คล้อยหลังโจวหมิง เฉิงซินเหลียวหน้ามองถาดอาหารที่วางอยู่โต๊ะตรงข้ามตนไม่ไกลมากนัก นางผ่อนลมหายใจเบา แล้วจึงตัดสินใจสาวเท้าเดินไปเบื้องหน้าเชื่องช้าเพื่อปรับร่างกายให้คุ้นชิน เฉิงซินยอบกายลงนั่งพลางมองโจ๊กเปล่าถ้วยหนึ่ง และผักทอดน้ำมันไม่กี่หยิบมือ พลางยิ้มเยาะออกมาด้วยความขบขัน
"แม่ทัพงี่เง่า ท่านจะรังแกข้าเกินไปเสียแล้ว ชังน้ำหน้าข้าก็ไม่เป็นไร แม้แต่อาหารการกิน ท่านก็ยังดูถูกข้าเช่นนั้นหรือ" ถึงจะรู้สึกโมโหเสียจนอยากระเบิดอารมณ์เพียงใด ทว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง วันนี้นางต้องไปเจรจากับแม่ทัพเว่ยให้รู้เรื่อง ไหน ๆ เขาก็ไม่แยแสตนอยู่แล้ว การรั้งอยู่ที่นี่ก็รังแต่จะสร้างความรำคาญและหงุดหงิดใจระหว่างกันเสียเปล่า
ซ้ำเฉิงซินไม่อยากกลับไปตายอย่างอนาถซ้ำรอยเดิม บุรุษใจแคบ อำมหิตผิดมนุษย์ ฆ่าแกงได้แม้กระทั่งฮูหยินของตนเพื่ออนุผู้หนึ่ง ทว่าเมื่อหวนนึกถึงตรงนี้ เฉิงซินจึงพ่นลมหายใจอย่างเสียไม่ได้
ในเมื่อนางช่วงชิงคนรักของเขามา เช่นนั้นก็ควรคืนเจ้าของอย่างแท้จริงนั่นถูกต้องแล้ว ผลกรรมที่ผ่านมาคงเป็นการชดเชยบาปหนาที่ตนเคยกระทำแต่กาลก่อนกระมัง
เฉิงซินละเลียดชิมโจ๊กเปล่าด้วยความใจเย็น แววตาที่เคยแข็งกร้าวเลื่อนลอยไร้ทิศทาง เหตุใดเมื่อก่อนนางจึงเป็นสตรีผู้ละโมบต่อความรัก เสียจนไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้นะ สวรรค์ให้โอกาสนางได้ย้อนกลับมา ทว่าดันหวนคืนไม่ถูกช่วงเวลาเอาเสียเลย เหตุใดจึงไม่ย้อนเอาตอนที่นางยังไม่จับแม่ทัพผู้นี้มาเป็นสามีของตนกันเล่า
ขณะที่ยังติดอยู่ในภวังค์ และอาหารในมือแทบไม่พร่องลงเลย เฉิงซินได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาอย่างสับสน นางจึงผินหน้าไปมองฝั่งธรณีทางเข้า ที่แท้เป็นสาวใช้ของจวนนั่นเอง ดูเหมือนพวกนางจะเกรงกลัวเฉิงซินอยู่ไม่น้อย เฉิงซินเลิกคิ้วฉงน
ข้ายังไม่เคยตบตีพวกเจ้าเสียหน่อย เหตุใดต้องเกรงกลัวถึงเพียงนี้เล่า
เฉิงซินทำได้เพียงฉุกนึกในใจ ก็ได้แต่ละอายแล้ว เรื่องฉาวโฉ่ที่นางก่อไว้คงโจษจันกันไปทั่วแล้วสิท่า เอาเถอะ ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้ก่อเรื่องเอาไว้เองจริง ๆ เช่นนั้นก็ได้แต่ทำใจ และแก้ไขบางเรื่องที่สามารถทำได้เป็นพอ
