จางซูฉีนำของออกมาจากมิติวางไว้เพื่อให้เด็กสองคนมาช่วยขน เสี่ยวจูวิ่งมาคนแรก เสี่ยวเถาที่กำลังขุดต้นกล้าล้างมือจึงตามมา
"พี่ใหญ่ เงินนั่นใช้ได้จริงๆหรือเจ้าคะ ท่านซื้อของมามากมายเชียว"
เสี่ยวเถาถามขึ้นก่อนจะช่วยกันขนของเข้าบ้าน จางซูฉีรู้ว่าเด็กสองคนนี้ตัดผ้าและปักผ้าฝีมือดีจึงซื้อเข็มกับด้ายมามากหน่อย ทั้งคู่ดีใจมากที่พี่ใหญ่ตั้งแต่หายป่วยก็เก่งขึ้นมาก
"เอ่อ เสี่ยวเถาแถวนี้นอกจากบ้านหลังนี้ยังมีบ้านคนอื่นอีกหรือไม่"
"ดูเหมือนรั้วที่ติดกับกำแพงข้างๆเราจะเป็นตำหนักร้างนะเจ้าคะ เมื่อก่อนเคยมีคนอยู่หลังจากไท่ซ่างหวงครองราชย์ก็ไม่มีใครอยู่อีกเลย แต่มีสุสานบรรพบุรุษอยู่ที่นั่น มีอันใดหรือเจ้าคะ"
"ไม่มีหรอก กินข้าวกันเถอะสายแล้ว"
สามคนนายบ่าวที่ตอนนี้เปลี่ยนสถานะเป็นสามคนพี่น้องนั่งกินซาลาเปากับขนมงากันอย่างอร่อยเป็นมื้อแรก ตั้งแต่นายท่านสามจากไปพวกนางก็อดมื้อกินมื้อมาตลอดนี่เป็นอาหารมื้อแรกที่กินอิ่ม น้ำตาค่อยๆไหลความรู้สึกของเด็กซูฉีนั่นลึกๆคงคิดถึงพ่อกับแม่
"อิ่มแล้วไปดูแปลงผักกันเถอะ เพิ่งจะเข้าหน้าฝน เพาะปลูกตอนนี้จะได้มีผักกิน เอาไว้ดองหรือตากแห้งได้ด้วย"
สามคนช่วยกันยกร่องพรวนดิน สามวันมาแล้วที่ทำงานหนักเริ่มมีตุ่มใสๆแต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวเข้าไปในมิติขอยาทาแก้อักเสบคงมีให้ เสี่ยวจูเห็นใต้กำแพงหินมีช่องเลยลองๆขุดดูสักพักก็ร้องกรี๊ดเสียงดัง
"กรี๊ด พี่ๆมีมืออยู่ตรงนี้มันจับมือข้าด้วย ฮือๆๆผีพี่ใหญ่ผี" จางซูฉีรีบวิ่งมาดู เหมือนจะเห็นมือขาวชักกลับไปอีกฝั่ง ไม่มั้งผีอะไรโผล่ตอนเที่ยงกัน
"ไม่มีอะไรหรอกเสี่ยวจูอาจจะเป็นกระต่ายหรือลูกลิงก็ได้ ที่นี่ติดกับภูเขาอย่าลืมสิ"
อีกด้านชุ่ยชุ่นร้องไห้ตัวสั่นเจียงฟางซินถามนางก็เอาแต่ส่ายหน้าบอกแต่ว่าผีๆ
จางซูฉีตัดสินใจลองเคาะกำแพง เจียงฟางซินได้ยินก็เคาะกลับ ทางนั้นถามมาว่าใคร
"นั่นใครนะ คนหรือผี"จางซูฉีเอ่ยถาม
"ข้าเป็นคน ข้าถูกส่งมาให้เฝ้าตำหนักร้างเจ้าละ"
จางซูฉีนึกถึงสามคนเมื่อตอนสายก็เลยลองถาม
"เจ้าใช่ฟางซินหรือไม่ คนที่รับซาลาเปาจากข้าไปเมื่อตอนเช้า"
เจียงฟางซินนึกออกทันทีนางก็ว่าเหตใดเสียงคุ้นหู
"ใช่เจ้าค่ะท่านป้า ท่านอยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ ข้ากับน้องถูกส่งมาเฝ้าตำหนักเจ้าค่ะ"
"ข้ามีบันไดเดี๋ยวจะปีนไปหาเจ้านะข้าชื่อซูฉี"
จากนั้นจางซูฉีก็ไปหยิบบันไดไม้ไผ่มาพาดค่อยๆปีนขึ้นไป กำแพงสูงสองจั้งเสี่ยวเถาหวาดเสียวเหลือเกิน ทันทีที่ปีนขึ้นเรียบร้อยเจียงฟางซินถึงกับตะลึง นางใช่ท่านป้าคนนั้นที่ไหน นี่มันเทพธิดาฉางเอ๋อร์ใช่หรือไม่ช่างงามนัก
"ท่านป้าคนนั้นไปไหนหรือเจ้าคะคุณหนู"
"ท่านป้าคนนั้นก็คือข้านี่แหละ นี่ๆลองหาดีๆเผื่อมีประตู ฝั่งนี้เป็นตำหนักเหมยฮวา ฝั่งเจ้าเป็นตำหนักกุ้ยฮวาน่าจะเชื่อมกันได้"
เจียงฟางซินกับชุ่ยชุ่ยและเป่าเป่าก็ค่อยๆคลำไม่นานก็เจอ แต่เพราะนานเกินไปกลอนประตูขึ้นสนิมเปิดไม่ออก จางซูฉีโดดลงมาแล้วลองดูฝั่งตนเอง จากนั้นก็ยกเท้าถีบสามทีประตูก็พังลง กลายเป็นช่องสี่เหลี่ยมทะลุถึงกัน
ทั้งหกคนยืนเผชิญหน้ากันเจ้ามองข้าส่วนข้าก็มองเจ้า จางซูฉีหลบให้พวกนางเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน
"เอ่อ พี่สาวท่านมาเฝ้าตำหนักร้างจริงๆหรือ ที่นั่นมีแต่ตำหนักเก่าๆมีของมีค่าอันใดด้วยหรือเจ้าคะ" จางซูฉีเอ่ยถาม
"แล้วเจ้าเล่านี่มันเรือนท้ายสวนตำหนักเหมยฮวาไม่ใช่หรือ เจ้าก็มาเฝ้าหรือ"เจียงฟางซินมองหน้า จางซูฉีจึงเอ่ยขึ้น
"ข้าว่าเราเปิดอกคุยกันเถอะ ดูเหมือนท่านกับข้าจะเป็นพวกถูกขว้างทิ้งเหมือนกัน ข้าจางนางซูฉีอดีตพระชายาจวนเยี่ยอ๋อง ถูกเขาเตะกระเด็นมาอยู่ที่นี่เพราะรังเกียจที่ข้าปัญญาอ่อนสติไม่ดี และอัปลักษณ์แล้วท่านเล่าเป็นใคร"
"ข้าเจียงฟางซิน อดีตฮองเฮาที่ถูกหนานกงอินฮ่องเต้ปัญญาทึบเตะโด่งมาที่นี่เพราะรังเกียจตระกูลของข้าเช่นกัน"
ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ ชีวิตช่างเหมือนกันจริงๆ จึงพากันไปนั่งเล่นริมลำธาร เพราะเย็นสบายลำธารนี้ไหลเซาะใต้กำแพงหินมาจากบนเขา ไม่ลึกมากพอให้ลงว่ายเล่นได้
"ได้ข่าวว่าฮ่องเต้อายุเพียงยี่สิบแปดไม่ใช่หรือ ท่านก็งามเช่นนี้เหตุใดเขายังรังเกียจ"
จางซูฉีถามไปเคี้ยวผลท้อไป นางเก็บมาจากต้นที่อยู่ผู้นั้นปลูกไว้ รสชาติหวานอร่อย
"เขารังเกียจหาว่าครอบครัวข้าแสวงหาอำนาจแต่งข้ามาไม่ทันไร พอท่านปู่จากไปก็ให้บิดาข้าไปปกครองเมืองหน้าด่านไกลถึงสองพันลี้แล้วก็หาว่าข้าใจแคบจึงไล่มาอยู่ที่นี่สำนึกตน"
"ฮือๆๆพระชายา ท่านไม่รู้หรอกฮองเฮาไม่เคยยุ่งกับเหล่าสนมสักนิด พวกนางตบตีกันเองแล้วบอกว่าเป็นคำสั่งฮองเฮา จางซิ่วเอ๋อร์คนนั้นยังไม่ทันเข้าวังก็วางอำนาจใส่สกุลเจียง คิดว่าตนเองจะได้เป็นฮองเฮาจริงๆหรือไง"
"อ้อ จางซิ่วเอ๋อร์คนนั้นนางก็คือ พี่หญิงใหญ่บุตรสาวท่านลุงของข้าเองแหละเดิมทีนางคือคนที่ต้องแต่งเข้าตำหนักอ๋องเยี่ย แต่ดูเหมือนลุงใหญ่ข้าจะสงสารบุตรสาวกลัวนางเฉาตายหวยเลยมาตกที่ข้า"
มีเสียงเรียกหาทั้งสามคนจึงรีบไป ไม่มีใครมาหาพวกนานมาหลายเดือนแล้ว"เสียงนั่นไม่ใช่ผู่เย่วหรอกหรือ นางมาทำไมเดี๋ยวก็ถูกทำโทษหรอก"เจียงฟางซินรีบไปหาเด็กสาว นางมักจนเอาขนมและอาหารมาฝาก เพราะเด็กคนนี้ไม่ฟังใคร บิดายกย่องเมียรองเป็นฮูหยินจึงทำให้หลินผู่เย่วต่อต้านหนักกว่าเดิม ฮูหยินคนใหม่จับนางแต่งงานกับบัณฑิต ใครจะรู้นางทำเป็นยอมเข้าพิธียังไม่ทันกราบไหวฟ้าดินนางก็พังงานแต่งใช้แส้ฟาดเสียบัณฑิตคนนั้นเกือบพิการ ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีใครกล้าส่งแม่สื่อมาอีกเลย"เย่วเย่ว พี่อยู่นี่เจ้ามาได้อย่างไรที่นี่ไกลจากในเมืองมากนักนะ""ข้าเดินเล่นมา แล้วก็มาหาท่านไงเสด็จพี่ฮองเฮา เอ๋นางเป็นใครกันเพคะ""พี่ผู่เย่วข้าเอง ซูฉี จางซูฉีที่ท่านชอบมีขนมมาฝากเสมอไงเจ้าคะ" จางซูฉีจำได้สตรีคนนี้แม้จะมุทะลุ แต่เป็นคนจิตใจดียิ่งนัก"เจ้าหายปัญญาอ่อนแล้วหรือ เอ่อขอโทษไม่ตั้งใจน่ะ แล้วนี่เหตใดเข้ามาอยู่ที่นี่กัน มิใช่ว่าแต่งงานกับเยี่ยอ๋องหรอกหรือ""เรื่องมันยาวน่ะ ข้าหิวแล้วไปทำกับข้าวกันเถอะวันนี้ข้าซื้อของมาเยอะถือว่าฉลองมิตรภาพของเราสามคน"ทั้งสามคนกินข้าวกันไปพูดคุยจนไปถึงรู้ว่าหลินผู่เย่วไม่ได้อยู่ที่จวนแล้วนางถูกบ
