าง ๆ แล้วปล่อยให้พวกเขาเดินผ่านไป จิตใจของฉันยังคงสั่นคลอนจากความจริงที่ว่าตอนนี้ครอบครัวโฮเวลล์อยู่ในบ้านของฉัน และพวกเขาก็อาจจะเป็นครอบครัวของฉัน“คุณออกมาได้ยังไง?” ฉันหันไปถามอีธานทันทีที่เราทุกคนนั่งลงเขาพูดเพียงว่า “ประกันตัว” สายตาของเขามองไปทุกที่ยกเว้นที่ฉันเมื่อวานนี้ ไบรอันได้ถามฉันว่าฉันต้องการแจ้งความกับอีธานหรือไม่ เขาบอกว่ามันจะทำให้คดีของเรากับอีธานแข็งแกร่งขึ้นฉันไม่สามารถตอบเขาได้เพราะไม่แน่ใจ ใช่ ฉันเข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำกับฉันมันแย่มาก และฉันไม่รู้ว่าฉันจะให้อภัยเขาหรือลืมเขาได้หรือเปล่าแต่นอกเหนือจากนั้น อีธานก็ยังสอนอะไรฉันหลายอย่างเกี่ยวกับตัวฉันและชีวิต ฉันแค่ไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถดำเนินคดีกับเขาได้หรือไม่ทราวิสตัดสินใจแจ้งความและกรมตำรวจก็เช่นกัน เพื่อเข้าไปในองค์กรนั้น อีธานได้ปลอมแปลงเอกสาร แม้ว่าฉันเองจะแจ้งดำเนินคดีต่อเขาไม่ได้ แต่ไบรอันก็บอกว่าพวกเขาจะยังดำเนินคดี เพราะพวกเขาได้เปิดคดีเกี่ยวกับฉันเมื่อเร
ฉันอยากจะเชื่อเธอแต่ทำไม่ได้ ครอบครัวที่เลี้ยงฉันมาไม่รักฉันเลย และพวกเขาอยู่กับฉันมา 28 ปีแล้ว ฉันไม่คาดหวังว่าโนรากับธีโอจะรักฉัน พวกเขาไม่รู้จักฉัน และจากสิ่งที่เห็น พวกเขาก็รักอีธานจริง ๆ“คุณแน่ใจได้ยังไงว่าฉันเป็นลูกสาวของคุณ?” ฉันถามขึ้น “อีธานอาจจะสับสน หน้าตาของฉันไม่คล้ายพวกคุณด้วยซ้ำ”พวกเขาหน้าตาดีจนเหมือนไม่ได้มาจากโลกใบนี้ ส่วนฉันแค่หน้าตาธรรมดา ๆ รูปลักษณ์ของฉันไม่มีอะไรโดดเด่นเลยอีธานตอบพร้อมส่งซองจดหมายให้ฉัน “ผมเอาเส้นผมของคุณไปตรวจดีเอ็นเอแล้ว พบว่าตรงกันร้อยเปอร์เซ็นต์”ฉันเปิดอ่านเนื้อหา เขาไม่ได้โกหก จริงอยู่ที่ดีเอ็นเอของฉันตรงกับของโนราและธีโอ“หนูได้ผมสีน้ำตาลจากฉัน และดวงตาสีน้ำตาลสวยงามจากแม่ของหนู” ธีโอพูดต่อหลังจากอีธาน “ถึงแม้จะไม่มีลักษณะทางกายภาพเหล่านั้น ฉันก็ยังรู้ได้อยู่ดี ลึกๆ แล้ว ฉันรู้ว่าหนูเป็นลูกสาวที่ถูกพรากจากเราไปเมื่อยี่สิบแปดปีก่อน”ฉันหันหลังให้พวกเขาเมื่อน้ำตาของฉันเริ่มไหล มันมากเกินไปที่จะรับได้ ชีวิตของฉันทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก ฉันไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร ทุกการดูถูกที่ฉันได้รับจากครอบครัวชาร์พ ทุกความเกลียดชัง ทุกความเจ็บป
“ไอ้เวรนั่นมาทำอะไรที่นี่?” โรแวนตะโกนเสียงดัง ดวงตาสีเทาเย็นชาจ้องไปที่อีธานอย่างดุร้ายฉันไม่อยากให้ค่ากับความงอแงของเขาเลยจริง ๆ ใช่ เขาช่วยฉันไว้เมื่อวาน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าใครสามารถเข้าบ้านฉันได้บ้างธีโอ หรือฉันควรพูดว่าพ่อของฉันกระแอม ฉันคงต้องใช้เวลาสักพักถึงจะชินกับการที่จะเรียกเขาว่าพ่อเสียงของเขาดึงดูดสายตาของทุกคนให้หันไปหาเขา“ธีโอ โฮเวลล์เหรอ?” โรแวนถามด้วยความประหลาดใจแต่เขาก็รีบซ่อนมันไว้ “คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ?”