"พวกเจ้าเข้ามาเถิด มัวอ้ำอึ้งอยู่ด้วยเหตุใด"
บ่าวรับใช้ทั้งสองจึงทำได้เพียงก้มหน้างุด และสาวเท้าเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยม
"ฮูหยินทานอิ่มแล้วหรือไม่เจ้าคะ อีกเดี๋ยวพวกข้าจะได้เตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ท่าน" สาวใช้นางหนึ่งกล่าวด้วยอาการประหม่า เพียงเสียงลมหายใจของเฉิงซินก็ทำเอานางแทบอยากล้มพับลงเดี๋ยวนั้น
เฉิงซินวางถ้วยอาหารและตะเกียบลงแล้ว พลางเหลียวมาทั้งกาย กวาดสายตามองสตรีทั้งสองเขม็ง หลังจากนั้นจึงผ่อนแววตาและน้ำเสียงลง "ในสายตาของพวกเจ้าข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ"
สาวใช้ทั้งสองส่ายศีรษะทั้งยังก้มหน้างุดเป็นพัลวัน
"โกหก"
ทันทีที่ได้ยินเสียงเช่นนั้น ทั้งสองนางจึงทิ้งตัวลง และร่ำร้องราวกับว่าเฉิงซินกำลังจะฆ่าแกงพวกนางอย่างไรอย่างนั้น
"ฮูหยิน ได้โปรดอภัยข้าด้วยเจ้าค่ะ"
เฉิงซินทอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน "ลุกขึ้นเถิด"
"บ่าวมิกล้า"
"เช่นนั้นเจ้าก็เลือกเอา จะลุกขึ้นหรือว่า..."
"ละ...ลุกแล้วเจ้าค่ะ"
สาวรับใช้ทั้งสองนางดีดกายพรวดขึ้นจากพื้น ยืนตัวตรงแน่ว เฉิงซินหัวเราะขบขันให้กับท่าทีของทั้งสองราวกับว่าตนกำลังดูละครตลกฉากหนึ่ง
"เอาล่ะ ข้าไม่แกล้งพวกเจ้าแล้ว เจ้าชื่ออะไร"
"หลี่อ้ายซีเจ้าค่ะ" นางหนึ่งยอบกายลงตอบ
"ข้า เผิงหลินเจ้าค่ะ"
"อ้อ หลี่อ้ายซี และ เผิงหลิน ใครส่งเจ้ามาเล่า"
ทั้งสองส่ายศีรษะพร้อมเพรียง เฉิงซินประหลาดใจไม่น้อย เกรงว่าบ่าวในจวนแห่งนี้คงไม่มีผู้ใดอยากเข้าใกล้นางกระมัง เฉิงซินเป็นบุตรสาวคนเดียวของจวนตระกูลเฉิงก็จริงอยู่ ทว่านางไม่เคยมีสาวใช้คนสนิทสักคน สาวใช้ที่อยู่ข้างกายนางซึ่งถูกรับเข้ามา ไม่ถูกไล่ตะเพิดกลับภูมิลำเนาก็ถูกส่งไปทำงานอื่นแทน เฉิงซินทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างเอือมระอาต่อนิสัยกาลก่อนของตน
"พวกเจ้าอาสามาเองเลยหรือ"
เผิงหลิน "จะ...เจ้าค่ะ ถึงอย่างไรท่านก็เป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพ หาก..."
