เฉิงซินยกแขนที่ยังเกิดรอยแดงขึ้น ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เฉิงซินจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ นางลดมือลงเดี๋ยวนั้น พลันหมุนกายเสียจนเกิดลมโกรก เว่ยจวินอี้ลอบมองไปยังข้อมือที่ยังเกิดรอยแดง หน้าของเขากระตุกวูบ
เฉิงซินกระฟัดกระเฟียดกลับไปแล้ว โจวหมิงจึงเข้ามาทันได้เห็นใบหน้าบูดบึ้งของสตรีที่สวนทางกับตนออกไปไว ๆ
"ท่านแม่ทัพ เกิดเหตุใดขึ้นเล่า ไฉนฮูหยิน" โจวหมิงเหลียวมองทางที่เฉิงซินจากไป และเบนหน้ากลับมายังนายของตน ขมวดคิ้วบางด้วยความฉงน
"นางมาขอหย่า"
"หา...ขอหย่าหรือ แล้วท่านตกลงเลยหรือไม่"
เว่ยจวินอี้ส่ายศีรษะ
"อ้าว เหตุใดท่านไม่หย่าเล่า ก็ในเมื่อท่านอยากแต่งกับคุณหนูช่ายจี้ถงมาโดยตลอดมิใช่หรือ"
เว่ยจวินอี้ละมือจากงานของตนอีกหน เขาหรี่นัยน์ตาลง ความรู้สึกของแม่ทัพยามนี้คล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง คราที่นางต้องการตัวเขาเฝ้าตามติดระรานตนแจ ซ้ำยังวางกลอุบายเสียจนได้ตบแต่งเข้ามา ทว่าแต่งงานยังไม่พ้นวัน นางก็ขอหย่า เช่นนี้ไม่ให้ตนเกิดข้อกังขาได้อย่างไร หรือนางอาจเป็นกลลวงของใครบางคน
"เจ้าไม่คิดว่ามันน่าแปลกอย่างนั้นหรือ"
"น่าแปลกอย่างไรหรือขอรับ" โจวหมิงงุนงง เขายังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของผู้เป็นนายอยู่วันยังค่ำ สตรีที่เกลียดชังขอหย่า ทว่าแม่ทัพกลับปฏิเสธ ครั้นเมื่อนางจ้องจะแต่งเขาก็ปฏิเสธเช่นกัน แม่ทัพเว่ยผู้นี้ช่างเอาใจยากโดยแท้
"เมื่อก่อนนางอยากแต่งงานกับข้าใจแทบขาด ทว่าวันนี้นางกลับยืนกรานที่จะหย่า มีบางอย่างผิดแผกไปไม่น้อย"
"ท่านแม่ทัพ ท่านคิดมากไปหรือไม่ขอรับ หย่าให้นางทุกอย่างก็จบ"
"ไม่ได้ เจ้าไปจับตาดูนาง หากมีสิ่งใดผิดปกติ ให้มารายงานข้าอย่าได้บกพร่องเด็ดขาด"
"ขอรับ"
"เดี๋ยวก่อน!"
โจวหมิงงุนงง พลางมองตามฝ่ามือของเว่ยจวินอี้ซึ่งกำลังควานหาบางสิ่งใต้โต๊ะของตน
"เอาไปให้นาง"
โจวหมิงรับมา เขาหมุนซ้ายหมุนขวาแล้วเบิกตากว้าง "ท่านแม่ทัพนี่..."
"พูดมากความ จะไปได้หรือยัง" เว่ยจวินอี้กล่าวเสียงขรึม
"ขะ...ขอรับ"
โจวหมิงจึงค้อมศีรษะเร็วรี่พลางหมุนกายเดินจากไปโดยไม่รอช้า
เขาจับตาดูเฉิงซินอย่างไม่คลาดสายตาตามที่นายของตนประสงค์ วันเวลาผันผ่านรวดเร็วราวพลิกฝ่ามือ แม่ทัพและฮูหยินไม่เคยร่วมห้องกันสักครา ทว่าสิ่งหนึ่งที่โจวหมิงนั้นต้องประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
"ท่านแม่ทัพ ข้าว่าฮูหยินก็หาได้ทำการใดผิดแผกไป กลับเป็นที่รักใคร่ของบรรดาบ่าวรับใช้ด้วยซ้ำ ทว่ามีเรื่องหนึ่ง"
"หืม...เรื่องใด" เว่ยจวินอี้ขมวดคิ้ว เขาประหลาดใจอยู่ทีเดียวที่โจวหมิงเอ่ยว่าเฉิงซินเป็นที่รักใคร่ของบ่าวไพร่ ถึงจะเคยได้ยินเรื่องนี้แว่วผ่านหูมาบ้างก็ตาม น่าแปลกเสียจริง หลังแต่งงานอุปนิสัยของคนผู้หนึ่งสามารถแปรผันได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
"ข้ามักเห็นนางออกไปนอกจวนอยู่บ่อยครั้ง ฮูหยินนาง นาง..."
"มัวอ้ำอึ้งด้วยสิ่งใด"
"ข้าเห็นนางไปพบกับรองแม่ทัพเสวียนอยู่บ่อยครั้ง เอ่อ..."
"เจ้าว่าอย่างไรนะ ลอบพบกับรองแม่ทัพเสวียน" เว่ยจวินอี้ละสายตาจากงานของตน หน้าของเขากระตุกเล็กน้อย ในดวงตามีเปลวโทสะขึ้นมาระลอกหนึ่ง
"ตะ...แต่ว่า พวกเขาเพียงเดินเที่ยวชมของในตลาดและแผงลอย แล้วก็แวะทานอาหารกันบ้างก็เพียงเท่านั้น คำพูดอื่นข้าแทบไม่ได้ยินว่าท่านรองแม่ทัพกับฮูหยินสนทนาสิ่งใดกัน ข้าเกรงว่าหากเข้าใกล้มากไปกว่านี้อาจถูกจับได้"
เว่ยจวินอี้ยกมือขึ้นปราม เขาลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว เปลวเทียนที่สว่างหรุบหรู่ใกล้มือหนึ่งเล่ม ดับวูบลงราวรู้ถึงอารมณ์เย็นเยียบในแววตาของตน
"ท่านแม่ทัพจะไปที่ใดหรือขอรับ"
โจวหมิงตั้งท่าเดินตามนายของตนออกไปทว่ากลับถูกร้องปรามเอาไว้เสียก่อน "เจ้ากลับไปพักได้แล้ว ไม่ต้องตามข้า คืนนี้ข้าจะกลับหอนอน"
"หา...กลับหอนอนหรือ" ร้อยวันพันปี นับตั้งแต่เฉิงซินก้าวเข้ามา เว่ยจวินอี้แทบไม่เฉียดเข้าใกล้พื้นที่ที่มีอีกฝ่ายอยู่แม้แต่น้อย ทำราวกับว่าจะติดเชื้อกลับมาอย่างไรอย่างนั้น ทว่าอยู่ ๆ วันนี้นายของเขากลับเดินดุ่ม ๆ มุ่งหน้าไปเรือนนอนของตนด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ กลับสร้างความฉงนให้โจวหมิงอยู่ไม่น้อย
"แม่ทัพเป็นอะไร หึงหรือ" โจวหมิงขมวดคิ้ว พร่ำคุยกับตัวเองราวพวกเพ้อพก พลางสั่นส่ายศีรษะไปมา "ไม่จริงหรอกน่า ท่านแม่ทัพมีคุณหนูช่ายจี้ถงทั้งใจ"
โจวหมิงจึงทำได้เพียงยกมือขึ้นเกาศีรษะเกาแก้มแก้เก้อมองเจ้านายหายลับไปตามทาง ส่วนเว่ยจวินอี้กลับสาวเท้าฉึบฉับด้วยอาการร้อนรุ่มราวกับว่าถูกคนเอาเปลวเพลิงมาสุมดวงอก กัดฟันกรอดด้วยความกราดเกรี้ยว ไม่รู้เหตุใดตนจึงต้องหงุดหงิดถึงเพียงนี้
เฉิงซินเจ้าช่างทำงามหน้ายิ่งนัก
เสียงบานประตูแง้มออกแผ่วเบาท่ามกลางหมอกแห่งรัตติกาล เฉิงซินนอนหลับอยู่บนเตียงสะดุ้งตัวโยน พลางดีดกายลุกขึ้น รวบเอาผ้าแพรผืนบางขึ้นมาหุ้มเรือนกายของตนเอาไว้ด้วยท่าทีระแวดระวัง"ผู้ใด!?""..."เสียงฝีเท้าย่างกรายเข้ามาเชื่องช้า ไม่หนักไม่เบาจนเกินไป เฉิงซินพยายามเงี่ยหูฟัง คราก่อนที่นางได้เดินชมตลาดกับรองแม่ทัพเสวียนเฉิงฮุยบังเอิญเขาได้มอบมีดพกติดกายเล่มหนึ่งเอาไว้เพื่อให้เฉิงซินใช้ป้องกันตัวยามจำเป็น นางจึงลอบหยิบของมีคมขนาดเล็กชิ้นนั้นขึ้นมาด้วยฝ่ามือสั่นเทาคงไม่ใช่เว่ยจวินอี้กระมัง เขาไม่เคยโผล่หัวมานานแล้วเฉิงซินลอบกลืนน้ำลายลงคอ ฝ่ามือกระชับมีดสั้นลายวิจิตรสีงาช้างภายในมือของตนแน่นขึ้น เหงื่อเย็นแตกพลั่ก นางพยายามครุ่นคิดถึงวิธีเอาตัวรอดหรือร้องตะโกนออกไปเลย แต่หากโจรมันโกรธเล่าแล้ววิ่งเข้ามาจ้วงแทง กระนั้นคงไม่ตายอีกหนหรอกหรือขณะที่เฉิงซินพยายามครุ่นคิด เงาสูงหม่นทะมึนก็มาหยุดยืนบริเวณข้างเตียงเสียแล้ว เฉิงซินเบิกตากว้างตะลึงลาน อาการลุกลี้ลุกลนจนทำอะไรไม่ถูก เงาด้านนอกแหวกผ้าแพรผืนบางออกเชื่องช้า ทันทีที่ผ้าถูกเปิดออก เฉิงซินพลันหลับดวงตาปี๋และจ้วงแทงมีดสั้นออกไปเบื้องหน้าสะเ