โรแวนมองระหว่างพวกเราทุกคน สายตาของเขามองจากธีโอและโนราแล้วมองกลับมาที่ฉัน ขณะที่เชื่อมโยงจุดต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างช้า ๆ“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะโรแวน แต่ฉันขอพูดไว้เลยว่าฉันไม่ปลื้มกับวิธีที่นายปฏิบัติต่อลูกสาวของฉัน” ธีโอพูดด้วยรอยยิ้มอันตราย“ที่เขาจะบอกก็คือ เราโกรธมากกับวิธีที่คุณและครอบครัวของคุณปฏิบัติต่อลูกสาวของเรา และเราไม่อยากร่วมงานกับคนนิสัยแบบนั้น” โนราเสริม เธอไม่ได้ยิ้ม และนี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เธอมาที่บ้านของฉันที่ฉันรู้สึกถึงความเป็นศัตรูและความเกลียดชังที่แผ่ออกมาจากตัวเธอ“เป็นไปได้ยังไง?” ทราวิสตกใจจน
ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น ฉันถึงได้ลงเอยกับพวกเขา“แล้วทำไมคุณถึงรับเลี้ยงฉันล่ะถ้าคุณไม่ได้ต้องการฉัน?” ฉันถามทุกคนเงียบขณะที่เธอตอบ “เมื่อทราวิสอายุได้สองขวบ เขาวิ่งออกจากบ้าน พอฉันรู้ตัว เขาก็กำลังจะข้ามถนนแล้วและมีรถกำลังวิ่งเข้ามา ฉันรู้ว่าฉันจะไปหาเขาไม่ทัน ฉันกรีดร้องด้วยความกลัว ความกลัวของฉันคงทำให้วินนี่ตื่นตัว ฉันไม่รู้ว่าเธอทำได้อย่างไร หรือเธออยู่ที่ไหน หรือเธอเคลื่อนไหวอย่างไร แต่เธอช่วยทราวิสไว้ในวันนั้น สุดท้ายเธอก็โคม่าเป็นเวลาสองเดือน พวกเขาตัดมือขวาของเธอออกเพราะมันเสียหายมากเกินไป เธอยังเดินกะเผลกตั้งแต่นั้นมาเพราะสะโพกได้รับบาดเจ็บถาวร”เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะปล่อยลมหายใจออกมา “เราตอบรับคำขอของเธอเพราะรู้สึกว่าเราเป็นหนี้เธอ แม้เราจะพยายามชดเชยให้เธอมากเพียงใด มันก็ไม่เคยเพียงพอต่อการช่วยชีวิตทราวิสและสิ่งที่เธอต้องเผชิญ ดังนั้นเมื่อเธอเสียชีวิต เราจึงรับเอวามาเลี้ยง”ฉันก้มหน้าลงและบ่นพึมพำ “คุณไม่น่าทำแบบนั้นเลย คุณควรจะเอาฉันไปส่งสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า มันคงดีกว่าชีวิตที่ฉันได้รับจากตอนที่อยู่กับคุณ”ฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยมีความทรงจำดี ๆ กับพวกเขา พวกเขาล้
เอมม่า“ฉันยังคงไม่อยากเชื่อว่าเอวาเป็นลูกตระกูลโฮเวลล์” ทราวิสพูดขณะที่เราเข้าไปในบ้านของพ่อแม่เราฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อข่าวนี้เช่นกัน ทุกอย่างดูไม่จริงเลย เหมือนกับว่าไม่ว่าจะอย่างไรฉันก็ไม่สามารถเชื่อสิ่งที่ถูกเปิดเผยได้“ใช่ไหม?” ฉันพึมพำฉันคิดว่าฉันมีข้อได้เปรียบเหนือเธอ การรู้ว่าเธอถูกอุปถัมภ์เป็นความรู้สึกที่ดีที่สุด หลังจากที่อีธานบอกเราว่าพ่อแม่ของเธอเป็นคนรวย ความรู้สึกดี ๆ ทุกอย่างก็พังทลายลง ฉันอยากให้เธอมาจากครอบครัวที่ยากจน นั่นจะทำให้ฉันมีข้อได้เปรียบเหนือเธอ แม้ว่าตอนนี้เธอจะรวยก็ตามถ้าเธอมาจากครอบครัวที่ยากจน ฉันก็คงจะดีกว่าเธอเสมอ เหนือกว่าเธอในทางหนึ่ง ในสังคมของเราคุณจะได้รับความเคารพมากกว่าหากครอบครัวของคุณมีเส้นสาย