เสี่ยวป๋อหยิบเสื้อคลุมมังกร ที่สวมให้จินเฉิงอู่ ดูแลความเรียบร้อยให้อีกที ใบหน้าคมคายจมูกโด่งเป็นสัน กับผิวขาวสะอาดตา ร่างสูงก้าวเท้ายาวๆ ออกจากห้อง มุ่งไปยังท้องพระโรง ขบวนของชงเมิ่งเดินผ่านประตูวังเข้ามาข้างใน คังซื่อฮั่นแยกตัวออกไปเจิ้งเหมยเดินอยู่ลำดับท้ายสุด ทางเดินทอดยาวเข้าสู่ตัวพระราชวังใหญ่ ป้ายเหนือหัวเป็นแผ่นไม้ขนาดใหญ่สลักคำว่า ...อุดมคติอันสูงส่ง..บนหน้ามุขสูงใหญ่นั่น จินเฉิงอู่ยืนมองขบวนของชงเมิ่งที่เคลื่อนผ่านเข้ามา ร่างเล็กเดินรั้งท้ายสุด อ้อนแอ้นงดงาม ...คุ้นตาจินเฉิงอู่จ้องมองอย่างกับ ...เคยคุ้นเคย.. อาการปวดศีรษะรุมเร้ายกมือขึ้นกุมขมับ อะไรบางอย่างหมุนวนในหัวจนปวดหนึบ มันคือความขัดแย้งกันในสมองส่วนความทรงจำ ที่ฝั่งหนึ่งพยายามจะลืมเพราะฤิทธิ์ยาแต่อีกฝั่งพยายามจะจำเพราะความรักฝั่งตรึง…..หากข้าใช้สมองจดจำเจ้า คงลืมเลือนง่ายดาย แต่ข้าใช้หัวใจเก็บฝังเรื่องราวของเราสอง…..“ฝ่าบาท ขุนนางและเหล่าราชทูตรอฝ่าบาทที่ท้องพระโรงแล้ว”เสียงเสี่ยวป๋อฉุดดึงความคิดทั้งหมดให้สะดุดลง หันหลังก้าวเดินจากตรงนั้นไปทันทีภายในท้องพระโรงกว้างใหญ่เหล่าขุนนางยืนเรียงรายสองฝั่งเบื้องบนบัลลังก
เสี่ยวป๋อรีบเดินตามเจิ้งเหมยออกไปทันที“พระชายา"ประสานมือคารวะด้วยความคิดถึง“ข้าสบายดี ดีใจที่พบท่านอีกครั้ง”เจิ้งเหมยพูดยิ้มๆ“ข้าเป็นห่วงพระชายาแทบแย่ส่งคนออกตามหาแต่ไร้ข่าวคราว ดีหน่อยที่องครักษ์หน้าหล่อนั่น แจ้งข่าวเสียก่อน”หมายถึงคังซื่อฮั่น เจิ้งเหมยอดขำกับคำเรียกคังซื่อฮั่นไม่ได้“เสี่ยวป๋อท่านช่างภักดีไม่เปลี่ยน หากฝ่าบาทไม่มีท่านข้างกายคงแย่”“ข้าจะทำทุกวิถีทางให้ฝ่าบาทฟื้นความจำโดยเร็ว พระชายาอย่าได้กังวลฝ่าบาทต้องจำท่านได้แน่”"ฝ่าบาท อาการของท่านนับว่าแปลกมาก ร่างกายแม้จะไม่ได้ป่วยไข้แต่กลับเหมือนเกิดอาการสับสนงุนงง ฝ่าบาทหมอหลวงเคยบอกหรือไม่ถึงอาการป่วยของฝ่าบาท"เยียนฉือพยายามชี้นำให้จินเฉิงอู่เกิดความสงสัย"บอกเพียงแต่ว่าอาการป่วยไข้ ของข้าดีขึ้นแต่ยังต้องอาศัยยาบำรุงร่างกายเข้าช่วย""ฝ่าบาท ทรงเชื่อใจเราชาวแคว้นฉินที่เสด็จพ่อของพระองค์กับฮ่องเต้ของเราทรงเป็นพระสหายกันมาก่อนหรือไม่ หากฝ่าบาททรงเชื่อใจแคว้นฉิน ประทานอนุญาตให้เยียนฉือดูแลอาการป่วยของฝ่าบาท"จินเฉิงอู่ถอนหายใจ"หมอหลวงรักษา แต่อาการปวดศีรษะของข้ายังอยู่"อยากจะบอกว่าโยวเสวียน บอแต่เพียงว่าอีกไม่นานอาการ