"เอาล่ะ ไม่ต้องเอ่ยแล้ว ข้าคงอยู่ที่นี่อีกไม่นาน อีกเดี๋ยวเตรียมน้ำเรียบร้อยแล้วก็มาบอกข้า" เฉิงซินกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
บ่าวทั้งสองเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นก็พลอยใจชื้นขึ้น ฮูหยินผู้นี้หาได้เหมือนกับที่พวกนางได้ยินข่าวโคมลอยเหล่านั้นแม้แต่น้อย กิริยาท่าทางก็หาได้ดุร้ายปานนั้น แม้ใบหน้างดงามอีกทั้งดูเคร่งขรึมอยู่หน่อยก็ตาม ทว่าเมื่ออีกฝ่ายฉีกยิ้มขึ้นมา โลกใบนี้กลับเสมือนว่าน่าอยู่เต็มประดา
สาวใช้ทั้งคู่จึงยิ้มตอบเบาบาง พลางหมุนกายจากไปเพื่อเตรียมอ่างน้ำให้พร้อมสำหรับการชำระกายแด่ฮูหยินคนใหม่แห่งจวนแม่ทัพ เฉิงซินมองตามแผ่นหลังของสตรีทั้งสอง นางลอบระบายลมหายใจอ่อน
"เฉิงซินนะเฉิงซิน เจ้ามันตัวน่ารังเกียจ และเป็นดั่งฝันร้ายของผู้อื่น ไฉนก่อนหน้าจึงยโสโอหัง ไม่รู้จักฟังคำใครเช่นนี้นะ"
ปึง!เสียงกระแทกฝ่ามือพร้อมกระดาษหนึ่งแผ่นลงบนโต๊ะหนังสือดังสนั่น เว่ยจวินอี้เงยหน้าขึ้นจากกองรายงาน วางม้วนไม้ไผ่ลงด้วยความเชื่องช้า เขาขึงดวงตามองผู้มาเยือนอย่างไม่สบอารมณ์ เหตุใดนางจึงมารยาททรามยิ่งนัก"ท่านหย่ากับข้าเถิด"เฉิงซินจ้องหน้าแม่ทัพเขม็ง กล่าววาจาอย่างมุ่งมั่น เว่ยจวินอี้ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เขาเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งฝั่ง พยายามกดข่มอารมณ์คุกรุ่นลงไป "นึกครึ้มใดขึ้นมาได้เล่า อยู่ ๆ จึงมาขอหย่าเช่นนี้""ได้! ข้าบอกความจริงท่านก็ได้""ความจริงหรือ" เว่ยจวินอี้แสร้งกลับไปสนใจกองรายงานของตนต่อ ราวกับว่าผู้มาเยือนเป็นดั่ง ลม ฟ้า อากาศสำหรับเขาเฉิงซินหลับดวงตา ผ่อนลมหายใจเพื่อข่มความอัปยศในกาลก่อนเอาไว้ลึกสุดก้นบึ้ง "วันนั้นท่านและข้ายังไม่ได้เกินเลยกัน"เว่ยจวินอี้ชะงักลงชั่วครู่ เฉิงซินได้ยินเสียงหัวเราะหึแผ่วเบา ราวกับว่าแม่ทัพผู้นี้ไม่ได้รู้สึกรู้สาใดเลย เขาหัวเราะเช่นนั้นหรือ หัวเราะด้วยน้ำเสียงเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน"ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร" เฉิงซินขมวดคิ้วบาง นี่เป็นเรื่องดีกับเว่ยจวินอี้ด้วยซ้ำ เหตุใดเขาช่างดูใจเย็นและประวิงเวลาให้ยืดเยื้อเช่นนี้เล่า การที่นา
