เฉิงซินยกแขนที่ยังเกิดรอยแดงขึ้น ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เฉิงซินจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ นางลดมือลงเดี๋ยวนั้น พลันหมุนกายเสียจนเกิดลมโกรก เว่ยจวินอี้ลอบมองไปยังข้อมือที่ยังเกิดรอยแดง หน้าของเขากระตุกวูบ
เฉิงซินกระฟัดกระเฟียดกลับไปแล้ว โจวหมิงจึงเข้ามาทันได้เห็นใบหน้าบูดบึ้งของสตรีที่สวนทางกับตนออกไปไว ๆ
"ท่านแม่ทัพ เกิดเหตุใดขึ้นเล่า ไฉนฮูหยิน" โจวหมิงเหลียวมองทางที่เฉิงซินจากไป และเบนหน้ากลับมายังนายของตน ขมวดคิ้วบางด้วยความฉงน
"นางมาขอหย่า"
"หา...ขอหย่าหรือ แล้วท่านตกลงเลยหรือไม่"
เว่ยจวินอี้ส่ายศีรษะ
"อ้าว เหตุใดท่านไม่หย่าเล่า ก็ในเมื่อท่านอยากแต่งกับคุณหนูช่ายจี้ถงมาโดยตลอดมิใช่หรือ"
เว่ยจวินอี้ละมือจากงานของตนอีกหน เขาหรี่นัยน์ตาลง ความรู้สึกของแม่ทัพยามนี้คล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง คราที่นางต้องการตัวเขาเฝ้าตามติดระรานตนแจ ซ้ำยังวางกลอุบายเสียจนได้ตบแต่งเข้ามา ทว่าแต่งงานยังไม่พ้นวัน นางก็ขอหย่า เช่นนี้ไม่ให้ตนเกิดข้อกังขาได้อย่างไร หรือนางอาจเป็นกลลวงของใครบางคน
"เจ้าไม่คิดว่ามันน่าแปลกอย่างนั้นหรือ"
"น่าแปลกอย่างไรหรือขอรับ" โจวหมิงงุนงง เขายังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของผู้เป็นนายอยู่วันยังค่ำ สตรีที่เกลียดชังขอหย่า ทว่าแม่ทัพกลับปฏิเสธ ครั้นเมื่อนางจ้องจะแต่งเขาก็ปฏิเสธเช่นกัน แม่ทัพเว่ยผู้นี้ช่างเอาใจยากโดยแท้
"เมื่อก่อนนางอยากแต่งงานกับข้าใจแทบขาด ทว่าวันนี้นางกลับยืนกรานที่จะหย่า มีบางอย่างผิดแผกไปไม่น้อย"
"ท่านแม่ทัพ ท่านคิดมากไปหรือไม่ขอรับ หย่าให้นางทุกอย่างก็จบ"
"ไม่ได้ เจ้าไปจับตาดูนาง หากมีสิ่งใดผิดปกติ ให้มารายงานข้าอย่าได้บกพร่องเด็ดขาด"
"ขอรับ"
"เดี๋ยวก่อน!"
โจวหมิงงุนงง พลางมองตามฝ่ามือของเว่ยจวินอี้ซึ่งกำลังควานหาบางสิ่งใต้โต๊ะของตน
"เอาไปให้นาง"
โจวหมิงรับมา เขาหมุนซ้ายหมุนขวาแล้วเบิกตากว้าง "ท่านแม่ทัพนี่..."