“ข้านับเวลาไว้นี่สองชั่วยามผ่านไปแล้วเกรงว่าเจ้าจะเคี่ยวยาให้ข้าทันหรือไม่”คนทั้งหมดต่างมองหน้ากันไปมา คังซื่อฮั่นผายมือเชิญชงเมิ่ง และท่านหมอ“ข้ากับท่านหมอเห็นทีต้องกล่าวคำอาลาฝ่าบาท เสียที”จินเฉิงอู่ยิ้มมุมปาก“เกรงว่า องค์รัชทายาทที่ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ถูกเนื้อต้องตัวศิษย์รักของท่านหมอแบบนี้ใจคอจะจากแคว้นซ่งไปง่ายดายเชียวหรือ สมควรรั้งอยู่ที่นี่อย่างไรเสียแคว้นซ่งยินดีต้อนรับองค์รัชทายาทเสมอ หากท่านจะแวะเวียนมาหรืออยู่ที่นี่นานหน่อยข้าจินเฉิงอู่ก็ไม่ขัดข้อง” เสี่ยวป๋อยิ้มแหยๆรู้นิสัยของจินเฉิงอู่ดีว่าหากได้ไม่พอใจสิ่งใดมักจะแสดงออกแบบนี้ ถึงแม้จะจำไม่ได้ว่าเจิ้งเหมยคือพระชายาหากวันไหนจำได้ขึ้นมา ยิ่งน่ากลัวกว่านี้หากใครถูกเนื้อต้องตัวชายาของจินเฉิงอู่ถึงเพียงนี้“ชงเมิ่งอำลาเขาแค่ในแบบของสหาย แต่กลับบางคนมิใช่สหายแต่ก็อยากทำตัวเยี่ยงสหาย”จินเฉิงอู่ขยับตัว หมายจะต่อคำ“ฝ่าบาท เสียเวลามากแล้วให้เสี่ยวซงเคี่ยวยาให้ฝ่าบาทจะดีกว่า”ท่านหมอชิงตัดบทเพราะทั้งสองคนที่กำลังโต้เถียงกันตอนนี้หากมีกระบี่ในมือคงห่ำหั่นกันไปแล้ว เป็นไปได้มากว่าจินเฉิงอู่ต้องตาเจิ้งเหมยไม่น้อยหรือด้วยความทรงจำ
ยกมือกุมขมับ จูบบุรุษด้วยกันอย่างนั้นหรือใบหน้าหวานกับร่างอ้อนแอ้นแนบชิดในอ่างน้ำ บอกเขาว่าสมควรแล้วที่เขาเผลอไป แต่ทำไมในภาพจำเขากลับจำว่าเสี่ยวซงเป็นหญิงเล่าคว้าเสื้อคลุมมาคลุมร่างเปลือย"ออกไป"ไล่เสียดื้อๆ เจิ้งเหมยเม้มริมฝีปากไม่ขอโทษสักคำที่จูบ จูบเพราะอะไร หรือว่าจงใจแกล้ง หรือว่ารู้ว่าเจิ้งเหมยเป็นผู้หญิง"ยา"ยกถาดยาดันเข้าใส่อกแน่นสะบัดตัวออกจากห้องไปทั้งที่เปียกปอน คนอะไรชอบรังแกคนอื่นจำไม่ได้ไม่ว่า แต่มาทำแบบนี้เหมือนกับรังแกกันชัดๆ"ซานป๋อ เสี่ยวป๋อ เหลียงซานป๋อ"เสี่ยวป๋อวิ่งลนลานเข้ามาข้างใน"ต่อไป อย่าให้เจ้าหมอนั่นเข้ามาในห้องข้าอีก""เกรงว่า เกรงว่าจะไม่ได้ คือท่านหมอสั่งให้ ท่านผู้ช่วยคอยตรวจอาการป่วยอีกทั้งให้ท่านผู้ช่วย จับชีพจรให้ฝ่าบาททุกๆ สามชั่วยาม""เจ้ากลัวท่านหมอ หรือว่ากลัวข้า""เสี่ยวป๋อกลัวว่า ฝ่าบาทจะไม่หายจากอาการประชวร""เสี่ยวป๋อ""ฝ่าบาท ท่านผู้ช่วยหมอท่านนั้นก็ ไม่มีพิษสงอะไรฝ่าบาททำไมต้องจงเกลียดจงชังเขาด้วย""จงเกลียดจงชังเช่นนั้นหรือ ข้าเพียงแค่….รู้สึกว่าเห็นหน้าแล้วข้ามักจะปวดศีรษะเท่านั้นเอง""อย่างนั้นเสี่ยวป๋อคิดว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง
“จะมีปรโยชน์อะไรในเมื่อ เขายังมีโยวเสวียนข้างกายจะสลัดนางทิ้งไปก็ใช่ที่ นางเป็นคนที่ส่งเสริมให้ฝ่าบาทได้นั่งบนบัลลังก์มังกรแห่งนี้”“พระชายากินน่องไก่เสียก่อน น่องไก่จานนี้เป็นฝ่าบาทที่สั่งให้ห้องเครื่องนำมาให้ท่าน ข้าแอบชิมไปแล้วเกรงว่าจะมียาพิษ ต้องระวังป้องกันพระชายาอย่างที่สุด”“อร่อยไหม”“เสี่ยวป๋อยืนยันว่าอร่อยเพราะเสี่ยวป๋อเองก็เกรงว่าจะมียาพิษเช่นกัน” หัวเราะขบขันพร้อมกัน“อันนี้มอบให้ท่าน”ส่งถุงหอมที่เย็บเสร็จแล้วให้คังซื่อฮั่น