เฉิงซินเตรียมหอบผ้าผ่อนออกไปอีกหน ทว่าอีกฝ่ายยังคงกล่าวเสียงขรึม "ข้าบอกว่าอย่างไร ไม่ฟังแล้วหรือ นี่คงเป็นเหตุผลที่เจ้าอยากหย่ากับข้าใช่หรือไม่""ห้ะ!"เฉิงซินงุนงง เขาต้องการพูดเรื่องใดกับนางกันแน่ เดี๋ยวเรื่องไป เดี๋ยวเรื่องหย่า ทำให้นางรู้สึกสับสนมึนงงไปหมด"นอนตรงนี้ หากไม่เชื่อฟัง ข้าจะผูกเจ้าติดกับเสาเตียงเอาไว้จนเช้า และจะขังไว้ในจวน จะได้ไม่ต้องเที่ยวร่อนไปหาชายอื่นทั้งที่ตนแต่งงานมีสามีแล้ว""นี่ท่าน! เว่ยจวินอี้ ทีตัวเองไปพบหญิงอื่นได้ ทว่าข้าไม่อาจไปพบสหายของตนได้เช่นนั้นหรือ ไร้คุณธรรม แล้งน้ำใจเกินไปแล้ว""ข้าไม่ได้ไปพบนาง" เว่ยจวินอี้เหลียวหน้ามองเฉิงซินเขม็งเฉิงซินผงะ ทว่านางยังคงกระแอมออกมาเพื่อกลบอาการหวาดผวาของตน"เหอะ! ท่านแม่ทัพ ผู้ใดก็ทราบดี ว่าข้าไปแย่งคนรักของผู้อื่น มาบัดนี้ข้าจะคืนความอิสระให้ท่าน ท่านก็ไม่ต้องการ ตกลงแล้วท่านจะเอาอย่างไรกันแน่ หรือยังกลั่นแกล้งข้าไม่เพียงพอ"เฉิงซินกัดฟันกรอด นางพยายามต่อสู้กับสายตาดุดันนั้นอย่างไม่ลดละเช่นเดียวกัน"นอน!""ข้าไม่อยากนอนกับท่าน!"เว่ยจวินอี้กลับไม่เชื่อฟังเสียงร้องทัดทานของเฉิงซิน เขากระทำตามอำเภอใจของตน ฝ่า
เสียงเล่าลือว่าแม่ทัพเว่ยเข้าหอกับฮูหยินดังกระฉ่อนไปทั้งจวน บรรดาบ่าวเหล่านั้นล้วนดีอกดีใจกันทั้งสิ้น เดิมทีพวกนางรังเกียจฮูหยินผู้นี้ยิ่งกว่าอะไรดี ทว่าเมื่อได้ใกล้ชิดกับนางแล้ว เฉิงซินหาใช่คนเช่นนั้น นางทั้งร่าเริง สนุกสนาน ซ้ำยังเป็นกันเอง คงมีเพียงพวกสมองเพี้ยนกระมังคอยต่อว่านางสาดเสียเทเสียไม่ลืมหูลืมตา"แม่ทัพ วันนี้ท่านจะเข้าวังหรือไม่ขอรับ" โจวหมิงกล่าวถาม เขาลอบมองดูท่าทางอิดโรยของเว่ยจวินอี้ ซ้ำยังนวดแขนของตนไปมาราวกับว่าจับดาบจับกระบี่ฝึกซ้อมอย่างหนัก"วันนี้ไม่เข้า อ้อ...ช่วงสายใต้เท้าช่ายจะเข้ามาคุยราชการที่จวน เจ้าช่วยไปกำชับห้องอาหารและเตรียมห้องรับรองไว้ด้วย""ขอรับ"โจวหมิงลอบกลืนน้ำลาย ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เอ่ยถามอีกหน "แม่ทัพท่านเมื่อยหรือ""เล็กน้อย" เว่ยจวินอี้ช้อนดวงตาขึ้นเชื่องช้า "ทำไมหรือ" คิ้วเข้มขมวดบาง"เมื่อคืนท่าน...""เหลวไหล เจ้ากำลังคิดสิ่งใด เรื่องที่ข้าบอกไปเมื่อครู่จำได้หรือไม่เล่า""ขะ...ขอรับ ข้าจำได้แล้ว" กล่าวจบโจวหมิงจึงตะบึงกายถลันออกจากห้องเดี๋ยวนั้น เกรงว่าหากถามมากกว่านี้คงได้แผลขึ้นมาสักรอยเป็นแน่เว่ยจวินอี้มองตามแผ่นหลังลูกน้องขอ
ศาลาริมสระน้ำ บรรยากาศล้วนร่มรื่น การรับประทานอาหารและหารือเรื่องราชกิจมาถึง เฉิงซินได้นั่งร่วมวงบนโต๊ะอาหาร เว่ยจวินอี้สังเกตเห็นความผิดปกติบนนิ้วของนางพลางนิ่วหน้านางเป็นอันใด ทำตัวเซ่อจนได้เรื่องอีกแล้วหรือ"ท่านพี่ปลานี้เนื้อนุ่มนัก ท่านทานมากหน่อยนะเจ้าคะ" เสียงใสเอ่ยตัดบทภวังค์เว่ยจวินอี้เขาจึงผินหน้ามองคุณหนูช่ายพลางคลี่ยิ้มอ่อนช่ายจี้ถงคีบเนื้อปลาสีขาวนวลลงไปยังถ้วยของเว่ยจวินอี้ นางคลี่ยิ้มละไม ส่วนเฉิงซินก็หาได้สนใจพวกเขาทั้งสอง นางยังคงก้มหน้าก้มตาทานอาหารของตนต่อไป ทว่าแม่ทัพเว่ยกลับลอบมองท่าทีเย็นชาของเฉิงซินอย่างหงุดหงิดใจ นางแทบไม่สนใจเขาเลย เอาแต่ละเลียดชิมอาหารเบื้องหน้าช่างเห็นแก่กินยิ่งนัก"ท่านแม่ทัพ จวนของท่านตอนนี้ที่ตบแต่งเข้ามามีเพียงฮูหยินใช่หรือไม่" ใต้เท้าช่ายเอ่ยเฉิงซินผู้ลอบฟังอย่างเงียบ ๆ ชะงักตะเกียบลงทว่าหาได้เล็กรอดไปจากสายตาของแม่ทัพ เว่ยจวินอี้จับสังเกตอาการผิดแผกของนางได้ เขาจึงแสร้งยิ้มขัน "ตามที่ท่านเห็นอย่างไรเล่าใต้เท้า"ใต้เท้าช่ายมองไปยังบุตรีของตนซึ่งกำลังแสดงอาการกระมิดกระเมี้ยนอยู่ไม่น้อย ภายในใจของเฉิงซินตะโกนร่ำร้องเสียจนแทบกระดอนออก