เฉิงซินยกแขนที่ยังเกิดรอยแดงขึ้น ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เฉิงซินจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ นางลดมือลงเดี๋ยวนั้น พลันหมุนกายเสียจนเกิดลมโกรก เว่ยจวินอี้ลอบมองไปยังข้อมือที่ยังเกิดรอยแดง หน้าของเขากระตุกวูบเฉิงซินกระฟัดกระเฟียดกลับไปแล้ว โจวหมิงจึงเข้ามาทันได้เห็นใบหน้าบูดบึ้งของสตรีที่สวนทางกับตนออกไปไว ๆ"ท่านแม่ทัพ เกิดเหตุใดขึ้นเล่า ไฉนฮูหยิน" โจวหมิงเหลียวมองทางที่เฉิงซินจากไป และเบนหน้ากลับมายังนายของตน ขมวดคิ้วบางด้วยความฉงน"นางมาขอหย่า""หา...ขอหย่าหรือ แล้วท่านตกลงเลยหรือไม่"เว่ยจวินอี้ส่ายศีรษะ"อ้าว เหตุใดท่านไม่หย่าเล่า ก็ในเมื่อท่านอยากแต่งกับคุณหนูช่ายจี้ถงมาโดยตลอดมิใช่หรือ"เว่ยจวินอี้ละมือจากงานของตนอีกหน เขาหรี่นัยน์ตาลง ความรู้สึกของแม่ทัพยามนี้คล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง คราที่นางต้องการตัวเขาเฝ้าตามติดระรานตนแจ ซ้ำยังวางกลอุบายเสียจนได้ตบแต่งเข้ามา ทว่าแต่งงานยังไม่พ้นวัน นางก็ขอหย่า เช่นนี้ไม่ให้ตนเกิดข้อกังขาได้อย่างไร หรือนางอาจเป็นกลลวงของใครบางคน"เจ้าไม่คิดว่ามันน่าแปลกอย่างนั้นหรือ""น่าแปลกอย่างไรหรือขอรับ" โจวหมิงงุนงง เขายังไม่เข้าใจเจตนารมณ์
ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีกาล มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกยุ่งเหยิงหนักหน่วงดังเป็นระยะมาจากเตียงไม้ขัดเนื้อดีเฮือก!“ข้าตายหรือยัง!”เฉิงซินดีดกายผึง หายใจหอบเหนื่อยเสียจนหน้าอกกระเพื่อมไหว สีหน้าซีดขาวผุดพราวด้วยหยาดเหงื่อเย็น ภายใต้ผ้าแพรสีชาดที่คลี่คลุมและบดบังใบหน้านัยน์ตามองลอดไม่รู้ทิศทาง“หืม…ผ้าผืนนี้คือสิ่งใดกัน” คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันเชื่องช้า จิตใจของนางเต้นระทึกทว่ายังคงครองสติเอาไว้มั่น เฉิงซินเอื้อมมือขึ้นแล้วจึงเลิกผ้าคลุมซึ่งกำลังซ่อนเร้นกรอบหน้าและการมองเห็นของตนออกด้วยความสั่นเทาพรึบ!ดวงตากลมโตกะพริบถี่หญิงสาวตะลึงลานถึงขีดสุด“ไม่ใช่ว่าข้าอยู่งานแต่งอนุช่ายจี้ถงหรอกหรือ”ปัง!เสียงฝีเท้าเดินโซซัดโซเซไม่เป็นจังหวะ กลิ่นสุราคละคลุ้งจนแทบเวียนศีรษะ หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อพบว่าผู้ที่ยืนใบหน้าแดงก่ำหน้าธรณีทางเข้า ซ้ำยังเมามายคล้ายเสียสติไปแล้วคือผู้ใด“ท่านแม่ทัพ!”ภาพเบื้องหน้ายิ่งเพิ่มความตระหนกให้เฉิงซินยกใหญ่ มิใช่ว่าวันนี้คืองานแต่งฮูหยินรองของแม่ทัพเว่ยจวินอี้หรอกหรือ เหตุใดผู้ที่สวมชุดวิวาห์จึงเป็นนางเล่า เหตุใดจึงกลายเป็นว่านางมานั่งอยู่ในห้องหอเสียเองเฉิ