ที่รับมาพิจารณา ใบหน้าแสดงความพึงพอใจและรู้สึกขอบคุณ“พระชายา ช่างมีน้ำใจ”“อันนี้ของเสี่ยวป๋อ”ความภูมิใจลดลงครึ่งหนึ่ง“ท่านทั้งสอง ดีกับข้าไม่น้อยโดยเฉพาะท่านคังซื่อฮั่นหากไม่มีท่าน ข้าคงไร้ลมหายใจได้มาพบกับฝ่าบาทอีกครั้ง”คนอะไรชอบฉวยโอกาส รังแกกันให้ใจสั่นไหว คอยดูนะจะแกล้งเอาบ้างหากจำได้ขึ้นมาอมยิ้มเมื่อเห็นว่าเจิ้งเหมยหน้าเง้า“อีกสามชั่วยาม มาใหม่เกรงว่ายายังคงรสชาติแย่เหมือนเดิมแน่ๆ ”เจิ้งเหมยค้อนหลุบตาต่ำขนตางอนงามน่ามอง“เช่นนั้นให้ ท่านเหลียงเป็นคนนำยามา”“ท่านผู้ช่วยหมอจะผิดสัญญากับอาจารย์หรืออย่างไร อาจารย์อุตส่าห์ฝากฝังเจ้าไว้กับข้า
เสี่ยวป๋อรีบคว้ามากำไว้ในมือไม่อยากให้จินเฉิงอู่เห็น“ใครให้เจ้ามา.. เสี่ยวป๋อ”น้ำเสียงคาดคั้น“เออ..เออ.คือ”“เอามาดู”เสี่ยวป๋อจำต้องแกะออกมาให้ดูจินเฉิงอู่สูดดมกลิ่นหอมคุ้นเคยนั้นคังซื่อฮั่นเข้ามาอีกคน ที่เอวของคังซือฮั่นก็มีถุงหอมสีม่วงสวยอีกอันกรุ่นกลิ่นเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน จินเฉิงอู่มองถุงหอมสองอันสลับกันไปมา“คังซื่อฮั่น เจ้าได้ถุงหอมแบบนี้มาจากไหน”คังซื่อฮั่นมองหน้าเสี่ยวป๋อที่ขยิบตาให้ คังซื่อฮั่นเก็บความลับไม่เก่งเท่าเสี่ยวป๋อ“คือ...ท่านผู้ช่วยหมอ.เสี่ยว..ซงให้เราสองคนมาคนละอัน”ขมวดคิ้ว ลวดลายในถุงหอมเขาจดจำได้ไม่ลืม รอยสัมผัสที่เขาเฝ้าลูบไล้ลวดลายละเอียดสวยงามของมัน กลิ่นหอมแบบนี้กับรสจูบที่หวานฉ่ำในค่ำคืนนั้นยังตราตรึงในใจ ลุกออกจากห้องไปในทันทีมุ่งตรงไปยังห้องของเจิ้งเหมย เสี่ยวป๋อยกมือขึ้น ทำท่าบอกคังซื่อฮั่น หมายถึงคอขาดแน่ ก่อนจะวิ่งตามจินเฉิงอู่ไป แต่กลับวิ่งชนประตูห้องเจิ้งเหมยเมื่อจินเฉิงอู่เปิดประตูทันทีที่เข้าไปและเสี่ยวป๋อยั้งตัวไม่ทันเจิ้งเหมยตกใจสุดขีดแต่อีกคนกลับย่างสามขุมเข้าหา หนีไปจนชิดผนังห้อง มือใหญ่ค้ำอยู่บนหัวยื่นถุงหอมไปตรงหน้าเจิ้งเหมย“ เจ้าคื
“ดูว่าจะปากแข็งได้แค่ไหนกัน” ใช้จมูกคมซอกซอนลำคอขาว“ปล่อย..เพคะฝ่าบาท”“ไม่ปล่อย เพคะหรือเจ้าใช้คำว่าเพคะหรือ“ไม่ ข้าพูดผิดไป ถ้าไม่ปล่อยอย่างนั้นเสี่ยวซงจะตะโกนให้ท่านเหลียงเข้ามา”จินเฉิงอู่ตะโกนขึ้นเสียก่อน“เหลียงซานป๋อ ไปที่ห้องเครื่องตุ๋นน่องไก่มาเยอะๆๆ ข้าหิวเจ้าต้องอยู่ดูการตุ๋นอยู่ที่นั่นให้เขาตุ๋นในแบบที่ข้าต้องการ”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”รับคำวิ่งจากไปทันที เจิ้งเหมยถอนหายใจ“ไม่ได้ทำอะไรเจ้าเสียหน่อยแค่…” จูบเบาๆที่ริมฝีปาก ร่างใหญ่ยังทาบทับอยู่อย่างนั้น ดึงผมที่เกล้าไว้ในแบบผู้ชายของเจิ้งเหมยออกแสงไฟสลัวส่องให้เห็น ผมยาวสลวยกับใบหน้าคุ้นตาใบหน้างดงามจนจินเฉิงอู่แทบหยุดหายใจ ลุกขึ้นนั่งบนแท่นนอนรำพันออกมาเบาๆ เพียงลำพัง“เจ้าเป็นใคร ทำไมข้าถึงรู้สึกว่า ข้าเคย...