"โจวหมิง ท่านเองหรือ" เฉิงซินขมวดคิ้ว ประตูที่พังครืนลงเมื่อสักครู่เป็นฝีมือองครักษ์ผู้นี้หรอกหรือ เหตุใดจึงมาเอะอะโวยวายแต่เช้าเยี่ยงนี้เล่า
"เอ่อ...ฮูหยิน ข้าน้อยขออภัย บังเอิญมือหนักไปนิดก็เพียงเท่านั้น วันนี้ท่านแม่ทัพติดพันงานหลวง จึงไม่สะดวกมาพบท่าน" โจวหมิงองครักษ์คนสนิทของเว่ยจวินอี้สาวเท้าเข้ามาภายในพร้อมถาดอาหารหอมกรุ่น เขายอบกายลงวางถาดไว้ยังโต๊ะฝั่งตรงข้าม เมื่อสักครู่เขาไม่ทันสังเกตอย่างแจ่มชัดนัก ทว่าเมื่อตนเหลียวมองคนบนเตียงกลับพบว่าเฉิงซินถูกมัดมือไว้บริเวณเสาไม้อย่างน่าเวทนา
"ฮะ...ฮูหยิน นี่ท่านแม่ทัพ..." โจวหมิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
"เหอะ! ข้าคงมัดตัวเองได้กระมัง มัวยืนบื้อทำไมเล่า หรือเจ้าอยากให้แขนของข้าเลือดลมไม่เดินจนต้องตัดมือทิ้งกันเล่า" เฉิงซินกล่าวหน้าคว่ำ
โจวหมิงกระวีกระวาดเข้ามาแล้วจึงปลดเข็มขัดที่ผูกรัดข้อมือออกให้เฉิงซิน แขนที่ห้อยต่องแต่งชาดิกจนไม่อาจขยับ ใบหน้าเฉิงซินเหยเก ความกรุ่นโกรธปะทะขึ้นหน้าเสียจนอยากระเบิดมันออกมาเดี๋ยวนั้น
"เว่ย จวิน อี้ ข้าจะฆ่าท่าน!"
โจวหมิงลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึก คาดไม่ถึงว่าวันวิวาห์ของแม่ทัพเว่ยกลับปล่อยให้ฮูหยินนอนเปล่าเปลี่ยวเอกาอยู่เพียงลำพัง ซ้ำยังผูกนางติดกับเสาราวนักโทษผู้หนึ่ง แม้โจวหมิงไม่ชอบใจนักที่นางกล้ามัดมือชกแม่ทัพของตนเช่นนี้ แต่ทว่าเฉิงซินก็เป็นสตรี หากบุ่มบ่ามใช้กำลังมากไปรังแต่จะถูกบ่าวไพร่ใต้หล้าครหานินทาว่ารังแกสตรีไม่มีทางสู้ ซ้ำนางยังเป็นถึงบุตรีเสนาบดีสำนักตรวจราชการ หากนางขี่ม้าสามศอกไปบอกบิดาตน เรื่องนี้ถึงพระกรรณฮ่องเต้ หาไม่แล้วนายของเขาคงไม่พ้นอาญาโทษเป็นแน่
"ฮูหยิน ท่านอย่าได้โกรธเคืองท่านแม่ทัพเลยนะขอรับ เมื่อคืนแม่ทัพของข้าคงดื่มหนักไปหน่อย" โจวหมิงพยายามหว่านล้อม เขาลอบมองใบหน้าบอกบุญไม่รับด้วยความหวาดหวั่น
เขาไม่ได้กลัวสตรีนางนี้ แต่ทว่าใครก็รู้ดีว่านางนั้นปากสว่างเพียงใด ถูกรังแกนิดหน่อยเป็นไม่ได้ ถือว่าบิดาตนเป็นคนใหญ่คนโตจึงกระทำทุกอย่างตามใจ ขนาดที่ว่าแม่ทัพยังตกหลุมพรางนางเข้าอย่างเต็มเปา
"ไม่โกรธหรือ เจ้าลองถูกกระทำเช่นข้าหรือไม่เล่า ข้าจะไปพบเขา เขาอยู่ที่ใด" เฉิงซินตวัดสายตามอง
"ท่านแม่ทัพอยู่หอตำราขอรับ เอ๊ย...ท่านแม่ทัพไม่อยู่จวน..."