"โจวหมิง ท่านเองหรือ" เฉิงซินขมวดคิ้ว ประตูที่พังครืนลงเมื่อสักครู่เป็นฝีมือองครักษ์ผู้นี้หรอกหรือ เหตุใดจึงมาเอะอะโวยวายแต่เช้าเยี่ยงนี้เล่า"เอ่อ...ฮูหยิน ข้าน้อยขออภัย บังเอิญมือหนักไปนิดก็เพียงเท่านั้น วันนี้ท่านแม่ทัพติดพันงานหลวง จึงไม่สะดวกมาพบท่าน" โจวหมิงองครักษ์คนสนิทของเว่ยจวินอี้สาวเท้าเข้ามาภายในพร้อมถาดอาหารหอมกรุ่น เขายอบกายลงวางถาดไว้ยังโต๊ะฝั่งตรงข้าม เมื่อสักครู่เขาไม่ทันสังเกตอย่างแจ่มชัดนัก ทว่าเมื่อตนเหลียวมองคนบนเตียงกลับพบว่าเฉิงซินถูกมัดมือไว้บริเวณเสาไม้อย่างน่าเวทนา"ฮะ...ฮูหยิน นี่ท่านแม่ทัพ..." โจวหมิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก"เหอะ! ข้าคงมัดตัวเองได้กระมัง มัวยืนบื้อทำไมเล่า หรือเจ้าอยากให้แขนของข้าเลือดลมไม่เดินจนต้องตัดมือทิ้งกันเล่า" เฉิงซินกล่าวหน้าคว่ำโจวหมิงกระวีกระวาดเข้ามาแล้วจึงปลดเข็มขัดที่ผูกรัดข้อมือออกให้เฉิงซิน แขนที่ห้อยต่องแต่งชาดิกจนไม่อาจขยับ ใบหน้าเฉิงซินเหยเก ความกรุ่นโกรธปะทะขึ้นหน้าเสียจนอยากระเบิดมันออกมาเดี๋ยวนั้น"เว่ย จวิน อี้ ข้าจะฆ่าท่าน!"โจวหมิงลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึก คาดไม่ถึงว่าวันวิวาห์ของแม่ทัพเว่ยกลับปล่อยให้ฮูหยินนอนเป
เฉิงซินยกแขนที่ยังเกิดรอยแดงขึ้น ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เฉิงซินจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ นางลดมือลงเดี๋ยวนั้น พลันหมุนกายเสียจนเกิดลมโกรก เว่ยจวินอี้ลอบมองไปยังข้อมือที่ยังเกิดรอยแดง หน้าของเขากระตุกวูบเฉิงซินกระฟัดกระเฟียดกลับไปแล้ว โจวหมิงจึงเข้ามาทันได้เห็นใบหน้าบูดบึ้งของสตรีที่สวนทางกับตนออกไปไว ๆ"ท่านแม่ทัพ เกิดเหตุใดขึ้นเล่า ไฉนฮูหยิน" โจวหมิงเหลียวมองทางที่เฉิงซินจากไป และเบนหน้ากลับมายังนายของตน ขมวดคิ้วบางด้วยความฉงน"นางมาขอหย่า""หา...ขอหย่าหรือ แล้วท่านตกลงเลยหรือไม่"เว่ยจวินอี้ส่ายศีรษะ"อ้าว เหตุใดท่านไม่หย่าเล่า ก็ในเมื่อท่านอยากแต่งกับคุณหนูช่ายจี้ถงมาโดยตลอดมิใช่หรือ"เว่ยจวินอี้ละมือจากงานของตนอีกหน เขาหรี่นัยน์ตาลง ความรู้สึกของแม่ทัพยามนี้คล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง คราที่นางต้องการตัวเขาเฝ้าตามติดระรานตนแจ ซ้ำยังวางกลอุบายเสียจนได้ตบแต่งเข้ามา ทว่าแต่งงานยังไม่พ้นวัน นางก็ขอหย่า เช่นนี้ไม่ให้ตนเกิดข้อกังขาได้อย่างไร หรือนางอาจเป็นกลลวงของใครบางคน"เจ้าไม่คิดว่ามันน่าแปลกอย่างนั้นหรือ""น่าแปลกอย่างไรหรือขอรับ" โจวหมิงงุนงง เขายังไม่เข้าใจเจตนารมณ์