รักเจ้า” อาการปวดศีรษะรุมเร้าเจิ้งเหมยเห็นว่าอาการของจินเฉิงอู่ไม่ค่อยดีอดห่วงไม่ได้“ฝ่าบาท ฝ่าบาท”ดึงร่างบางมากอดแนบออก จนเจิ้งเหมยรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก“ทำไม...ข้าคิดไม่ออก”อาการปวดหัวรุมเร้ารุนแรง เจิ้งเหมยลูบหลังให้เบาๆ จินเฉิงอู่ดึงร่างบางเข้ามาใกล้ กดริมฝีปากลงบนปากบางอย่างรุนแรงบดขยี้ริมฝีปากหนักหน่วงร
"ทำไมต้องให้คังซื่อฮั่นอารักขาท่านผู้ช่วยด้วย"จินเฉิงอู่สังเกตว่าคังซื่อฮั่นอยู่ตรงนั้น ไม่ห่างจากห้องของเจิ้งเหมย"ฝาบาท ท่านหมอเยียนฉือแต่เดิมเคยรักษาอาการบาดเจ็บของคังซื่อฮั่นจึงมีบุญคุณต่อกันไม่น้อย ท่านหมอจึงฝากฝังท่านผู้ช่วยไว้กับท่านคัง""แค่ข้าอยู่นี่เขาก็ปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องมีผู้อื่น"พูดขึ้นลอยๆ"ฝ่าบาทต้องการ ปกป้องท่านผู้ช่วยอย่างนั้นหรือ""ความจริง เขาเคี่ยวยาให้ข้าทุกสามชั่วยามแทบไม่ได้หลับนอน แล้วยังต้องเดินเข้าออกห้องข้าห้องเขาเสียวุ่นวาย ให้เขาเข้ามาเคี่ยวในห้องข้าหลับนอนในห้องข้าเลยก็ดีไม่น้อย และอีกอย่างคังซื่อฮั่นก็จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง"ชักแม่น้ำทั้งห้า เหลียงซานป๋อแอบยิ้ม"เช่นนั้นเสี่ยวป๋อเรียกท่านผู้ช่วยมานี่เดี๋ยวนี้เลยจะดีไหม""ดี ข้าเบื่อเขาต้องวิ่งเข้าวิ่งออกข้าเต็มทนแล้ว"เสี่ยวป๋อรีบวิ่งไปทันที จินเฉิงอู่ยิ้ม เพียงครู่เดียวเสี่ยวป๋อกุลีกุจอขนหม้อเคี่ยวยาและของใช้ของเจิ้งเหมย มาพะรุงพะรังเจิ้งเหมยเดินตามอย่างงงๆ“ฝ่าบาทท่านผู้ช่วยมาแล้ว”“ข้าเห็นแล้ว”“ท่านคังก็มา”“ให้เขาเฝ้าอยู่ด้านนอก” เสี่ยวป๋อช่วยเจิ้งเหมยจัดแจงของจนเสร็จเรียบร้อย“ฝ่าบาทเสี
“เฉิงเจินควรไปรอพบฟูจินที่ด้านหน้าประตูวัง ส่วนพวกท่านสองคน ข้าหลายวันมานี้อ่านฎีกาจนปวดเมื่อย ตำหนักใหญ่เงียบเหงาหลายวันเราสามคนร่ำสุราผูกสัมพันเช่นเก่าก่อน”เหลียงซานป๋ออมยิ้ม“ไท่จือท่านอย่าทำพลาดอีกนะ ฝ่าบาทอุตส่าห์ลงมือเองเพียงนี้”เฉิงเจินประสานมือตรงหน้าอมยิ้มแก้มปริ“ข้าลาทุกท่าน รับรองด้วยการฝึกปรือจากเสด็จพ่อท่านอาทั้งสอง เฉิงเจินไม่มีทางทำให้ผิดหวังแน่”คนทั้งหมดส่ายหน้าไปมาประตูวัง จินเฉิงเจินเดินวนไปเวียนมาราวกับเสือติดจั่นเสียงฝีเท้าม้าควบตะบึงมาแต่ไกล จึงยิ้มได้ ฟูจินดึงบังเหียนม้าให้หยุดตรงหน้า“ไท่จือท่าน ฝ่าบาทมีเรื่องใดกันจึงบัญชาฟูจินกลับเข้าวังหลวงโดยเร็วหรือว่าฮองเฮา”สีหน้าร้อนรนเฉิงเจินยิ้มคว้าข้อมือบางกระชากลงจากหลังม้า