"โกหก"
โจวหมิงยกฝ่ามือตีปากตนดังแปะ เขาหลงลืมไปเสียแล้วว่าแม่ทัพกำชับตนไว้ว่าอย่างไร ห้ามบอกฮูหยินว่าเขายังทำงานอยู่ที่จวน แท้จริงแล้วสมรสพระราชทานครั้งนี้ ฮ่องเต้ถึงกับเห็นดีเห็นงาม ให้แม่ทัพหยุดราชการได้ถึงสามวัน ทว่าเว่ยจวินอี้กลับยังดึงดันทำหน้าที่ต่อแม้จะไม่ถูกอนุญาตให้เข้าราชวังตลอดเวลาของการพักราชการก็ตาม เพียงเพราะเขาไม่อยากพบหน้าฮูหยินที่เพิ่งตบแต่งเข้ามาด้วยความจำใจ
เฉิงซินตั้งท่าลุกขึ้นทว่ากลับต้องเซถลาล้มพับลงนั่งพังพาบไม่เป็นท่าอยู่กับที่ นางถูกตรึงไว้นานจนเกินไป แขนขาตอนนี้ไร้กำลังจนแทบก้าวไม่ออก
"ฮูหยินท่านเป็นเช่นไรบ้าง"
โจวหมิงหน้าตื่น รุดเข้าประคองเฉิงซินเอาไว้ด้วยความตระหนก
"ข้าเวียนศีรษะยิ่งนัก" เฉิงซินนิ่วหน้า หอบหายใจเหนื่อย
"ท่านทานอาหาร และผลัดเสื้อผ้าพักผ่อนอีกสักหน่อยดีกว่า หากออกไปเช่นนี้ เป็นลมเป็นแล้งขึ้นมา ผู้อื่นจะได้ครหาว่าท่านแม่ทัพรังแกท่าน" โจวหมิงกล่าวโดยไร้การยั้งคิด
เฉิงซินช้อนดวงตาขึ้นมอง เอ่ยน้ำเสียงกระด้าง "แล้วไม่จริงหรือ"
"เอ่อ..." โจวหมิงทำหน้าหลุกหลิก เขาจึงคิดหาหนทางเพื่อปลีกกายออกจากความอึดอัดและแดดันตรงนี้เสีย "ขออภัยฮูหยิน ข้ามีงานอีกมากต้องไปสะสาง ประเดี๋ยวจะให้บ่าวในจวนเข้ามาดูแล"
โจวหมิงค้อมศีรษะ แล้วเร่งหมุนกายจากไป เขาได้ยินเสียงหัวเราะหึดังไล่หลัง พลอยให้เกิดอาการเย็นเยียบขึ้นมาจนถึงไขสันหลัง สตรีนางนี้ช่างน่ากลัวโดยแท้ หญิงสาวใต้หล้านี้จะมีผู้ใดหน้าหนาได้เท่านางกันอีกเล่า แม่ทัพของเขาช่างดวงกุดเสียนี่ปะไร
คล้อยหลังโจวหมิง เฉิงซินเหลียวหน้ามองถาดอาหารที่วางอยู่โต๊ะตรงข้ามตนไม่ไกลมากนัก นางผ่อนลมหายใจเบา แล้วจึงตัดสินใจสาวเท้าเดินไปเบื้องหน้าเชื่องช้าเพื่อปรับร่างกายให้คุ้นชิน เฉิงซินยอบกายลงนั่งพลางมองโจ๊กเปล่าถ้วยหนึ่ง และผักทอดน้ำมันไม่กี่หยิบมือ พลางยิ้มเยาะออกมาด้วยความขบขัน"แม่ทัพงี่เง่า ท่านจะรังแกข้าเกินไปเสียแล้ว ชังน้ำหน้าข้าก็ไม่เป็นไร แม้แต่อาหารการกิน ท่านก็ยังดูถูกข้าเช่นนั้นหรือ" ถึงจะรู้สึกโมโหเสียจนอยากระเบิดอารมณ์เพียงใด ทว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง วันนี้นางต้องไปเจรจากับแม่ทัพเว่ยให้รู้เรื่อง ไหน ๆ เขาก็ไม่แยแสตนอยู่แล้ว การรั้งอยู่ที่นี่ก็รังแต่จะสร้างความรำคาญและหงุดหงิดใจระหว่างกันเสียเปล่าซ้ำเฉิงซินไม่อยากกลับไปตายอย่างอนาถซ้ำรอยเดิม บุรุษใจแคบ อำมหิตผิดมนุษย์ ฆ่าแกงได้แม้กระทั่งฮูหยินของตนเพื่ออนุผู้หนึ่ง ทว่าเมื่อหวนนึกถึงตรงนี้ เฉิงซินจึงพ่นลมหายใจอย่างเสียไม่ได้ในเมื่อนางช่วงชิงคนรักของเขามา เช่นนั้นก็ควรคืนเจ้าของอย่างแท้จริงนั่นถูกต้องแล้ว ผลกรรมที่ผ่านมาคงเป็นการชดเชยบาปหนาที่ตนเคยกระทำแต่กาลก่อนกระมังเฉิงซินละเลียดชิมโจ๊กเปล่าด้วยความใจเย็น แววตาที่เคยแข