หากครอบครัวของคุณมีรากฐานและสืบเชื้อสายมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี ถ้าคุณร่ำรวยเอง พวกเขาก็จะเคารพคุณ แต่คุณจะได้รับความเคารพมากกว่าหากมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยอยู่แล้วฉันหวังว่าจะเป็นอย่างนั้นเมื่ออีธานบอกเราว่าเธอถูกอุปการะ ฉันคิดว่าพ่อแม่ของเธออาจไม่มีเงินเลี้ยงเธอ หรืออาจเป็นเพราะติดยา และพวกเขาจึงตัดสินใจให้คนอื่นอุปการะเธอ นั่นคงเป็นรอยด่างใหญ
แม้แต่ตอนนี้ที่ฉันกลับมาและมั่นใจว่าทุกอย่างกำลังไปได้ดีกับโรแวน แม่นั่นก็ทำให้ทุกอย่างพังลง โรแวนแทบไม่สนใจฉันเลยในตอนนี้ นับตั้งแต่งานเลี้ยงอาหารเย็นวันนั้น เขาไม่เคยโทรหรือมาดูเลยว่าฉันเป็นอย่างไรบ้างความสนใจของเขาเอนเอียงไปหาเอวาทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเกลียดผู้หญิงคนนั้นมากขึ้นไปอีก เพราะนี่เป็นอีกครั้งที่หล่อนพรากเขาไปจากฉัน สำหรับฉันมันยากที่จะยอมรับได้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป โรแวนไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวกับคนที่รักฉันหมดทั้งใจคนนั้นอีกแล้ว ตัวเขาเองอาจไม่รู้ แต่ฉันสามารถพูดได้เต็มปากว่าเขามีความรู้สึกมากมายให้แก่เอวา ฉันไม่รู้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นคืออะไร แต่มันมีอยู่แน่นอน ฉันกลัวเหลือเกินว่าเขาจะตกหลุมรักแม่นั่น ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรถ้ามันเป็นเรื่องจริง มันคงทำให้ใจฉันแตกสลายฉันคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเพื่อนสนิท“หวัดดีค่ะเพื่อน” มอลลี่รับสายตั้งแต่เสียงเรียกเข้าแรกดังฉันล้มตัวลงบนเตียงและพยายามกลั้นน้ำตา “ทุกอย่างกำลังพังไปหมดเลยมอลลี่ ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้ว”ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าและหมดแรง ทุกสิ่งช่างน่าหน่ายใจเหลือเกิน และรู้สึกเหมือนกำลังแบกภาระหนักบนบ่า“เล่ามาก่อ
ฮาร์เปอร์"ดึกดื่นปานนี้ กำลังมองอะไรอยู่เหรอ?" เสียงทุ้มทำให้ฉันสะดุ้งจากด้านหลัง"ตกใจหมดเลย" ฉันพึมพำขณะพยายามสงบใจที่เต้นแรง "อย่าโผล่มาจากข้างหลังอย่างนั้นสิ"เกเบรียลเดินวนรอบเคาน์เตอร์ครัวและมายืนตรงข้ามกับฉัน เมื่อเขาทำแบบนั้น ให้สายตาฉันได้เห็นเขา คอก็แห้งขึ้นทันที รู้สึกกระหายน้ำเหมือนไม่ได้ดื่มน้ำมานานแล้วและการกลืนก็กลายเป็นปัญหาใหญ่เกเบรียลใส่เสื้อผ้าชิ้นเดียวคือกางเกงขาสั้นสีเทาที่หลวมต่ำบนสะโพก ผู้ชายคนนั้นเป็นงานศิลปะที่มีร่างกายเหมือนเทพเจ้ากรีก ไหล่กว้าง กล้ามท้องเป็นลอน และเส้นวีไลน์ที่ทำให้ผู้หญิงทุกคนคลั่งไคล้แนวไรขนสีเข้มที่เริ่มจากสะดือแล้วหายไปในกางเกง ราวกับว่าไรขนนั้นชี้ไปยังสวรรค์ฉันอยากจะเบนสายตาออกไปแต่ไม่สามารถทำได้ สายตาฉันดื่มด่ำราวกับเขาเป็นแหล่งน้ำเดียวที่มี สายตาจ้องไปที่ทุกซอกทุกมุมของร่างกายเขา สังเกตเห็นรอยสักแบบชนเผ่าบนหน้าอก นั่นเป็นสิ่งใหม่ มันไม่ได้มีตอนที่เราเคยมีอะไรกันเมื่อหลายปีที่แล้ว และการเห็นมันทำให้ฉันอยากรู้ว่ามันหมายถึงอะไรไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเกเบรียลเป็นผู้ชายที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะตอนนี้ อย่าคิดว่าฉันพูดแบบนี้แค่ตอนนี้ แม้แต่ต