ปึง!เสียงกระแทกฝ่ามือพร้อมกระดาษหนึ่งแผ่นลงบนโต๊ะหนังสือดังสนั่น เว่ยจวินอี้เงยหน้าขึ้นจากกองรายงาน วางม้วนไม้ไผ่ลงด้วยความเชื่องช้า เขาขึงดวงตามองผู้มาเยือนอย่างไม่สบอารมณ์ เหตุใดนางจึงมารยาททรามยิ่งนัก"ท่านหย่ากับข้าเถิด"เฉิงซินจ้องหน้าแม่ทัพเขม็ง กล่าววาจาอย่างมุ่งมั่น เว่ยจวินอี้ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เขาเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งฝั่ง พยายามกดข่มอารมณ์คุกรุ่นลงไป "นึกครึ้มใดขึ้นมาได้เล่า อยู่ ๆ จึงมาขอหย่าเช่นนี้""ได้! ข้าบอกความจริงท่านก็ได้""ความจริงหรือ" เว่ยจวินอี้แสร้งกลับไปสนใจกองรายงานของตนต่อ ราวกับว่าผู้มาเยือนเป็นดั่ง ลม ฟ้า อากาศสำหรับเขาเฉิงซินหลับดวงตา ผ่อนลมหายใจเพื่อข่มความอัปยศในกาลก่อนเอาไว้ลึกสุดก้นบึ้ง "วันนั้นท่านและข้ายังไม่ได้เกินเลยกัน"เว่ยจวินอี้ชะงักลงชั่วครู่ เฉิงซินได้ยินเสียงหัวเราะหึแผ่วเบา ราวกับว่าแม่ทัพผู้นี้ไม่ได้รู้สึกรู้สาใดเลย เขาหัวเราะเช่นนั้นหรือ หัวเราะด้วยน้ำเสียงเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน"ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร" เฉิงซินขมวดคิ้วบาง นี่เป็นเรื่องดีกับเว่ยจวินอี้ด้วยซ้ำ เหตุใดเขาช่างดูใจเย็นและประวิงเวลาให้ยืดเยื้อเช่นนี้เล่า การที่นา
คล้อยหลังโจวหมิง เฉิงซินเหลียวหน้ามองถาดอาหารที่วางอยู่โต๊ะตรงข้ามตนไม่ไกลมากนัก นางผ่อนลมหายใจเบา แล้วจึงตัดสินใจสาวเท้าเดินไปเบื้องหน้าเชื่องช้าเพื่อปรับร่างกายให้คุ้นชิน เฉิงซินยอบกายลงนั่งพลางมองโจ๊กเปล่าถ้วยหนึ่ง และผักทอดน้ำมันไม่กี่หยิบมือ พลางยิ้มเยาะออกมาด้วยความขบขัน"แม่ทัพงี่เง่า ท่านจะรังแกข้าเกินไปเสียแล้ว ชังน้ำหน้าข้าก็ไม่เป็นไร แม้แต่อาหารการกิน ท่านก็ยังดูถูกข้าเช่นนั้นหรือ" ถึงจะรู้สึกโมโหเสียจนอยากระเบิดอารมณ์เพียงใด ทว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง วันนี้นางต้องไปเจรจากับแม่ทัพเว่ยให้รู้เรื่อง ไหน ๆ เขาก็ไม่แยแสตนอยู่แล้ว การรั้งอยู่ที่นี่ก็รังแต่จะสร้างความรำคาญและหงุดหงิดใจระหว่างกันเสียเปล่าซ้ำเฉิงซินไม่อยากกลับไปตายอย่างอนาถซ้ำรอยเดิม บุรุษใจแคบ อำมหิตผิดมนุษย์ ฆ่าแกงได้แม้กระทั่งฮูหยินของตนเพื่ออนุผู้หนึ่ง ทว่าเมื่อหวนนึกถึงตรงนี้ เฉิงซินจึงพ่นลมหายใจอย่างเสียไม่ได้ในเมื่อนางช่วงชิงคนรักของเขามา เช่นนั้นก็ควรคืนเจ้าของอย่างแท้จริงนั่นถูกต้องแล้ว ผลกรรมที่ผ่านมาคงเป็นการชดเชยบาปหนาที่ตนเคยกระทำแต่กาลก่อนกระมังเฉิงซินละเลียดชิมโจ๊กเปล่าด้วยความใจเย็น แววตาที่เคยแข