คืนนี้ฟ้ามืดแต่ไม่มีฝนสายลมพัดเอื่อยๆ หนานกงอิ๋นยืนมองไปทางตำหนักร้างห่างจากวังหลวงสิบลี้ ที่นั่นเขาส่งเจียงฟางซินไปเฝ้า เจียงเป้าบิดานางอาศัยความดีความชอบของบิดามาบังคับให้เสด็จพ่อพระราชทานงานแต่งครั้งนี้ เขารู่ว่าสกุลเจียงไม่ถูกกับสกุลจางพอเจียงซิวยวี่จากไปเขาครองราชย์สิ่งแรกที่ทำคือเนรเทศเจียงเป้าไปปกครองเมืองหน้าด่านบิดาเป็นเช่นไรบุตรสาวเป็นเช่นนั้นโหดเหี้ยมถึงกลับยุยงให้บรรดาสนมตบตีกัน เขาไม่เคยเจอหน้านางวันแต่งยังทิ้งนางไว้ในตำหนักมีแค่ตอนเช้านางมาถวายพระพรจากนั้นพอรู้ว่าครอบครัวถูกเนรเทศนางก็รังเกียจเขา หึสมควรแล้วต้องเป็นข้าที่เกลียดเจ้าไม่ใช่เจ้ามีสิทธิ์เกลียดข้า ฉู่กงกงเดินเข้ามาหาก่อนจะเอ่ยขึ้น"ฝ่าบาทดึกแล้วบรรทมเถิดพ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้มีราชการแต่เช้า""ข้าจะไปตำหนักกุ้ยฮวาหน่อยส่งนางไปที่นั่นมาเกือบปีแล้วอยากรู้ว่านางเป็นคนดีขึ้นหรือยัง ฉู่กงกงไม่ต้องเรียกคนอื่นตามหลี่หมิงหลงมาก็พอ"หลี่หมิงหลงมาถึงแล้วทั้งสามคนก็ออกทางหลังวัง วิชาตัวเบาฮ่องเต้ไม่ด้อยไปกว่าหนานกงเยี่ยน้องชาย ไม่ถึงหนึ่งเค่อก็มาถึงประตูตำหนัก เห็นเทียนดับไม่มีตะเกียงก็กำลังจะหันหลังกลับ แต่ได้ยินเสียงหัวเรา
ริมทะเลสาบ อีกคู่ก็บรรเลงเพลงรักบนหลังม้า"ท่านแม่ทัพ ข้าเหนื่อยแล้วลงเถอะขอรับ""ได้ๆตามใจเจ้าอาเว่ยเจ้าน่ารักเสียจริงๆ ตามใจข้าทั้งคืนได้ไหม""ข้าตัวแดงไปหมดแล้วอื้อๆๆ ท่านเนี่ยก็ได้ๆข้าตามใจท่าน หึทั้งวันทั้งคืนหากเป็นสตรีข้าคงท้องแล้ว"บทรักของทั้งคู่ยังคงบรรเลงต่อไปจนกระทั่งตะวันตกดินไห่จ้านจึงอุ้มหนุ่มน้อยขึ้นหลังม้าอย่างทะนุถนอมแล้วพากลับค่ายหลินผู่เย่วหน้าแดง นี่มันช่างเร่าร้อนสองคนนั้นหนานกงเยี่ยกับสวีไค่เฉิงอร๊ายไม่อยากจะคิดเลย ด้านจางฟางซินนั้นกำลังอ่านบทรักของหนายกงอิ๋นกับหลี่หมิงหลงอยู่เขินจนกัดผ้าห่มบิดไปมา ถึงจะเกลียดไอ้ฮ่องเต้ชั่วนั่นแต่บทรักช่างอึ๊ยย"ฉางหลงข้ารักเจ้า ดุสิเจ้าทำข้าคลั่งอีกแล้ว""อื้อ ท่านอ๋องท่านเบาๆหน่อยกระหม่อมเสียวจะตายแล้ว นี่มันริมทะเลสาบนะพ่ะย่ะค่ะ อึ๊ย""ใครจะกล้ามานี่ที่ส่วนตัวข้า มาเถอะเด็กดีมาให้ข้ารักเจ้าให้ลึกซึ้งอีกนะหลายๆครั้งเลย"ชินอ๋องบรรจงจูบฉางหลงอย่าหิวกระหายในความพิศวาส ช่างน่ารักเสียจริงๆเจียงฟางซินเอาหนังสือปิดหน้าก่อนจะเขินหน้าแดง"นี่ๆๆฉีเอ๋อร์ ไอ้โรคจิตนั่นนุ่มนวลขนาดนี้เชียวหรือ ไม่น่าเชื่อ"สามสาวนอนเรียงกันพูดคุยไปมาจนหล
จางซูฉีออกจากโรงพิมพ์ก็ตรงไปร้านขายยา นางนำเห็ดหลินจือออกมาสองดอกมันอยู่ในมิติดูแล้วน่าจะมีอายุสองถึงสามร้อยปี ไม่รู้ว่าแพงไหมในชาติที่แล้วสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แต่ยุคนี้ยังคงต้องขึ้นเขาเสาะหามาถึงหน้าร้านขายยาป้ายเขียนว่าหอโอสถจึงเดินเข้าไป หนานกงเยี่ยรู้สึกได้กลิ่นคุ้นเคยเมื่อวานนี้เขาก็ได้กลิ่นเช่นนี้เหมือนกันจากท่านป้าคนนั้น กำลังพูดคุยอยู่กับสวีไค่เฉิงและหลี่หมิงหลง เท้าบางชะงักทันทีที่เห็นสืออินและสือห่าว แม่เจ้าอย่าบอกนะว่าไอ้หน้าโบท็อกซ์นั่นอยู่ที่นี่ด้วย สองคนหันมาเห็นนางแล้วจะเดินกลับออกไปก็ไม่ทันแล้วด้วย วันนี้ก้าวเท้าผิดหรือไงวะซวยซ้ำซวยซ้อนอะไรขนาดนี้"คุณชาย ไม่ทราบว่าท่านต้องการซื้อสิ่งใด ที่บ้านมีใครป่วยหรือขอรับ"คนงานเดินมาหาต้อนรับอย่างดี ผิดกับร้านเครื่องประดับลิบลับแสดงว่าไม่ใช่ร้านไอ้โรคจิตหนานกงเยี่ย จางซูฉีใช้พัดปิดครึ่งหน้าก่อนจะเอ่ย"ท่านหมอ ที่นี่รับซื้อสมุนไพรหรือไม่ขอรับ พอดีวันก่อนเดินทางมาเมืองหลวงตอนขึ้นเขาบังเอิญได้สมุนไพรมาสองต้น หากว่าท่านรับซื้อข้ายินดีขายให้ขอรับ""โอ๊ย คุณชายข้าเป็นแค่คนงานมิใช่ท่านหมอหรอกขอรับ ส่วนสมุนไพรข้าไปตามหลงจู้ให้ท่านดี