เกเบรียลผมยังคงรู้สึกถึงสัมผัสเนียนนุ่มของผิวเธอเหมือนกับมันซึมลึกอยู่ใต้ผิวของผมเอง ชั่วขณะหนึ่งผมอยากใช้นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามข้อต่อที่เต้นเป็นจังหวะอยู่ด้านในแขนของเธอฮาร์เปอร์คนใหม่นี้น่าสนใจ เธอร้อนแรง และท่าทางแบบใหม่นี้ทำให้ผมรู้สึกติดใจได้ ผมชอบผู้หญิงที่มั่นใจ เร้าอารมณ์ และมีบุคลิกที่ร้อนแรง ผมชอบที่พวกเธอท้าทายและไม่ยอมแพ้เธอกลายเป็นผู้หญิงแบบนั้นและมันทำให้ผมสนใจ เธอเป็นคนที่ร้อนแรงและไม่กลัวที่จะบอกให้ผมไปตายซะ ผมจะไม่สนใจได้อย่างไรเล่า?ตอนที่เราแต่งงานกันนั้นเธอน่าเบื่อ บุคลิกที่น่าเบื่อทำให้เธอดูจืดชืดในสายตาของผม ไม่มีอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับเธอเลย ในขณะที่ผมชอบผู้หญิงที่มีเขี้ยวเล็บ เธอกลับเชื่อฟังมากเกินไป คิดแต่จะทำให้ผมพอใจและดึงดูดความสนใจกันอย่างเดียวเธอยอมลดตัวทุกอย่างเพียงเพื่อให้ผมสนใจ หากเพียงเธอผลักผมให้ออกห่างไปผมก็คงจะสนใจเธอแล้ว ฮาร์เปอร์เมื่อก่อนเป็นคนขี้อายและกลัวแถมขาดความมั่นใจในตัวเอง สิ่งนั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่อยากสนใจเธอเลยผมถอนหายใจแล้วก็ผลักความคิดเหล่านั้นออกไป พยายามขับไล่ความสงสัยที่มีต่อฮาร์เปอร์ เบคเกตต์ ที่ตอนนี้เป็นวู้ดออกไป วินาทีถั
“คุณต้องการอะไร เกเบรียล? อย่างที่เห็น ฉันไม่อยากคุยตอนนี้” ฉันลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดคำพูดของลิลลี่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของฉัน มันบาดลึกซ้ำไปซ้ำมา ฉันเอามือสางผม พยายามไล่ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นออกไป ฉันรู้ว่าสักวันมันต้องเกิดขึ้น และฉันก็รู้ว่าเธออาจจะรับมันไม่ได้ดีนักลองคิดดูสิ คุณจะรับมันไหวไหมถ้าแม่มาบอกว่าผู้ชายที่คุณคิดว่าเป็นพ่อมาตลอดกลับกลายเป็นคนอื่นไป? ว่าคุณถูกหลอกมาตลอด และไม่มีใครคิดจะบอกความจริงจนกระทั่งมันเลี่ยงไม่ได้ ฉันเข้าใจเธอ ฉันเข้าใจปฏิกิริยาของเธอ ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อคำพูดและความเจ็บปวดในดวงตาของเธออย่างไร“ลิลลี่ไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นหรอก” เกเบรียลพูดพลางเดินเข้ามาในห้องฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ความรู้สึกบางอย่างที่น่าเกลียดพุ่งขึ้นในใจ “แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง? คุณแทบจะไม่รู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ แล้วจะมาบอกฉันว่าเธอไม่ได้ตั้งใจได้ไง”“แล้วมันเป็นความผิดใครล่ะ?” เขาสวนกลับทันที จ้องฉันด้วยสายตาโกรธจัดฉันทั้งโกรธทั้งเสียใจ ฉันกำลังหาที่ระบาย หาทางที่จะดึงความสนใจตัวเองออกจากความเจ็บปวดที่ถาโถม เกเบรียลจึงกลายเป็นเป้าหมายของฉัน เพราะ
