มีประกายวาววับในดวงตาของฉินเหยี่ยนเย่ว์ในตอนที่ชายชรายังหนุ่ม เขามีพรสวรรค์และหน้าตาดีมาก มิรู้ว่าสตรีเช่นใดที่สามาถต้องตาเขาได้“โอ้?” ตงฟางหลีเลิกคิ้วขึ้น “นักพรตเต๋าเทียนหลิงมีคู่จริง ๆ หรือ?”“ก็บอกแล้วว่าเขาไม่ได้ละทางโลก อย่างน้อยก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้ละทางโลก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าว “หม่อมฉันได้
หลังจากที่ได้พบกับฮูหยินซูแล้ว ถึงได้รู้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าดอกบัวขาวง่วงนอนยิ่งนักนางขี้เกียจเกินกว่าจะคิดอีก สติตกสู่ห้วงสับสนวุ่นวายไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าใด นางตื่นขึ้นจากความง่วงงุนณ เวลานี้ เลยเที่ยงวันไปแล้วช่วงบ่ายในฤดูหนาวจะสั้นมาก ประมาณห้าโมงก็เริ่มมืดแล้วฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่กล้าโอ้เอ้
ตู้เหิงยกมือแตะใบหน้า “ข้าคิดว่าพอใช้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้ใหญ่เกินไป”“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย ท่านอ๋อง พระชายา เรื่องที่เกิดขึ้นกับซูเตี่ยนซวง ข้าเป็นคนทำเอง ไม่ได้เกี่ยวกับพวกพระองค์เลย ความผิดของข้า ข้าจะรับผิดชอบเอง”“ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าเจ้าหน้าใหญ่มาก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์กล่าว “เป็นเพียงองครักษ
“พระชายาอ๋องเจ็ด สุขภาพของพระองค์ไม่ใคร่ดี บ่าวจะทูลต่อฝ่าบาทให้เป็นอย่างดี” ขันทีหลานกล่าวเบา ๆ“ขอบคุณขันทีหลาน” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พยักหน้าเล็กน้อยเนื่องจากฤทธิ์ของยาทำให้เสียงจะแหบเล็กน้อย“พระชายาอ๋องเกรงใจเกินไปแล้ว” ขันทีหลานถอนหายใจเขาอยู่ห่างจากพระชายาอ๋องเจ็ดไม่ถึงหนึ่งเมตร ซึ่งระยะห่างถือว่
ตงฟางหลีโอบกอดนางแน่นเรื่องที่นางคิด เขาย่อมคิดเช่นกันสกุลซูไม่น่ากลัวสิ่งที่น่ากลัวคือคนที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของซูเตี่ยนฉิงอยู่ตลอดเวลาเขามีภาพลวงตาอยู่เสมอว่า คนผู้นั้นที่ซ่อนอยู่ข้างหลังมองทุกสิ่งได้ทะลุปรุโปรงสิ่งที่ไม่รู้คือสิ่งที่ทำให้รับมือไม่ทันมากที่สุด“ข้าเพียงกลัวว่ายาที่ลู่ซิ่วให้จ
“ข้าบ้าหรือ?” มุมริมฝีปากของตงฟางหลีกระตุกเล็กน้อย“อย่ากลัวเลย หม่อมฉันมียา ไม่ว่าจะเป็นโรคที่ยากและซับซ้อนเช่นไรล้วนรักษาได้”“...” ตงฟางหลีหยิกแก้มของนางพลางหัวเราะเสียงเบา “หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว พักผ่อนอีกสักพักเถอะ”ฉินเหยี่ยนเย่ว์พักอยู่ในอ้อมแขนของตงฟางหลีสักพักหนึ่ง นางร้อนจนเริ่มลนลานในที่
ซูจิ้นถูกตงฟางหลีฉีกหน้าจนใบหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวแดง“ท่านอ๋องเจ็ดโปรดสงบอารมณ์ กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนี้”“แล้วท่านหมายความเช่นไร?” ตงฟางหลีไม่ยอมปล่อยผ่านน้ำเสียงของเขานั้นไม่พอใจอย่างมาก บนกายแผ่ไอสังหารออกมาซึ่งไอสังหารนั้นแผ่ปกคลุมบนร่างกายของทุกคน และความกดอากาศโดยรอบพลันลดลงไปหลายส่
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่พักอยู่ในอ้อมแขนของตงฟางหลีตัวอ่อนยวบ เสียงหอบหายใจดังมาก พวงแก้มแดงก่ำ ไม่ว่าผู้ใดเห็นนางล้วนตระหนักว่ามีไข้สูงแทบจะหมดสติแล้วตอนที่นางไปขอราชโองการกับนายท่าน ได้ปกปิดข้อมูลที่ว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์มีไข้สูงจริง จึงทำให้ฮ่องเต้เข้าใจผิดคิดว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์แข็งแรงดี จึงสามารถรับราชโอง