เมื่อมาถึงตรอกที่ลับตาผู้คนก็โยนตั๋วเงินเข้ามิติ สวีไค่เฉิงคนนั้นเกลียดขี้หน้านางชัดเจน ดูแล้วคงหึงหวงคนรักหนานกงเยี่ย ครั้งหน้ามาส่งแบบเครื่องประดับต้องระวังอยู่ห่างจากสองคนนี้ถึงจะปลอมเป็นท่านป้าแต่แววตาหลอกกันไม่ได้ ทางที่ดีเจอแค่หลงจู้ก็พอ มาถึงโรงพิมพ์หลินผู่เย่วก็ลุกขึ้นเอ่ยลา"ข้าไปก่อนนะ ต้องไปเตรียมของอีกไม่กี่วันถึงวันครบรอบวันตายท่านแม่ข้าแล้วต้องไปไหว้หลุมศพนางที่นอกเมืองนะ"หลินผู่เย่วน้ำตาคลอ ฟางซือหมิงลูบหลังปลอบใจนาง เจียงฟางซินเป็นเพื่อนกับหลินผู่เย่วมาแต่เด็กแต่ไม่ได้สนิทกับสกุลฟาง จึงไม่คุ้นเคยกันเท่าไหร่ตระกูลหลินเป็นนักรบมีเพียงหลินต้งบิดาของหลินผู่เย่วที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นตั้งแต่แต่งตั้งอนุหลิวคนนั้นขึ้นเป็นเมียเอกเด็กคนนี้ก็ต่อต้านบิดามาโดยตลอด นางพอมีวรยุทธใครพูดไม่ถูกหูก็ชักแส้ตี เพราะเป็นหลานหลินปู้อันจึงไม่มีใครกล้าลงโทษ หลินต้งทำได้เพียงเนรเทศบุตรสาวไปอยู่ท้ายเมืองหลวงเท่านั้น เพราะบิดาเดินทางไปทำธุระให้ฮ่องเต้เขาจึงสามารถกำราบบุตรสาวได้บ้านหลังนั้นไม่เล็ก มีถึงสามเรือนแต่นางอยู่กับสาวใช้หนึ่งคนและองครักษ์อีกสองคนเท่านั้น"พี่ผู่เย่ว ท่านเตรียมกระดาษเงินก
ร่างบางระหงกำลังนั่งดีดลูกคิดไปมาในศาลากลางน้ำ ทำบัญชีไปก็ถอนหายใจไป เกือบปีแล้วที่น้องสามแต่งเข้าจวนเยี่ยอ๋อง อยากถามหาข่าวคราวก็ยากนัก ควรไปเยี่ยมสักครั้งดีหรือไม่"นั่งคิดอะไรอยู่ หรือสงสารนักเด็กปัญญาอ่อนนั่นอีกแล้ว หึจางหย่งเล่อ เจ้าควรรู้ว่าต้องวางตัวเช่นไร" จางซิ่วเอ๋อร์เดินมาเห็นจางหย่งเล่อถอนหายใจก็เปิดปากทันที"พี่ใหญ่ข้าว่าที่ท่านไม่กล้าแต่งกับเยี่ยอ๋องคงเพราะห้ามวาจาความคิดที่ชั่วร้ายของตนเองไม่ได้ กลัวจะไปเป็นอาหารปลาในสระตำหนักเหมยฮวากระมังจึงส่งฉีเอ๋อร์ไปลำบากแทนท่าน"จางหย่งเล่อไม่ชอบบุตรสาวลุงใหญ่คนนี้ นิสัยน่ารังเกียจชอบยกตนข่มคนอื่น ท่านย่าก็เข้าข้างลุงใหญ่เสมอ แค่รองเจ้ากรมเล็กๆทำยังกับเป็นเสนาบดีใหญ่โต อวดใครกัน"หย่งเล่อ วาจาเช่นนี้ใช่ควรที่จะกล่าวกับพี่สาวหรอกหรือ ข้าว่าถึงเวลาควรหาบ้านสามีให้เจ้าสักที"ฮูหยินผู้เฒ่าเดินผ่านมาได้ยินพอดีจึงต่อว่าหลานสาวคนรองทันที จางหย่งเล่อมองหน้าท่านย่าเห็นสายตาเยาะเย้ยของจางซิ่วเอ๋อร์ก็มงบนหนึ่งทีก่อนจะเอ่ย"เดิมทีปู่ทวดเป็นราชครูอดีตฮ่องเต้ตอนนี้ท่านปู่เป็นแม่ทัพใหญ่อยู่ชายแดน พวกท่านอยู่เมืองหลวงทำตัวเป็นตัวตลกให้น้อยลงหน่อย
จางหย่งเล่อถอนหายใจกำลังจะกลับขึ้นรถม้า พอดีกับรถม้าอีกคันมาจอดเทียบ คนในรถเลิกผ้าม่านขึ้นก็เห็นอักษรจางจึงเหยียดมุมปาก"สกุลจางนี่ช่างใจกล้านัก ลักขื่อเปลี่ยนเสาไม่เท่าไหร่ ตอนนี้ยังกล้าส่งคนที่บ้านคัดเลือกสนมอีกครั้ง ดูท่าทะเยอทะยานไม่น้อยจะเป็นทั้งสะใภ้ใหญ่สะใภ้รองของราชวงศ์ให้ได้กระมัง"บุรุษรูปงามเปิดม่านออกมาก่อนจะเอ่ยวาจาถากถาง เขาคือหนานกงมั่วบุตรชายเสียนอ๋องซึ่งเป็นเสด็จอาของฮ่องเต้ วันนี้มาหาพี่ชายพอดี พอเห็นรถม้าสกุลจางจอดอยู่จึงอดไม่ได้ที่จะหยุดรถ จางหย่งเล่อเกลียดบุรุษผู้นี้แต่จำต้องคารวะทักทาย"หย่งเล่อคารวะซื่อจื่อเจ้าค่ะ หมดธุระแล้วข้าน้อยขอตัวนะเจ้าคะ""ทำไมข้าพูดผิดหรือคุณหนูรองจาง