ฮาร์เปอร์สัปดาห์นี้วุ่นวายสุด ๆ เหมือนฉันวิ่งทำธุระตั้งแต่กลับมาที่เมืองนี้โดยไม่ได้พักเลยสักนิดอย่างน้อยตอนนี้ลิลลี่ก็ดูสบายขึ้นแล้ว เกเบรียลไม่ยอมส่งที่นอนของเธอมาเพราะบอกว่าที่นอนที่นี่สบายกว่า แต่เขายอมส่งผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มมาให้แทน ซึ่งมันช่วยได้เยอะเลย ตอนนี้เธอหลับสบายตลอดทั้งคืนส่วนเกเบรียล ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดี? เขากลับมาบ้านแม้จะดึกดื่นขนาดไหน แต่ก็เท่านั้นเอง เราสองคนพยายามหลบหน้ากัน ต่างทำเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิต ฉันคิดว่าแบบนี้ดีกว่า อย่างน้อยลิลลี่จะได้ไม่เห็นเราทะเลาะกันตลอดเวลา“แม่คะ แม่อยากคุยกับหนูเหรอ?” เสียงของลิลลี่ดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบันฉันวางผ้าที่กำลังพับอยู่ลง แล้วนั่งลงบนเตียงก่อนจะส่งสัญญาณให้เธอมานั่งด้วยกัน เธอเดินข้ามห้องมาพร้อมขมวดคิ้ว ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ฉันเราอยู่ในห้องของฉัน อย่างที่เดาได้ว่าเกเบรียลกับฉันไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ลิลลี่เข้าใจอย่างไร เพราะเธอต้องสงสัยแน่ ๆ ในเมื่อก่อนหน้านี้ฉันกับเลียมเคยนอนร่วมห้องกัน“แม่คะ?”“ขอโทษนะลูก มีบางอย่างที่แม่อยากจะอธิบายให้หนูฟัง” ฉั
แผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้นหันมาทางฉัน รวมถึงกันเนอร์ด้วย ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องคาลวินเพราะเขาดูเหมือนตกอยู่ในห้วงความหลงใหล เขาใส่ใจกับทุกสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูด พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเด่นชัดบนริมฝีปากอีกครั้งที่ความรู้สึกไม่สบายใจจมลึกลงในหัวใจของฉัน ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง? เหมือนมีหินก้อนใหญ่ติดอยู่ในลำคอฉันเพ่งสายตามองไปยังพวกเขา แม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะโต๊ะอยู่ห่างออกไป แต่ความสงบสุขและความสุขบนใบหน้าของคาลวินก็เพียงพอที่จะบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้น เขากำลังออกเดต และกันเนอร์ก็มาด้วย ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ฉันไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่ฉันในชีวิตของลูกชายเด็ดขาดถึงแม้ฉันจะมองไม่เห็นกันเนอร์ แต่ฉันรู้ว่าเขาเหมือนกับคาลวิน กันเนอร์เองก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นั่น เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น คาลวินคงพาลูกชายกลับไปแล้วแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งที่รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันนั่งอยู่นานแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว การได้เห็นเขามีความสุขกลับทำให้ฉันเจ็บปวดอย่างประหลาด มันเหมือนหัวใจถูกบดขยี้