"พูดมากความ จะไปได้หรือยัง" เว่ยจวินอี้กล่าวเสียงขรึม
"ขะ...ขอรับ"
โจวหมิงจึงค้อมศีรษะเร็วรี่พลางหมุนกายเดินจากไปโดยไม่รอช้า
เขาจับตาดูเฉิงซินอย่างไม่คลาดสายตาตามที่นายของตนประสงค์ วันเวลาผันผ่านรวดเร็วราวพลิกฝ่ามือ แม่ทัพและฮูหยินไม่เคยร่วมห้องกันสักครา ทว่าสิ่งหนึ่งที่โจวหมิงนั้นต้องประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
"ท่านแม่ทัพ ข้าว่าฮูหยินก็หาได้ทำการใดผิดแผกไป กลับเป็นที่รักใคร่ของบรรดาบ่าวรับใช้ด้วยซ้ำ ทว่ามีเรื่องหนึ่ง"
"หืม...เรื่องใด" เว่ยจวินอี้ขมวดคิ้ว เขาประหลาดใจอยู่ทีเดียวที่โจวหมิงเอ่ยว่าเฉิงซินเป็นที่รักใคร่ของบ่าวไพร่ ถึงจะเคยได้ยินเรื่องนี้แว่วผ่านหูมาบ้างก็ตาม น่าแปลกเสียจริง หลังแต่งงานอุปนิสัยของคนผู้หนึ่งสามารถแปรผันได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
"ข้ามักเห็นนางออกไปนอกจวนอยู่บ่อยครั้ง ฮูหยินนาง นาง..."
"มัวอ้ำอึ้งด้วยสิ่งใด"
"ข้าเห็นนางไปพบกับรองแม่ทัพเสวียนอยู่บ่อยครั้ง เอ่อ..."
"เจ้าว่าอย่างไรนะ ลอบพบกับรองแม่ทัพเสวียน" เว่ยจวินอี้ละสายตาจากงานของตน หน้าของเขากระตุกเล็กน้อย ในดวงตามีเปลวโทสะขึ้นมาระลอกหนึ่ง
"ตะ...แต่ว่า พวกเขาเพียงเดินเที่ยวชมของในตลาดและแผงลอย แล้วก็แวะทานอาหารกันบ้างก็เพียงเท่านั้น คำพูดอื่นข้าแทบไม่ได้ยินว่าท่านรองแม่ทัพกับฮูหยินสนทนาสิ่งใดกัน ข้าเกรงว่าหากเข้าใกล้มากไปกว่านี้อาจถูกจับได้"
เว่ยจวินอี้ยกมือขึ้นปราม เขาลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว เปลวเทียนที่สว่างหรุบหรู่ใกล้มือหนึ่งเล่ม ดับวูบลงราวรู้ถึงอารมณ์เย็นเยียบในแววตาของตน
"ท่านแม่ทัพจะไปที่ใดหรือขอรับ"
โจวหมิงตั้งท่าเดินตามนายของตนออกไปทว่ากลับถูกร้องปรามเอาไว้เสียก่อน "เจ้ากลับไปพักได้แล้ว ไม่ต้องตามข้า คืนนี้ข้าจะกลับหอนอน"
"หา...กลับหอนอนหรือ" ร้อยวันพันปี นับตั้งแต่เฉิงซินก้าวเข้ามา เว่ยจวินอี้แทบไม่เฉียดเข้าใกล้พื้นที่ที่มีอีกฝ่ายอยู่แม้แต่น้อย ทำราวกับว่าจะติดเชื้อกลับมาอย่างไรอย่างนั้น ทว่าอยู่ ๆ วันนี้นายของเขากลับเดินดุ่ม ๆ มุ่งหน้าไปเรือนนอนของตนด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ กลับสร้างความฉงนให้โจวหมิงอยู่ไม่น้อย
"แม่ทัพเป็นอะไร หึงหรือ" โจวหมิงขมวดคิ้ว พร่ำคุยกับตัวเองราวพวกเพ้อพก พลางสั่นส่ายศีรษะไปมา "ไม่จริงหรอกน่า ท่านแม่ทัพมีคุณหนูช่ายจี้ถงทั้งใจ"