ข้าว่าจางป๋อเหวินท่านลุงของเจ้าไม่เลวเลยนะ ส่งหลานสาวปัญญาอ่อนมาให้แต่งงานกับพี่ชายข้าแทนบุตรสาวตนเอง ใช้ข้ออ้างว่านางป่วย แต่มาตอนนี้กลับจะส่งคนป่วยเข้าคัดเลือกสนมถือว่าสกุลจางของเจ้าใจกล้าไม่น้อยเชียว"หนานกงมั่วเยาะเย้ยถากถาง จางหย่งเล่อทำได้แค่อดทน หากนางปะทะกับเขาน้องสามอยู่ในตำหนักเหมยฮวาอาจยิ่งลำบาก หนานกงมั่วจิตใจคับแคบ มักหาโอกาสช่วงชิงการค้ากับนางเสมอทำตัวเป็นคู่แค้น ตั้งแต่มีปัญ
ตอนนี้สายตาของจางหย่งเล่อจดจ่ออยู่ที่หนังสือในมือนี่มัน จางหย่งเล่อหน้าแดงเป็นผลผิงกั๋วยามสุกงอม เนื้อหาในหนังสือนั้นช่างเร่าร้อนรุนแรง ภาพประกอบก็ช่างวาดได้ถึงใจจริงๆ"ซือหมิงเจ้าจะบอกว่านี่คือฝีมือน้องสามของข้าหรือ อีกทั้งนางถูกเอาไปไว้เรือนอนุเหวินผู้นั้นจริงๆหรือ""อืม นางหายปัญญาอ่อนแล้ว ดูเหมือนหลี่ม่านม่านคนนั้นอยากให้นางตายจึงผลักตกสระบัว ใครจะรู้ว่านางกลับหายสติไม่ดีเสียงั้น แต่ดันปรากฏตัวผิดเวลาดันปรากฏตัววันที่เยี่ยอ๋องนัดประชุมราชการที่จวน พระชายาฟั่นเฟือนออกมาเพ่นพ่านสร้างความตลกขบขันขนาดไหนเจ้าไม่รู้หรอก ต่อหน้าไม่กล้าวิจารณ์แต่ลับหลังเล่า ฉีเอ๋อร์น้องสาวเจ้าเลยโชคร้ายถูกหิ้วไปโยนเรือนร้างคงกะให้อดตายไปเอง ดีที่นางหายแล้วไม่เช่นนั้นคงอดตายจริงๆ"ฟางซือหมิงอธิบาย จางหย่งเล่อน้ำตาซึมช่างเถอะอยู่ไกลดาวมัจจุราชนั่นก็ดี เยี่ยอ๋องนึกจะโยนใครก็โยนไม่สนหน้าไหนทั้งนั้น" แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องไว้หน้าน้องชายคนนี้ ฉีเอ๋อร์สามารถออกมาใช้ชีวิตข้างนอกได้ก็นับว่าดี ซือหมิงหนังสือนี้ต้องระวังนะเนื้อหาอ่านไปเล่มท้ายๆเกี่ยวโยงทั้งเยี่ยอ๋องกับฝ่าบาท ยิ่งสวีไค่เฉิงกับหลี่หมิงหลงนั้นสองตระกูลน
แดนเซียนควันสวีทองลอยขึ้นมายังด้านบนก่อนจะลอยเข้าสู่หว่างคิ้วของหนานกงเยี่ยเทพสงครามที่นั่งรอพระชายาตนอยู่ปากถ้ำ ทันทีที่ดวงจิตเข้าสู่ร่างเขาก็รู้ทันทีว่ามหาเทพถือกำเนิดในแดนมนุษย์แล้วชายาของเขานางกำลังจะออกมาจากการกักตนเพื่อหนีหน้าเขาแล้ว ประตูหินค่อยเลื่อนออกควันสีทองลอยเข้าไปยังด้านในเข้าสู่กลางหว่างคิ้วของเทพบุปผา ไม่นานชิงเหลียนที่หน้าตาเหมือนกันกับจางซูฉีที่แดนมนุษย์ก็เดินออกมาจากด้านใน นางเห็นสวามียืนรอก็เดินตรงมาหา เทพสงครางกางแขาออกให้ชายารักเดินเข้ามาสู่อ้อมกอดเทพบุปผาซบหน้ากับอกกว้าของเขาพร้อมเอ่ยเบาๆ"ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้ว ที่ผ่านมาหนีหน้าพระองค์ ไร้เหตผลต่อจากนี้จะไม่ทำอีกแล้วเพคะ ตอนอยู่แดนมนุษย์เคยเกือบเสียพระองค์ไปหม่อมฉันรู้แล้วว่าความเจ็บปวดนั้นเป็นเช่นไร""ข้าไม่โกรธเจ้า คนงามของข้าๆเตรียมเรือเรียบร้อยแล้ว รอเจ้าออกมาจากด่านเราจะไปล่องเรือกัน เราจะล่องจากตำหนักเหลียนฮวาาจนไปถึงดินแดนประจิม แล้วจากนั้นข้าจะพาเจ้าไปทะเลตะวันออกดีหรือไม่ หืม""เพคะ หม่อมฉันตามใจพระองค์ ฝ่าบาทชิงเหลียนรักพระองค์เพคะ""คนงามข้าก็รักเจ้า ชิงเหลียนคนดีของข้า"ทั้งคู่ล่องเรือไปตามสระบั