เสียงบ่าวของช่ายจี้ถงร้องเอะอะโวยวายให้อลหม่าน ผู้ที่นั่งสนทนากันอยู่บนศาลาริมน้ำตกใจยืนขึ้นฉับ เว่ยจวินอี้มองเฉิงซินที่กำลังหน้าถอดสีอยู่ริมแม่น้ำ เขาพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งคำรบ"ไอหยา...ทำอย่างไรดี ช่ายเอ๋อร์ว่ายน้ำไม่เป็น" ใต้เท้าช่ายวิ่งรี่ไปยังพื้นที่เกิดเหตุดุ่ม ๆ ด้วยร่างกายที่ท้วมใหญ่ ทำให้ฝีเท้าของเขาช่างอืดอาดราวเต่ากำลังไต่ขึ้นเขาก็ไม่ปานเว่ยจวินอี้จึงสาวเท้าฉับลงจากเรือนพลางกระโจนลงไปยังแม่น้ำด้วยความรวดเร็ว บ่าวไพร่ต่างวิ่งเข้ามามุงดู โจวหมิงเบิกตาโพลง"ท่านแม่ทัพ!"ต่างคนต่างร้อนใจกันเสียยกใหญ่ กล่าวซุบซิบนินทา เสียงแตกจากกันออกเป็นสองฝั่ง เฉิงซินได้ยินชัดถนัดหู แม้น้ำเสียงจะเบาเพียงใดก็ตามนางไม่ได้ทำ!ฮูหยินผลักนางหรือจะใช่หรือ เจ้าไม่ได้เห็นนี่ นางอาจผลัดตกลงไปเองก็ได้แต่คุณหนูช่ายกับฮูหยินเดินเคียงกัน เหตุใดอีกฝ่ายไม่ช่วยดึงก่อนเล่าอุบัติติเหตุผู้ใดจะทันได้ระวังเล่าเสียงซุบซิบดังให้ระงม เว่ยจวินอี้ช่วยช่ายจี้ถงขึ้นมาจากน้ำได้สำเร็จ นางทั้งไอทั้งสำลักไม่หยุดหย่อน เมื่อบ่าวไพร่ดูจะหลงลืมหน้าที่ตนมากไปเสียแล้ว เว่ยจวินอี้จึงตวาดขึ้น"พวกเจ้าไม่มีงานทำเช่นนั้นหรือ ว่าง
เผิงหลิน "ฮูหยิน เหตุใดท่านไม่บอกท่านแม่ทัพตามตรงเล่าเจ้าคะ""เจ้าคิดว่าข้าบอกไปแล้วเขาจะเชื่อข้าหรือ ช่างเถอะอย่าใส่ใจเลย รีบเก็บข้าวของให้เรียบร้อยก็แล้วกัน"หลี่อ้ายซีและเผิงหลินเหลียวมองกัน แววตาของนางรู้สึกเวทนานายหญิงของตนจับใจ ตั้งแต่ได้ติดตามข้างกายเฉิงซิน นางช่างอ่อนโยน และน้ำใจงาม แม้จะดูแก่นแก้วไปบ้างในบางเรื่อง ทว่ากลับทำให้จวนแม่ทัพที่ดูตึงเครียดมาก่อนมีสีสันขึ้นมามากนัก"ฮูหยินเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วหรือไม่เจ้าคะ อีกเดี๋ยวต้องเตรียมตัวที่ลานรับโทษ" บ่าวสตรีร่างท้วมเดินเข้ามาเร่งเร้าพวกนางดูเหมือนนางจะเป็นผู้รับหน้าที่ดูแลเรื่องการลงโทษเรื่องในจวนแม่ทัพแห่งนี้ เผิงหลินมองอีกฝ่ายเขม็ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ "เจ้าไม่เห็นหรือ ว่าพวกข้าเร่งมืออยู่ อีกอย่างแม่ทัพบอกว่าสองชั่วยามไม่ใช่รึ จะเร่งร้อนให้ได้อะไร ไต่สวนยังไม่รู้ความก็คิดจะลงทัณฑ์กันเสียแล้ว""ข้าเพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น เชิญฮูหยินเตรียมตัวให้พร้อม"เฉิงซินพยักหน้าด้วยความเข้าใจ นางยืดกายขึ้น กล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม"พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เพียงยี่สิบไม้เท่านั้น ไม่คณามือข้าหรอก""ฮูหยิน" หลี่อ้ายซีช้อนดวงตาข
ลานลงทัณฑ์หน้าหอกักตน เฉิงซินนั่งคุกเข่าเพื่อรอรับการโบยอยู่ตรงนั้น นางไม่ขยับไปไหน จริง ๆ ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ ทว่านางกลับถูกลากตัวมาก่อนราวกับว่านางจะติดปีกบินหนี ซ้ำยังต้องนั่งคุกเข่าตากแดดตากลม เหงื่อชื้นไหลท่วมกาย ใบหน้าของนางเริ่มซีดขาวลงทุกขณะ เฉิงซินไม่ได้สังเกตว่ามีสตรีนางหนึ่งลอบเข้ามาใกล้บ่าวผู้รับผิดชอบการลงทัณฑ์ซุนฮ่าวเดินเข้ามาเบื้องหลัง พลางลากหญิงร่างท้วมไปยังที่ลับตาซุนฮ่าว "มัวรีรอสิ่งใดเล่า เหตุใดไม่โบยนางเสีย"ของที่ว่าลืมของนาง แท้จริงแล้วแอบย้อนเข้ามาในจวนอีกครา คำกล่าวเมื่อสักครู่ทำให้บ่าวผู้ลงทัณฑ์ดูลังเลอยู่ไม่น้อย ซุนฮ่าวเห็นท่าทีกระยึกกระยักเช่นนั้นจึงยกถุงเงินขึ้นยัดใส่มืออวบอั๋น นางนึกลังเล ทว่าซุนฮ่าวกลับกล่าวกรอกหู"เจ้าไม่รู้หรือว่าคุณหนูจี้ถงเป็นคนโปรดของท่านแม่ทัพ เจ้าไม่ทำตามคำสั่งแม่ทัพ เช่นนี้…ผู้ที่จะถูกลงทัณฑ์คงต้องเปลี่ยนเป็นเจ้าแล้วกระมัง""แต่…ท่านแม่ทัพเอ่ยว่าภายในสองชั่วยาม นี่ยังไม่ถึง" นางกล่าวด้วยความประหม่า"แท้จริงแม่ทัพอยากลงทัณฑ์นางใจแทบขาด ดูสิเหลือเวลาไม่มากแล้ว เจ้าทำตามคำสั่งแม่ทัพ มีแต่จะได้กับได้ เชื่อข้า"เมื่อถ