"โจวหมิง ท่านเองหรือ" เฉิงซินขมวดคิ้ว ประตูที่พังครืนลงเมื่อสักครู่เป็นฝีมือองครักษ์ผู้นี้หรอกหรือ เหตุใดจึงมาเอะอะโวยวายแต่เช้าเยี่ยงนี้เล่า"เอ่อ...ฮูหยิน ข้าน้อยขออภัย บังเอิญมือหนักไปนิดก็เพียงเท่านั้น วันนี้ท่านแม่ทัพติดพันงานหลวง จึงไม่สะดวกมาพบท่าน" โจวหมิงองครักษ์คนสนิทของเว่ยจวินอี้สาวเท้าเข้ามาภายในพร้อมถาดอาหารหอมกรุ่น เขายอบกายลงวางถาดไว้ยังโต๊ะฝั่งตรงข้าม เมื่อสักครู่เขาไม่ทันสังเกตอย่างแจ่มชัดนัก ทว่าเมื่อตนเหลียวมองคนบนเตียงกลับพบว่าเฉิงซินถูกมัดมือไว้บริเวณเสาไม้อย่างน่าเวทนา"ฮะ...ฮูหยิน นี่ท่านแม่ทัพ..." โจวหมิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก"เหอะ! ข้าคงมัดตัวเองได้กระมัง มัวยืนบื้อทำไมเล่า หรือเจ้าอยากให้แขนของข้าเลือดลมไม่เดินจนต้องตัดมือทิ้งกันเล่า" เฉิงซินกล่าวหน้าคว่ำโจวหมิงกระวีกระวาดเข้ามาแล้วจึงปลดเข็มขัดที่ผูกรัดข้อมือออกให้เฉิงซิน แขนที่ห้อยต่องแต่งชาดิกจนไม่อาจขยับ ใบหน้าเฉิงซินเหยเก ความกรุ่นโกรธปะทะขึ้นหน้าเสียจนอยากระเบิดมันออกมาเดี๋ยวนั้น"เว่ย จวิน อี้ ข้าจะฆ่าท่าน!"โจวหมิงลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึก คาดไม่ถึงว่าวันวิวาห์ของแม่ทัพเว่ยกลับปล่อยให้ฮูหยินนอนเป
ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีกาล มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกยุ่งเหยิงหนักหน่วงดังเป็นระยะมาจากเตียงไม้ขัดเนื้อดีเฮือก!“ข้าตายหรือยัง!”เฉิงซินดีดกายผึง หายใจหอบเหนื่อยเสียจนหน้าอกกระเพื่อมไหว สีหน้าซีดขาวผุดพราวด้วยหยาดเหงื่อเย็น ภายใต้ผ้าแพรสีชาดที่คลี่คลุมและบดบังใบหน้านัยน์ตามองลอดไม่รู้ทิศทาง“หืม…ผ้าผืนนี้คือสิ่งใดกัน” คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันเชื่องช้า จิตใจของนางเต้นระทึกทว่ายังคงครองสติเอาไว้มั่น เฉิงซินเอื้อมมือขึ้นแล้วจึงเลิกผ้าคลุมซึ่งกำลังซ่อนเร้นกรอบหน้าและการมองเห็นของตนออกด้วยความสั่นเทาพรึบ!ดวงตากลมโตกะพริบถี่หญิงสาวตะลึงลานถึงขีดสุด“ไม่ใช่ว่าข้าอยู่งานแต่งอนุช่ายจี้ถงหรอกหรือ”ปัง!เสียงฝีเท้าเดินโซซัดโซเซไม่เป็นจังหวะ กลิ่นสุราคละคลุ้งจนแทบเวียนศีรษะ หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อพบว่าผู้ที่ยืนใบหน้าแดงก่ำหน้าธรณีทางเข้า ซ้ำยังเมามายคล้ายเสียสติไปแล้วคือผู้ใด“ท่านแม่ทัพ!”ภาพเบื้องหน้ายิ่งเพิ่มความตระหนกให้เฉิงซินยกใหญ่ มิใช่ว่าวันนี้คืองานแต่งฮูหยินรองของแม่ทัพเว่ยจวินอี้หรอกหรือ เหตุใดผู้ที่สวมชุดวิวาห์จึงเป็นนางเล่า เหตุใดจึงกลายเป็นว่านางมานั่งอยู่ในห้องหอเสียเองเฉิ