ความเป็นไปได้มากที่สุด คือพี่ใหญ่ใช้ประโยชน์จากทาสเป่ยลู่คนนั้น ทำเรื่องที่มิอาจเปิดเผยได้เหล่านั้นอยู่ที่นี่หากเป็นเหตุผลเช่นนี้ เบาะแสทุกอย่างล้วนราบรื่นแล้วตงฟางหลีเดินอ้อมห้องอีกหนึ่งรอบใช้มือสัมผัสและเคาะสิ่งของที่น่าสงสัยทั้งหมดเบา ๆ ไปหนึ่งรอบน่าเสียดาย ที่หาร่องรอยของห้องลับไม่เจอ“จางฉู
ตงฟางหลีพยุงตัวกับราวบันได ใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดเผือดหากเป็นน้ำพุจริง ๆ ไม่เพียงแต่รสนิยมเลวร้าย มิหนำซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้คนเดือดดาลจางฉู่ส่ายหน้า “มิทราบได้พ่ะย่ะค่ะ แทนที่จะบอกว่าเป็นน้ำพุ มิสู้บอกว่า พวกมันดูเหมือนเสาค้ำยันศาลามากกว่า ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เฉียนอ๋องสร้างขึ้นกับมือเพื่ออนุภร
ในแววตาเขาไร้คลื่นลม และน้ำเสียงก็ราบเรียบมากเช่นกันเฟยอิ่งลอบขมวดคิ้วแน่นเขารู้จักจางฉู่มาแต่ไหนแต่ไร จางฉู่มีนิสัยเย็นชา กระทำการสุขุมหนักแน่น ไตร่ตรองพิจารณารอบด้าน มิใช่คนที่มุทะลุบุ่มบ่ามพรรค์นั้นหากแต่พฤตกรรมครานี้ ผิดแปลกไปอย่างแท้จริงแปลกไปจนมิคล้ายกับเป็นจางฉู่ตัวจริงเฟยอิ่งยิ่งคิดก็ยิ
ตงฟางหลีเดิมทีก็มีโรครักความสะอาดอยู่แล้ว ทนรับกลิ่นแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้ที่สุดยามที่กลิ่นเหม็นเน่าสายนั้นถาโถมเข้ามา เขาถึงกับอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ภายในกระเพาะประหนึ่งพลิกแม่น้ำล้มมหาสมุทรก็มิปานเขารีบล้วงหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก สะกดความรู้สึกขยะแขยงลงไปเฟยอิ่งเองก็ถูกความรู้สึกน่ารัง
“เหตุผลที่คุณหนูเซียวหย่ากับพี่ใหญ่ เป็นเพราะว่าพี่ใหญ่สังหารลูกของพวกเขาเองกับมือ” ตงฟางหลีพูดต่อไป “ที่นางมิสามารถตั้งครรภ์มาโดยตลอด ก็เป็นการขัดขวางของพี่ใหญ่เช่นกัน”“พี่ใหญ่คิดว่าการตายของทาสเป่ยลู่เกี่ยวข้องกับคุณหนูเซียว จึงเอาโทสะมาระบายใส่คุณหนูเซียว คุณหนูเซียวที่ลุ่มหลงในความรักอย่างลึกซึ
บนใบหน้าเย็นชาและแน่วแน่นั้น เผยให้เห็นถึงสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่งร่างกายสูงใหญ่ของเขาถอยหลังไปอย่างไร้ร่องรอย น้ำเสียงนั้นทั้งลำบากใจทั้งเจ็บปวด “หวั่นเอ๋อร์...ไม่สิ พระชายาเฉียนจากไปแล้ว และคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เรือนบุปผาหาได้มีผู้ใดอยู่ไม่ เชิญท่านอ๋องเจ็ดกลับไปเถิด”ยามที่จางฉู
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เวลาที่เหยี่ยนเย่ว์จะได้รับความทรมานก็จะยิ่งนานมากขึ้นเท่านั้นยามที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา หน้าผากตงฟางหลีถึงกับเต้นตุบ ๆ โดยไม่รู้ตัวไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกไปเองหรือไม่เขามักจะรู้สึกว่า แม้ว่ายัยหนูของเขาจะพลั้งเผลอถูกคนลักพาตัวไปทว่า มิใช่สตรีที่จะปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าได้
ขณะเดียวกันภายในหอฉยงฮวาใบหน้าตงฟางหลีดำทะมึนนิ้วของเขาเคาะที่โต๊ะเบา ๆหลังจากคาดเดาได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์อาจถูกเฉียนอ๋องลักพาตัวไปเขากลัวว่าหากเข้าไปหาตรง ๆ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกลัวว่าหลังจากพี่ใหญ่ที่มีนิสัยวิปริตเช่นนั้นถูกกระตุ้นเข้า จะทำอันตรายต่อเหยี่ยนเย่ว์ดังนั้น จึงมาที่หอฉยงฮวาก่อ
ท่ามกลางการนองเลือดพร่าเลือน เขาตกตะลึงและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”“ดูเหมือนข้าจะเดาถูก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้ยหยันเดิมทีนางไม่แน่ใจนัก และอยากหลอกลวงเขาคิดไม่ถึงว่าการหลอกลวงจะประสบผลสำเร็จในครั้งเดียวการกระทำโหดเหี้ยมเกิดขึ้นที่ก้นทะเลสาบ ช่างเข้ากับนิสัยวิปริตนี้จริง ๆ“เจ้ารู้ได