สติของเฉิงซินเริ่มพร่าเลือนลงทุกขณะ นางมองเห็นเพียงภาพของบ่าวทั้งสองกำลังกอดกันร่ำไห้โยเย ตั้งแต่ได้เข้ามาที่จวนแม่ทัพเว่ย คงมีเพียงบ่าวสองคนนี้ที่ดูแลและเอาใจใส่นางอย่างดีที่สุด นี่คงเป็นทัณฑ์สวรรค์ที่ย้ำเตือนความผิดพลาดของเฉิงซินกระมัง ก่อนสติจะดับวูบลงในแส้ที่สิบ เฉิงซินคล้ายได้ยินเสียงกีบม้าห้อตะบึงเข้ามาไม่ไกลนัก เสียงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ และหยุดลงที่เบื้องหน้าของนางในที่สุด ทว่าเฉิงซินมองเห็นเพียงกีบเท้าที่ดีดย้ำอยู่เท่านั้น"พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใด!" เสียงทุ้มตวาดลั่นเขาหรือ เขาจริง ๆ น่ะหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร เฉิงซิน เจ้าคงใกล้สิ้นใจจนสติเลอะเลือนสินะยามนี้ในหูของเฉิงซินรู้สึกอื้ออึงไปเสียหมด นางแทบจับใจความสิ่งใดไม่ได้แล้ว สติที่พยายามประคองเอาไว้จึงดับวูบลง"ฮูหยิน!"หลี่อ้ายซี และ เผิงหลิน ต่างทิ้งข้าวของ วิ่งรี่เข้ามาอย่างลนลาน พลางคุกเข่าร่ำไห้เผิงหลิน "ท่านแม่ทัพ ช่วยฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ ฮรึก ฮืออออ..."หลี่อ้ายซี "ยังไม่ถึงสองชั่วยามด้วยซ้ำ แต่นาง นาง..."ทั้งสองกล่าวอู้อี้ไม่เป็นศัพท์ เว่ยจวินอี้เหลียวมองไปยังสตรีถือแส้ร่างท้วม นางรีบลดกายและหมอบลง ความขลาดกลัวประดังประเดเ
โคมไฟดวงกลมห้อยระย้าสีแดงสาดสะท้อนประดับประดาเต็มรายทางและบ้านเรือน บรรยากาศดูละเมียดละไมอบอุ่น บุหลันสีนวลตาเปล่งลำแสง รอบด้านโอบล้อมด้วยดวงดาวพราวระยับ วันนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ ท้องถนนเบื้องหน้าจึงแลดูครึกครื้นเป็นพิเศษ หนึ่งสตรีร่างบางทว่าโอบประคองท้องกลมสวยเดินเคียงคู่บุรุษร่างสูง ราวกับภาพบนผนังลายวิจิตรเลิศตา"ท่านพี่ ดูนั่นสิเจ้าคะ"เว่ยจวินอี้ทอดสายตามองตามปลายนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังขนมไหว้พระจันทร์ลวดลายดอกไม้งามตา เขาคลี่ยิ้มอ่อนอย่างนึกเอ็นดู ตอนนี้มือทั้งสองของเขาแทบไม่เหลือที่ว่างให้สามารถหอบหิ้วสิ่งใดได้แล้ว"เจ้าอยากกินหรือ ที่ซื้อไปนี่เจ้าว่าจะทานหมดหรือไม่" เสียงทุ้มเอ่ยอบอุ่นเฉิงซินยู่หน้าเล็กน้อย "ข้าไม่ได้หิวเสียหน่อย เป็นเจ้าตัวเล็กต่างหากเล่าเจ้าคะที่กำลังหิวอยู่" เฉิงซินลูบไล้ไปยังท้องของตนซึ่งยื่นออกมากลมดิก พลางแหงนหน้ามองแล้วฉีกยิ้มกว้างให้ผู้เป็นสามี"ก็ได้ เช่นนั้นเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้เล่า อย่าเที่ยวเดินสุ่มสี่สุ่มห้า"เฉิงซินฉีกยิ้มกว้างดีใจ "เจ้าค่ะท่านพี่"เว่ยจวินอี้เดินเข้าไปยังร้านที่มีผู้คนต่อแถวกันให้เนืองแน่น แม้เขาจะมียศถาบรรดาศักดิ์แต่ก็มิได้ใช้
