“มู่เยี่ย ท่านรู้หรือไม่ว่าตำราที่บันทึกเรื่องไสยศาสตร์อยู่ที่ใด?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ถาม“ตำราเหล่านั้นถูกทำลายทิ้งไปหมดแล้ว ไม่สามารถหาพบได้ในหออวิ๋นเซียว” มู่เยี่ยเย้ยหยัน “ฉินเหยี่ยนเย่ว์ เจ้าหยุดดิ้นรน และรอความตายแต่โดยดีเถอะ ในเมื่องูเพลิงแดงหาเจ้าพบแล้ว เจ้าหนีไม่พ้นแน่นอน”“ผู้ใดทำลาย?”“เรื่อง
ตงฟางหลีถูกมู่เยี่ยที่ตัวสูงใหญ่ชนเข้าอย่างแรง ไม่ทันได้ระวังตัวนางเป็นเหมือนสัตว์ป่า สองตาไม่มองทาง วิ่งตำซ้ายชนขวา และมีแนวโน้มที่จะชนคนล้มตงฟางหลีขยับตัวอย่างรวดเร็ว หลบหลีกว่องไวนุ่มนวล ก่อนจะเอ่ยตำหนิ “มู่เยี่ย เจ้าทำอะไรน่ะ?”ดูเหมือนมู่เยี่ยจะไม่ได้สังเกตเห็นเขาเลย เมินเขาและล้มลุกคลุกคลานห
“หม่อมฉันก็กำลังพิจารณาถึงปัญหานี้อยู่เหมือนกัน” ฉินเหยี่ยนเย่ว์มุ่นคิ้ว “ไม่เพียงแค่ปัญหาเหล่านี้เท่านั้น ยังมีอีกหลายเรื่องที่หม่อมฉันยังคิดไม่ตก”“หม่อมฉันไม่พบบันทึกใด ๆ เกี่ยวกับงูเพลิงแดงในหออวิ๋นเซียวเลย ไม่มีแม้แต่คำเดียว เรื่องนี้เป็นงานที่ยาวนานและยากลำบาก พวกเราต้องใช้ความพยายามมากในการสื
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ บ่าวมิกล้า” ฝานหลินมีเหงื่อเย็นผุดซึมเล็กน้อยบนหน้าผากอ๋องเจ็ดเปล่งไอสังหารอันน่าหวั่นสะพรึงออกมา ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนเขาไม่กล้าขวางต่อไป ทำได้เพียงยืนขึ้นและหยิบป้ายที่ใกล้ที่สุดออกมา “ป้ายของหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว ขอท่านอ๋องตรวจสอบ”ฉินเหยี่ยนเย่ว์หยิบป้ายขึ้นมาด
ยิ่งเป็นคนที่เชื่อถือมากที่สุดเท่าใด ก็ยิ่งรับมือไม่ทันได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้นงูเพลิงแดงปรากฏในตำหนักซีอวิ๋นถึงสองครั้งสองครา เป็นเพียงเรื่องบังเอิญจริงหรือ?“พรุ่งนี้เราจะออกจากตำหนักซีอวิ๋นกันแต่เช้า” เขาคว้ามือของฉินเหยี่ยนเย่ว์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พาแมวโง่ตัวนั้นไปด้วย”ไสยศาสตร์ก็ดี แกล้
“เช่นนั้นเจ้าใช้วงนี้ไปก่อน แล้วเอาวงที่จอมโจรทิ้งเอาไว้วงนั้นโยนทิ้งไปเถอะ” ตงฟางหลีลูบนิ้วของฉินเหยี่ยนเย่ว์ จากนั้นจะบดขยี้แหวนวงที่ถอดออกมา“อย่าบีบ...” ยังไม่ทันที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์จะพูดจบ ตงฟางหลีก็ลงมือไปเสียแล้วแหวนปลอมกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และกระจายไปในอากาศแล้ว “น่าเสียดายมาก แหวนวงนั้น
นางผลักตงฟางหลีออกไป แล้วเดินไปหาเฮยตั้น“เหมียว!” เฮยตั้นถอยหลังไปสองก้าว เผยฟันอันแหลม ท่าทางดุร้ายเหลือคณา“เฮยตั้น อย่ากลัวเลย” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ยื่นมือออกไป แล้วพยายามลูบหัวของมัน “เจ้าออกไปก่อนสักพักได้หรือไม่? เดี๋ยวข้าค่อยให้ปลาแห้งเจ้าทีหลัง”เฮยตั้นจ้องพวกเขาสักพัก ราวกับว่าเข้าใจ และขนที่พอ
เมื่อตะวันโด่งฟ้า ฉินเหยี่ยนเย่ว์ถึงได้ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นแสงแดดสาดส่องผ่านม่านสีฟ้าอ่อน และตกกระทบลงบนผ้าห่มสีแดงเข้มด้ายสีทองและสีเงินบนผ้าห่มสะท้อนแสงที่แวววาวเล็กน้อย จนแสบตานิดหน่อยนางหรี่ตาลง และใช้เวลาสักพักหนึ่งเพื่อปรับให้เข้ากับแสงที่สว่างจ้าหลังจากที่ปรับให้เข้ากับแสงสว่างได้เรียบร้อยแล้