ท้องฟ้าเหนือแคว้นอู๋มีสายรุ้งปรากฎถึงเก้าสาย อีกยังมีเหล่านกน้อยบินวนรอบตำหนักเหมยฮวา ท้องฟ้าเป้นสีทองก้อนเมฆสีรุ้งงามตานัก จากนั้นด้านในจางซูฉีก็คลอดเด็กกออกมา อุแว้ๆๆๆๆ ไม่นานก็มีเสียงทารกดังออกมา"ท่านอ๋อง ไท่จื่อเป็นซื่อจื่อน้อยเพคะ หน้าตาละม้ายท่านอ๋องยิ่งนักเพียงแต่ว่า" แม่นมพูดค้างไว้จนทุกคนมองหน้ากัน หนานกงเยี่ยร้อนใจจึงเอ่ยถาม"แต่ว่าอะไรแม่นมเฟิ่ง ท่านพูดออกมาให้หมด""แต่ว่าเส้นผมของซื่อจื่อน้อยไม่ได้ดกดำเพคะ แต่เป็นสีเงินยวงราวกับหิมะเลยเพคะ เสียงร้องดังมากแปลว่าแข็งแรงดี""ทันทีที่แม่นมเอ่ยจบหนานกงเยี่ยก็รู้ทันทีว่าหน้าที่ของพวกเขาในแดนมนุษย์นั้นสมบูรณ์แล้ว รอเวลาจิตวิญญาณเขาและนางกลับแดนเซียนเท่านั้นหนึ่งชั่วยามต่อมาทุกคนจึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปดูจางซูฉีกับบุตรชายได้ หนานกงเยี่ยเห็นหน้าบุตรชายก็ถอนหายใจ เขาต้องเป็นบิดาของคนที่เอาแต่ใจที่สุดในแดนสวรรค์จริงๆหรือ จากนั้นก็ก้มลงไปจุมพิตหน้าผากน้อยๆเบาก่อนจะกระซิบ"ฝ่าบาท อย่างไรก็เป็นบุตรกระหม่อม ดื้อรั้นให้น้อยลงหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันมีสิทธิ์ตีก้นพระองค์ได้นะพ่ะย่ะค่ะ"ก่อนที่ทารกน้อยจะลืมตาทันทีจ้องหน้าคนที่เพิ่งข่มขู่เ
หนานกงเช่อไปแล้วบรรดาสาวนั่งจับกลุ่มคุยกันไม่หยุด แต่ละคนอุ้ยอ้ายจนดูน่ารักไปหมด เฉินลี่จูที่ถูกเยี่ยผิงอันอุ้มลงจากรถม้าเดินมาส่งที่ด้านในตำหนักก็อายหน้าแดง"ท่านอาปล่อยข้าลงเดินเองก็ได้นะเจ้าคะ ไม่ได้ไกลสักนิด""เมียจ๋า ดูพื้นสิขรุขระขนาดนี้ หากไม่ระวังอาจหกล้มได้ ไม่รู้ว่าเยี่ยอ๋องทรงคิดเช่นไรถึงได้ปูหินให้มีร่องห่างกัน พื้นไม่เสมอพระชายาก็กำลังตั้งครรภ์ไม่รู้จักระวังเลย"จางซูฉีขำกับความห่วงเมียคลั่งรักเมียของเยี่ยผิงอันหากบอกว่าท่านอาลู่จงได้เมียเด็กก็ไม่ถูกนัก อาลู่อายุสี่สิบ จูชุ่ยชุ่ยอายุย่างสิบแปด แต่เยี่ยผิงอันสี่สิบห้าย่างสี่สิบหก ส่วนเฉินลี่จูอายุสิบหก นางเด็กที่สุดในบรรดาเมียๆของเหล่าบุรุษแห่งวังหลวงเลยล่ะ"ใต้เท้าเยี่ย หากพื้นปูติดๆกันไม่มีร่อง ยามหิมะตก หรือฝนตกพื้นจะลื่น ร่องช่วยให้เวลาเดินไม่ลื่นน่ะ ลี่จูมานั่งกับพี่ก่อน เสี่ยวหรันกับชิงชิงน่าจะกำลังมา""เพคะพระชายา อ้อพี่ผู่เย่วท่านตั้งครรภ์อีกแล้วหรือเจ้าคะ ใต้เท้าสวีจะขยันเกินไปหรือไม่ คนโตยังไม่ได้ขวบเลย คิกๆๆ"ในบรรดาเด็กรุ่นน้องสามสาวแห่งสกุลจิน สกุลเฉินและสกุลว่านนี่คือแสบที่สุด ต่อยตีกับบุรุษไม่เว้นแต่ละวัน"พ
เมืองหลวงที่ไม่เคยหลับไหล โคมไฟเรียงรายห้อยเต็มหน้าร้านหน้าบ้านที่ปลูกติดกันยามลมพัดแกว่งไกวไปมาบรรยากาศในเมืองหลวงมีแต่ความสุข ฮ่องเต้กำเนิดพระธิดาสองพระองค์ อีกทั้งตอนนี้ฮองเฮาก็กำลังทรงพระครรภ์ได้สามเดือนแล้วตั้งแต่มาถึงเมืองหลวง ตระกูลหลักหลายตระกูล ตระกูลหลี่ ตระกูลว่าน ตระกูลสวี ตระกูลจิน และตำหนักอ๋องทั้งสอง รวมถึงตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาท ต่างจัดเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เพราะพระชายาไท่จื่อ พระชายาเยี่ยอ๋อง และชินอ๋องรวมถึงบรรดาฮูหยินของใต้เท้าทั้งหลายนั้นตั้งครรภ์พร้อมกันตำหนักบูรพารัชทายาทหนานกงอินกำลังรักเมียสาวอยู่อย่างนุ่มนวลอ่อนโยน เสียวครางแสนหวานของเจียงฟางซินทำให้เขายิ่งรักนางยิ่งขึ้น"ไท่จื่อ เมียไม่ไหวแล้วเพคะพอเถอะ อื้อ ลูกดิ้นอีกแล้วพระองค์ก็ไม่ยอมเลิกสักที ลูกในท้องงอแงแล้วนะเพคะ อร๊าย หนานกงอินเสียวนะ อย่างัดแบบนี้สิคนบ้าข้าตั้งครรภ์อยู่นะ""บอกมาก่อนว่ารักพี่เด็กดีพูดเร็ว ตั้งแต่เข้าหอมาจนถึงวันนี้ยังไม่บอกว่ารักพี่เลย พูดมาคนดี อืม เสียวจริงๆเมียจ๋า อยากให้ผัวเลิกต้องบอกรักผัวก่อน อ่าา""อื้อ รักเพคะ หม่อมฉันเจียงฟางซินรักหนานกงอิน อร๊าย หม่อมฉันเสร็จอีกแล้ว