ปึง!เสียงกระแทกฝ่ามือพร้อมกระดาษหนึ่งแผ่นลงบนโต๊ะหนังสือดังสนั่น เว่ยจวินอี้เงยหน้าขึ้นจากกองรายงาน วางม้วนไม้ไผ่ลงด้วยความเชื่องช้า เขาขึงดวงตามองผู้มาเยือนอย่างไม่สบอารมณ์ เหตุใดนางจึงมารยาททรามยิ่งนัก"ท่านหย่ากับข้าเถิด"เฉิงซินจ้องหน้าแม่ทัพเขม็ง กล่าววาจาอย่างมุ่งมั่น เว่ยจวินอี้ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เขาเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งฝั่ง พยายามกดข่มอารมณ์คุกรุ่นลงไป "นึกครึ้มใดขึ้นมาได้เล่า อยู่ ๆ จึงมาขอหย่าเช่นนี้""ได้! ข้าบอกความจริงท่านก็ได้""ความจริงหรือ" เว่ยจวินอี้แสร้งกลับไปสนใจกองรายงานของตนต่อ ราวกับว่าผู้มาเยือนเป็นดั่ง ลม ฟ้า อากาศสำหรับเขาเฉิงซินหลับดวงตา ผ่อนลมหายใจเพื่อข่มความอัปยศในกาลก่อนเอาไว้ลึกสุดก้นบึ้ง "วันนั้นท่านและข้ายังไม่ได้เกินเลยกัน"เว่ยจวินอี้ชะงักลงชั่วครู่ เฉิงซินได้ยินเสียงหัวเราะหึแผ่วเบา ราวกับว่าแม่ทัพผู้นี้ไม่ได้รู้สึกรู้สาใดเลย เขาหัวเราะเช่นนั้นหรือ หัวเราะด้วยน้ำเสียงเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน"ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร" เฉิงซินขมวดคิ้วบาง นี่เป็นเรื่องดีกับเว่ยจวินอี้ด้วยซ้ำ เหตุใดเขาช่างดูใจเย็นและประวิงเวลาให้ยืดเยื้อเช่นนี้เล่า การที่นา
เฉิงซินยกแขนที่ยังเกิดรอยแดงขึ้น ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เฉิงซินจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ นางลดมือลงเดี๋ยวนั้น พลันหมุนกายเสียจนเกิดลมโกรก เว่ยจวินอี้ลอบมองไปยังข้อมือที่ยังเกิดรอยแดง หน้าของเขากระตุกวูบเฉิงซินกระฟัดกระเฟียดกลับไปแล้ว โจวหมิงจึงเข้ามาทันได้เห็นใบหน้าบูดบึ้งของสตรีที่สวนทางกับตนออกไปไว ๆ"ท่านแม่ทัพ เกิดเหตุใดขึ้นเล่า ไฉนฮูหยิน" โจวหมิงเหลียวมองทางที่เฉิงซินจากไป และเบนหน้ากลับมายังนายของตน ขมวดคิ้วบางด้วยความฉงน"นางมาขอหย่า""หา...ขอหย่าหรือ แล้วท่านตกลงเลยหรือไม่"เว่ยจวินอี้ส่ายศีรษะ"อ้าว เหตุใดท่านไม่หย่าเล่า ก็ในเมื่อท่านอยากแต่งกับคุณหนูช่ายจี้ถงมาโดยตลอดมิใช่หรือ"เว่ยจวินอี้ละมือจากงานของตนอีกหน เขาหรี่นัยน์ตาลง ความรู้สึกของแม่ทัพยามนี้คล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง คราที่นางต้องการตัวเขาเฝ้าตามติดระรานตนแจ ซ้ำยังวางกลอุบายเสียจนได้ตบแต่งเข้ามา ทว่าแต่งงานยังไม่พ้นวัน นางก็ขอหย่า เช่นนี้ไม่ให้ตนเกิดข้อกังขาได้อย่างไร หรือนางอาจเป็นกลลวงของใครบางคน"เจ้าไม่คิดว่ามันน่าแปลกอย่างนั้นหรือ""น่าแปลกอย่างไรหรือขอรับ" โจวหมิงงุนงง เขายังไม่เข้าใจเจตนารมณ์
ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีกาล มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกยุ่งเหยิงหนักหน่วงดังเป็นระยะมาจากเตียงไม้ขัดเนื้อดีเฮือก!“ข้าตายหรือยัง!”เฉิงซินดีดกายผึง หายใจหอบเหนื่อยเสียจนหน้าอกกระเพื่อมไหว สีหน้าซีดขาวผุดพราวด้วยหยาดเหงื่อเย็น ภายใต้ผ้าแพรสีชาดที่คลี่คลุมและบดบังใบหน้านัยน์ตามองลอดไม่รู้ทิศทาง“หืม…ผ้าผืนนี้คือสิ่งใดกัน” คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันเชื่องช้า จิตใจของนางเต้นระทึกทว่ายังคงครองสติเอาไว้มั่น เฉิงซินเอื้อมมือขึ้นแล้วจึงเลิกผ้าคลุมซึ่งกำลังซ่อนเร้นกรอบหน้าและการมองเห็นของตนออกด้วยความสั่นเทาพรึบ!ดวงตากลมโตกะพริบถี่หญิงสาวตะลึงลานถึงขีดสุด“ไม่ใช่ว่าข้าอยู่งานแต่งอนุช่ายจี้ถงหรอกหรือ”ปัง!เสียงฝีเท้าเดินโซซัดโซเซไม่เป็นจังหวะ กลิ่นสุราคละคลุ้งจนแทบเวียนศีรษะ หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อพบว่าผู้ที่ยืนใบหน้าแดงก่ำหน้าธรณีทางเข้า ซ้ำยังเมามายคล้ายเสียสติไปแล้วคือผู้ใด“ท่านแม่ทัพ!”ภาพเบื้องหน้ายิ่งเพิ่มความตระหนกให้เฉิงซินยกใหญ่ มิใช่ว่าวันนี้คืองานแต่งฮูหยินรองของแม่ทัพเว่ยจวินอี้หรอกหรือ เหตุใดผู้ที่สวมชุดวิวาห์จึงเป็นนางเล่า เหตุใดจึงกลายเป็นว่านางมานั่งอยู่ในห้องหอเสียเองเฉิ
เฉิงซินยกแขนที่ยังเกิดรอยแดงขึ้น ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เฉิงซินจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ นางลดมือลงเดี๋ยวนั้น พลันหมุนกายเสียจนเกิดลมโกรก เว่ยจวินอี้ลอบมองไปยังข้อมือที่ยังเกิดรอยแดง หน้าของเขากระตุกวูบเฉิงซินกระฟัดกระเฟียดกลับไปแล้ว โจวหมิงจึงเข้ามาทันได้เห็นใบหน้าบูดบึ้งของสตรีที่สวนทางกับตนออกไปไว ๆ"ท่านแม่ทัพ เกิดเหตุใดขึ้นเล่า ไฉนฮูหยิน" โจวหมิงเหลียวมองทางที่เฉิงซินจากไป และเบนหน้ากลับมายังนายของตน ขมวดคิ้วบางด้วยความฉงน"นางมาขอหย่า""หา...ขอหย่าหรือ แล้วท่านตกลงเลยหรือไม่"เว่ยจวินอี้ส่ายศีรษะ"อ้าว เหตุใดท่านไม่หย่าเล่า ก็ในเมื่อท่านอยากแต่งกับคุณหนูช่ายจี้ถงมาโดยตลอดมิใช่หรือ"เว่ยจวินอี้ละมือจากงานของตนอีกหน เขาหรี่นัยน์ตาลง ความรู้สึกของแม่ทัพยามนี้คล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง คราที่นางต้องการตัวเขาเฝ้าตามติดระรานตนแจ ซ้ำยังวางกลอุบายเสียจนได้ตบแต่งเข้ามา ทว่าแต่งงานยังไม่พ้นวัน นางก็ขอหย่า เช่นนี้ไม่ให้ตนเกิดข้อกังขาได้อย่างไร หรือนางอาจเป็นกลลวงของใครบางคน"เจ้าไม่คิดว่ามันน่าแปลกอย่างนั้นหรือ""น่าแปลกอย่างไรหรือขอรับ" โจวหมิงงุนงง เขายังไม่เข้าใจเจตนารมณ์