ช้อนร่างบางไว้ในอ้อมแขน“ไท่จือ อย่าทำแบบนี้ ฟูจินมิใช่เด็กๆแล้วและเราสองคนก็โตกันแล้ว”“เราสองคนโตแล้วจึงเหมาะที่จะสร้างครอบครัว”ฟูจินขมวดคิ้ว“ปล่อยฟูจินก่อนเจ้าค่ะ”ดิ้นรนในอ้อมแขนแข็งแรง“ข้ารึ เป็นทุกข์อยู่เสียนานกลัวว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่จะ กีดกันแต่มาวันนี้ทั้งสองพระองค์ไม่ใช่แค่ไม่กีดกันยังส่งเสริมข้ากับเจ้า”ส่งฟูจินขึ้นบนหลังม้ากระโดดข
“ฟูจินรับบัญชาฮองเฮาสิ่งที่ฮองเฮาเลือกให้ล้วนดีที่สุดแล้วสำหรับฟูจิน”น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวทว่าเศร้าสร้อย เจิ้งเหมยยิ้มฟูจินมักว่าง่ายเสมอ“เฉิงเจินกำลังจะแต่งไท่จือเฟยเจ้าเองคงเหงาและใจหายข้าจึงตั้งใจให้เจ้าแต่งกับบุตรชายแม่ทัพเว่ย เสียพร้อมกันจัดงานมงคลขึ้นพร้อมกัน”ฟูจินยิ้มเศร้าๆ“ฟูจิน ไยจึงมีสีหน้าเศร้าสร้อยเพียงนั้น หากไม่เต็มใจ ข้าจึงไม่บังคับเจ้า"ฟูจินย่อกายลงงดงาม"สิ่งที่ฮองเฮาเลือกให้ล้วนดีที่สุดแล้ว ทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองฟูจินเกิดมาก็ได้รับความเมตตาจากฝ่าบาทและฮองเฮาอยู่สุขสบายเหมือนองค์หญิงเรื่องใดที่เป็นหน้าที่พึงกระทำเพื่อตอบแทนคุณ”เจิ้งเหมยโอบกอดฟูจินอย่างอ่อนโยน“ข้าไม่เคยคิดว่าเป็นบุญคุณที่มีเจ้าเป็น ดังลูกสาวคังฟูจินหากมีสิ่งใดที่เจ้า หนักใจ บอกกับข้ามาเถิด” ลูบหลังไหล่ให้ ฟูจินสะอื้นเบาๆ เจิ้งเหมยผลักร่างของฟูจินถอยห่างสบตาค้นหาความจริงในดวงตาสีโศกยามเย็นย่ำจินเฉิงเจินเร่งฝีเท้ามายังตำหนักชิงหนิงกงเหลือบแลหาฟูจินแต่ไม่พบนาง“เสด็จแม่”เจิ้งเหมยเงยหน้าขึ้นจากการเย็บถุงหอม“มาแล้วหรือให้ใครตามตั้งแต่บ่ายเพิ่งจะมาถึง ไม่เห็นว่าการพบแม่สำคัญหรือไร คงต้องพูดเรื่องกา
พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เจิ้งเหมยอมยิ้ม ไท่จือมองฟูจินด้วยสายตาเจ็บซ้ำ“ฟูจินอายุน้อยกว่าเจ้า นางยังเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ ไท่จือลูกเองก็น่าจะเข้าใจ ตอนนี้เองไท่จือก็ไม่ได้มีผู้ใดในใจมิใช่หรือ อย่างนั้นหากได้พบองค์หญิงปี่เหยาเจ้าอาจเปลี่ยนใจก็ได้” ไท่จือแม้จะขัดใจเพียงใดแต่ก็ไม่อาจโต้แย้ง นึกน้อยใจฟูจินที่ไม่ช่วยเขาแล้วยังเข้าข้างเจิ้งเหมยที่เป็นมารดาอีก“ ให้เสด็จแม่รู้ไว้ด้วยเถิดว่าลูกไม่เคยจะเต็มใจที่จะแต่งไท่จือเฟยตามที่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่เห็นสมควร ลูกต้องการที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง และเลือกเองเพียงลำพังลูกพูดเพียงแค่นี้ ลูกทูลลา” ขยับตัวลุกขึ้น เหลือบมองฟูจิน สิ่งที่ฟูจินเห็นในนั้นคือแววน้อยใจ ที่ทำเอาฟูจินโศกสลดไม่แพ้กันเจิ้งเหมยส่ายหน้าช้าๆ"ยังทำตัวเหมือนองค์ชายน้อยไม่เปลี่ยน"ฟูจินแสร้งขบขันทางเดินทอดยาว ฟูจินตั้งใจออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ที่เศร้าหมองหาสาเหตุไม่ได้ เดินเรื่อยไปตามทาง ดวงอาทิตย์อัสดงไปแล้วภาพความทรงจำเก่าๆ ที่เคยวิ่งเล่นอยู่บริเวณนี้กับเฉิงเจิน เสียงหัวเราสอดประสาน พลันร่างอ้วนป้อมของฟูจินก็ล้มลงไปกองกับพื้น"บอกแล้วอย่างไรอย่าวิ่งตาม เห็นไหมบา
มิอาจพูดว่ารักฟูจิน จัดการหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบเรียบร้อย ฮองเฮานั่งอยู่บนแท่นนั่งอดไม่ได้ที่จะขยับตัวเข้าใกล้“ฟูจินนวดให้ไหมเพคะ”เจิ้งเหมยในวัยกลางคนทว่าใบหน้ากลับงดงามอ่อนกว่าวัย ยิ้มน้อยๆ“ไม่มีครั้งไหนที่ข้าจะปฏิเสธมีเจ้าเพียงผู้เดียวฟูจินที่นวดได้ถูกใจข้าเหลือเกิน”ฟูจินยิ้มหวาน ออดอ้อนซบหน้าลงบนตักกว้าง“ฮองเฮาเมตตาฟูจิน จนฟูจิน ไม่เคยโหยหาความรักจากมารดาทั้งๆ ที่ ไม่เคยมีมารดากับเขา”เจิ้งเหมยลูบศีรษะเบาเบาจะไม่เมตตาได้อย่างไรก็ในเมื่อคังซื่อฮั่น หอบเอาห่อผ้าที่มีทารกน้อยมา ยื่นส่งให้ตรงหน้าจินเฉิงอู่พร้อมกับ พูดเพียงสั้นๆว่าดูแลเขาแทนข้าด้วย ใบหน้าน้อยๆ ริมฝีปากแดงระเรื่อดวงตากลมใส ที่ยัดนิ้วโป้งเข้าไปดูดด้วยความหิว แก้มป่องใสดวงตาพิสุทธิ์ใครกันจะไม่หลงใหลนาง องค์ชายน้อยชะโงกหน้ามอง ฟูจินด้วยแววตาสงนฉนเท่ห์“ท่านแม่ น้องข้าใช่หรือไม่”เจิ้งเหมยยิ้มกอดองค์ชายไว้ในอ้อมแขน“ นางเป็นน้องสาวของเจ้า”จินเฉิงอู่ตอบขึ้นเบาๆ คังซื่อฮั่นเดินจากไปไม่แม้แต่จะหันมามอง ด้วยอะไรเจิ้งเหมยรู้ดี เขาตัดใจกับทารกน้อยคนนี้ไม่ได้ หากหันกลับมามอง เห็นทีต้องอุ้มนางกลับไปเร่ร่อนเช่นเดียวกับเขา“เฉิ
จินเฉิงเจิน ในวัย18ปีใบหน้าหล่อเหลา ซึ่งเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของ จินเฉิงอู่และเจิ้งเหมย ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทว่าอ่อนโยน ริมฝีปากสีชมพูเหมือนหญิงสาวก็ไม่ปาน ยืนมองทุ่งหญ้าเขียวขจีงานเลี้ยงฉลองวันครบรอบการขึ้นครองราชย์ของจินเฉิงอู่กับตำแหน่งไท่จือที่จินเฉิงเจินจะถูกแต่งตั้งในวันนี้สายตาคมทอดมองไปไกล เรื่องราวที่ผ่านมามากมายให้ระลึกถึง ในโลกนี้จะมีใครรักและภักดีต่อกันได้เท่าพ่อกับแม่ของเขากันอีก จินเฉิงอู่ไม่ยอมมีสนมนางใน แม้จะมีเขาเป็นโอรสเพียงคนเดียว ก็ไม่เคยร่ำร้องอยากจะมีหญิงอื่นเพิ่มพูน เช่นไรเขาถึงจะรักใครสักคนให้ได้เท่ากับที่จินเฉิงอู่รักเสด็จแม่เจิ้งเหมยของเขา ใบหญ้าสีเขียวขจีลู่ลมน่ามอง เสื้อคลุมถูกถอดออกคลุมให้ฟูจินรวบผมยาวสลวยสอดเสื้อคลุมเข้าไปใต้ไรผม ใบหน้างดงามดวงตาเศร้าสร้อยไม่ต่างจากสายตา ของคังซื่อฮั่น ดวงหน้าผุดผาดริมฝีปากบางใสน่าสัมผัสจนคนมองต้องเผลอขบเม้มฝีปากตัวเอง“ไม่ต้องแล้ว ฟูจินไม่ได้หนาวขนาดนั้นอากาศเย็นสบายดี”เลิกคิ้วสูงยิ้มบางๆ“เจ้ายังเป็นน้องเล็กของข้าอยู่ เมื่อใดที่แต่งออกไปจึงค่อยมาแข็งข้อกับข้า”กระชับเสื้อคลุมให้อย่างอ่อนโยน“ไปเถอะสายมากแล้วใกล้ได้เวลา