ขบวนเดินทางมาได้ครึ่งเดือนแล้ว แวะพักบางจุดเนื่องจากทำผักดองแบะเนื้อรมควันไว้มากมาย อาหารการกินจึงไม่ลำบากมมากนักจางซูฉีไม่ต้องการให้หนานกงเยี่ยไปล่าสัตว์บนเขา ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้คืนนี้พวกเขาแวะพักตรงริมน้ำใกล้เชิงเขา แต่จางซูฉีสั่งเดินทางต่อ หนานกงเช่อจึงไม่เข้าใจเหตุผลของนาง"ฉีเอ๋อร์ พ่อไม่เข้าใจที่เจ้าให้พวกเราเดินทางต่อ นี่ยามเซินแล้วกว่าจะสร้างกระโจมอีก ตรงนี้มีลำธารด้วยสะดวกสบายกว่าไม่ใช่หรือ""เสด็จพ่อ หากเป็นแม่น้ำลำธารที่ไม่อยู่ใกล้เชิงเขาลูกคงไม่ขัดหรอกเพคะ แต่ว่าลำธารนี้ทรงทอดพระเนตรสิเพคะ มีรอยเท้าสัตว์เต็มไปหมด แปลว่านี่เป็นแหล่งน้ำของพวกมัน อีกทั้งยังมีคราบเลือดเป็นจุดๆทั้งรอยเก่ารอยใหม่ แปลว่ามีสัตว์นักล่าด้วย ในขบวนมีคนท้องถึงเจ็ดคน แม้ว่าเหล่าบุรุษจะมีวรยุทธ แล้วนางกำนัลเหล่านั้นเล่าเพคะพวกนางอ่อนแอ เราเสียเวบาเดินทางอีกหน่อยก็ไม่ต้องเสี่ยง ลูกแค่ห่วงความปลอดภัยของทุกคน"เมื่อจางซูฉีชี้แจงเหตุผลจบ ทุกคนก็ยิ่งรีบเดินให้พ้นลำธารไวขึ้น ไม่นานก็เลยเชิวเขามาห้าลี้และเจอเข้ากับแม่น้ำเล็กๆสายหนึ่ง แม่น้ำสายนี้เรือเล็กสามารถสัญจรได้ จึงพากันหยุดพักที่ตรงนั้น"ฉีเอ๋อร์เหนื
ผ่านไปเดือนกว่ารถม้าที่สั่งทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนี้กำลังฝึกม้าที่จะนำมาใช้กับรถม้าอยู่ ใช้เวลาฝึกนานประมาณเกือบเดือน เพราะบรรดาคนที่นั่งในรถม้าคือเหล่าสตรีที่กำลังตั้งครรภ์จินเสี่ยวหรันที่ตอนนี้ไม่ต้องดูแลสวีไค่ไหยุนแล้ว เพราะเขาเริ่มไม่มีอาการแพ้ท้องแบบที่อาเจียนไม่หยุดแล้ว เหลือเพียงแค่ความอยากอาหารเท่านั้นส่วนว่านชิงชิงทุกวันนี้นางกลุ้มใจมาก ว่านอันสุ่ยไม่ยอมห่างนางเลยไม่ยอมให้เดิน ไปไหนก็อุ้มตลอดเวลา บางครั้งเขาก็งอแงเป็นเด็กน้อยห่างนางไม่ถึงชั่วยามก็ตามหาอีกแล้ว จนถูกฮ่องเต้เรียกไปต่อว่าหลายครั้งเพราะเสียงานเสียการ"ใต้เท้าว่าน เราว่าท่านรักเมียเกินไปหรือไม่ งานการมีไม่สนใจทำงานอยู่ดีๆหาเมียไม่เจอก็ทิ้งงาน เจ้ามันตาแก่หลงเมียเด็กจริงๆ""ฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต่อไปจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกพ่ะย่ะค่ะ"ว่านอันสุ่ยเสียงอ่อย แต่ฮ่องเต้ตรัสถูกต้องเขาหลงเมียจริงๆแต่แค่ไม่อยากยอมรับ"ใต้เท้าว่าน ข้าเองก็รักเมียไม่แพ้ท่าน แต่งานส่วนงานท่านต้องแยกแยะสักหน่อยนะ"หนานกงอินเยาะว่านอันสุ่ย เขาเถียงไม่ได้เพราะหนานกงอินเป็นถึงรัชทายาท ได้แต่บ่นอุบอิบๆเท่านั้น"ไท่จื่อ ทรงหลงพระ
หนานกงเช่อกำลังอ่านรายงานที่ทางวังหลวงส่งมา จิ่วโจวให้ผลผลิตถั่วและมันดียิ่งนัก ต้องไปหาสะใภ้เล็กสักหน่อย ว่าหลังเก็บเกี่ยวแล้วต้องแปรรูปอย่างไร ไม่เช่นนั้นก็จะทิ้งเปล่าให้เน่าเสียจางซูฉีนังเขียนสูตรทำวุ้นเส้น ซอสถั่วเหลือง การหมักน้ำส้มสายชู โชคดีที่ก่อนจากยุคสิวิไลนั้นมา นางสามารถทำสิ่งเหล่านี้ไว้ใช้เอง บางครั้งทำวิจัยต้องไปอาศัยอยู่กับชาวบ้านตามชนบท จึงได้วิธีการแปรรูปต่างๆมา บางอย่างก็เป็นสูตรจากบรรพบุรุษที่สืบทอดกันมาหนานกงเช่อเห็นสะใภ้เล็กนั่งทำงานทั้งๆที่ท้องโตมากแล้วก็นึกดีใจแทนบุตรชาย ขนาดเมียขุนนางยังไม่ใส่ใจช่วยเหลือสามีเท่ากับนางเลย เอาแต่แย่งชิงความโปรดปรานจากสามีไม่บรรดาเมียเอกกับเมียรองตีกัน ก็บรรดาบุตรหลานชิงดีชิงเด่นกัน แต่สะใภ้คนนี้เอาแต่คิดหาหนทางให้ผู้คนอยู่รอด ช่วยเหลือสามีทุกด้านเจียงฟางซินสะใภ้คนโตก็เรียนรู้งานมาจากนางไม่น้อย ทุกวันนี้ก็จัดระเบียบบ้านได้ดี จับมือกับหลานสะใภ้เขาจางหย่งเล่อผู้นั้นมองหาลู่ทางเปิดเส้นการค้าใหม่เสมอ จนแคว้นอู๋ร่ำรวยขึ้นพริบตาเงินในท้องพระคลังเพิ่มขึ้นมากมาย ตอนนี้สวีไค่หยุนได้ถูกเขาแต่งตั้งเป็นเจ้ากรมการคลังเรียบร้อยแล้ว รอกลับเ
จางซูฉีและหนานกงเยี่ยกำลังเตรียมตัวกลับเมืองหลวง กำลังวางแผนงานและการค้าทั้งหมดที่นี่ โดยให้ลู่จงกับจูชุ่ยชุ่ยเป็นคนดูแลหนางกงอินขอเบิกงบของกรมโยธามาเพื่อสร้างถนนให้สะดวกสบายกว่าเดิม จากเดิมที่ใช้เวลาเดินทางสิบห้าวันโดยรถม้า ก็เลื่อนเร็วขึ้นเหลือเพียงเก้าวันแต่เนื่องจากบรรดาสตรีของพวกเขาตั้งครรภ์ และมีหลายคนครรภ์ยังไม่มั่นคงจึงเลื่อนการเดินทางกลับไปอีกเดือนครึ่ง เสียนอ๋องกลับไปแล้ว ฮ่องเต้ให้เขากลับไปช่วยจางป๋อคุณและมหาราชครูฟางดูแลงานราชการต่างๆรอให้หยางฮองเฮาครรภ์แข็งแรงกว่านี้ก็จะเดินทางกลับ จางซูฉีหมักเหล้าไว้เกือบสามร้อยไห นางขุดดินฝังไว้ใต้ต้นหลิวในจวนใหญ่ที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน อีกครึ่งปีจึงจะขุดขึ้นมาได้ ถึงตอนนี้นางก็คลอดเจ้าตัวน้อยแล้ว"ฉีเอ๋อร์ อย่าทำงานมากนักเลยเจ้าตั้งครรภ์อยู่ พักผ่อนบ้างเถอะ งสนบางอย่างให้บ่าวไพร่ทำก็ได้" หนานกงเยี่ยกำลังคิดบัญชีของหอโอสถ เขาแพ้ท้องไม่สบายเสียนาน ปล่อยนางหักโหมทั้งที่ยังท้องอยู่รู้สึกเป็นห่วงนัก"ท่านอ๋อง นั่งมากเกินไปถึงเวลาคลอดจะคลอดยากนะเพคะ อีกอย่างงานไม่ได้หนักหนาเกินไปนัก อืมจริงสิวันนี้วุ้นเส้นที่ทำไว้แห้งดีแล้ว เย็นนี้เสวยผั
เรือนหอสวีไค่หยุนสวีไค่หยุนปลดเครื่องหัวให้จินเสี่ยวหรันออก จากนั้นก็แลกจอกเหล้ามงคลกับนาง"เสี่ยวหรันคนดี พี่รอวันนี้มาเกือบปีแล้วนะในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันสักที ไม่ต้องปีนเข้าหาเจ้าแล้ว""ท่านพี่ ข้าชอบที่นี่แต่งานของท่านอยู่เมืองหลวง เสียดายจังเลยเจ้าค่ะ""ไว้พี่จะพามาบ่อยๆดีไหม เสี่ยวหรันจ๋าพี่อยากเข้าหอแล้วคนดีของพี่"สวีไค่หยุนปลดชุดแต่งงานจินเสี่ยวหรันออก จากนั้นก็ตามด้วยชุดเจ้าบ่าวของตน ก่อนจะจ้องมองร่างเปลือยเปล่าตรงหน้าอย่างหลงไหลใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นร่างงามตรงหน้าเปลือยเปล่า เขามักแอบปีนห้องนางมาตักตวงความหวานเสมอ แต่ไม่เคยล่วงเกินนางมากกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขากับนางจะเป็นคนๆเดียวกันอย่างสมบูรณ์"ขืนท่านยังจ้องอีก ข้าคงแข็งเป็นหินแล้วท่านพี่ ใช่ว่าไม่เคยเห็นสักหน่อย จะให้รออีกนานไหมเจ้าคะ อากาศหนาวนะ""หึๆ อยากได้อะไรอุ่นๆหรือแม่นางน้อยของข้า วันนี้เจ้าเป็นปีศาจจิ้งจอกพันปี หรือเป็นโฉมงามของหอจันทราดีเล่า หืม"จินเสี่ยวหรันลุกขึ้นมา ก่อนจะคลึงทรวงอกตนเองยั่วยวนคนตรงหน้า มืออีกข้างโน้มคอสวีไค่หยุนลงมา ก่อนจะกระซิบข้างหูเบาๆ"หนาวจนแข็งเป็นไตแล้ว คุณชายท่านให้ความอบอุ่น