ปึง!เสียงกระแทกฝ่ามือพร้อมกระดาษหนึ่งแผ่นลงบนโต๊ะหนังสือดังสนั่น เว่ยจวินอี้เงยหน้าขึ้นจากกองรายงาน วางม้วนไม้ไผ่ลงด้วยความเชื่องช้า เขาขึงดวงตามองผู้มาเยือนอย่างไม่สบอารมณ์ เหตุใดนางจึงมารยาททรามยิ่งนัก"ท่านหย่ากับข้าเถิด"เฉิงซินจ้องหน้าแม่ทัพเขม็ง กล่าววาจาอย่างมุ่งมั่น เว่ยจวินอี้ประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เขาเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งฝั่ง พยายามกดข่มอารมณ์คุกรุ่นลงไป "นึกครึ้มใดขึ้นมาได้เล่า อยู่ ๆ จึงมาขอหย่าเช่นนี้""ได้! ข้าบอกความจริงท่านก็ได้""ความจริงหรือ" เว่ยจวินอี้แสร้งกลับไปสนใจกองรายงานของตนต่อ ราวกับว่าผู้มาเยือนเป็นดั่ง ลม ฟ้า อากาศสำหรับเขาเฉิงซินหลับดวงตา ผ่อนลมหายใจเพื่อข่มความอัปยศในกาลก่อนเอาไว้ลึกสุดก้นบึ้ง "วันนั้นท่านและข้ายังไม่ได้เกินเลยกัน"เว่ยจวินอี้ชะงักลงชั่วครู่ เฉิงซินได้ยินเสียงหัวเราะหึแผ่วเบา ราวกับว่าแม่ทัพผู้นี้ไม่ได้รู้สึกรู้สาใดเลย เขาหัวเราะเช่นนั้นหรือ หัวเราะด้วยน้ำเสียงเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน"ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร" เฉิงซินขมวดคิ้วบาง นี่เป็นเรื่องดีกับเว่ยจวินอี้ด้วยซ้ำ เหตุใดเขาช่างดูใจเย็นและประวิงเวลาให้ยืดเยื้อเช่นนี้เล่า การที่นา
คล้อยหลังโจวหมิง เฉิงซินเหลียวหน้ามองถาดอาหารที่วางอยู่โต๊ะตรงข้ามตนไม่ไกลมากนัก นางผ่อนลมหายใจเบา แล้วจึงตัดสินใจสาวเท้าเดินไปเบื้องหน้าเชื่องช้าเพื่อปรับร่างกายให้คุ้นชิน เฉิงซินยอบกายลงนั่งพลางมองโจ๊กเปล่าถ้วยหนึ่ง และผักทอดน้ำมันไม่กี่หยิบมือ พลางยิ้มเยาะออกมาด้วยความขบขัน"แม่ทัพงี่เง่า ท่านจะรังแกข้าเกินไปเสียแล้ว ชังน้ำหน้าข้าก็ไม่เป็นไร แม้แต่อาหารการกิน ท่านก็ยังดูถูกข้าเช่นนั้นหรือ" ถึงจะรู้สึกโมโหเสียจนอยากระเบิดอารมณ์เพียงใด ทว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง วันนี้นางต้องไปเจรจากับแม่ทัพเว่ยให้รู้เรื่อง ไหน ๆ เขาก็ไม่แยแสตนอยู่แล้ว การรั้งอยู่ที่นี่ก็รังแต่จะสร้างความรำคาญและหงุดหงิดใจระหว่างกันเสียเปล่าซ้ำเฉิงซินไม่อยากกลับไปตายอย่างอนาถซ้ำรอยเดิม บุรุษใจแคบ อำมหิตผิดมนุษย์ ฆ่าแกงได้แม้กระทั่งฮูหยินของตนเพื่ออนุผู้หนึ่ง ทว่าเมื่อหวนนึกถึงตรงนี้ เฉิงซินจึงพ่นลมหายใจอย่างเสียไม่ได้ในเมื่อนางช่วงชิงคนรักของเขามา เช่นนั้นก็ควรคืนเจ้าของอย่างแท้จริงนั่นถูกต้องแล้ว ผลกรรมที่ผ่านมาคงเป็นการชดเชยบาปหนาที่ตนเคยกระทำแต่กาลก่อนกระมังเฉิงซินละเลียดชิมโจ๊กเปล่าด้วยความใจเย็น แววตาที่เคยแข