บรรยากาศภายในห้องสงบเงียบ แสงจากเชิงเทียนกลางโต๊ะกำลังส่องสว่างริบหรี่ เฉิงซินกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับบาดแผลบนต้นแขนของเว่ยจวินอี้ ส่วนเขาก็เอาแต่นั่งจ้องคนที่กำลังดูแลบาดแผลให้ตนอย่างขะมักเขม้น ด้วยดวงตาเป็นประกาย"เหตุใดเจ้าจึงอยากหย่ากับข้าเช่นนั้นหรือ" เว่ยจวินอี้กล่าวทำลายความเงียบสงัดเฉิงซินชะงักมือลงชั่วครู่ นางไม่ได้แหงนหน้ามองเขา เพียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบาหวิว "ท่านเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือ"เว่ยจวินอี้ขมวดคิ้ว "รู้? ข้ารู้เรื่องใดเล่า หลังจากวันแต่งงานได้เพียงคืนเดียว ยามเช้าเจ้าก็เดินดุ่ม ๆ เข้ามาจ้องจะหย่ากับข้าให้ได้"การดูแลรักษาบาดแผลสิ้นสุดลง เฉิงซินเก็บข้าวของเรียบร้อย นางไม่ได้ตอบอีกฝ่ายเดี๋ยวนั้น เว้นระยะเล็กน้อย แล้วจึงช้อนดวงตาขึ้นสบประสานกับดวงตาคมกริบที่ไม่คิดละสายตาออกจากตน"แม่ทัพเว่ย...""ท่านพี่"เฉิงซินนิ่งเงียบ เว่ยจวินอี้จึงกล่าวอีกครั้ง "เรียกว่าท่านพี่""เอ่อ...ท่านพี่"เว่ยจวินอี้ยกโค้งมุมปากอย่างพึงพอใจ "ว่าอย่างไรเล่า""ที่ข้าอยากหย่ากับท่าน เดิมทีท่านก็ไม่เคยมีใจให้แก่ข้า""เจ้ารู้ได้อย่างไร" เว่ยจวินอี้เลิกคิ้ว นัยน์ตาพยายามกวาดมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาราว
ไม่รู้เช่นกันว่าค่ำคืนนี้นางนึกอุตริใดจึงพกมีดสั้นเอาไว้ เมื่อเห็นว่ามันหายไปจากเอวของตนและด้วยความเป็นกังวลจะเกิดอันตรายต่อแม่ทัพ นางจึงมุ่งหน้าตามอีกฝ่ายมา แม้ระหว่างทางอาจไขว้เขวเส้นทางไปบ้าง ทว่าโชคยังดีที่การเดาสุ่มของนางก็นำพาตนมาจนถึงที่แห่งนี้เสวียนเฉิงฮุย "เฉิงซิน"เฉิงซินช้อนดวงตามองคนตรงข้ามที่ยืนนิ่งเป็นหินผาไปเสียแล้ว รองแม่ทัพเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "มิใช่ว่าเจ้าเคยบอกข้าว่าอยากหย่ากับเขา แต่เขาไม่ยอมเช่นนั้นหรือ ข้ากำลังช่วยเจ้าให้สมปรารถนา ทว่าเจ้าก็ยังวิ่งรี่กลับมาหาเขาตามเดิม ข้าไม่เข้าใจ""เฉิงฮุย นี่มันวิธีการใดของท่าน ข้าอยากหย่า แต่ท่านก็ไม่ต้องทำถึงเพียงนี้หรือไม่" เฉิงซินกล่าวตำหนิ"ข้าล้วนทำเพื่อเจ้า""ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ข้าขอร้องพวกท่านทั้งสอง ถึงอย่างไรท่านก็คือสหายของข้า ส่วนท่าน..." เฉิงซินแหงนหน้ามองผู้ที่ยืนนิ่งเงียบ เว่ยจวินอี้จึงจดจ้องดวงตาของนางตอบอย่างรอถ้อยคำเฉิงซินพ่นลมหายใจอ่อน "แม้ข้าอยากหย่ากับท่าน ทว่าในใจลึก ๆ ข้าไม่เคยลืมท่านได้เลย ข้าเพียงต้องการหลุดพ้นจากวงโคจรแห่งความเจ็บปวด..."เว่ยจวินอี้นิ่วหน้า "ข้าทำให้เจ้าเจ็บปวดถึงเพียงนั้นเช
ภายในป่าอันเงียบสงัดมีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไร ดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ เว่ยจวินอี้ไล่ตามชายชุดดำจนลึกเข้ามาถึงป่าไผ่สูงชะลูด เขายืนเยือกนิ่งอยู่กลางวงล้อมของบรรดาไผ่ต้นยาว เสียงเอี๊ยดอ๊าดเสียดสีของลำต้นโงนเงนไปมาตามแรงลม เสริมความวังเวงให้น่าหดหู่มากยิ่งขึ้น เว่ยจวินอี้หอบหายใจเข้าออกถี่กระชั้น บ่งบอกถึงระยะทางที่เขาใช้แรงกายวิ่งออกมาไกลลิบ เส้นผมซึ่งถูกปล่อยสยายลงกลางหลัง และแขนเสื้อสีขาวกว้างปลิวล้อสายลมยามราตรีขับเน้นความหล่อเหลาทว่าน่าเกรงขามอยู่ในที เขาพยายามเงี่ยหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวอย่างใจจดใจจ่อ"มัวหลบซ่อนราวสุนัขหดหัว ไม่อายบ้างหรืออย่างไร ออกมาเสีย!"เวลาผ่านไปชั่วครู่ เสียงฝีเท้าจึงค่อย ๆ ย่างกรายเนิบนาบมาจากมุมอับสายตาอันมืดมิดด้านหนึ่ง ชายร่างสูงสวมอาภรณ์ทะมัดทะแมงสีดำเข้ม ปกปิดหน้าครึ่งใบ ในมือถือมีดสั้นเล่มหนึ่ง เว่ยจวินอี้เขม้นมองของสิ่งนั้นอย่างสนใจใคร่รู้"เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไรจากข้าเช่นนั้นหรือ ไฉนจึงตามระรานไม่เลิก"เว่ยจวินอี้ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะจากลำคอของอีกฝ่าย "เรื่องนั้นสำคัญด้วยเช่นนั้นหรือ""หึ" เว่ยจวินอี้แค่นยิ้ม "ต่อให้เจ้าไม่บอกคิดว่าข้าไม่รู้เช่