ใบหน้าเรียบเฉยทว่าใจกลับสั่นไหว คังซื่อฮั่นแปลกใจว่าตัวเขาเป็นอะไรไปกันแน่ ในเมื่อกับเจิ้งเหมยมีเพียงความรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องใกล้ชิดได้ห่วงใยและคอยปกป้อง แต่กลับรู้สึกเป็นสุขเมื่อเจิ้งเหมยมีรอยยิ้มและดีใจเมื่อเจิ้งเหมยมีความสุขซึ่งเขาคิดว่ามันคือความรัก แล้วแบบนี้เล่าคืออะไรกันทำไมรู้สึกว่าไม่อาจห้ามใจ กับความซุกซนของอี้หลิน“พอใจหรือยัง”อี้หลิน เงื้อมือตั้งจะจะฟาดลงบนใบหน้าของคังซื่อฮั่นแก้เขิน คังซื่อฮั่นใช้ความไวคว้าข้อมือไว้ยิ้มยียวน“วันพรุ่งนี้ข้าจะรับบัญชาฝ่าบาทรั้งอยู่ที่นี่แล้วก็ตกลงใจที่จะรับเจ้าเป็นภรรยาตามที่เจ้าต้องการ” อี้หลิน ไม่กล้าสบตาก้มหน้ามองแผงอกกว้าง“ใครจะแต่งกับท่านกัน”“อ้าวเจ้าพูดเองว่าฝ่าบาทประทานสมรส ห้ามข้าเฉยชาใส่เจ้าแล้วยัง ...มาลวนลามข้าก่อน พอข้าเอาคืนกลับทำท่าทีไม่พอใจเสียอย่างนั้นเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”จมูกรั้นเชิดหยิ่ง“ข้าก็ไม่เห็นจะง้อท่านเลยไม่แต่งก็ได้”ก้าวขากำลังจะออกจากห้องไปคังซื่อฮั่นรวบเอวบางจากด้านหลัง ฉวยโอกาสกอดไว้แน่น“ไม่ทันแล้ว หากเจ้ารู้จักข้าดี ก็จะรู้ว่าคนอย่างคังซื่อฮั่นยึดมั่นคำสัจเพียงใดพูดคำไหนคำนั้นไม่มีเปลี่ยนใจ เ
เมื่อมาถึงห้องพัก คังซื่อฮั่นเริ่มคิดหาคำพูดที่จะพูดคุยกับอี้หลิน“เจ้าชื่อแซ่อะไรข้าลืมไปเสียหมดแล้ว”“ท่านคังท่าน ช่างเป็นบุรุษที่หลงลืมง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ หากท่านจะมีความจำสักนิดก็จะรู้ว่า อี้หลินเคยพบท่านมาก่อน”“อี้หลิน”อี้หลินพยักหน้า“เคยพบกันที่แห่งใด”ใบหน้าฉงนสนเท่ห์“จนกว่าท่านคังจะจำได้ อี้หลินจึงจะบอกว่าเราพบกันตอนไหน”คังซื่อฮั่นถอนใจ“ไม่ถาม แล้วก็ไม่ต้องการคำตอบแล้ว”คนพูดน้อยเผอเรอหลงลืมไปว่าตัวเอง ไม่ชอบเซ้าซี้ใครพอนึกได้ก็เปลี่ยนท่าทีทันทีเช่นกัน อี้หลินเบ้ปากคนอะไรไม่ชอบ ที่จะเล่นสนุกกับผู้ใด นานแค่ไหนแล้วที่คังซื่อฮั่นปลีกตัวออกไปอยู่เพียงลำพัง“ก็ได้ ถึงท่านคังไม่อยากรู้แต่อี้หลินก็จะบอก”“ว่ามา”ใบหน้าเฉยชา หยิบน่องไก่ในจานมาพิศดูความทรงจำลอยวนเข้ามาในความคิด น่องไก่ที่ยื่นส่งให้เจิ้งเหมยในวันนั้น เหลียงซานป๋อกับเขาพากันกัดแทะลำตัวไก่เสียหมด ไว้แกล้มสุราจนเริ่มมีความกล้าในภารกิจครั้งนั้น ก็ในเมื่อคนที่ต้องนำน่องไก่ไปให้เจิ้งเหมยเป็นเขาตามความเห็นของจินเฉิงอู่และเหลียงซานป๋อ คังซื่อฮั่นเผลอยิ้มให้น่องไก่อวบ“ยิ้มทำไม”“ ไม่ใช่ ธุระอะไรของเจ้า”อี้หลินหน้าเง้า“เ