"โจวหมิง ท่านเองหรือ" เฉิงซินขมวดคิ้ว ประตูที่พังครืนลงเมื่อสักครู่เป็นฝีมือองครักษ์ผู้นี้หรอกหรือ เหตุใดจึงมาเอะอะโวยวายแต่เช้าเยี่ยงนี้เล่า"เอ่อ...ฮูหยิน ข้าน้อยขออภัย บังเอิญมือหนักไปนิดก็เพียงเท่านั้น วันนี้ท่านแม่ทัพติดพันงานหลวง จึงไม่สะดวกมาพบท่าน" โจวหมิงองครักษ์คนสนิทของเว่ยจวินอี้สาวเท้าเข้ามาภายในพร้อมถาดอาหารหอมกรุ่น เขายอบกายลงวางถาดไว้ยังโต๊ะฝั่งตรงข้าม เมื่อสักครู่เขาไม่ทันสังเกตอย่างแจ่มชัดนัก ทว่าเมื่อตนเหลียวมองคนบนเตียงกลับพบว่าเฉิงซินถูกมัดมือไว้บริเวณเสาไม้อย่างน่าเวทนา"ฮะ...ฮูหยิน นี่ท่านแม่ทัพ..." โจวหมิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก"เหอะ! ข้าคงมัดตัวเองได้กระมัง มัวยืนบื้อทำไมเล่า หรือเจ้าอยากให้แขนของข้าเลือดลมไม่เดินจนต้องตัดมือทิ้งกันเล่า" เฉิงซินกล่าวหน้าคว่ำโจวหมิงกระวีกระวาดเข้ามาแล้วจึงปลดเข็มขัดที่ผูกรัดข้อมือออกให้เฉิงซิน แขนที่ห้อยต่องแต่งชาดิกจนไม่อาจขยับ ใบหน้าเฉิงซินเหยเก ความกรุ่นโกรธปะทะขึ้นหน้าเสียจนอยากระเบิดมันออกมาเดี๋ยวนั้น"เว่ย จวิน อี้ ข้าจะฆ่าท่าน!"โจวหมิงลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึก คาดไม่ถึงว่าวันวิวาห์ของแม่ทัพเว่ยกลับปล่อยให้ฮูหยินนอนเป
ท่ามกลางความเงียบสงัดของราตรีกาล มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกยุ่งเหยิงหนักหน่วงดังเป็นระยะมาจากเตียงไม้ขัดเนื้อดีเฮือก!“ข้าตายหรือยัง!”เฉิงซินดีดกายผึง หายใจหอบเหนื่อยเสียจนหน้าอกกระเพื่อมไหว สีหน้าซีดขาวผุดพราวด้วยหยาดเหงื่อเย็น ภายใต้ผ้าแพรสีชาดที่คลี่คลุมและบดบังใบหน้านัยน์ตามองลอดไม่รู้ทิศทาง“หืม…ผ้าผืนนี้คือสิ่งใดกัน” คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันเชื่องช้า จิตใจของนางเต้นระทึกทว่ายังคงครองสติเอาไว้มั่น เฉิงซินเอื้อมมือขึ้นแล้วจึงเลิกผ้าคลุมซึ่งกำลังซ่อนเร้นกรอบหน้าและการมองเห็นของตนออกด้วยความสั่นเทาพรึบ!ดวงตากลมโตกะพริบถี่หญิงสาวตะลึงลานถึงขีดสุด“ไม่ใช่ว่าข้าอยู่งานแต่งอนุช่ายจี้ถงหรอกหรือ”ปัง!เสียงฝีเท้าเดินโซซัดโซเซไม่เป็นจังหวะ กลิ่นสุราคละคลุ้งจนแทบเวียนศีรษะ หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อพบว่าผู้ที่ยืนใบหน้าแดงก่ำหน้าธรณีทางเข้า ซ้ำยังเมามายคล้ายเสียสติไปแล้วคือผู้ใด“ท่านแม่ทัพ!”ภาพเบื้องหน้ายิ่งเพิ่มความตระหนกให้เฉิงซินยกใหญ่ มิใช่ว่าวันนี้คืองานแต่งฮูหยินรองของแม่ทัพเว่ยจวินอี้หรอกหรือ เหตุใดผู้ที่สวมชุดวิวาห์จึงเป็นนางเล่า เหตุใดจึงกลายเป็นว่านางมานั่งอยู่ในห้องหอเสียเองเฉิ