โจวหมิงจึงทำได้เพียงยกมือขึ้นเกาศีรษะเกาแก้มแก้เก้อมองเจ้านายหายลับไปตามทาง ส่วนเว่ยจวินอี้กลับสาวเท้าฉึบฉับด้วยอาการร้อนรุ่มราวกับว่าถูกคนเอาเปลวเพลิงมาสุมดวงอก กัดฟันกรอดด้วยความกราดเกรี้ยว ไม่รู้เหตุใดตนจึงต้องหงุดหงิดถึงเพียงนี้
เฉิงซินเจ้าช่างทำงามหน้ายิ่งนัก
ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีกาล มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกยุ่งเหยิงหนักหน่วงดังเป็นระยะมาจากเตียงไม้ขัดเนื้อดีเฮือก!“ข้าตายหรือยัง!”เฉิงซินดีดกายผึง หายใจหอบเหนื่อยเสียจนหน้าอกกระเพื่อมไหว สีหน้าซีดขาวผุดพราวด้วยหยาดเหงื่อเย็น ภายใต้ผ้าแพรสีชาดที่คลี่คลุมและบดบังใบหน้านัยน์ตามองลอดไม่รู้ทิศทาง“หืม…ผ้าผืนนี้คือสิ่งใดกัน” คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันเชื่องช้า จิตใจของนางเต้นระทึกทว่ายังคงครองสติเอาไว้มั่น เฉิงซินเอื้อมมือขึ้นแล้วจึงเลิกผ้าคลุมซึ่งกำลังซ่อนเร้นกรอบหน้าและการมองเห็นของตนออกด้วยความสั่นเทาพรึบ!ดวงตากลมโตกะพริบถี่หญิงสาวตะลึงลานถึงขีดสุด“ไม่ใช่ว่าข้าอยู่งานแต่งอนุช่ายจี้ถงหรอกหรือ”ปัง!เสียงฝีเท้าเดินโซซัดโซเซไม่เป็นจังหวะ กลิ่นสุราคละคลุ้งจนแทบเวียนศีรษะ หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อพบว่าผู้ที่ยืนใบหน้าแดงก่ำหน้าธรณีทางเข้า ซ้ำยังเมามายคล้ายเสียสติไปแล้วคือผู้ใด“ท่านแม่ทัพ!”ภาพเบื้องหน้ายิ่งเพิ่มความตระหนกให้เฉิงซินยกใหญ่ มิใช่ว่าวันนี้คืองานแต่งฮูหยินรองของแม่ทัพเว่ยจวินอี้หรอกหรือ เหตุใดผู้ที่สวมชุดวิวาห์จึงเป็นนางเล่า เหตุใดจึงกลายเป็นว่านางมานั่งอยู่ในห้องหอเสียเองเฉิ
"โจวหมิง ท่านเองหรือ" เฉิงซินขมวดคิ้ว ประตูที่พังครืนลงเมื่อสักครู่เป็นฝีมือองครักษ์ผู้นี้หรอกหรือ เหตุใดจึงมาเอะอะโวยวายแต่เช้าเยี่ยงนี้เล่า"เอ่อ...ฮูหยิน ข้าน้อยขออภัย บังเอิญมือหนักไปนิดก็เพียงเท่านั้น วันนี้ท่านแม่ทัพติดพันงานหลวง จึงไม่สะดวกมาพบท่าน" โจวหมิงองครักษ์คนสนิทของเว่ยจวินอี้สาวเท้าเข้ามาภายในพร้อมถาดอาหารหอมกรุ่น เขายอบกายลงวางถาดไว้ยังโต๊ะฝั่งตรงข้าม เมื่อสักครู่เขาไม่ทันสังเกตอย่างแจ่มชัดนัก ทว่าเมื่อตนเหลียวมองคนบนเตียงกลับพบว่าเฉิงซินถูกมัดมือไว้บริเวณเสาไม้อย่างน่าเวทนา"ฮะ...