หากจากไปแล้ว เกรงว่าชีวิตนี้คงไม่กลับมาอีก“ไม่ใช่เพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ถาม “ข้าอยากถามพี่สะใภ้ใหญ่ว่า ระยะนี้ท่านได้ไปหออวิ๋นเซียวหรือไม่ ขอแค่ท่านบอกข้าว่าเคยไปหออวิ๋นเซียวหรือไม่เคยไป ก็เป็นการชดใช้น้ำใจคืนให้ข้าแล้ว”พระชายาเฉียนไม่พอใจ “เจ้าจะดูหมิ่นน้ำใจข้าเกินไปแล้ว”“ข้าเคยไปหออวิ๋นซี น่าจะทิ
“พระชายาอ๋องเจ็ดไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด” พระชายาเฉียนกล่าว “พูดกันตามตรง ข้ารู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก เหมือนกับห่วงที่จองจำมานานหลายปีทั้งหมดได้หายไป ข้าไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายถึงเพียงนี้มาก่อนเลย”“นี่มิใช่ว่าข้าตั้งใจพูดถ้อยคำเหล่านี้มาทำให้เจ้าเบาใจลงหรอกนะ ทุกคำที่ข้าพูดล้วนเป็นคำพูดจากใจ ข้าใช้เวลากว่า
หลิวฉือมองเห็นสีหน้ารังเกียจของแมวดำ ก็อึกอักไม่กล้าพูดอะไรออกมาเขาวางมือสั่นเทาลงบนหัวของแมวดำ แล้วเอ่ยถาม “เจ้าเป็นแมวที่พี่สาวของข้าเลี้ยงมาหรือ? พี่หญิง นางสบายดีหรือไม่?”ครั้นเอ่ยถ้อยเหล่านี้ เขาก็ต้องหัวเราะเย้ยหยันตนเองพี่หญิงเป็นพระสนมในวัง ไม่ว่าจะเป็นอาภรณ์เครื่องประดับหรือว่าอาหาร จะต้
ระยะนี้ซูจิ้นถวายฎีกาแก่ฮ่องเต้ทุก ๆ สองถึงสามวัน ด้วยต้องการให้ซูเตี่ยนฉิงแต่งกับตงฟางหลี ซูเตี่ยนฉิงเองก็ไม่เสียดายเลยที่ต้องการลดฐานะตัวเองลงมาเป็นพระชายารองเพื่อเข้าประตูจวนอ๋องเจ็ดและในช่วงเวลาสำคัญนี้ ตำแหน่งพระชายาอ๋องเจ็ดก็ได้ว่างลงขอเพียงผู้ที่มีสมองก็สามารถคาดเดาได้ว่า การเคลื่อนไหวนี้ขอ
มือของนางสั่นเทาอย่างรุนแรง หลังจากนางกล่าวกับฉินเหยี่ยนเย่ว์ว่าเรื่องอื้อฉาวในบ้านไม่ควรแพร่งพรายออกไปแล้วนั้น คาดว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์คงอาจจะเปิดเผยเรื่องอื้อฉาวเสียยิ่งกว่าอื้อฉาวออกไปสตรีนางนี้น่ารังเกียจเกินไปแล้วในแววตาของฉินเสวี่ยเย่ว์มีความอำมหิต...รวมถึงความสะกดกลั้นวาบผ่านเพื่องานใหญ่ นางต
ฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่รอให้นางตอบคำถาม กล่าวต่อไปว่า “เมื่อครู่นี้ข้าหมายความว่า สตรีในห้องหออย่างพวกท่านดูบอบบางดั่งต้นหลิว ถึงกับเทียบพละกำลังกับสุนัข การคลายความเบื่อหน่ายของพวกท่านนี้ประหลาดไปสักหน่อยแล้วกระมัง”“เฮ้อ เมื่อครู่นี้พวกท่านคิดไปถึงที่ไหนกัน? หรือว่าคำพูดเหล่านั้นยังมีความหมายอื่นอยู่อี
การพาสัตว์เล็ก ๆ สามตัวมาด้วยโดยที่ไม่รู้ตัวนั้นเป็นความผิดของนางทว่า องค์หญิงอันชางกล่าวไว้แล้ว ในเมื่อเจ้าของงานไม่สนใจ แขกเหรื่อย่อมยิ้มรับแล้วปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปยิ่งไปกว่านั้น เจ้าสามตัวนี้ไม่ได้สร้างความวุ่นวาย หลังจากเข้ามาแล้วก็เอาแต่ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของนาง สุนัขและลูกแกะก็ถูกพากินเนื้
เมื่อมองดู ภาพที่อยู่ข้างหลังกลับทำให้ตกใจจนพูดไม่ออกข้างหลังนางกับหลิ่วฉือ มีเจ้าตัวน้อยทั้งสามตามมาด้วยหนึ่งแมว หนึ่งสุนัข และหนึ่งลูกแกะเฮยตั้นนั่งบนหัวของสุนัข จ้องมองทุกคนอย่างสงบด้วยใบหน้ารังเกียจสุนัขอาจจะวิ่งเร็วเกินไป มันหอบจนแลบลิ้นออกมาลูกแกะน้อยอยู่ข้างสุนัขมองไปรอบ ๆ เต็มไปด้วยความ
“ข้าอยากพบนาง” หลิ่วฉือคุกเข่าลง และโขกหัวสามครั้ง “พระชายาอ๋องเจ็ด ได้โปรดพาข้าไปพบพี่สาวของข้าที แม้นเพียงพบหน้ากันครั้งเดียวก็ได้”“ลุกขึ้น” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ดึงหลิ่วฉือขึ้นมา “แล้วเจ้าคิดว่าข้าพาเจ้ามาทำไม? ข้าเพิ่งบอกว่าจะพาเจ้าไปพบนางไม่ใช่หรือ? รีบเข้ารีบเช็ดน้ำตาเสีย หากสนมเหยาเห็นเข้า จะคิดว่