คำพูดของมอลลี่ยังคงก้องอยู่ในหัว แม้กระทั่งตอนที่เรากำลังกินของหวาน ฉันชอบไอศกรีมมาก แต่วันนี้ฉันกลับไม่สามารถสนุกกับมันได้เลย โดยเฉพาะเมื่อเธอสามารถทำให้ฉันเริ่มสงสัยในทุกสิ่งที่ฉันเชื่อมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา"ทำไมเธอเงียบจัง?" มอลลี่ถามขณะที่วางแก้วมิลค์เชคลง "หรือเธอกำลังคิดถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งพูด?"ประโยคสุดท้ายมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะที่เธอเอนหลังพิงเก้าอี้"เปล่า" ฉันโกหก "แค่กำลังคิดว่าฉันจะทำยังไงให้คาลวินกับกันเนอร์ยกโทษให้ฉัน ไม่ว่าฉันจะมองมุมไหนก็ไม่มีทางออกที่ดีเลย"ในฐานะทนายความ ฉันเคยชินกับการมองสถานการณ์จากหลายมุมมองเวลาปกป้องลูกความของฉัน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันเก่งในสิ่งที่ฉันทำ ฉันไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือและพิจารณาทุกผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ฉันทำแบบนั้นกับสถานการณ์นี้แล้ว แต่กลับไม่พบความหวังเลยฉันอาจไม่ได้รักคาลวิน แต่ฉันรู้จักเขาเป็นอย่างดี เขาเคยให้โอกาสฉันนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้ฉันจัดลำดับความสำคัญของชีวิตให้ถูกต้อง แต่ฉันกลับไม่ทำ คาลวินเป็นคนที่เมื่อเขาถึงจุดที่ทนไม่ไหว มันก็จบ ไม่มีการย้อนกลับ ไม่มีโอกาสอีก ไม่มีการให้อภัยฉันจะนั่งหลอกตัวเองที่นี่ก็ได้ แต่ฉัน
"ทำไมฉันถึงยอมให้เธอชวนฉันออกไปกินข้าวกลางวันด้วยนะ?" ฉันบ่นพลางมองทิวทัศน์ด้านนอกที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วฉันไม่ได้ออกจากบริเวณของครอบครัวมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นตอนที่ฉันไปงานแต่งงานของเอวา บอกตามตรง ฉันตกใจมากตอนที่เธอเชิญฉันไปงานนั้น ในบรรดาคนทั้งหมด ฉันคิดว่าฉันน่าจะเป็นคนที่เธอไม่อยากให้ไปร่วมงานแต่งงานมากที่สุด“ก็เพราะเธอจำเป็นต้องออกไปข้างนอกบ้างไง” มอลลี่ตอบพลางดึงฉันกลับมาสู่บทสนทนา“ฉันก็ออกจากบ้านนะ มอลลี่” ฉันพูดปกป้องตัวเองเสียงหัวเราะเยาะของเธอทำให้ฉันหงุดหงิดมาก“เดินไปที่สวนไม่เรียกว่าการออกไปข้างนอกหรอกย่ะ” เธอตอบโต้ “เลิกบ่นแล้วนั่งพักผ่อนเถอะ เธอจะสนุกกับการออกไปเที่ยวเล็ก ๆ ครั้งนี้ รับรองเลย”“ไม่มั้ง”เมื่อพูดจบ ฉันเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลง ความคิดในหัวของฉันวิ่งวุ่นไปเป็นพันเรื่องในแต่ละนาที ฉันจับพวกมันไว้ไม่ได้หรือควบคุมมันไม่ได้เลยตั้งแต่คุยกับมอลลี่ในห้อง ความคิดของฉันก็วิ่งพล่านไปทั่ว ฉันรู้ว่ามันคงไม่ง่าย แต่เธอพูดถูก ฉันจะมัวแต่นั่งอยู่ในห้อง จมปลักและสาปแช่งความโง่ของตัวเองต่อไปไม่ได้ ถ้าฉันยังเป็นแบบนี้ ฉันอาจไม่มีโอกาสได้อยู่กับลูกชา