ฮูหยิน นี่ท่านแม่ทัพ..." โจวหมิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก"เหอะ! ข้าคงมัดตัวเองได้กระมัง มัวยืนบื้อทำไมเล่า หรือเจ้าอยากให้แขนของข้าเลือดลมไม่เดินจนต้องตัดมือทิ้งกันเล่า" เฉิงซินกล่าวหน้าคว่ำโจวหมิงกระวีกระวาดเข้ามาแล้วจึงปลดเข็มขัดที่ผูกรัดข้อมือออกให้เฉิงซิน แขนที่ห้อยต่องแต่งชาดิกจนไม่อาจขยับ ใบหน้าเฉิงซินเหยเก ความกรุ่นโกรธปะทะขึ้นหน้าเสียจนอยากระเบิดมันออกมาเดี๋ยวนั้น"เว่ย จวิน อี้ ข้าจะฆ่าท่าน!"โจวหมิงลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึก คาดไม่ถึงว่าวันวิวาห์ของแม่ทัพเว่ยกลับปล่อยให้ฮูหยินนอนเป
คล้อยหลังโจวหมิง เฉิงซินเหลียวหน้ามองถาดอาหารที่วางอยู่โต๊ะตรงข้ามตนไม่ไกลมากนัก นางผ่อนลมหายใจเบา แล้วจึงตัดสินใจสาวเท้าเดินไปเบื้องหน้าเชื่องช้าเพื่อปรับร่างกายให้คุ้นชิน เฉิงซินยอบกายลงนั่งพลางมองโจ๊กเปล่าถ้วยหนึ่ง และผักทอดน้ำมันไม่กี่หยิบมือ พลางยิ้มเยาะออกมาด้วยความขบขัน"แม่ทัพงี่เง่า ท่านจะรังแกข้าเกินไปเสียแล้ว ชังน้ำหน้าข้าก็ไม่เป็นไร แม้แต่อาหารการกิน ท่านก็ยังดูถูกข้าเช่นนั้นหรือ" ถึงจะรู้สึกโมโหเสียจนอยากระเบิดอารมณ์เพียงใด ทว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง วันนี้นางต้องไปเจรจากับแม่ทัพเว่ยให้รู้เรื่อง ไหน ๆ เขาก็ไม่แยแสตนอยู่แล้ว การรั้งอยู่ที่นี่ก็รังแต่จะสร้างความรำคาญและหงุดหงิดใจระหว่างกันเสียเปล่าซ้ำเฉิงซินไม่อยากกลับไปตายอย่างอนาถซ้ำรอยเดิม บุรุษใจแคบ อำมหิตผิดมนุษย์ ฆ่าแกงได้แม้กระทั่งฮูหยินของตนเพื่ออนุผู้หนึ่ง ทว่าเมื่อหวนนึกถึงตรงนี้ เฉิงซินจึงพ่นลมหายใจอย่างเสียไม่ได้ในเมื่อนางช่วงชิงคนรักของเขามา เช่นนั้นก็ควรคืนเจ้าของอย่างแท้จริงนั่นถูกต้องแล้ว ผลกรรมที่ผ่านมาคงเป็นการชดเชยบาปหนาที่ตนเคยกระทำแต่กาลก่อนกระมังเฉิงซินละเลียดชิมโจ๊กเปล่าด้วยความใจเย็น แววตาที่เคยแข
ปึง!เสียงกระแทกฝ่ามือพร้อมกระดาษหนึ่งแผ่นลงบนโต๊ะหนังสือดังสนั่น เว่ยจวินอี้เงยหน้าขึ้นจากกองรายงาน วางม้วนไม้ไผ่ลงด้วยความเชื่องช้า เขาขึงดวงตามองผู้มาเยือนอย่างไม่สบอารมณ์ เหตุใดนางจึงมารยาททรามยิ่งนัก"ท่านหย่ากับข้าเถิด"เฉิงซินจ้องหน้าแม่ทัพเขม็ง กล่าววาจาอย่างมุ่งมั่น เว่ยจวินอี้ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เขาเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งฝั่ง พยายามกดข่มอารมณ์คุกรุ่นลงไป "นึกครึ้มใดขึ้นมาได้เล่า อยู่ ๆ จึงมาขอหย่าเช่นนี้""ได้! ข้าบอกความจริงท่านก็ได้""ความจริงหรือ" เว่ยจวินอี้แสร้งกลับไปสนใจกองรายงานของตนต่อ ราวกับว่าผู้มาเยือนเป็นดั่ง ลม ฟ้า อากาศสำหรับเขาเฉิงซินหลับดวงตา ผ่อนลมหายใจเพื่อข่มความอัปยศในกาลก่อนเอาไว้ลึกสุดก้นบึ้ง "วันนั้นท่านและข้ายังไม่ได้เกินเลยกัน"เว่ยจวินอี้ชะงักลงชั่วครู่ เฉิงซินได้ยินเสียงหัวเราะหึแผ่วเบา ราวกับว่าแม่ทัพผู้นี้ไม่ได้รู้สึกรู้สาใดเลย เขาหัวเราะเช่นนั้นหรือ หัวเราะด้วยน้ำเสียงเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน"ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร" เฉิงซินขมวดคิ้วบาง นี่เป็นเรื่องดีกับเว่ยจวินอี้ด้วยซ้ำ เหตุใดเขาช่างดูใจเย็นและประวิงเวลาให้ยืดเยื้อเช่นนี้เล่า การที่นา
เฉิงซินยกแขนที่ยังเกิดรอยแดงขึ้น ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เฉิงซินจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ นางลดมือลงเดี๋ยวนั้น พลันหมุนกายเสียจนเกิดลมโกรก เว่ยจวินอี้ลอบมองไปยังข้อมือที่ยังเกิดรอยแดง หน้าของเขากระตุกวูบเฉิงซินกระฟัดกระเฟียดกลับไปแล้ว โจวหมิงจึงเข้ามาทันได้เห็นใบหน้าบูดบึ้งของสตรีที่สวนทางกับตนออกไปไว ๆ"ท่านแม่ทัพ เกิดเหตุใดขึ้นเล่า ไฉนฮูหยิน" โจวหมิงเหลียวมองทางที่เฉิงซินจากไป และเบนหน้ากลับมายังนายของตน ขมวดคิ้วบางด้วยความฉงน"นางมาขอหย่า""หา...ขอหย่าหรือ แล้วท่านตกลงเลยหรือไม่"เว่ยจวินอี้ส่ายศีรษะ"อ้าว เหตุใดท่านไม่หย่าเล่า ก็ในเมื่อท่านอยากแต่งกับคุณหนูช่ายจี้ถงมาโดยตลอดมิใช่หรือ"เว่ยจวินอี้ละมือจากงานของตนอีกหน เขาหรี่นัยน์ตาลง ความรู้สึกของแม่ทัพยามนี้คล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง คราที่นางต้องการตัวเขาเฝ้าตามติดระรานตนแจ ซ้ำยังวางกลอุบายเสียจนได้ตบแต่งเข้ามา ทว่าแต่งงานยังไม่พ้นวัน นางก็ขอหย่า เช่นนี้ไม่ให้ตนเกิดข้อกังขาได้อย่างไร หรือนางอาจเป็นกลลวงของใครบางคน"เจ้าไม่คิดว่ามันน่าแปลกอย่างนั้นหรือ""น่าแปลกอย่างไรหรือขอรับ" โจวหมิงงุนงง เขายังไม่เข้าใจเจตนารมณ์
ปึง!เสียงกระแทกฝ่ามือพร้อมกระดาษหนึ่งแผ่นลงบนโต๊ะหนังสือดังสนั่น เว่ยจวินอี้เงยหน้าขึ้นจากกองรายงาน วางม้วนไม้ไผ่ลงด้วยความเชื่องช้า เขาขึงดวงตามองผู้มาเยือนอย่างไม่สบอารมณ์ เหตุใดนางจึงมารยาททรามยิ่งนัก"ท่านหย่ากับข้าเถิด"เฉิงซินจ้องหน้าแม่ทัพเขม็ง กล่าววาจาอย่างมุ่งมั่น