พลันแสงสว่างข้างกายกลับมืดมิด เมื่ออี้หลินเดินถือถาดขนมในมือเข้ามาทุกสิ่งมืดมิดลงทันที่มีเพียงรอบกายของอี้หลินเท่านั้นที่สว่างเรืองรอง คังซื่อฮั่นอ้าปากค้าง ดวงตาพร่ามัว"คังซื่อฮั่น"เสียงเรียกจากจินเฉิงอู่ที่อยู่ข้างกายกลับเหมือนดังมาจากที่ไกลแสนไกล และเหมือนกับเสียงนั้นเอ่ยออกมาเชื่องช้าด้วยเวลาในขณะนั้นถูกหยุดหรือถูงดึงให้ช้าลงไป"อี้หลินถวายพระพร ฝ่าบาทฮองเฮา องค์ชายน้อย คารวะท่านเหลียงซานป๋อ และท่าน.."หันไปทางคังซื่อฮั่น"คังซื่อฮั่น"เอ่ยปากเบาๆ จนเกือบกลายเป็นกระซิบ แต่ตายังจ้องมองที่อี้หลินตาไม่กะพริบ จินเฉิงอู่เจิ้งเหมยกับเหลียงซานป๋อปิดปากหัวเราะพร้อมกันจินเฉิงเจิน ฟูจินหันมองหน้ากันแบบงงๆ ว่าคนทั้งหมดกำลังหัวเราะอะไรคังซื่อฮั่น"อี้หลิน เจ้านำทางท่านคังไปที่พำนักและช่วยเตรียมน้ำอุ่นให้ท่านคังด้วย"เจิ้งเหมยออกคำสั่งอี้หลินย่อตัวทำความเคารพ"เชิญท่านคังตามข้ามา"คังซื่อฮั่นเดินตามไปอย่างงงๆ เจิ้งเหมยรับเอาฟูจินมาอุ้มไว้จินเฉิงเจินกับฟูจินวิ่งลงจากอ้อมแขนหยิบขนมใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย“เห็นไหม องค์ชายอี้หลินนางทำขนมได้ถูกใจเราสองคนที่สุด”ปากเล็กเคี้ยวขนมไม่หยุด องค์ชายน้อยย
อิงฝานเดินจากไปยิ้มผุดพรายขึ้นที่ริมฝีปาก ความเจ็บแค้นทั้งหมดสูญสลายไปหมดอโหสิกรรมให้โยวเสวียน ชาติหน้าอย่าได้พบกันอีกเลย คนอย่างโยวเสวียน หากยังมีชีวิตอยู่ต่อไปย่อมทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไม่มีสิ้นสุดตราบใดที่นางยังหายใจนางก็จะทำให้ คนอื่นต้องสูญเสียชีวิตอีกกี่คนกันเล่าดอกเหมยงดงามสองข้างทางกลับสีชมพูแดงร่วงหล่นลงบนทางเดินทอดยาววกวน องค์ชายน้อยจินเฉิงเจิน วิ่งไล่จับแมลงปอที่บินวนไปมา เสียงหัวเราะสนุกสนาน ดังไปทั่วบริเวณ เหล่าขันทีและนางกำนัล วิ่งตามด้วยกลัวจะหกล้มหกลุกแต่เรี่ยวแรงมากมายวิ่งจนทั่ววังหลวงที่กว้างขวาง“องค์ชาย รอฟูจินด้วย”เด็กหญิงตัวเล็กวิ่งตาม“ตามข้ามา ฟูจิน”เสียงเล็กๆใสใสกวักมือให้ตามไป แต่ฟูจินหกล้มหัวเข่ากระแทกเลือดไหลซึม“คุณหนูฟูจิน จะวิ่งทำไมคะ”นางกำนัลรีบวิ่งมาอุ้ม จินเฉิงเจินวิ่งลับตาไปยังคงตามจับแมลงปอตัวสวย“องค์ชายใจร้าย”ฟูจินตัดพ้อปาดคราบน้ำตานางกำนัลให้ฟูจินขี่หลัง เจิ้งเหมยเดินมารับเอาคุณหนูฟูจินตัวอ้วนป้อม มากอดแนบอกลูบหลังไหล่ให้ ยกเขาเล็กขึ้นมาเป่าที่แผลเบาๆ“ฮองเฮา องค์ชายไม่รอฟูจิน”มืออ้วนป้อมกอดรอบคอซบหน้าลงบนไหล่อุ่น เจิ้งเหมยยิ้มอ่อนโยน“ปล่อย