เอมม่า"ออกจากห้องบ้างเถอะนะ เอมม่า ลูกไม่ควรใช้เวลาทั้งวันติดอยู่ในห้องรก ๆ แบบนี้" แม่บอกฉัน แต่ฉันไม่แม้แต่จะเหลือบมอง เฝ้าแต่จดจ้องอยู่ที่ซีรีส์เศร้าที่กำลังดูอยู่ฉันนั่งอยู่บนเตียง ยังสวมชุดนอนอยู่ พร้อมของว่างกระจายอยู่รอบ ๆ ผ้าห่ม มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิดและถังไอศกรีมที่ฉันกำลังจมปลักอยู่ ผ้าม่านถูกปิดมืดสนิทเพราะฉันเพิ่งติดตั้งม่านกันแสงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน"นั่นแหละที่หนูพยายามบอกมันอยู่เนี่ย แต่มันไม่ยอมฟังหนูเลยคะแม่" มอลลี่พูดขึ้นฉันรู้สึกได้ว่าเธอกำลังจ้องฉันด้วยสายตาดุดัน แต่ฉันไม่สนใจเลยสักนิด ฉันแค่อยากอยู่คนเดียวเพื่อจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็เป็นคนที่ทำให้ตัวเองต้องมาเจอเรื่องแบบนี้"กันเนอร์จะพูดว่ายังไงถ้าหลานเห็นลูกในสภาพนี้? ทั้งตัวเองและห้องก็ดูไม่ได้เลย ไม่รู้เลยว่าลูกหวีผมครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรืออาบน้ำครั้งสุดท้ายตอนไหน" แม่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจฉันสะดุ้งขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อกันเนอร์ แล้วหันไปหาแม่ทันที"ลูกถามถึงหนูเหรอ? อยากเจอหนูใช่ไหม?" ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังแม่ใช้เวลาอยู่กับเขา เช่นเดียวกับทราวิส
ทันทีที่พวกเราเข้าไปในโบสถ์ ฉันก็สังเกตเห็นโรแวนในทันที เขาอยู่ในชุดสูทสีดำเช่นเดียวกับน้องชายของเขา เราเดินไปยังด้านหน้าของโบสถ์พร้อมกับที่บาทหลวงเดินเข้ามา"สวัสดีครับ คุณฮาร์เปอร์" โรแวนกล่าวทักทายอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นฉันถึงกับตกตะลึง โรแวนดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับคนที่ฉันเคยรู้จักมาก่อน เมื่อก่อนเขามักจะดูเย็นชาและห่างเหิน เหมือนมีบางอย่างคอยถ่วงจิตใจเขาไว้ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้เขากลับดูอบอุ่นราวกับความมืดที่เคยครอบงำเขาได้เลือนหายไป"สะ…สวัสดีค่ะ" ฉันตอบกลับอย่างตะกุกตะกักฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเขากลับไปคืนดีกับแฟนเก่าหรือยัง เพราะทุกคนรู้ว่าเขาเปลี่ยนไปหลังจากเสียเธอไปและต้องแต่งงานกับเอวา ใช่ นั่นคงจะเป็นเหตุผล เขาเกลียดเอวา การเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะเกี่ยวกับเอมม่า พี่สาวของเอวา"เริ่มกันเลยไหม?" บาทหลวงพูดขัดขึ้นมา และเราสามคนก็พยักหน้าตอบรับฉันยืนอยู่ข้าง ๆ เกเบรียล ในขณะที่โรแวนยืนอยู่ด้านหลังเราฉันพยายามไม่สนใจคำกล่าวของบาทหลวง เพราะฉันไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับโบสถ์ แต่ฉันคิดว่ามันคงง่ายกว่านี้ถ้าเกเบรียลตกลงทำพิธีที่อำเภอแทนไม่รู้ว่าผ