ซุนอี้เหวินยื่นช้อนจ่อไปยังริมฝีปากเว่ยจวินอี้ นางรู้สึกประหม่าจิตใจเต้นอึกทึก ดวงตาที่ไม่มีผ้าคาดปกปิดมานานเพียงนี้ราวกับว่าเขากำลังจดจ้องมาที่นางโดยไม่ละสายตา กลิ่นขมของยาโชยปะทะโพรงจมูกของเขา เว่ยจวินอี้รู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องกลืนของเหลวรสย่ำแย่นี้แล้วจริง ๆ"ข้าไม่กินยาแล้วได้หรือไม่"ซุนอี้เหวินไม่ได้คะยั้นคะยอใด นางวางถ้วยลงและยื่นมือไปยังข้อมือของเว่ยจวินอี้ เขารู้เจตนาของนางดีว่าต้องการทำสิ่งใด เว่ยจวินอี้ยังคงนั่งสงบนิ่งเพื่อให้อีกฝ่ายตรวจวัดชีพจรของตนอย่างใจเย็น ซุนอี้เหวินขมวดคิ้ว หัวใจของนางเริ่มเต้นดังโครมคราม เหงื่อเย็นผุดพราวราวพบเจอเรื่องน่าประหวั่นเข้าให้เสียแล้ว ก่อนจะทันได้ผละออก จู่ ๆ ข้อมือของนางก็ตึงวืด กายลอยหวือนั่งแหมะลงบนตักแกร่ง ใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยผ้าแพรผืนบางถูกดึงลงแทบลืมหายใจ ซุนอี้เหวินเบิกตากว้างตะลึงลาน ส่วนผู้กระทำการอุกอาจกลับยิ้มลอยหน้าลอยตาไม่อนาทรร้อนใจใด"ซุนอี้เหวิน อา...ไม่ใช่กระมัง เฉิงซิน… หากเจ้าเป็นห่วงข้าก็ควรบอกเป็นห่วง ไฉนต้องทำถึงเพียงนี้กันเล่า"ผู้ที่ถูกจับได้ถึงกับใจเต้นกระหน่ำเรือนกายแข็งดั่งรูปสลักหินผาอยู่เช่นนั้น ริมฝีปากซึ่งไม
"หลายวันนี้ลำบากท่านแล้ว อากาศเช่นนี้ท่านชอบหรือไม่"ซุนอี้เหวินพยักหน้า"ข้าขอถามท่านหมอหนึ่งสิ่งได้หรือไม่"นางแหงนหน้าขึ้นมองคนตัวสูง ครุ่นคิด แล้วจึงพยักหน้าเป็นการตกลง"ท่านมีสามีแล้วหรือไม่"ดั่งอสนีบาตฟาดกลางกระหม่อม ซุนอี้เหวินยืนตัวแข็งทื่อหยุดฝีเท้าลงเดี๋ยวนั้น'สามีหรือ เกรงว่าสามีของนางคงไม่ยอมรับนางเป็นภรรยากระมัง'ซุนอี้เหวินจึงตัดสินใจยกฝ่ามืออีกฝ่ายขึ้นและเขียนบางสิ่ง'เหตุใดท่านจึงต้องการรู้เล่า'เว่ยจวินอี้คลี่ยิ้มบาง "ท่านไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าจะเล่านิทานให้ท่านฟัง"ซุนอี้เหวินกะพริบดวงตางุนงง"ครั้งหนึ่งมีนายทหารและคุณหนูตระกูลใหญ่อยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา ทั้งสองดูเหมือนรักใคร่กันดี แต่ที่จริงแล้วคุณหนูผู้นี้ต้องการหย่ากับเขายิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่นางก็ชมชอบเขา ทว่าสาเหตุที่นางต้องการหย่านายทหารผู้นั้นก็สุดจะรู้ วันหนึ่งเขาต้องออกไปรบรายังชายแดน เมื่อกลับมาก็พบว่าตนดั่งผู้พิกลพิการ ดวงตามืดบอดไม่อาจมองเห็นใบหน้าอันงดงามของภรรยาตนได้อีกต่อไป เขาไม่อยากให้คุณหนูผู้เป็นภรรยาที่รักต้องลำบากและจมปลักไร้อนาคต จึงตัดสินใจเขียนใบหย่ายื่นให้นาง หลังจากนั้นท่านว่านาง
เวลาล่วงเลยมาได้หนึ่งสัปดาห์ดวงตาของเว่ยจวินอี้กลับไม่ดีขึ้นเลย นางพร่ำถามเขาเสมอว่ามองเห็นบ้างหรือไม่ เขากลับตอบว่ายังมองไม่เห็น ทั้งที่นางตรวจวัดชีพจรของเขาแล้วดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติเกือบทั้งหมด อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมองเห็นบ้างเลือนราง ทว่าคำตอบที่ได้แต่ละวันข้ามองยังไม่เห็นนางก็ทำได้เพียงทอดถอนใจก้มหน้าทำหน้าที่ของตนต่อไปทั้งที่คลางแคลงใจแต่ไม่อาจละทิ้งผู้ป่วย"ท่านแม่ทัพมีเทียบเชิญไปงานวิวาห์คุณหนูจี้ถงขอรับ" โจวหมิงเดินรี่เข้ามา พลางยื่นเทียบงานแต่งให้กับเว่ยจวินอี้ซุนอี้เหวินที่อยู่ตรงนั้นด้วยได้ยินเข้าก็แอบสะดุ้ง พลางแปลกใจพิกล'มิใช่ว่าคุณหนูจี้ถงอยากแต่งงานกับแม่ทัพหรอกหรือ'เว่ยจวินอี้เอ่ยราวกับรู้ใจนาง "จี้ถงจะแต่งงานแล้วหรือ เฮ้อ...