เว่ยจวินอี้ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เขาเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งฝั่ง พยายามกดข่มอารมณ์คุกรุ่นลงไป "นึกครึ้มใดขึ้นมาได้เล่า อยู่ ๆ จึงมาขอหย่าเช่นนี้""ได้! ข้าบอกความจริงท่านก็ได้""ความจริงหรือ" เว่ยจวินอี้แสร้งกลับไปสนใจกองรายงานของตนต่อ ราวกับว่าผู้มาเยือนเป็นดั่ง ลม ฟ้า อากาศสำหรับเขาเฉิงซินหลับดวงตา ผ่อนลมหายใจเพื่อข่มความอัปยศในกาลก่อนเอาไว้ลึกสุดก้นบึ้ง "วันนั้นท่านและข้ายังไม่ได้เกินเลยกัน"เว่ยจวินอี้ชะงักลงชั่วครู่ เฉิงซินได้ยินเสียงหัวเราะหึแผ่วเบา ราวกับว่าแม่ทัพผู้นี้ไม่ได้รู้สึกรู้สาใดเลย เขาหัวเราะเช่นนั้นหรือ หัวเราะด้วยน้ำเสียงเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน"ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร" เฉิงซินขมวดคิ้วบาง นี่เป็นเรื่องดีกับเว่ยจวินอี้ด้วยซ้ำ เหตุใดเขาช่างดูใจเย็นและประวิงเวลาให้ยืดเยื้อเช่นนี้เล่า การที่นา
คล้อยหลังโจวหมิง เฉิงซินเหลียวหน้ามองถาดอาหารที่วางอยู่โต๊ะตรงข้ามตนไม่ไกลมากนัก นางผ่อนลมหายใจเบา แล้วจึงตัดสินใจสาวเท้าเดินไปเบื้องหน้าเชื่องช้าเพื่อปรับร่างกายให้คุ้นชิน เฉิงซินยอบกายลงนั่งพลางมองโจ๊กเปล่าถ้วยหนึ่ง และผักทอดน้ำมันไม่กี่หยิบมือ พลางยิ้มเยาะออกมาด้วยความขบขัน"แม่ทัพงี่เง่า ท่านจะรังแกข้าเกินไปเสียแล้ว ชังน้ำหน้าข้าก็ไม่เป็นไร แม้แต่อาหารการกิน ท่านก็ยังดูถูกข้าเช่นนั้นหรือ" ถึงจะรู้สึกโมโหเสียจนอยากระเบิดอารมณ์เพียงใด ทว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง วันนี้นางต้องไปเจรจากับแม่ทัพเว่ยให้รู้เรื่อง ไหน ๆ เขาก็ไม่แยแสตนอยู่แล้ว การรั้งอยู่ที่นี่ก็รังแต่จะสร้างความรำคาญและหงุดหงิดใจระหว่างกันเสียเปล่าซ้ำเฉิงซินไม่อยากกลับไปตายอย่างอนาถซ้ำรอยเดิม บุรุษใจแคบ อำมหิตผิดมนุษย์ ฆ่าแกงได้แม้กระทั่งฮูหยินของตนเพื่ออนุผู้หนึ่ง ทว่าเมื่อหวนนึกถึงตรงนี้ เฉิงซินจึงพ่นลมหายใจอย่างเสียไม่ได้ในเมื่อนางช่วงชิงคนรักของเขามา เช่นนั้นก็ควรคืนเจ้าของอย่างแท้จริงนั่นถูกต้องแล้ว ผลกรรมที่ผ่านมาคงเป็นการชดเชยบาปหนาที่ตนเคยกระทำแต่กาลก่อนกระมังเฉิงซินละเลียดชิมโจ๊กเปล่าด้วยความใจเย็น แววตาที่เคยแข