นี่สิหนา ผู้ใดเขาจะอยากจมปลักอยู่กับแม่ทัพตาบอดเช่นข้ากันเล่า แม้แต่ฮูหยินของข้ายังหนีไปแล้วเช่นกัน"ซุนอี้เหวินหน้าเผือดสีลง ทว่านางยังคงทำราวกับไม่ได้ยินสิ่งเหล่านั้น ปล่อยผ่านเลยไปเช่นเสียงหวีดหวิวของลมพัด"ท่านจะไปหรือไม่ขอรับ" โจวหมิงเอ่ยถามเขาเหลียวหน้ามองไปตามเสียง เว่ยจวินอี้ฉีกยิ้มดูเบิกบานใจเสียด้วยซ้ำ "ข้าย่อมต้องไปอยู่แล้ว"จู่ ๆ
ด้วยองศาที่ต้องเอียงมองเบื้องหลัง จึงทำให้ใบหน้าของนางแนบชิดเว่ยจวินอี้ยิ่งนัก ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดเข้ามาเสียจนขนอ่อนลุกเกรียว ไม่รู้ว่าซุนอี้เหวินหูฝาดไปเองหรือไม่ นางได้ยินเสียงหัวเราะหึซึ่งอีกฝ่ายมักขบขันตนเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้จิตใจของนางกระสับกระส่ายมากยิ่งกว่าเดิมนัก อกด้านซ้ายพลอยกระหน่ำโลดเสียจนแทบหยุดเต้น"แกะไม่ได้หรือ"จู่ ๆ เสียงทุ้มก็ดังขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย ซุนอี้เหวินสะดุ้งตัวโยน เว่ยจวินอี้รับรู้ถึงแรงกระตุกน้อย ๆ นั้น "ขออภัยท่านหมอ ไฉนขวัญอ่อนเพียงนี้เล่า"'ใครให้อยู่ ๆ อยากพูดก็พูด อยากเงียบก็เงียบเล่า'นางอยากออกจากห้องนี้โดยเร็วเหลือเกิน รู้สึกอึดอัดจนแทบหยุดหายใจลงไปเดี๋ยวนั้น ในที่สุดผ้าที่พยายามยื้อยุดแกะคลายมานานก็ถูกปลดลงเสียที ซุนอี้เหวินระบายลมหายใจโล่งอก นางค่อย ๆ ถอยห่างจากอีกฝ่ายช้า ๆ หัวใจเต้นอึกทึกด้วยความประหม่า'ซุนอี้เหวิน อย่าได้กลัวไป เขายังไม่หายวันหายพรุ่งหรอกน่า'นางพยายามปลอบประโลมตนเองทั้งที่ใบหน้าซีดขาวลงไปกว่าครึ่งแล้ว แม้นางสามารถรักษาคนได้ก็จริง ทว่านางห่างหายเรื่องการรักษามานานมากโข นาน ๆ ทีจะได้ไปหาอาจารย์ คาดไม่ถึงว่าต้องมาคอยดูแ
ม่านหมอกแห่งราตรีกาลคลี่คลุมลงมาบดบังแสงจากดวงตะวัน คืนนี้ช่างหนาวเย็นยิ่งนัก วันนี้ซุนอี้เหวินต้องเตรียมปลดผ้าคาดดวงตาให้กับเว่ยจวินอี้ นางแอบหวั่นใจอยู่บ้าง จุดประสงค์ของนางต้องการรักษาดวงตาแม่ทัพให้หายดีก็จริงอยู่ แต่ทว่าหากดวงตาของเขาหายแล้วนางควรทำเช่นไรต่อไปเล่า เพราะนางก็มีบางสิ่งที่กำลังซ่อนเร้นคนผู้นี้เช่นเดียวกัน หากวันนั้นมาถึงนางคงต้องรีบตะบึงกลับออกไปเดี๋ยวนั้นกระมัง เดินครุ่นคิดไปตลอดทางซุนอี้เหวินพลันมาหยุดยืนที่เบื้องหน้าห้องของเว่ยจวินอี้เมื่อใดก็สุดจะรู้ ฝ่ามือผุดซึมไปด้วยเหงื่อเย็น ข้างในช่างเงียบสงัด หรือว่าแม่ทัพเว่ยนั้นหลับไปแล้ว วันนี้ควรเลื่อนออกไปก่อนดีไหมเล่า ซุนอี้เหวินตัดสินใจหมุนกายตั้งท่าก้าวห่างออกไปราวกับที่แห่งนี้ไม่สมควรรั้งอยู่นาน ทว่าเสียงทุ้มจากด้านในกลับดังแทรกขึ้นเสียก่อน"ท่านหมอ มาแล้วเหตุใดยังยืนอยู่ตรงนั้นเล่า"ซุนอี้เหวินตัวแข็งค้างนางหยุดฝีเท้าลงฉับ พลางกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากลำบนดั่งผู้ทานอาหารแล้วพบเมนูไม่ถูกปาก แขนขาสั่นเทาโดยไร้สาเหตุ เวลาชั่วประเดี๋ยว คนด้านในคงไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหว เขาจึงเอ่ยออกมาอีกครา"หรือท่านกริ่งเกรงต่อสถาน