"โจวหมิง ท่านเองหรือ" เฉิงซินขมวดคิ้ว ประตูที่พังครืนลงเมื่อสักครู่เป็นฝีมือองครักษ์ผู้นี้หรอกหรือ เหตุใดจึงมาเอะอะโวยวายแต่เช้าเยี่ยงนี้เล่า"เอ่อ...ฮูหยิน ข้าน้อยขออภัย บังเอิญมือหนักไปนิดก็เพียงเท่านั้น วันนี้ท่านแม่ทัพติดพันงานหลวง จึงไม่สะดวกมาพบท่าน" โจวหมิงองครักษ์คนสนิทของเว่ยจวินอี้สาวเท้าเข้ามาภายในพร้อมถาดอาหารหอมกรุ่น เขายอบกายลงวางถาดไว้ยังโต๊ะฝั่งตรงข้าม เมื่อสักครู่เขาไม่ทันสังเกตอย่างแจ่มชัดนัก ทว่าเมื่อตนเหลียวมองคนบนเตียงกลับพบว่าเฉิงซินถูกมัดมือไว้บริเวณเสาไม้อย่างน่าเวทนา"ฮะ...ฮูหยิน นี่ท่านแม่ทัพ..." โจวหมิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก"เหอะ! ข้าคงมัดตัวเองได้กระมัง มัวยืนบื้อทำไมเล่า หรือเจ้าอยากให้แขนของข้าเลือดลมไม่เดินจนต้องตัดมือทิ้งกันเล่า" เฉิงซินกล่าวหน้าคว่ำโจวหมิงกระวีกระวาดเข้ามาแล้วจึงปลดเข็มขัดที่ผูกรัดข้อมือออกให้เฉิงซิน แขนที่ห้อยต่องแต่งชาดิกจนไม่อาจขยับ ใบหน้าเฉิงซินเหยเก ความกรุ่นโกรธปะทะขึ้นหน้าเสียจนอยากระเบิดมันออกมาเดี๋ยวนั้น"เว่ย จวิน อี้ ข้าจะฆ่าท่าน!"โจวหมิงลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึก คาดไม่ถึงว่าวันวิวาห์ของแม่ทัพเว่ยกลับปล่อยให้ฮูหยินนอนเป
ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีกาล มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกยุ่งเหยิงหนักหน่วงดังเป็นระยะมาจากเตียงไม้ขัดเนื้อดีเฮือก!“ข้าตายหรือยัง!”เฉิงซินดีดกายผึง หายใจหอบเหนื่อยเสียจนหน้าอกกระเพื่อมไหว สีหน้าซีดขาวผุดพราวด้วยหยาดเหงื่อเย็น ภายใต้ผ้าแพรสีชาดที่คลี่คลุมและบดบังใบหน้านัยน์ตามองลอดไม่รู้ทิศทาง“หืม…ผ้าผืนนี้คือสิ่งใดกัน” คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันเชื่องช้า จิตใจของนางเต้นระทึกทว่ายังคงครองสติเอาไว้มั่น เฉิงซินเอื้อมมือขึ้นแล้วจึงเลิกผ้าคลุมซึ่งกำลังซ่อนเร้นกรอบหน้าและการมองเห็นของตนออกด้วยความสั่นเทาพรึบ!ดวงตากลมโตกะพริบถี่หญิงสาวตะลึงลานถึงขีดสุด“ไม่ใช่ว่าข้าอยู่งานแต่งอนุช่ายจี้ถงหรอกหรือ”ปัง!เสียงฝีเท้าเดินโซซัดโซเซไม่เป็นจังหวะ กลิ่นสุราคละคลุ้งจนแทบเวียนศีรษะ หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อพบว่าผู้ที่ยืนใบหน้าแดงก่ำหน้าธรณีทางเข้า ซ้ำยังเมามายคล้ายเสียสติไปแล้วคือผู้ใด“ท่านแม่ทัพ!”ภาพเบื้องหน้ายิ่งเพิ่มความตระหนกให้เฉิงซินยกใหญ่ มิใช่ว่าวันนี้คืองานแต่งฮูหยินรองของแม่ทัพเว่ยจวินอี้หรอกหรือ เหตุใดผู้ที่สวมชุดวิวาห์จึงเป็นนางเล่า เหตุใดจึงกลายเป็นว่านางมานั่งอยู่ในห้องหอเสียเองเฉิ